โรงไฟฟ้า

“ถอดความเสี่ยงและโอกาสของ PDP 2024”

“Adding PDP salt to regulatory risk injury”

“ผีซ้ำด้ามพลอย หุ้นไฟฟ้าถูกสอยร่วงระนาว”

วันนี้ราคาหุ้นไฟฟ้าไทยร่วงหนักมาก นำโดย BGRIM (-7.5%) GPSC (-5.9%) GULF (-3.1%) EGCO (-1.5%) RATCH (-0.9%) เพราะเกิดอาการหวาดผวาของนักลงทุนจากการที่ภาครัฐเปิดเผยผลสรุปแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP 2024) ที่มีสาระสำคัญคือ

1. โอกาสเติบโตของโรงไฟฟ้า SPP และ IPP มีน้อยมากตามแผน PDP 2024

ตามแผน มีเพียง 6,900MW กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จากฟอสซิล ที่จะเพิ่มเข้ามาในช่วงปี 2024-2037 เทียบกับ 39,700MW กำลังผลิตใหม่จากพลังงานทดแทน และ 13,000MW จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำและแบตเตอรี่

นั่นหมายถึง โรงไฟฟ้าก๊าซ เช่น Small Power Producer (SPP) ที่เน้นการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูงป้อนให้โรงงานภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมมากมายในไทย เช่นมาบตาพุด จะไม่มีการต่ออายุหรือเพิ่มกำลังผลิตอีกต่อไป

อีกทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ Independent Power Producer (IPP) ที่มีขนาดเกิน 150MW ขึ้นไป แทบจะไม่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามาในระบบเลยอีก 13 ปีข้างหน้า

2. ค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำลงมาก โดยมีค่าไฟเฉลี่ยเพียง 3.87บาท/kWh ตลอด 13 ปี ข้างหน้า (2024-37) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่าไฟ 3.95บาท/kWh ในแผน PDP 2018 ฉบับแก้ไขครั้งที่ 1

แม้ราคาค่าไฟที่ต่ำ จะดีต่อภาคประชาชน หากแต่ราคาค่าไฟที่ 3.87บาท/kWh เป็นราคาค่าไฟที่ต่ำมาก เพราะปัจจุบัน แม้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะต่ำเพียง 2.0-2.5บาท/kWh และจากพลังงานลม เพียง 3.0บาท/kWh เทียบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ ชีวมวลและชีวภาพ  (3.5-4.0บาท/kWh)

หากแต่ความมีเสถียรภาพของการผลิตจากทั้งสองแหล่งนี้ต่ำ (แดด ลม) ทำให้ยังไม่สามารถนับเป็นไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ (reliable power)

3. ในแผน PDP 2024 มีการคาดการณ์ว่า กำลังผลิตจากพลังงานทดแทนจะพุ่งสูงขึ้นจาก 15,760MW ในปี 2024 เป็น 81,938MW ในปี 2037 หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.2 เท่าจากปัจจุบัน โดยมีการเติบโตของ

Winner: พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพิ่มขึ้น 24,412MW เป็น 33,269MW (+10.4 เท่า) คิดเป็น 29.6% ของกำลังไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2037

Winner: พลังงานลมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากราว 1,200MW ปัจจุบัน เป็น 9,339MW ในปี 2037 (+7.8 เท่า) (8.3% ของกำลังไฟทั้งหมดในปี 2037)

Loser: พลังงานก๊าซลดลงจาก 33,128MW ในปี 2024 เหลือ 27,780MW ในปี 2037

Winner: พลังงานน้ำจากเขื่อนที่นำเข้า เพิ่มขึ้นจาก 4,462MW ในปี 2024 เป็น 10,295MW ในปี 2037

Loser: พลังงานถ่านหิน จะสูญพันธ์ไปจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าไทย โดยลดลงจาก 2,000MW ในปี 2024 เป็นศูนย์ในปี 2037

Winner: พลังงานทดแทนอื่น ๆ (ชีวมวล, ชีวภาพ, ขยะ) จะเพิ่มจาก 2,847MW ในปี 2014 เป็น 6,027MW ในปี 2037

Winner: พลังงานไฟฟ้าสูบกลับ (pumped storage hydropower PSGH) เพิ่มจาก 1,000W ในปี 2024 เป็น 3,473MW ในปี 2037

แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก คือการเพิ่มขึ้นมากมายของกำลังผลิตไฟฟ้าจาก แบตเตอรี่และการกลับมาของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์

Winner: พลังงานแบตเตอรี่จากศูนย์ไม่มีเลยในปี 2024 เพิ่มเป็น 10,485MW ตั้งแต่ปี 2035-37 โดยเริ่มเข้ามาในระบบราว 5,000MW ตั้งแต่ปี 2035 นี่หมายความว่า ไทยเราจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ถึง 9.3% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งระบบที่ 112,391MW ในปี 2037!!!

Winner?: พลังงานนิวเคลียร์ 600MW จะเข้าระบบในปี 2037 ในปลายแผน PDP 2024

Q: ข้อคิดจากแผน PDP 2024

ข้อคิด 1: ดีมานแบตเตอรี่และพลังงานแดดและลมจะเติบโตอีกมาก และจะกลายเป็นพลังงานไฟฟ้าที่พึ่งพาได้และถูกกว่าพลังงานจากฟอสซิล??

ในปี 2037 ประเทศไทยจะสามารถพึ่งพาไฟฟ้าที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ที่จะถูกเปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าที่พึ่งพาไม่ได้ มาเป็นพลังงานที่สามารถพึ่งพาได้ เนื่องจากการมีพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 10,485MW หรือคิดเป็นถึง 24.3% ของกำลังไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (33,269MW+ 9,339MW)

โดยพลังงานทดแทนทั้งสองชนิด (แสงอาทิตย์ ลม) นี้เป็นเพียงสองพลังงานไฟฟ้าที่ไม่แน่นอน จึงต้องทำงานพึ่งพาร่วมกับพลังงานจากแบตเตอรี่ ที่จะถูกชาร์ทจากกำลังผลิตส่วนเกินในช่วงที่แสงแดดจ้าและลมแรงนั่นเอง

ข้อคิด 2: “กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจะไม่มีเลย” หากไม่นับไฟฟ้าจากแดด ลม น้ำ แบตเตอรี่ และจะเหลือ ราว 50% อิงจาก 56,133MW peak demand หรือการใช้ไฟฟ้าสูงสุดคาดการณ์ในปี 2037 เทียบกับกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 112,391MW ตามแผน PDP 2024

หากเราหักกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (9.3%) ที่คาดว่าจะใช้เป็น backup กำลังไฟฟ้าจากแสงแดดและลม และหักพลังงานไฟฟ้าจากน้ำทั้งจากการนำเข้าและผลิตในประเทศ (12.1%) ที่ถือว่าเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สามารถพึ่งพาได้เช่นกันจากฤดูกาลน้ำแล้ง น้ำท่วม และการนับว่า พลังงานแบตเตอรี่ถือเป็นพลังงานเสริม แทนที่จะใช้เป็นกำลังไฟฟ้าหลัก (base)

คาดว่าไทยจะมีกำลังไฟสำรอง เหลือเพียง 28.4% (50%-9.3%-12.1%) แต่หากเราหักพลังงานจากแสงแดด (29.6%) และพลังงานลม (8.3%) โดยสมมติว่าหักไป 80% ของพลังงานแดด (-23.4%) จากค่าเฉลี่ยการผลิตต่อวันที่ 20% และ 65% ของพลังงานลม (-5.4%) จากค่าเฉลี่ยต่อวันที่ 35% จะทำให้ไม่เหลือกำลังไฟสำรองเลย!!!!!!!!!

50%-9.3%-12.1%-23.4%-5.4% = -0.4%

นั่นหมายความว่า ตามแผน PDP 2024 ประเทศไทยไม่ได้มีกำลังไฟฟ้าสำรองที่พึ่งพาได้แน่นอน 100% เลย หากประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าของพลังงานแดดและลม ไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยยะในอีก 13 ปีข้างหน้า

3. การมีกำลังไฟฟ้าจากฟอสซิลเพียง 24.7% ของกำลังไฟฟ้าทั้งระบบ และมีพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินชนิดลิกไนต์ (แม่เมาะ) เพียง 2,673MW (2.4%)

ทำให้ AI คิดต่างอย่างพี่หมู – Art of Investment คิดว่าโอกาสที่แผน PDP 2024 จะบรรลุเป้าหมาย 50% พลังงานทดแทนโดยมีแบตเตอรี่เพียง 9.3% มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากประเทศไทย ต้องมีกำลังไฟฟ้าที่พึ่งพาได้สูง (high reliability) จาก SPPs ที่ปัจจุบันป้อนให้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคม

สิ่งนี้อาจนำไปสู่การถดถอยของความสามารถในการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของอุตสาหกรรมในอนาคต เช่น AI, Data Center, Semiconductor, PCB, EV, battery, Solid State Drive (SSD) เป็นต้น

4. ดีมานไฟฟ้าจาก รถไฟความเร็วสูง (High Speed Train HST) EV EEC ทั้งหมดนี้ต้องการไฟฟ้าที่มีความแน่นอนพึ่งพาได้สูง หากภาครัฐมีการบริหารจัดการไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบการทำงานของ HST EV chargers และโรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ใน EEC

บทสรุป: ไทยเราควรมีแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าที่มีความแน่นอนสูง (high reliability) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต

SPPs ควรมีมากขึ้น??!

โดยเฉพาะจาก SPPs หากมีการยกเลิกไป และทดแทนด้วยไฟฟ้าจากแดด ลม และน้ำ แม้จะพ่วงด้วยแบตเตอรี่ แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูงมากต่อการประสบไฟดับ ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยและการดึงดูดการลงทุน FDI เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้นมากของอุตสาหกรรมส่งออกไทย ที่ปัจจุบันประสบปัญหาการแข่งขันต่อตลาดส่งออกโลก

5. ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ต่ำที่ 3.87บาท/kWh ตลอดช่วงปี 2024-37 ตามแผน PDP 2024 อาจทำให้ภาคเอกชนทั้ง SPPs และ IPPs หรือแม้แต่ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแดดและลม ประสบปัญหาในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีคุณภาพและแน่นอน เพื่อป้อนให้อุตสาหกรรม ไฮเทคต่าง ๆ ที่ไทยกำลังพยายามแข่งขันกับมาเลเซีย เวียดนามเพื่อดึงดูด FDI มาสู่ไทย

หุ้นไหนได้ หุ้นไหนเสีย?

(-) BGRIM, GPSC, WHAUP: SPP
EGCO, RATCH, BPP: IPP โรงไฟฟ้าจากฟอสซิลเหล่านี้ โดยเฉพาะก๊าซจะมีกำลังผลิตใหม่น้อยมาก และจะลดลงเรื่อย ๆ ในปี 2024-37 ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะสูญพันธ์จากประเทศไทย!!

(+) GULF, GUNKUL, EA, CKP โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จะมีกำลังผลิตเติบโตมากทั้งแดด ลม น้ำ

(+) ACE TPCH (ชีวมวล ชีวภาพ) ETC BWG GULF (โรงไฟฟ้าขยะ) จะเห็นการเติบโตของกำลังผลิตได้

(+) EA GPSC BPP (แบตเตอรี่) จะมีดีมาน Energy Storage System (ESS) ถึง 10,485MW ในปี 2037

ทุกท่านคิดว่า แผน PDP 2024 ฉบับนี้เหมาะสมหรือไม่ครับ ?

#aiคิดต่างอย่างพี่หมู #PDP2024

หุ้นไหนได้ หุ้นไหนเสีย?
(-) BGRIM, GPSC, WHAUP: SPP
EGCO, RATCH, BPP: IPP โรงไฟฟ้าจากฟอสซิลเหล่านี้ โดยเฉพาะก๊าซจะมีกำลังผลิตใหม่น้อยมาก และจะลดลงเรื่อย ๆ ในปี 2024-37 ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะสูญพันธ์จากประเทศไทย!!
(+) GULF, GUNKUL, EA, CKP โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จะมีกำลังผลิตเติบโตมากทั้งแดด ลม น้ำ
(+) ACE TPCH (ชีวมวล ชีวภาพ) ETC BWG GULF (โรงไฟฟ้าขยะ) จะเห็นการเติบโตของกำลังผลิตได้
(+) EA GPSC BPP (แบตเตอรี่) จะมีดีมาน Energy Storage System (ESS) ถึง 10,485MW ในปี 2037
ทุกท่านคิดว่า แผน PDP 2024 ฉบับนี้เหมาะสมหรือไม่ครับ ?
#aiคิดต่างอย่างพี่หมู #PDP2024

ใส่ความเห็น

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น