ทำไม BYD ถึงลดราคาแบตลงได้มากถึง 30-50% เป็นเพราะอะไร ?
จากโพสเมื่อวานที่เขียนถึงบริษัทนำเข้ารถ BYD ในไทยประกาศลดราคาแบตเตอรี่ของรถ EV ลดลงมาราวๆ 30-40% มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง สิ่งนึงที่ไม่ได้เขียนในโพสนั้นคือสาเหตุที่ BYD สามารถลดราคาได้มากขนาดนั้นมาจากอะไรกันแน่
คำตอบของเรื่องนี้คือ
ราคาแร่ลิเธียมดิบมีราคาลดลงต่อเนื่องมาตลอด ในช่วง 2 ปีนี้ราคาลดลงมากถึง 80%
พย 2022 ตันละ 600,000 หยวน
มค 2023 ตันละ 495,000 หยวน
ตค 2023 ตันละ 158,000 หยวน
มค 2024 ตันละ 98,000 หยวน
มิ.ย. 2024 ตันละ 105,000 หยวน
โดยแร่ลิเธียมดิบก่อนรถ EV ในจีนจะบูมและมีการผลิตรถ EV เยอะขนาดนี้ แร่ลิเธียมเคยมีราคาตันละ 75,000 หยวนเมื่อ กค 2019 และถูกสุดในรอบ 5 ปีอยู่ที่ตันละ 35,000 หยวนเมื่อ กย 2020 ซึ่งราคาแร่ลิเธียมเริ่มไต่ขึ้นเมื่อไตรมาส 3/2021 หลังมีการผลิต EV ในจีนเพิ่มมากเป็นทวีคูณและราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ปลายปี 2022
ปัจจุบันราคาแร่ลิเธียมที่เคยราคาสูงเสียดฟ้า กลับมาสู่ราคาที่ควรจะเป็นแล้วในเวลา 2 ปีเท่านั้น
===============
ทำไมราคาขึ้นมาก และลงมาก ?
ความต้องการใช้แร่ลิเธียมก่อนหน้าการมาถึงรถ EV จีนในแวดวงรถ EV มีแค่ Tesla เท่านั้นตั้งแต่ 2008-2019 เทสล่าแทบไม่มีคู่แข่งด้าน EV ฉะนั้นการใช้แร่ลิเธียมปริมาณมากทั่วโลกยังอยู่ในสภาวะนิ่งๆ อุตสาหกรรมที่ต้องการแร่ลิเธียมเพิ่มต่อเนื่องคือโทรศัพท์และอุปกร์อิเล็กทรอนิกส์ แต่การใช้แร่ลิเธียมในอุปกร์อิเล็กทรอนิกส์ต่อให้มีการใช้เพิ่มยังไง ก็ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบปริมาณแร่ที่อยู่ในแบตเตอรี่ของรถ EV เมื่อปริมาณความต้องการไม่เยอะก็ขุดไม่เยอะราคาก็ตามข้างต้นที่บอกไป
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นรถไฮบริดของญี่ปุ่นที่ขายดิบขายดีไม่ได้ใช้แบตลิเธียม แบตในรถไฮบริดอย่าง Prius และ Camry ยังเป็นแบตนิกเกิลเมทัลไฮดราย (Ni-MH) ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าอยู่เลย ทำให้รถไฮบริดญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลอะไรกับเรื่องราคาแร่ลิเธียม ปัจจุบัน Toyota ก็ยังใช้แบต Ni-MH เป็นแบตรถไฮบริดหลายรุ่นเพราะต้นทุนถูกกว่าลิเธียม ในไทยหลายรุ่นก็แบต Ni-MH
และราคาเฉลี่ยต่อ kWh แบรนด์รถญี่ปุ่นขายแบต Ni-MH ของรถไฮบริดราคาสูงไม่น้อย
กลับมาที่ราคาแร่ลิเธียมค่อยๆมีราคาสูงขึ้นที่จีนเริ่มมีรถ EV หลายยี่ห้อ ผลิตออกมาเดือนๆนึงรวมกันเป็นแสนคัน ก็เลยมีความต้องการเพิ่มแบบฉับพลันสุดโต่ง เหมืองก็ขุดไม่ทันทีนี้พอขุดไม่ทันมีของไม่พอให้กับทุกคนราคาก็ถูกดันขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวเหมืองเองในระหว่างนั้นก็ขยายกำลังการขุดมาเรื่อยๆพอถึงจุดที่กำลังการขุดแร่เพิ่มมากขึ้นราคาก็ค่อยๆลดลงและลดลงมาอย่างที่เห็น
อีกส่วนนึงที่ราคาแร่ลิเธียมลดลงมาเยอะ ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะความต้องการรถ EV ในตลาดโลกปัจจุบันนี้เริ่มชะลอตัวด้วย พอการแข่งขันน้อยลงมีการผลิตน้อยลง ทำให้ความต้องการใช้แร่ลดลง ทีนี้เหมืองยังขุดอยู่ก็ต้องขายราคาที่ถูกลงเพราะปริมาณเริ่มเกินความต้องการ
===============
ราคาแร่ลิเธียมจะกลับไปอยู่ตันละ 30,000-50,000 หยวนได้หรือไม่ ?
ถ้าราคาแร่ลิเธียมกลับไปแตะราคาตันละ 50,000 หยวนได้ แบตในรถ BYD ที่ตอนนี้ 3-4 แสน อาจจะเหลือแค่ 1-2 แสนก็เป็นได้ลองคิดดูแบต 60kWh ราคา 200,000 บาท ราคาเร้าใจเว่อ
ในความเป็นจริงราคาแร่ดิบอาจไม่ได้กลับลงไปที่จุดต่ำสุดที่ 35,000 หยวนแล้ว เพราะราคาต่ำสุดเป็นช่วงที่ทั้งโลกหยุดชะงักไม่มีการผลิตอะไรใดๆ ทุกประเทศล็อคดาวน์ (ถ้าจำราคาน้ำมันหน้าปั๊มได้ก็ประมาณนั้นแหละ ถูกมาก)
ปัจจุบันถ้าเหมืองแร่ลิเธียมมีการจัดการการขุดในปริมาณที่ไม่เยอะจนล้นตลาด ราคาก็อาจไม่ลงจาก 100,000 หยวนไปมากนัก
ในทางกลับกันถ้าความต้องการใช้ลิเธียมไม่ได้พุ่งสูงแบบฉับพลันจนกำลังการผลิตไม่พอราคาก็คงไม่ทะยานสูงมากแบบปี 2022 แล้ว
ส่วนตัวมองที่ราคาขาลงมากกว่า ว่าจะมีดั๊มพ์ราคาลงกว่านี้อีกมั้ยอาจจะลงได้อีก ถ้าจะกดให้ราคาถูกๆไปเลยก็คงแถวๆราคาปี 2019 ที่ 75,000 หยวน ตรงนี้อยู่ที่เจ้าของเหมืองเค้าจะสั่งขุดเยอะกว่านี้มั้ย ถ้าขุดเยอะจนเริ่มล้นยังไงราคาก็ลดลงได้อีก
แต่ใครอยากจะขายของราคาถูกมากกันละ ?
(เอ๊ะ…หรือจริงๆแล้วตอนนี้การขุด Oversupply ไปแล้ว ???)
===============
แล้วใครเป็นเจ้าของเหมืองแร่ลิเธียม ?
ตอบแบบรวบรัด บริษัทจีนเป็นเจ้าของเหมืองแร่หรือได้รับสัมปทานเหมืองแร่ลิเธียมรวมๆกันราว 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งโลก ในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ที่มีแร่ลิเธียมมากเป็นอันดับ 1 ของโลกก็เป็นสัมปทานของบริษัทจีนอย่าง CATL ที่เข้าไปร่วมลงทุน เหมืองในแอฟริกาก็จีน ถ้าจะมียกเว้นก็คงออสเตรเลียที่มีแร่ลิเธียมมากที่สุดประเทศนึงที่ไม่มีบริษัทจีนเข้าไปถือครองเหมือง
(14/06/24 10.00am ข้อมูลที่เจอเพิ่มเติม สรุปว่าในออสเตรเลียบริษัท Tianqi Lithium จากจีนก็เข้าไปร่วมลงทุนกับ Greenbushes บริษัทเหมืองลิเธียมขนาดใหญ่ในออสเตรเลียด้วย ปัจจุบันมีกำลังการผลิตระดับ 1.3 ล้านตัน/ปี)
ฉะนั้นก็ประมาทไม่ได้ว่าแร่ลิเธียมจะไม่ถูกดั๊มราคาลงไปอีก เพราะต้นทางเหมืองก็จีนมีเอี่ยว ส่งกลับผลิตจีน แพคเสร็จก็มาอยู่ในรถที่ผลิตในจีน เป็นสาเหตุที่ทำให้โดยรวมราคารถ EV จีนทำไมถึงแข่งกันราคาถูกได้ และทำไมยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นถึงกลัวราคารถ EV แบรนด์จีน
(โอเค มีปัจจัยเรื่องรัฐจีนช่วยเรื่องการเงินกับบริษัทรถ เรื่องค่าแรงต่างๆที่ถูกกว่าประเทศอื่น และอื่นๆเข้ามาประกอบด้วย แต่เมื่อชิ้นส่วนหลักใน EV ราคาถูกก็เป็นเหตุผลที่ราคารถ EV จีนในจีนราคาถูกมากแบบที่เห็น)
===============
มาถึงตรงนี้พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับว่าทำไมยุโรปถึงกีดกันรถแบรนด์จีนเพราะยุโรปไม่มีทางมีต้นทุนแร่ลิเธียมถูกกว่าจีนได้เลย ส่วนญี่ปุ่นยิ่งกว่านั้นเพราะญี่ปุ่นไม่มีเอี่ยวในเหมืองแร่ลิเธียมเลย และลูกพี่ใหญ่อย่างโตโยต้าทางแยกระหว่างทำรถ EV กับลองทำรถไฮโดรเจนเมื่อปี 2010 พี่โตเลือกไฮโดนเจนเพราะมีเครื่องยนต์ ส่วนอีวีไม่มีอะไรต้องซ่อมบำรุงมากชิ้นส่วนน้อย ก็เลยออกมาเป็น Mirai ที่ขายดิบขายดีระดับไม่กี่หมื่นคันในระยะเวลา 10 ปี เทียบกับ tesla ขายรถ EV ปีละหลายแสนคันจนปัจจุบันเทสล่าขาย EV ปีละเกือบ 2 ล้านคัน ยิ่งพอมีรถ EV จีนมาร่วมตลาดด้วยรถ EV อย่างของ BYD ก็เป็นล้านคันต่อปี
(แต่พี่โตขายรถทุกแบบปีนึง 10 ล้านคันทั่วโลกนาจาาา)
เป็นเหตุผลนึงที่ toyota ก็พยายามยื้อตลาดไว้และพัฒนาเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นไปอีกเพื่อให้ทัดเทียมความประหยัดของ EV ซึ่งการหนีของโตโยต้าด้วยไฮบริด ก็เหมือนจะหนีไม่พ้นจีนอีกแล้ว
เพราะ BYD กำลังจะปล่อยรถ PHEV ที่มีสมรรถนะทำระยะทางได้เกิน 1000km มาขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นฐานลูกค้าใหญ่กลุ่มนึงของรถไฮบริดญี่ปุ่น ไม่รวมที่ BYD ทดสอบเครื่อง PHEV ใหม่ๆได้ถึง 2000km ต่อ 1 ถังน้ำมันและ 1 ชาร์จไฟ
ยังไม่นับรถ EREV (Extended-range electric vehicle) ที่รถแบรนด์จีนเริ่มทำแล้ว ซึ่ง EREV น่าจะเป็นจุดสูงสุดของลูกผสมเครื่องยนต์กับแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะการทำงานของ EREV มันคือรถ EV นี่แหละรถมีแบตขนาดใหญ่มากเหมือนที่เห็นในรถ EV ใช้พลังงานจากแบตในการขับเคลื่อนมอเตอร์ให้รถวิ่ง และใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟอย่างเดียวส่งกลับไปแบตเตอรี่ ถ้าแบตหมดเลือกเสียบชาร์จไฟก็ได้ หรือเติมน้ำมันเพื่อนำมาให้เครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าแบตก็ได้ แต่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตของ EREV มีราคาสูงเลยยังไม่แมสมากนัก ถ้าวันไหนที่บริษัทจีนกดต้นทุน EREV ได้ต่ำพอ เราอาจจะได้เห็น EREV ออกมาขายนอกจีนก็เป็นได้
ถ้าสังเกตรถไฮบริดญี่ปุ่น มักเป็นไฮบริด HEV ที่แบตขนาดเล็กที่ตัวรถชาร์จไฟไม่ได้ เรียกว่าญี่ปุ่นแทบไม่มี PHEV ก็ว่าได้ ซึ่งปัจจุบันโตโยต้าเพิ่งเริ่มทำรถ PHEV บ้างแล้วกับ Alphard และ Prius ราคาขายในญี่ปุ่นก็สูงกว่ารุ่นไฮบริดปกติ
ส่วนตัวคิดว่าพี่โตไม่น่าจะขยายการผลิตรถ PHEV อย่าง Prius มานอกญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ และไม่น่าทำ Camry และอื่นๆที่เป็นไฮบริดแบบดั้งเดิมขึ้นเป็น PHEV รวมถึง Honda ก็ไม่น่าทำ Accord PHEV ขายในเร็วๆนี้ เพราะต้นทุนผลิต PHEV มีราคาสูงกว่าไฮบริดแบบดั้งเดิมพอสมควร สู้ลากยาวไฮบริดดั้งเดิมแล้วพัฒนาเครื่องยนต์ให้ประหยัดดีกว่า
สรุป…ในอุตสาหกรรมรถยุคใหม่ ถือว่าจีนมีบทบาทสำคัญมาก จากประเทศที่ก็อปหน้าตารถโตโยต้าอัลติส ก็อปหน้ารถเบนซ์ไปทำเป็นรถแบรนด์ตัวเองในจีนเมื่อ 15-20 ปีก่อน มาวันนี้แบตเตอรี่ทำให้จีนพลิกจากอดีตความห่วยกลายมาเป็นผู้ผลิตที่ทั่วโลกก็ต้องยำเกรง กับราคาแบตเตอรี่เองก็เหมือนอยู่ในกำมือของบริษัทจีนที่สามารถกำหนดทิศทางราคาตลาดได้ อุตสาหกรรมรถยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากมายถือว่าสู้กันดุเดือดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอด 100 ปี