“ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คุณภาพยอดเยี่ยม
เราเลยแทบไม่เห็น ช่วงหุ้นราคาถูกเลย”
SESSION 2 : COUNTRY SWOT ANALYSIS ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
-คุณหลิน
ตั้งแต่ปี 1776 สหรัฐอเมริกา ถูกออกแบบให้เป็นทุนนิยมเสรี
พอเป็นทุนนิยมเสรี ทำให้มีผู้ประกอบการแบบ เช่น สตีฟ จอบส์ อีลอน มัสก์
ตลาดหุ้นอเมริกัน เต็มไปด้วยหุ้นคุณภาพ แข็งแกร่งมากโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี
ช่วงที่ Valuation ราคาถูก จึงสั้นมาก
สหรัฐอเมริกาเป็นเหมือนห้าง CentralWorld ของโลก ของดีมันจะมีความพรีเมียม
หากเราจะสำเร็จในประเทศใด ประเทศหนึ่ง เราต้องมี PASSION
ทุก ๆ 50 ปี สหรัฐอเมริกาจะมีอุตสาหกรรมใหม่ เกิดขึ้นมาแทนอุตสาหกรรมเดิมตลอด
-คุณมี่
สหรัฐอเมริกาเป็นต้นน้ำของสิ่งใหม่ ๆ บนโลก ทั้งเอไอ อินสตราแกรม เฟซบุ๊ก
สหรัฐอเมริกา มีบริษัทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ในระยะไกล ๆ ยังเป็นผู้นำ และมีวิธีกีดกันจีน ที่ค่อนข้างคม
สหรัฐอเมริกา เก่งเรื่องการเงิน สินค้าอันดับหนึ่งของอเมริกาไม่ใช่เอไอ
แต่เป็น “ดอลลาร์สหรัฐ” ถ้าถูกด้อยค่า อาจจะเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมดในตลาดทุน
อนาคตหุ้นอเมริกายังคงไปต่อได้ แต่ราคาอาจจะยังดูสูง ต้อง Valuation หุ้นให้ดี
-ลงทุนแมน
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ทุนสำรองไม่จำเป็นต้องมี
ในขณะที่ประเทศอื่น จำเป็นต้องเก็บเงินทุนสำรอง ในสกุลเงิน ดอลลาร์
เรื่องนี้เป็นข้อได้เปรียบของอเมริกา ทำให้มีหนี้เท่าไรก็ได้
สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่กี่ประเทศ ที่มีคนเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ประเทศพัฒนาอื่น ๆ ประชากรลดลง
สหรัฐอเมริกา มีแต่คนอยากอพยพเข้าไป ตัวอย่างก็เช่น Microsoft, Google มีซีอีโอเป็นอินเดีย
พอประชากรยังเยอะขึ้น มีการผลิตและบริโภคเยอะ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงเติบโต
นอกจากนั้น บริษัทอเมริกัน กำลังขายของให้คนทั่วโลก
ดังนั้นโอกาสของอเมริกา ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศตัวเอง
จากทั้งหมด ดูทำให้มีค่าเฉลี่ยดีกว่าทุกประเทศ
ส่วนเรื่องของ Valuation ยังคงกลาง ๆ ไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่ได้แพงเกินไป จนซื้อไม่ได้..
หมายเหตุ: โพสต์นี้เป็นเพียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากใน งานลงทุนแมนConference2024 ซึ่งในงานยังมีการสนทนา และการถกเถียงที่ครอบคลุมในหลายด้านกว่าเนื้อหาด้านบน ดังนั้นบริบทของการอ่านโพสต์แล้วคอมเมนต์ จะแตกต่างจากการฟังเนื้อหาที่ครบถ้วนจากในงานจริง
TAM SAM SOM ในความเข้าใจของชีพจรลงทุน
=============================
.
เพื่อนๆน่าจะคุ้นหู หรือรู้จักกับคำว่า TAM หรือ Total Addressable Market กันแล้วนะครับ แต่จากที่ส่วนตัวได้อ่านบทความ หรือเข้าฟังการบรรยาย การให้ข้อมูลบริษัท หรือกระทั่งคำถามที่ถาม หลายๆครั้งผมคิดว่ามีประเด็นที่น่าจะชวนคุยเพื่อทำความเข้าใจประเด็นนี้กันให้ละเอียดมากขึ้น เลยอยากจะขอแชร์มุมมองส่วนตัวเรื่องนี้ดังนี้ครับ
.
หลายๆครั้งที่ผมไปฟังข้อมูล มักจะได้ยินการยกเอา TAM มาพูด หรือแม้กระทั่งการพูดถึง TAM ในมุมของนักลงทุนว่า ตลาดมันใหญ่ระดับไหน แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริง เราอาจจะเอาคำนี้มาใช้ตรงๆแบบที่เข้าใจกันตอนนี้ได้ไม่ถูกต้องนัก เช่น ประโยคที่บอกว่า ตลาดใหญ่มาก แค่เราได้ 1% ก็ได้รายได้มหาศาลแล้ว และส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์เคยถามผู้บริหารไป ผมน่าจะอยากได้ SOM มากกว่า แต่ผู้บริหาร รวมถึงคนในห้องก็ช่วยกรุณาตอบเป็น TAM มา เลยอยากชวนคุยเรื่องนี้ในตอนนี้ครับ
.
TAM หรือ Total Addressable Market
————————————–
.
เวลาเราพูดถึง TAM ผมมักจะได้ยินการ estimate แบบ Top Down เช่น ตลาดทั้งหมดมีคนที่มี pain point เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่มุมนี้ ส่วนตัวคิดว่าเป็นการประเมินที่กว้างมากเกินไป ซึ่งมักเป็นการประเมินโดยใช้ problem size ไม่ใช่ market size และที่สำคัญคือ idea อาจจะเป็น disruptive technology ทำให้ยังใช้คำนี้อยู่ได้ว่า สินค้าหรือบริการกำลังจะเข้าไปทดแทน หรือ disrupt อะไรเป็นต้น
.
ดังนั้นเลย ก่อนอื่น ผมคิดว่าคำๆนี้ เริ่มมาจาก Start up เป็นคำที่ใช้บ่อยเอาไว้ pitch idea เพื่อขอ raise fund ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่ต้อง keep in mind อย่างแรกคือ จุดประสงค์ของที่มาของคำๆนี้ เพื่อให้ภาพนักลงทุนถึงสิ่งที่เขากำลังจะลงทุนว่า มีโอกาสร้างผลตอบแทนได้ระดับไหน แต่อีกอย่างที่ผมคิดว่าทุกท่านควรจะทำความเข้าใจไปพร้อมกันคือ Start up ส่วนใหญ่เป็น Tech company
.
ความเป็น Tech company สิ่งนึงที่เป็น unique character คือ scalability หมายถึง มันสามารถ scale ได้ด้วยความเร็วและต้นทุน marginal cost ที่ต่ำมากๆ เพราะการ load app หรือใช้ application บน web มันสามารถ scale ได้อยางรวดเร็ว แทบไม่มีข้อจำกัด ซึ่งตรงนี้ผมบอกว่าเป็น character ที่ธุรกิจที่เป็นการผลิตและบริการหลายอย่างไม่มี
.
ดังนัน TAM ของ Start up จึงมักหมายถึงตลาดที่การเข้าถึง มันแทบไม่มีข้อจำกัดใดๆ โดยเฉพาะในมุมของ scalability (ยกเว้นเงินที่ต้องใช้ ถึงต้องมา raise fund) และเรื่องนี้มีความสำคัญมากเพราะ ถ้าคุณ scale ไม่ทัน ก่อนที่คู่แข่งจะเข้ามา จะส่งผลกับ target market ดังนั้น คำว่า Speed จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคำว่า TAM ในมุมนี้
.
ในการคำนวณหา TAM ส่วนตัวจะชอบแนวคิดแบบ bottom up มากกว่า ว่า target ลูกค้าคือใคร reach คนกลุ่มนี้ได้ไหม และ pricing ทำได้ระดับไหน แล้วถึงค่อยคำนวณออกมาเป็น TAM โดย base assumption ที่สำคัญที่สุดคือ เวลาหา TAM จะยังไม่มีข้อจำกัดเรื่อง resource (สมมติว่า สามารถ raise fund ได้เรื่อยๆ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องทีมงาน etc. )
.
SAM หรือ Serviceable Available Market
——————————————
.
อันนี้ผมคิดว่า เป็น Market ที่เริ่ม Realistic มากขึ้น ผมคิดว่า level นี้ มี factor ที่ผมจะใส่เข้าไปเพิ่มอย่างนึงคือ ข้อจำกัดเรื่องของ resource หรือ reach เช่น เราอาจจะไม่สามารถขายสินค้าหรือบริการให้กับคนที่คนที่อยู่ใน TAM เพราะมีข้อจำกัดด้านปัจจัยการผลิต เช่น capacity การผลิตมีอยู่อย่างจำกัด geography ที่ไม่สามารถ serve ลูกค้าได้ทุกคนเพราะมีข้อจำกัดเรื่อง logistics หรือการ support เราอาจจะไม่สามารถหาทีมงาน customer service ได้อย่างเพียงพอ หรือมีข้อจำกัดด้าน regulation เช่น ห้ามขายในประเทศนั้นๆ พื้นที่นั้นๆ หรือเจอกำแพงภาษีเป็นต้น
.
ดังนั้น SAM ทำให้การประเมิน Market โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุน มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ความแตกต่างระหว่าง TAM กับ SAM ใน level นี้สำหรับผมคือ Resource แต่ยังใช้ assumption ว่า ถ้ายัง”ไม่มีคู่แข่ง”หรือพูดอีกอย่างคือ เราขายอยู่คนเดียว potential market ใหญ่แค่ไหน ถ้าสมมติเป็น winner take all หรือ take most แล้ว potential ที่เป็นไปได้มีระดับไหน หรือเป็นการ assume ว่า บริษัทสามารถ scale ได้เร็วก่อนที่ competition จะเข้ามา
.
Serviceable Obtainable Market
———————————-
.
ในระดับนี้ key คือคำว่า Obtainable นั่นแปลว่า เป็นตลาดที่เราเข้าถึงได้จริง ซึ่ง key assumption ใน level นี้ คือ มี”การแข่งขัน” ทำให้ตลาดที่เราคาดหมาย อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีคู่แข่งที่แย่งตลาดมาได้ก่อน พูดอีกอย่างคือ เรา scale ไปทีหลังคู่แข่ง เพราะข้อจำกัดบางอย่าง หรือมีการแข่งขันด้านราคา เกิด multihoming ทำให้ขนาดตลาดจากการคำนวณ pricing เล็กกว่าที่เคยคาดไว้ เป็นต้น
.
ดังนั้น เวลาผมจะประเมิน market ส่วนตัวผมคิด keep in mind เรื่องเหล่านี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะธุรกิจในไทย ที่หลายๆบริษัทยังไม่ใช่ tech company หรือ disruptive technology ที่ยังมีข้อจำกัด เช่น ข้อจำกัดด้านการผลิต ด้านการเงิน ด้าน human capital หรือต่อให้เป็น tech ก็ยังมีเรื่องของการแข่งขัน ไม่ได้เป็น disruptive technology หรือต่อให้เป็น innovation ก็อาจจะไม่สามารถทดแทน established technology ที่คนส่วนใหญ่ยังใช้อยู่ได้เป็นต้น เพื่อให้การประเมินโอกาสในการลงทุน เราไม่กาวตัวเองมากจนเกินไป
.
เพราะการบอกว่า ขอแค่ 1% ของ TAM จริงๆแล้ว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สำหรับผมครับ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่ tech company ที่สามารถ scale ได้ at near zero marginal cost
.
ไอเดียเรื่อง TAM ผมไปเจอ YouTube ที่อธิบายไว้ค่อนข้างดี ขอแปะลิงค์ไว้ในเม้นท์นะครับ
ผมคิดว่านักลงทุนทั่วไปหยาบในสิ่งที่ควรละเอียดและละเอียดเกินจริงในบางจุดมากๆ ผมอาจจะผิดก็ได้นะแต่ผมคิดว่างบการเงินบางจุดคุณไม่จำเป็นต้องลงลึกขนาดนั้นแต่business modelคือสิ่งที่สำคัญมากๆไม่ได้หมายความว่างบไม่ควรลงลึกนะแต่บางทีคุณลึกในส่วนมันไม่impactกับกิจการอะเช่นไปเจาะงบบริษัทย่อยที่มีผล2%อะไรแบบนี้ หรือยึดติดสิ่งที่เป็นnorm ว่าdeไม่เกินเท่านี้ pe รพ เท่านี้ pe โรงเรียนเท่านี้
สิ่งที่คุณน่าจะเช็คมากกว่าคือบนี้มันแข็งแกร่งเพราะอะไร ตัวอย่างเช่นwphสมุยถ้าคุณรู้ว่าทีมset upรพส่วนใหญ่มาจากbdmsคุณว่าสำเร็จปะ แล้วโครงการคอนโดอันนึงที่โอนหมดแล้วแล้วไอคอนโดข้างๆราคามันปรับขึ้นทุกวันคุณโทรไปถามได้เนี่ยคุณว่ามันโอนหมดปะ ตรงนี้คือสิ่งที่ควรละเอียดแต่ส่วนใหญ่คุณกลับหยาบไปนั่งเช็คค่า pe pbv roe อันนี้ผมแนะนำละกันนะจากการศึกษาของผมเองผมคิดว่าคนเทพๆกว่านี้เขาคงแนะนำไปเยอะแล้วละแต่มันคงไม่อยู่ในเฟสบุค555
ตลาดหุ้นภาค 2
-หลังจากเขียนภาค 1 ไปสามปีก่อน เลยมาเขียนต่อนะครับ
บทความนี้สำหรับกลุ่มคนอ่านมี พื้นฐานหุ้นขั้นกลางขึ้นไปนะครับ
เนื่องจากมีหลายคนปรึกษาผมเรื่องพอตปีนี้เสียหายหนักเลยอยากถามแนวคิด วรรคแรกของบทความเลยสำหรับกลุ่มคนที่ปีนี้เสียหายจากการลงทุน เช่น ล้างพอตเดือนมีนา ,ช็อตหุ้นตอนดัชนี 1000 วรรคนี้เขียนเพื่อให้กำลังใจท่าน
สำหรับคนที่เข้ามาลงทุนหลังเดือนมีนาแล้วกำไรเป็นกอบเป็นกำ แนะนำว่าไม่ต้องอ่านวรรคนี้ครับ ให้ข้ามไปเลย ไปอ่านหลักจากคำว่า จบวรรค 1
วรรคที่ 1 ผมเคยฟัง ลพ ไพศาล บอกว่าที่ต่างประเทศเขาไปทำวิจัยว่าคนหนุ่มสาวกับคนแก่ ใครมีความสุขมากกว่ากัน ตอนแรกที่ผมฟังก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นคนหนุ่มเพราะสุขภาพดีกว่า แต่ปรากฏว่ากลายเป็นคนแก่ เขาให้เหตุผลว่า เพราะคนหนุ่มสาว ยังหวังถึงความสุขในอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง ในขณะที่คนแก่จะมีความสุขกับปัจจุบัน เพราะรู้ว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว อยู่ได้อีกไม่กี่ปี ในขณะที่ความผิดหวังต่างๆจะไม่ได้กระทบจิตใจเขามากเพราะเจอความผิดหวังมาตลอดชีวิตจนเริ่มชินชา ในขณะที่คนหนุ่มสาว การผิดหวังครั้งแรกๆ การอกหัก เปิดบริษัทแรกแล้วล้มเหลว จะกระทบกระเทือนใจเขามากๆๆ เป็นต้น ถามว่าผมได้มุมมองอะไรจากการอ่านเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าคุณเพิ่งผิดหวังหรือเจออะไรไม่ดี ก็ถือซะว่า ครั้งต่อไปมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจคุณน้อยลง เพราะคุณเริ่มเรียนรู้ว่าชีวิตมันก็แบบนี้ ขนาดการ์ตูนยังไม่มีที่ความสำเร็จง่ายๆตลอดเลย ลูฟี่ ยังเคยแพ้ คร็อกโคได เลย และก็ช่วยเอสไว้ไม่ได้ด้วย แต่การเสียเอสไปก็ทำให้ลูฟี่ ฝึกจนเก่งขึ้นมากๆและปกป้องเพื่อนในกลุ่มสุดชีวิตเพราะไม่ต้องการสูญเสียใครไปอีก(ถ้าคุณไม่อ่านวันพีชไม่ต้องสนใจหาคำตอบว่าลูฟี่ กับเอสคือใครนะครับ) การ์ตูนยังแบบนี้แล้วในชีวิตจริงอะไรๆจะราบรื่นตลอดเหรอ ดังนั้นวิธีคิดที่จะทำให้คุณฝ่าฟันช่วงเวลาแย่ๆได้ก็คือ คุณต้องคาดหวังถึงเรื่องดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณเพิ่งขาดทุนหนักแล้วคุณคิดว่าชีวิตคุณจะไม่มีทางกลับไปกำไรได้ ถ้าคิดแบบนั้นชีวิตมันจะมืดมนขนาดไหน แต่ในเวลาแย่ๆก็สร้างภาพอนาคตที่สวยหรูไว้ในใจบ้าง จะได้มีกำลังใจฝ่าฟันช่วงแย่ๆไปได้ ถ้าคุณขาดทุนหุ้นแล้วยังไม่ถึงขนาดติดลบเป็นหนี้ ถือว่าคุณยังโชคดีกว่าคุณตัน เพราะผมเคยอ่านหนังสือคุณตัน สมัยลอยตัวค่าเงินเป็นหนี้ 100 ล้าน แล้วหาเงินไม่พอดอกเบี้ยจ่าย ตอนเดือนมีนาที่หุ้นลงแรงๆผมก็คิดแบบนี้แหละ ว่าเอาว่ะถึงเงินลดแต่เราก็ยังมีเหลืออีกเยอะ คนเป็นหนี้ยังกลับมาได้เลย
มีคำคมว่า การตัดสินใจที่ดีมักจากการตัดสินใจที่ไม่ดีในอดีต และประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต ดังนั้นการตัดสินใจผิดพลาดของคุณควรจะเป็นพื้นฐานให้คุณตัดสินใจได้ดีในอนาคต
เพิ่มเติมคือ- การตัดสินใจที่ดีก็สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่แย่ได้เหมือนกัน เมื่อคนเราตัดสินใจถูกต้องหลายครั้ง คนเราจะเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และคิดว่าโอกาสที่ตัวเองจะตัดสินใจแย่ๆมีน้อย ทำให้สุดท้ายนำไปสู่การตัดสินใจที่แย่ ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอะไรถูกต้อง พยายามระลึกถึงช่วงแย่ๆเอาไว้เพื่อไม่ให้เรามั่นใจเกินไป รักษาความสุขุมรอบคอบเอาไว้
สำหรับทุกคนที่ลงทุนแล้วเพิ่งเสียหายหนักในรอบที่ผ่านมา ผมคิดว่าจริงๆความผิดหวังทุกครั้งควรทำให้คุณรับมือกับมันได้ดีขึ้นในครั้งถัดไป สมัยก่อนผม overconfident มากผมลงทุนจนไม่มีเงินในแบงค์แล้วคิดว่าอีก 2 เดือนหุ้นขึ้นผมจะได้ขายหุ้นได้ราคาดีกว่านี้แล้วค่อยถอนมาใช้ แต่หลังจากที่หุ้นลงหนักผิดคาด ผมเลยรบกวนแม่ให้ช่วงขายทอง 10 บาท หมุนเงินให้ผมหน่อย สองเดือนผมก็คืนเงินแม่แล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้กูไม่เอาแบบนี้ล่ะ หลังจากนั้นผมก็ต้องมีเงินในแบงค์อยู่เยอะพอที่จะใช้ไปได้หลายๆปี บางครั้งผมอยากเอาเงินตรงนี้ไปซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ผมก็ต้องเผื่อไว้ ว่าถ้าอะไรมันแย่กว่าที่คิด การที่หุ้นตกต้องไม่กระทบชีวิตประจำวันของเรา ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือลงทุนเล่มนึง(จำไม่ได้เล่มไหน) ว่า สิ่งที่เราคาดว่าจะเลวร้ายที่สุด มักจะไม่เลวร้ายเหมือนที่เกิด(เราคาดเลวร้ายน้อยไป) เขาเปรียบเทียบกับว่า มีคนเดิมพันม้าแข่ง โดยที่ทั้งสนามมีม้าแค่ตัวเดียว (ไม่น่าเรียกม้าแข่ง) คือยังไงมันก็ต้องถึง ต่อให้มันตะแคงตัวกลิ้งไป เพราะมันไม่มีคู่แข่ง แต่ปรากฏว่าม้าตัวนั้นวิ่งไปแปปนึงมันกระโดดออกนอกลู่แล้ววิ่งหายไปเลยไม่ถึงเส้นชัย แบบนี้คืออะไรที่คุณคิดว่าแย่สุด เช่น ถึงช้ามากๆ แต่จริงๆคือมันไม่ถึงเลย โควิช หรือวิกฤติทุกรอบก็คล้ายๆกับม้าที่กระโดดออกจากลู่วิ่ง คือเกินคาด ดังนั้นการมีเงินสำรองไว้เผื่ออะไรแบบนี้จำเป็น ผมเคยพลาดมาแล้ว ผมเลยจะเหลือเงินไว้นอกตลาดระดับที่ผมต้องไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตเสมอ ครั้งแรกที่ผมโดนหนักๆผมเตรียมตัวไม่ดี แต่พอผมโดนผมก็ปรับตัว ถ้าคุณเพิ่งโดนครั้งแรก คุณก็เรียนรู้จากมันไปว่าเราต้องเผื่อสถานการณ์แบบนี้ไว้เสมอ นี้เป็นเหตุผลว่าผมจะไม่พูดว่า หุ้นจะไม่หลุดดัชนี xxx เพระผมไม่รู้ว่ามันจะมี ปัจจัยอะไรที่ผมคิดไม่ออกปรากฏออกมาบ้าง ดังนั้นคนที่บอกว่าหุ้นจะไม่หลุดเท่านั้นเท่านี้จะเป็นคนที่มีโอกาสพูดผิดสูง เพราะคุณมักพูดโดยอิงสถานการณ์ปกติ ไม่ได้อิงสถานการณ์ หงดำ แต่โลกความเป็นจริงคุณต้องวางแผนการเงินและการลงทุนเผื่อสถานกาณ์พิเศษไว้เสมอ
จบวรรคที่ 1
– ในหนังสือ beating the street ของ peter lych ซึ่งเป็นหนังสือที่นักลงทุนแนวพื้นฐานทุกคนต้องอ่านได้เขียนไว้ว่าสิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความฉลาดแต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ยิ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาหนาว ผมคิดว่าประโยคสั้นๆประโยคนี้แทบจะเป็นหนึ่งใน highlight ของหนังสือการลงทุนระดับตำนานเล่มนี้เลย เพราะถ้าคุณลงทุนแนวพื้นฐานที่ไม่ได้ซื้อๆขายๆบ่อยมากค่อนข้างถือยาว คุณจะต้องเจอกับการปรับตัวแรงของตลาดเป็นระยะๆ แล้วถ้าทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวแรงคุณตกใจจนขายหุ้นออกมา ก็หมายความว่าคุณขายหุ้นได้ราคาต่ำ แล้วถ้าคุณขายได้ราคาต่ำหลายครั้งก็ไม่ต้องคิดเลยว่าคุณจะเละขนาดไหน ผมเองลงทุนก็ผ่านภาวะตลาดตกหนักมาหลายครั้ง สมัยลงทุนใหม่เวลาผมเจอหุ้นตกหนักๆครั้งแรกทำอะไรไม่ค่อยถูกเลย ความกดดันสูงมาก แต่พอเจอบ่อยๆก็เริ่มรู้ว่านี้เป็นส่วนนึงของการลงทุน แต่ก็ยังกลัวว่าครั้งต่อไปที่หุ้นลงแรงๆแล้วจะเผลอขายหุ้นออกไป เพราะไม่แน่ว่าครั้งหน้านายตลาดอาจจะเล่นบทได้ถึงพริกถึงขิงมากกว่าเดิม ผมเลยคิดว่าเราควรเพิ่ม eq ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่แค่เพื่อการลงทุน แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย เรื่องการทำสมาธิ ray dalio ผู้บริหารกองทุนระดับโลกก็พูดว่าเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน และเขาก็ส่งเสริมให้พนักงานของเขาทำสมาธิด้วย ถ้าให้พูดให้เป็นรูปธรรมขึ้นการทำสมาธิเกี่ยวอะไร กับการลงทุนหรือการเพิ่ม eq เพราะเวลาที่คนเราตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มันมักจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่นถ้าหุ้นตกหนักๆ(ถ้าเกิดจากตลาดลงแรงแล้วหุ้นทุกตัวโดนเทไม่ใช่พื้นฐานหุ้นตัวนั้นเปลี่ยน) คุณจะเกิดความเครียด ตอนนั้นเรื่องของเหตุผลพื้นฐานไม่ใช่ประเด็น แต่การขายหุ้นออกจะทำให้หายเครียด(ในความรู้สึกคุณตอนนั้น) พอหายหุ้นเสร็จแล้วมันวิ่งไปไกลคุณก็เครียดกว่าเดิม เหมือนดาราบางคนมี มอไซชนท้ายรถ โมโห อยากให้ตัวเองหายโมโหเลยต่อยหน้ามอไซที่มาชนท้ายรถ ปรากฏว่าต่อยเสร็จเครียดหนักกว่าเดิมเพราะหมดอนาคตเลย ไม่มีคนจ้างเล่นหนังหรือโฆษณาแล้ว ผลของการตัดสินใจด้วยอารมณ์มักทำให้เราแย่กว่าเดิมเสมอ
โดยทั่วไปถ้ามนุษย์ตัดสินใจด้วยเหตุผลยังไงก็ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแน่นอน แต่ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะรู้เท่าทันตัวเองว่ากำลังใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล และระงับการตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบได้ เราก็ต้องฝึกที่จะรู้ทันความคิดและอารมณ์ของเราบ่อยๆ ผมเคยพูดในรายการ wealth me up ว่าการที่เราฝึกสมาธิ ฝึกสติ บ่อยๆเหมือนนั่งรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ เราจะไม่เห็นคุณค่าของเข็มขัดนิรภัย แต่พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มีเข็มขัดนิรภัยหรือไม่มี มันคือ ความเป็นกับความตาย คนส่วนใหญ่ขับรถเลือกที่จะรัดเข็มขัดแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจฝึกฝน eq ให้ตัดสินใจในชีวิตอย่างมีสติเท่าไหร่
– เวลาคนเราอยากเรียนรู้อะไร คนเราจะเรียนรู้ได้จากสามทางเป็นหลัก ทางแรกคือ อ่านตำรา ทางที่สองคือเรียนรู้จากบุคคลอื่น และทางที่สามคือ เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเอง เท่าที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมา 16 ปีและได้เจอผู้คนมากมาย ผมคิดว่า มีความสำคัญมากที่เราจะต้องเรียนรู้จาก สองอย่างแรกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อทำให้เราต้องไปเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองให้น้อยที่สุด แต่ต่อให้เราอ่านมากแค่ไหนเราก็ยังต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเองในตลาดหุ้นต่อและ ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะทำให้คุณได้อะไรจากการอ่านและไม่พลาดแบบผม ช่วงปี 2011 ผมเคยซื้อหุ้น siri-warrant(ไม่ใช่dwตอนนั้นตลาดยังไม่มี dw) ตอนนั้นผมถือเพราะคิดว่าน่าจะได้อย่างน้อย 4 เด้ง แต่ตอนนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกทม และเกิดวิกฤติยุโรป ตอนนั้นหนักๆคือ กรีซจะออกจากยุโร คือหุ้นตกหนักมากกก ตอนนั้นผมขาดทุน siri-w ผมรู้สึกหุ้นมันถูกนะ แต่ผมเลือก cut loss และคิดว่าถ้ากรีซพัง นุ่น นี้นั้น หุ้นจะลงไปต่ำๆแล้วผมจะได้ซื้อถูกกว่านี้ ปรากฏว่าผมขายไปเกือบจะจุดต่ำสุด และในปี 2012 จากจุดที่ผมขาย siri-w วิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดประมาณ 1600% นี้เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ผมเจ็บปวดมาก ตอนนั้นผมเล่นไป ¼ของเงินที่ผมมีทั้งหมด หุ้นขึ้นปีเดียวมากกว่า 1000%ผมสิ่งที่ผมได้คือ ขายขาดทุน หลังจากวันนั้นผมคิดเลยว่า ผมจะไม่ยอมขายหุ้นถูกเพราะคิดว่าตลาดจะลงแล้วจะซื้อได้ถูกกว่าอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้อีก ถ้าจะขายก็คือ คิดผิด พื้นฐานไม่ดีอย่างที่คิด หรือเจอหุ้นตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่า แต่ถ้าเป็นตัวเดิมแล้วขายถูกหวังถูกกว่าไม่เอาแล้ว การทำแบบนี้คือลมๆแล้งๆมาก ถ้าขายราคาเหมาะสมแล้วลงมา undervalue ค่อยซื้อใหม่ยังถือว่าสมเหตุสมผล แต่ขายถูกแล้วหวังถูกกว่าเดิมขอโดนแค่ครั้งเดียวพอ แล้วหลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยทำแบบนั้นอีก โชคดีที่ผมสรุปบทเรียนเลยมีโอกาสทำกำไรจาก jas-w3 และ ivl-w2 อย่างเป็นกอบเป็นกำ (การตัดสินใจที่ดีมักจากการตัดสินใจที่ไม่ดีในอดีต)
– ผมมักจะได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นว่าหุ้นตัวนี้ ควรมีพีอีเท่าไหร่ซึ่งจริงๆแล้ว ผมคิดว่าการตอบว่าหุ้นตัวไหนควรมีพีอีเท่าไหร่ มันตอบทีหลัง คุณต้องเข้าใจธุรกิจของมันก่อน แล้วมูลค่าที่เหมาะสมมันจะตามมา
ผมยกตัวอย่างใน อดีต นะครับ สมัยที่ advance มีอัตราการเข้าถึงต่อ ประชากรต่ำมาก ais เคยมีพีอีสูงกว่าทุกวันนี้มาก แต่คนซื้อ ais ที่ราคาตอนนั้นกำไรจากราคาหุ้นเยอะเพราะคุณอาจจะซื้อตอน คนมีโทรศัพธ์ใช้แค่ 10-15% ของประชากรทั้งหมด แต่พอแทบทุกคนมีโทรศัพธ์หมด pe ของมันก็ต่ำลงมาก ถามว่าคนซื้อตอนไหนรวยครับ พีอีสูงหรือต่ำ
ถ้าคุณดู jas ปี 2009-2010 มีลูกค้า 6 แสน ถึง 8 แสนราย บริษัทมีกำไรไม่เยอะมาก แต่พอลูกค้าเพิ่มจากตรงนั้นสองเท่าตอนลูกค้า 1.6 ล้านราย แจสเคยมีกำไรปีละ 3000 ล ถ้าคุณถามว่าตอนแจสมีลูกค้า 6 แสนควรพีอีเท่าไหร่ กลับตอนลูกค้า 1.6 ล้าน ควรมีพีอีเท่าไหร่ มันคงไม่ใช่ประเด็นแรกที่คุณควรถาม ประเด็นคือ อัตราการเข้าถึง อินเตอร์เน็ตบ้านต่อครัวเรือนเป็นอย่างไร ยังเหลือโอกาสเติบโตเยอะไหม แล้วถ้าถามต่อทำไม jas ตอนลูกค้าสองล้านกว่ากำไรถึงลดลง(ไม่นับกำไรจากการขายเข้ากอง) ก็เพราะโมเดลการขายเข้ากองมันทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงเพื่อแลกกับการได้เงินก้อนมาจ่ายปันผล และอีกสองคำถามสำคัญคือ ais เข้ามาแข่งกระทบราคาขายมากน้อยแค่ไหน และเทคโนโลยีที่ต้องลงทุนให้เน็ตเร็วขึ้นแต่เก็บรายได้เพิ่มไม่ค่อยได้ส่งผลต่อกำไรอย่างไรบ้าง
หรือในอดีต ช่วงปี 2548 (ผมขอยกตัวอย่างไกลๆหน่อยเพื่อให้คนที่เข้าตลาดหุ้นมาไม่กี่ปีรู้สตอรี่เก่าๆ) หุ้น oishi สมัยนั้นคุณตันยังเป็นเจ้าของยังไม่ได้ขายกิจการให้คุณเจริญ ตอนนั้น ช่วงปี 47 mkt share ตลาดชาเขียวของ ยูนิฟ ยังมากกว่า oishi ประมาณ 42% ต่อ 38% แต่หลังจากที่ปี 2548 คุณตันออกโปร 30 ฝา 30 ล้านออกมาทำให้กำไรบริษัทเพิ่มเยอะมาก ตอนช่วงปี 48q2 กำไร 1.4 ต่อหุ้นถ้าย้อนไปปี 47q3 0.84 เอง ถ้าคุณถามว่าตอนประกาสกำไร 1.4 บริษัทควรมีพีอีเท่าไหร่ นั้นจะเป็นคำถามที่ทำให้คุณพลาดได้ เพราะตอนนั้นบริษัทมีกำไรดีผิดปกติจาก การซื้อชาเขียวกักตุน และความต้องการชั่วคราว ถามว่ามันเป็นไง สมมุติถ้าคุณจะซื้อหวยอยู่แล้ว ถ้าคุณโดนหวยกินคุณก็ไม่ได้อะไร ทำไมคุณไม่ซื้อ oishi กินแทนล่ะ เพราะถ้าไม่ได้เงินล้าน ก็ยังได้กินชาเขียว แต่ถ้าคุณกินอยู่แล้ว คุณก็ซื้อมาตุนเลยแล้วเปิดทุกฝาออกมาดูก่อนว่ามีซักฝาไหมที่จะได้เงินล้าน ถ้าไม่มีแล้วก็ปิดฝาขวดแน่นๆเก็บไว้กินต่ออีกหลายเดือนเต็มตู้เย็น ฮ่าๆๆๆ (ผลกระทบอาจเป็นเบาหวาน) ถ้าคุณเอากำไรตอนนั้นมาเป็นฐานคูณจะได้ภาพธุรกิจที่ผิด เพราะไตรมาสต่อมา กำไรจาก 1.4 ต่อหุ้นเหลือ 0.77 ก่อนถามว่าควรพีอีเท่าไหร่ ให้ถามก่อนเสมอ กำไรที่เห็นอยู่ มันดีผิดปกติไหม แย่ผิดปกติไหม อนาคตมีโอกาสเป็นไงบ้าง( ซึ่งการมองให้ขาดว่ากำไรที่เห็นอยู่ปกติไหม ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเองลงทุนมา 16 ปี ก็ยังมีผิดพลาดในการไปซื้อบริษัทที่กำไรบางช่วงดีเกินจริงพอเวลาผ่านมางบออกมาก็ทำให้รู้ว่าเรายังมองหุ้นตัวนั้นไม่ขาด เรื่องพวกนี้การหาความรู้มากๆน่าจะช่วยลด% การผิดพลาดลงได้แต่ไม่มีทางที่จะไม่ผิดพลาดเลย )
ทุกวันนี้ คนถามๆกันว่า หุ้น โรงไฟฟ้าทางเลือกบางตัวควรมีพีอีเท่าไหร่ จริงๆแล้วบางตัว adder ที่ได้มาสิบปีใกล้หมดแล้ว แต่นักลงทุนมือใหม่บางคนก็ดูแต่จำนวน mw ที่จะได้ใหม่ๆจากโครงการต่างประเทศ แต่คนที่ดูมานานหน่อยจะเข้าใจว่าค่าไฟต่อหน่วยของโครงการหลังๆต่ำกว่าสมัย adder 8 บาทมาก และอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หุ้นทุกตัวที่เคยได้ adder 8 บาท โครงการเหล่านั้นค่าไฟต่อหน่วยจะหายไปมีนัยยะมาก(เพราะครบ10ปีตั้งแต่เริ่ม cod) และหลังจากพวกได้ adder 8 บาทหมดอายุก็จะตามมาด้วยกลุ่มที่ได้ adder 6.5 ที่จะทยอยหมดต่อ นักลงทุนก็ต้องดูตรงนี้ จริงๆธุรกิจแบบนี้ถ้าทำ dcf จะเห็นภาพชัดกว่าดูกำไรแล้วคูณพีอี
พอจะเห็นภาพไหครับว่า ทำไมผมถึงบอกธุรกิจมาก่อน valuationผมเคยอ่านเจอนักวิเคราะห์ทำ dcf หุ้นโรงกลั่น เอาจริงๆ แค่ปีหน้าคุณก็คาดกำไรผิดแล้วครับ ไม่ต้องพูดถึงกำไร 5 ปีแล้วคิดมูลค่าซากต่อหรอก แค่ค่าการกลั่นปีหน้าจะเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ถ้าคุณเข้าใจธุรกิจคุณจะพอรู้เองว่าวิธี valuationแบบไหนถึงจะเหมาะกับมัน และอันไหนไม่เหมาะ การที่คุณจะมองธุรกิจขาดเป็นเรื่องยากถึงยากมาก แต่รางวัลของมันก็สุดยอดมากเช่นกัน ผมเชื่อว่าคนมองธุรกิจขาดจะเป็นคนที่สามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆ
-อย่าซีเรียสกับการผิดพลาดบ้าง ให้ดูผลตอบแทนเป็นหลัก ผมคิดว่าคนที่ลงทุนต่อให้เก่งระดับประเทศก็ยังเลือกหุ้นผิดพลาดเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาพอตโตแบบมีนัยยะการเลือกหุ้นผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมยกตัวอย่าง สมมุติผมเลือกหุ้น 10 ตัวแล้วผิด 3-4 ตัว แต่ผลตอบแทนผมดีพอสมควร กลับผมเลือกหุ้น 10 ตัวแล้วผิดแค่ 2 ตัวแต่ผลตอบแทนน้อยกว่า แบบหลังถือว่าแย่กว่า คนอ่านแล้วคงจะนึกว่าผมสับสนกับสิ่งที่เขียนหรือเปล่า ไม่ได้สับสนครับ สมมุติผมรอนานมากๆ จนรู้สึกว่าหุ้นต้องถูกสุดๆของสุดๆแล้วค่อยซื้อ ผมอาจจะพลาดน้อยครั้งมากๆ แต่สิ่งที่ผมต้องแลกก็คือผมก็พลาดโอกาสไปมากเหมือนกัน ทำให้แม้ว่าจะผิดน้อยแต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าแบบที่ ขอราคาถูกหน่อยแต่ไม่ต้องถึงกับถูกแบบสุดๆจนอาจจะแทบไม่มีโอกาสซื้อหุ้น ดังนั้นเราควรจัดพอตให้ รับความเสี่ยงต่ำ ในแต่ละการซื้อควรมี risk น้อยเทียบกับ reward แต่ถ้าเราตกรถแล้วตกรถอีก แสดงว่าเราให้น้ำหนักกับความเสี่ยงมากไปจนพลาดโอกาสทำกำไรหลายครั้งเราควรปรับให้เหมาะสมขึ้น แต่ถ้าเราลงทุนแล้วผิดบ่อยมากเช่นเกิน 50% แสดงว่าเราเน้นเรื่อง รีเทินที่น่าจะเกิดจนประเมิน risk น้อยไป ก็ควรปรับให้ซื้อหุ้นน้อยครั้งลง
-ช่วงที่ผ่านมาผมเจอกับผู้คนหลากหลายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการหุ้น(วงการช็อปปิ้ง) พวกเขาถามผมว่าผมทำอาชีพอะไรทำไมมีเงินมาซื้อของเยอะ พอผมบอกว่าเป็นนักลงทุน เขามักจะบอกว่าผมสบายเนอะ งานไม่หนัก ผมก็ยิ้มๆและไม่พูดอะไรมาก เขาก็ถามผมว่าทำยังไงจะเป็นนักลงทุนแบบผมได้ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนรวยๆพอผมเล่าว่าผมอ่านข้อมูลมหาศาลขนาดไหนจะฟังแล้วถอดใจแล้วถามว่าตัวไหนน่าเล่น ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยอยากคุยเรื่องการลงทุนต่อ ผมหันไปถามเขาเรื่อง ช็อปปิ้งแทนเพื่อเปลี่ยนประเด็น มีคนมาชวนผมไปพูดให้พวกคนกลุ่มมีกำลังเงินมากๆฟังเรื่องการลงทุนผมปฏิเสธไปทุกที่ เพราะผมสัมผัสว่าคนกลุ่มนี้มีชีวิตดีอยู่แล้ว เขาชอบใช้ชีวิต เขาจะไม่อยากมาลำบากหาข้อมูลพยายามอะไร ผมเลยคิดว่าผมไปพูดก็ไม่ได้มีประโยชน์เพราะ คนกลุ่มนี้ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลยไม่ได้คิดจะลงทุนลงแรงอะไร ซึ่งผมคิดว่าในมุมของเขาก็ถูกนะ เพราะกลุ่มนี้รวยจากธุรกิจควรจะเอาเงินไปใช้ชีวิตมากกว่ามานั่งคิดแต่เรื่องหาเงินเพิ่มในสิ่งที่อาจจะไม่ใช่ทางของตัวเอง แต่มีโรงแรมแห่งนึงที่ผมไปใช้บริการบ่อยและสนิทกับผู้จัดการ พนักงานโรงแรมนี้บริการดีทุกคน วันนึงผู้จัดการโรงแรมติดต่อมาว่า ถ้าอยากให้พูดเรื่องการลงทุนให้พนักงานโรงแรมเขาฟังได้ไหมเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิซมากเผื่อจะเป็นรายได้เพิ่มเติม ผมตอบตกลงไป เพราะคนกลุ่มนี้จะมีแรงผลักดันอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จะตั้งใจมุ่งมั่นมากกว่า ผมไปพูดก็เหมือนเอาอาหารไปให้คนหิว คนได้รับก็ตั้งใจกิน ฮ่า เท่าที่ผมสัมผัส ถ้าเป็นคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ถ้าอายุ 30 กว่าขึ้นไป จะรู้สึกเสียดายที่เพิ่งเริ่มสนใจการลงทุน คือเขารู้สึกว่าควรสนใจเร็วกว่านี้หลายปี ผมเจอแบบนี้หลายสิบคนเลย และหลายคนจะจริงจังกับเรื่องการลงทุนมากขึ้นเมื่อมีลูก เพื่อนผมที่ลงทุนจริงจังปีนี้ เปลี่ยนตัวเองจากคนไม่ชอบอ่านหนังสือเลย เป็นอ่านแบบบ้าคลั่งมาก ผมบอกให้ฟังคลิปอะไรแล้วสรุปก็ส่งมาให้ทางไลน์ เยอะจน ผมถามไปว่านี้มึง copy ใครมาส่งให้กูปะเนี้ย มันก็เลยบอกว่ากูพิมพ์เองทุกประโยค แล้วมันก็ส่งที่จดด้วยลายมือก่อนจะพิมมาให้ไม่รู้กี่แผ่นเพื่อตอกหน้าผมว่ามันไม่ได้ copy ใครมามันสรุปเอง บางทีการที่เพื่อนผมทำแบบนี้ก็ทำให้ผมมีไฟในการลงทุนไปด้วยเพราะเราเห็นเขาขยันมาก แล้วพอเราพูดอะไรไปเขาก็พร้อมเรียนรู้มาก เหมือนเขาหิวจัดแล้วเรานำอาหารดีๆมาวางให้เขากิน เพื่อนในกลุ่มหลายคนแซวเขาว่า น่าจะมีลูกตั้งนานแล้วจะได้คิดเป็นแบบนี้ ฮ่า สิ่งที่ผมได้สัมผัสคือ ความรักของแม่ที่มีให้ลูก ไม่น่าเชื่อว่าจากคนที่ไม่ชอบการอ่านอย่างร้ายแรงจะอ่านได้มากมายขนาดนี้ เขาทำทั้งหมดนี้เพราะไม่อยากให้ลูกโตขึ้นลำบาก ความรักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
-วรรคสุดท้าย สำหรับคนกลุ่มที่มาลงทุนหลังเดือนมีนาแล้วกำไรเยอะ ถ้าท่านเพิ่งเปิดพอตลงทุน แล้วกำไรเยอะมาก โดยที่ท่านไม่ได้รู้ว่าหุ้นที่ทำกำไรให้ท่าน มีกำไรโตหรือไม่ พีอีเท่าไหร่ แต่แค่ซื้อเพราะเห็นราคาวิ่งซื้อเพราะเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิซและตกลงมาเยอะแล้วมันเด้งกลับ ท่านไม่ควรไปแนะนำคนอื่นมาลงทุนต่อแล้วบอกว่าการลงทุนง่าย และตัวท่านเองไม่ควรนำเงินมาลงทุนเพิ่ม เพราะเงินก้อนต่อไปของท่านอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่สวยหรูเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเงินก้อนแรก ถ้าท่านจะลงทุนต่อควรศึกษาจริงจังและคิดว่าผลกำไรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนโบนัสพิเศษที่นานๆทีจะได้ที แต่โบนัสพิเศษไม่ได้เป็นเงินเดือนประจำ ถ้าท่านไม่ขยันทำงานนอกจากจะไม่ได้โบนัสบริษัทยังจะถูกไล่ออกจากงาน(เปรียบกับไม่ศึกษาข้อมูลแต่คิดว่าจะกำไรง่ายๆแต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้เพิ่มอาจเสียหาย)
จบก่อนจะยาวเกินไป ฮ่า เพราะบทความนี้ยาวที่สุดตั้งแต่เคยเล่นเฟสบุคล่ะ
ในอนาคตจะมาเขียนภาค 3 ต่อ
สรุปความรู้งานสังสรรค์ VI ครั้งที่ 1 ปี 2567 (30 Mar 24)
เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสังสรรค์ VI ครั้งที่ 1 ปี 2567 เมื่อวันเสาร์ที่ 30 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นครับ
Session : ร่วมพูดคุยกับพี่ๆ รุ่นเก๋า (อ.นิเวศน์, พี่มล, พี่วิบูลย์)
1.หุ้นดีแต่ราคาแพง อาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่ดีก็ได้
2.การลงทุน Style หุ้นก้นบุหรี่
หุ้นที่มีมูลค่าอยู่ พื้นฐานทางธุรกิจพอไปได้ เมื่อราคาหุ้นเริ่มรับรู้ (Realize) ก็ค่อยขายไป ใช้ประโยชน์จากการที่หลายๆคนในตลาดเข้าใจผิด เมื่อหลายคนเริ่มรับรู้มูลค่านั้น ก็จะทำให้ราคาหุ้นเริ่ม Realize และเป็นโอกาสขายหุ้นนั้น Style การลงทุนแบบนี้ คิดว่ายังสามารถคาดหวังผลตอบแทน 15-20%/ปี ในเมืองไทยยังอาจจะเป็นไปได้
(สามารถอ่านศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก แนวทางการลงทุนหุ้นก้นบุหรี่แบบเกรแฮม)
3.การลงทุน Style หุ้น Growth
ซื้อหุ้นที่มีการ Growth ของกำไร โดยมีเกณฑ์ในการลงทุนคือซื้อหุ้นที่ดี มีความสามารถในการแข่งขัน เป็นผู้นำตลาด , คนใช้บริการเยอะ ซื้อเพื่อถือหุ้นนั้นในระยะเวลาที่ยาวนานพอ จนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนถึงมูลค่าของบริษัท ซึ่งตรงจุดนี้นั้น ก็เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจอีกทีเพราะในบางครั้งราคาหุ้นสะท้อนถึงมูลค่าของบริษัทแต่ถ้าบริษัทยังผลประกอบการและกำไรยังดีต่อเนื่องหรือดีขึ้นจากเดิม ก็จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
(ขยายความเพิ่มเติม พี่วิบูลย์ เคยเจอว่าบางครั้งขายหุ้น Growth ที่ราคาหุ้นถึง Valuation ที่เคยประเมิน แล้วรีบขาย ปรากฎว่าหลังจากนั้นพื้นฐานกิจการยังดี กำไรเติบโตดีอยู่ก็ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นยิ่งกว่าขณะที่ขายไป)
4.ถ้าเราเลือกซื้อหุ้นได้ถูกต้องต่อให้มีวิกฤติทำให้ราคาหุ้นลดลงกว่า 50% แต่ถ้าพื้นฐานกิจการดี หลังจากเกิดวิกฤติใช้เวลาสักระยะเวลานึง ราคาหุ้นหลายตัวก็สามารถกลับมา All Time High ได้
5.อ.นิเวศน์ ในระยะยาว ตลาดหุ้นมักจะสะท้อนภาพทางเศรษฐกิจและคนของในประเทศนั้นๆ อย่างบ้านเราที่เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ก็อาจจะทำให้ภาพการเติบโตไม่ได้สูงมาก ทำให้อาจจะต้องเปลี่ยนแนวการลงทุนเป็นลงทุนในบาง Sector ที่ยังได้เปรียบ แต่ถ้าเป็นลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยเกิดโอกาสที่สามารถสร้างบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้
6.พยายามเลือกลงทุนในแหล่งที่มีปลาชุกชุม (แหล่งที่มีหุ้นเติบโตในราคาที่ไม่แพงจำนวนมาก) แม้จะมีโอกาสที่ผิดพลาดบางส่วนก็ยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่ดีในระดับนึงบ้าง เทียบกับการเลือกลงทุนในแหล่งที่ไม่ค่อยมีปลา อาจจะต้องเหนื่อยในการพยายามให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
7.นักลงทุน VI ควรจะลองศึกษาประวัติศาสต์ในอดีตให้มาก ถ้าศึกษาให้ดีจะพบว่าเราควร “อย่าไปคิดว่าทุกอย่างในการลงทุนจะยั่งยืน”
8.พึงใช้ความระมัดระวังการติดตาม Influencer ในการลงทุน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าหลายๆครั้งจะพบว่ามี Influencer ทั้งในและต่างประเทศที่ดังขึ้นมาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็หายไป
(ถ้าเราหลงไปเชื่อโดยไม่ได้มีความระมัดระวังให้ดีก็อาจจะทำให้หลงทางและอาจทำให้ Port การลงทุนเสียหายได้, ปล.แม้จะเป็น Influencer ที่มีประสบการณ์การลงทุนสูงๆ เราก็ควรจะมีวิจารณญาณในการกลั่นกลองสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองให้ดีก่อนที่จะเชื่อ)
9.การลงทุน ถ้าเราเพิ่งเริ่มลงทุนในวันนี้นั้น มันอาจจะไม่ง่ายเหมือน 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน Average return สัก 10-15% ยังพอหาได้ เวลาเลือกลงทุนควรจะไปเลือกดูอนาคตของประเทศในโลกนี้ประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเองเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยแล้วยังมีความรู้การลงทุนที่ไม่แน่นพอ หรือยังไม่มีหลักการลงทุนที่ดีก็อย่าเพิ่งรีบไปลงทุนในต่างประเทศ
10.คำเตือนและคำแนะนำของพี่ๆแต่ละท่าน
10.1 พี่วิบูลย์
สิ่งที่ทำแล้วมีโอกาสทำให้ลงทุนแล้วเสียหาย (เจ๊ง) คือ
1.)ซื้อตามชาวบ้าน โดยที่ไม่รู้ลึกๆจริงๆ ว่าหุ้นนั้นดียังไง
2.)ซื้อหุ้นที่เราไม่เข้าใจ
3.)ซื้อหุ้นที่คนอื่นกำลังเล่นกันอยู่
4.)ซื้อหุ้นแบบเก็งกำไร
5.)ไม่มีกลยุทธ์หรือแผนการลงทุนที่ดี เช่น ราคาหุ้นขึ้นไป ก็ไม่รู้จะขายที่ราคาเท่าไร หรือหุ้นราคาลงก็ไม่มีแผนว่าจะจัดการกับการลงทุนนั้นยังไง อะไรจะเป็นจุดที่เราจำเป็นต้อง exit จากหุ้นตัวนั้น
สิ่งที่ควรทำ
1.)ศึกษาการลงทุนให้ดี เช่นลองเลือกอ่านจากหนังสือของ Warren Buffet, Charlie Munger, Phillip Fisher และพยายามศึกษาประวัติศาสตร์ให้ได้เยอะๆ
2.)ศึกษาหุ้นที่ลงทุน จนสามารถเข้าใจได้อย่างดี
3.)เข้าใจจิตวิทยาการลงทุน และพยายามฝึกตัดสินใจให้เป็นอิสระกับคนอื่น เช่นจงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว เวลาฟังดูเหมือนจะไม่ยาก แต่ถ้าเราไม่มีการฝึกให้ดี ถึงเวลาจริงๆเราก็อาจตัดสินใจเหมือนๆกับคนอื่นๆ
10.2 พี่มนตรี
สิ่งที่ไม่ควรทำ
1.)ซื้อหุ้นตามชาวบ้าน หรือ Influencer ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเยอะ ทำให้ MOS (Magin Of Safety) เหลือนิดเดียว ซึ่งจะเป็นจังหวะที่มีความเสี่ยงสูงมาก
สิ่งที่ควรทำ
1.)บริหารความเสี่ยงให้ดี
2.)กระจายการลงทุนให้เหมาะสม อันนี้ขึ้นกับแต่ละคน ยกตัวอย่าง เช่นกระจายการลงทุน ไม่เกิน 20 ตัว โดยที่เราอาจจะถือหุ้นสัก 10-15 ตัว ซึ่งในกรณีนี้ต่อให้มีหุ้น 1 ตัวใน Port ราคาลดลง 50% ก็อาจจะทำให้ Port โดยรวมไม่ได้เสียหาย
3.)Focus หุ้นที่ซื้อ หาของที่ดีๆในราคาที่ถูก
4.)อดทนรอคอยให้เป็น ถ้ายังไม่ใช่จังหวะเวลาที่ใช่ก็ยังไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้น
10.3 อ.นิเวศน์
1.)กลยุทธ์การลงทุนมองสั้นๆ แบบ Trading มันไม่ยั่งยืน พยายามฝึกมองระยะยาว แบบ Strategic
2.)เลือกแหล่งในการลงทุนให้ดี เช่นเซียนหรือนักลงทุนที่เก่งๆ เวลาลงทุนในตลาดไทยก็ยังอาจจะต้องเหนื่อย ถ้าจะคาดหวัง Return ระดับ 15-20% ในตลาดไทย ในขณะที่ถ้าไปลงทุนในต่างประเทศในบางประเทศ เป็นนักลงทุนธรรมดาทั่วไปก็ยังอาจได้ Return ระดับ 13-20% ซึ่งบางทีการไปซื้อกองทุนรวม หุ้นที่ดีในบางประเทศก็อาจจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
3.)กล้า Take Risk ในจังหวะที่เหมาะสม และให้โอกาสการลงทุนที่นานพอ เช่น 10 ปีขึ้นไป
4.)พยายามตั้งใจทำงานเพื่อสะสมเก็บออม นำมาลงทุนเพื่อต่อยอดให้ได้เยอะๆ
Session : Q& A กับพี่มี่และพี่เชาว์ แบบสบายๆ
1.)Question : ถ้าลงทุนในประเทศไทย ไม่ได้ไปต่างประเทศ จะมี Playbook การลงทุนอย่างไร
Answer :
P’เชาว์ 1.)เน้นหาหุ้น Growth ที่รายได้โต, กำไรโต, ปันผลโต โดยหาจังหวะเข้าซื้อตั้งแต่ยังเป็นตอน early stage ของการเติบโต และพยายามเลือกหุ้นไทยที่ Size Market Cap ที่ไม่ได้ใหญ่มาก เช่น Size ไม่กี่พันล้านบาท
ปัจจุบันผู้ชนะในหลายๆอุตสาหกรรมคือคนที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยสรุปคือเน้น Super stock ที่ Size ไม่ได้ใหญ่มาก
P’มี่ 2.) ยังมองภาพบวกกับประเทศไทยว่ายังมีอนาคต หลังจากมีการเปลี่ยนผู้นำ ก็มีการพยายาม Road show ในต่างประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลข FDI (Foreign Direct Investment) ก็มีตัวเลขที่เยอะสูงขึ้นมาก
ในส่วนของ Playbook ในการลงทุนนั้นพี่มี่ก็มีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์สูงๆในหลายๆท่าน เช่น
– พี่ Yoyo พยายามหาข้อมูลอย่างละเอียดในแต่ละตัวเพื่อนำมา Valuation เมื่อถึง ราคาเป้าหมายก็ Switching เพื่อเปลี่ยนไปเลือกซื้อหุ้นตัวอื่นแทน
– พี่หมอสามัญชน เน้นเลือกลงทุนในหุ้น Commodity
– พี่หมอพงศ์ศักดิ์, พี่ประชา เน้นเลือกลงทุนในหุ้น Growth ที่เติบโตได้ยาวนาน
ซึ่งวิธีการลงทุนอาจจะไม่ได้ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการลงทุนในแนวที่คุณเชื่อและเหมาะกับนักลงทุนแต่ละท่าน
2.การลงทุนนั้นพยายามเลือกหุ้นที่เป็น Good Idea ในจังหวะเวลาที่หลายๆคนในตลาดยังมองภาพเห็นไม่ค่อยชัด ซึ่งบางทีในจังหวะที่เลือกลงทุนอาจจะเป็นแค่เราหรือคนไม่กี่คนในตลาดที่มองเห็น เพราะถ้าทุกคนในตลาดเห็นภาพนั้นเหมือนกันทั้งหมด ณ ระดับนั้น Upside การลงทุนก็อาจจะเหลือไม่มากแล้ว
3.Question : ฝากพี่ทั้ง 2 ท่านช่วย Share ประสบการณ์ที่ได้ตกผลึกจากการลงทุนในปีที่แล้ว (2023)
Answer :
P’เชาว์ ปีที่แล้วเป็นปีที่คนส่วนใหญ่บาดเจ็บขาดทุนจากการลงทุน อย่างไรก็ตามก็มีนักลงทุน VI ส่วนหนึ่งที่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดี เช่นเกิน 30% ซึ่งถ้าไป Ranking performance ของหุ้นทั้งหมดในตลาด ในแต่ละปี 100 ตัวแรกก็มักได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นมากกว่า 30% ซึ่งปรกติจะมีหุ้นแบบนี้แทบทุกปี หน้าที่ของนักลงทุนที่ดีคือพยายามศึกษาเพิ่อหาให้เจอว่าเป็นหุ้นตัวไหนเพราะแค่เจอเพียงแค่ 5-10 ตัว ก็จะทำให้ได้ Return ที่ทำได้เยอะแล้ว
หลังจากจบปีปรกติจะมี Page ที่สรุป 50 ตัวแรกที่ได้ Return ที่ดี พยายามฝึกดูและฝึกคิดประมวลผลเพื่อพยายามเข้าใจว่าทำไมหุ้นถึงได้ Return ที่ดี เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาการลงทุนในปีต่อๆไป
(สรุปคือโอกาสในการลงทุนมีอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องมองให้เห็นโอกาสนั้น)
P’มี่ : ปีที่แล้วทำให้เข้าใจว่าตลาดคาดเดาไม่ได้ แม้ต้นปีจะมองว่าน่าจะดี แต่สุดท้ายแล้วก็มีหุ้นหลายๆตัวที่ราคาลงแรงๆ และบางทีการที่ราคาหุ้นลงแรงๆ เช่นราคาหุ้นลงไปมากกว่า 30-50% ก็อาจจะทำให้แม้กระทั่งคนที่เคยศึกษาหุ้นนั้นอย่างละเอียด ก็อาจจะถูกจิตวิทยาตลาดทำให้เปลี่ยนความเชื่อในหุ้นที่เราเคยศึกษาก็เป็นได้ ซึ่งการจะเป็นนักลงทุนที่ดีก็ไม่ควรไขว้เขวจากเรื่องดังกล่าว เพราะสุดท้ายถ้าธุรกิจที่ดีโอกาสการลงทุนที่ดี อาจจะเป็นจังหวะเวลาดังกล่าว
-พยายามรับฟังทุกข้อมูล อย่างไรก็ตามต้องฝึกที่จะพยายามหาข้อมูลเหตุผลต่างๆมาหักล้างด้วย ว่าเรื่องดังกล่าวจริง/ไม่จริง
-อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ , แม้จะมีเวลาในการลงทุนไม่เยอะ ก็ควรจะต้องหาเจียดเวลาเพื่อมาศึกษา ในกรณีที่เวลาไม่เยอะก็อาจจะฝึกที่ Focus ในการลงทุน และพยายามใช้ Technology อย่างเช่นการใช้ AI เพื่อมาช่วยสรุป รายงานประจำปี ให้เราสามารถอ่านได้ไวขึ้นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง
4.P’เชาว์
-Playbook ในขณะที่ทำงาน IB (Investment Banking) เนื่องจากเวลาที่น้อย จึงพยายามเลือกหุ้นที่มี MOAT สูงๆ ซึ่งมีน้อยมากเช่น ไม่ถึง 3% ของหุ้นทั้งหมดในตลาดที่มีก็ไม่ถึง 30 ตัวทำให้ เลือกดู Opp day หรือติดตามข่าวจำนวนไม่กี่บริษัท
-แนะนำ1.)ให้เลือกอ่านหนังสืออย่างของ Peter Lynch, Warren Buffet
จากนั้น 2.)ศึกษา Case Study หุ้นในอดีตต่างๆ
3.)ทำ Reverse Engineer เพื่อถอดบทเรียนว่าทำไมหุ้นถึงได้รับผลตอบแทนที่ดี เพื่อนำมาเป็น Playbook ในการลงทุนในอนาคตของตัวเอง
5.แนวทางนึงในการศึกษาหุ้นต่างประเทศ คือพยายามฟังสัมภาษณ์ผู้บริหาร เพื่อดู Vision, Story ก่อนว่าเป็นไปได้ไหม ถ้าฟังแล้ว OK ค่อยไปศึกษารายละเอียดอย่างอื่นประกอบ
6.เนื่องจากเราไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้า เน้นการลงทุนในบริษัทที่มี MOAT + Growth Potential + Runway ในการเติบโตที่ยาว แม้ว่าจะมีบางทีที่ราคาหุ้นอาจจะ Sideway แต่ถ้าถือไปยาวนานพอ บริษัทก็จะสะท้อนมูลค่าในที่สุด
7.Re-investment Risk ความเสี่ยงนึงที่หลายๆคนมักไม่นึกถึง คือ การขายหุ้นตัวดีๆใน Port แล้วไปเลือกซื้อหุ้นตัวใหม่ที่คุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าตัวแรก
8.Question : ขอทราบบทเรียนการลงทุนที่ผ่านมาในชีวิตของพี่ทั้ง 2 ท่าน
Answer :
P’มี่ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากพี่ Yoyo หลังจากซื้อหุ้น “ต้องลืมต้นทุน” หุ้นที่ซื้อ ในหลายๆครั้ง ต่อให้ราคาหุ้นหลังจากซื้อลดลงมาพอสมควร แต่ถ้าเราเจอโอกาสการลงทุนหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่ามาก ก็ควรที่จะต้องยอมขายขาดทุนหุ้นตัวแรก เพื่อไปเลือกซื้อหุ้นตัวใหม่ (ต้องพยายามประเมิน Upside/Downside การลงทุนอยู่ตลอด และพยายามเลือกหุ้นจาก Upside การลงทุนที่ดีที่สุด และมีตัวเร่งที่ชัดเจนที่จะสะท้อนมูลค่า โดยมองไปที่ทั้งโอกาสและความเสี่ยง Risk/Reward Ratio)
P’เชาว์ เคยได้อ่านบทความของ Jeff Bezos ว่าพยายามนึกถึงช่วงตัวเองก่อนเสียชีวิต เช่นตอนอายุ 80 ปี ว่าถ้าจะตัดสินใจเรื่องดังกล่าว ตัวเราจะตัดสินใจเช่นไร จะทำให้ตัวเราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
Reflection ตัวเองจากการลงทุน 18 ปีนั้นพบว่า Wealth ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมาจากการเลือกซื้อหุ้นแค่ไม่กี่ตัว ซึ่งสอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ Charlie Munger ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นานที่บอกว่า “ช่วงชีวิตคนคนนึงนั้น จะเจอโอกาสดีๆแค่ 3-4 ครั้ง” เพราะฉะนั้นเราควรที่จะต้องฝึกสมองและฝึกตัวเองให้สามารถ Decision ตัดสินใจให้ดี เวลาเจอโอกาสที่ผ่านเข้ามาเช่น โอกาสที่โยนเหรียญออกหัว ได้ 10-100 เด้ง ในขณะที่โยนเหรียญออกก้อย เสียหายไม่มากเป็นต้น
“พยายามหาโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เจอ และเมื่อโอกาสนั้นผ่านเข้ามาถึง ต้องเฉียบคมในการตัดสินใจ”
ปล. เนื้อหาในบทความอาจจะไม่ตรงกับคำพูดของวิทยากรทั้งหมด เนื่องจากพยายามเรียบเรียงเพื่อให้คนอ่านท่านอื่นเข้าใจได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าท่านใดที่รับฟังในวันนั้นหรือวิทยากรที่แนะนำความรู้ในวันดังกล่าว พบว่าเนื้อหามีความเข้าใจไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนในบางจุด ขอความกรุณาช่วยแนะนำผมเพิ่มเติมมา ณ ที่นี้ด้วย
โดยส่วนตัวขอขอบคุณ
1.วิทยากรในวันดังกล่าว (อ.นิเวศน์, พี่มนตรี, พี่วิบูลย์, พี่เชาว์ , พี่มี่) ที่ช่วยให้ความรู้/คำแนะนำในด้านการลงทุน กับผมและเพื่อนๆนักลงทุน รู้สึกดีใจมากที่ได้พบพี่ๆในบางท่านที่ไม่ได้พบเจอนานแล้วอย่างพี่มนตรี และพี่วิบูลย์ (ที่เป็น 1 ในนักลงทุนระดับตำนานของสมาคม Thaivi) กลับมาในงานเลี้ยงนี้รวมถึงพี่ๆที่มีชื่อเสียงหลายท่านในคืนดังกล่าว
2.พิธีกรรับเชิญ (พี่บอล, พี่โจ ลูกอีสาน, พี่นุช, พี่ Pop, พี่ Aof) เป็นทีมพิธีกรกิตติมศักดิ์ ที่ความรู้การลงทุนของแต่ละท่านแน่นที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในการสัมภาษณ์งาน Meeting ต่างๆ ของสมาคมThaivi
3.พี่ๆน้องๆ ทีมงานที่น่ารัก จากสมาคม Thaivi ทุกท่านที่มาช่วยงานคืนดังกล่าว
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Website Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/31 Mar 24
ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับ Greed & Fear แต่ขึ้นกับ “ความผิดพลาดของความคิดเชิงระบบ” 🧠
.
* เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพบกับได้รับทราบข่าวการสูญเสียไปของ Daniel Kahneman ผมจึงขออนุญาต Repost ผลงานของแกที่ผมเคยสรุปไว้ คิดว่าเป็นประโยชน์กับนักลงทุนมากๆครับ
RIP The great teacher – Daniel
– – – – – – – – – – – – – – – –
ผมมีโอกาสได้อ่าน หนังสือ Thinking Fast and Slow และ Research ชื่อ “Judgment under uncertainty : Heuristics and Bias “
โดย Amos Tversky และ Daniel Kahneman (ผู้ได้รัรางวัล Nobel Memorial Prize สาขา Economic Sciences ปี 2002)
.
📌 ทฤษฏีเดิม เกี่ยวกับสมนุษย์ทางเศรษฐศาสตร์ ;
1️⃣ มนุษย์มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล (Individuals are Rational)
2️⃣ แต่บางครั้งจะมี “ อารมณ์ ” เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ ความคิดเป็นเหตุผลบิดเบือน
# ซึ่งก็เข้าได้กับ แนวคิดทางการลงทุนของเรา คือ ในระยะสั้น ราคาหุ้นนั้นจะขึ้นกับ Emotional (Greed & Fear)
.
📌 แต่ Tversky และ Kahneman กลับเห็นต่าง คือ
ที่จริงแล้วมนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ตัดสินใจแบบมีเหตุผล (Irrationality) หรือ มีเหตุผลในกรอบความคิดที่จำกัด (Bounded Rationality)
.
✍️ จากหนังสือ Thinking Fast and Slow และ Research กล่าวว่า ;
สิ่งที่ทำให้การตัดสินใจของทนุษย์บิดเบือนนั้น คือ “ ความผิดพลาดเชิงระบบ ” (Systematic mistake) ซึ่งเกิดจาก Bias ทางความคิด (Heuristics Bias)
.
📌 ดังนั้น วันนี้เราจะมาทำการสร้าง Awareness ในการรับรู้ Bias กัน
(เพื่อที่เมื่อเจอสถาณการจริง เราจะได้เท่าทันความคิดของตนเอง)
.
🕵️♀️ Heuristics – ความหมาย คือ To discover
กล่าวคือ > การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วโดยใช้ Experience (เดิมที่เราเคยเจอ หรือเคยได้ยินมา) เพื่อลด Complex ของการคิด (ใช้พลังงานลดลง)
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ Thinking fast and slow มันคือ ระบบ 1 คือ ความคิดไว คิดลัด (แต่โอกาสเกิด Bias สูง)
– – – – – – – – – – – – – – – –
” HEURISTICS PRINCIPLE “
(การคิดลัดทางความคิด) มีอะไรบ้าง ?
1️⃣ REPRESENTATIVENESS : การหาตัวแทน
1.1) Insensitivity to prior probability of outcomes :
• การเอาเหตุการที่เคยประสบในอดีตมาเทียบกับ ประสบการณ์ในปัจจุบัน
• เช่น ตอนนั้นเราเจอผู้บริหารพูดไว้ไม่ดี แต่ผลกำไรกลับออกมาดี เราก็คิดในใจว่าผู้บริหารคนนี้ Conservative แน่ ๆ ครั้งหน้าเขาก็พูดแบบนี้อีก เราก็ประเมินให้ดีขึ้นกว่าที่ผู้บริหารพูดไว้ ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ทาง ดังนั้นอีกข้อหนึงที่เราควรประเมินด้วย คือ Sample size (ข้อ 2)
1.2) Insensitivity of sample size :
• การที่มี Sample size (จำนวนครั้งของเหตุการณ์) น้อย ๆ แต่เราก็รีบตัดสินใจ ไปแล้ว
• เช่น เหตุการณ์ข้างบน เราอาจจะฟังผู้บริหารพูดมาแค่ 2-3 ครั้ง แต่ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นอีก 10 ครั้ง ผลก็ออกมาไปในแนวทางเดียวกับที่แกพูดจริง ๆ (เพียงแต่ 2-3 ปีมานี้เศรษฐกิจดีเกินควาเมป็นจริง)
1.3) Insensitivity to predictability :
• การที่คนสนใจเพียงแต่ผลการคาดเดา โดยไม่ได้คำนึงถึง Assumption หรือที่มาที่ไป Reliability ของเนื้อหา
• เช่น หลาย ๆ บทวิเคราะห์ออกมาตั้ง Target price 10 บาท (จากตอนนี้ 5 บาท) เราก็จะรีบเข้าไปซื้อเลย โดยไม่ได้เข้าไปดู สมมติฐาน (Assumption) ของแต่ละบทวิเคราะห์ก่อน ซึ่งสิ่งที่ทุกสำนักเอามา มันอาจจะเป็น Best case เช่นการได้ Deal กลับกัน แล้วถ้าไมไ่ด้ละ ? so เราต้องดู Down side risk ด้วย
1.4) Illusion of validity :
• คือ การที่เราคิดว่าถ้าริษัทมี 1 2 3 แล้ว มันจะเป็นบริษัทที่ดี
• เช่น การที่บริษัทมี Income โตตลอด , Profit โตตลอด , ROE สูง , P/E ต่ำ ต้องเป็นบริษัทที่ดีแน่ ๆ เลยซื้อเข้าไป (โดยไม่ได้ผ่านการ Validity) แต่พอเข้าไปดูจริง ๆ กำไรพิเศษเพียบ
• สำหรับผมการที่เราจะทำแบบตัวอย่างนั้น ใช้ได้เพียงแค่ Screening เท่านั้น เราต้องมีการวิเคราะห์แบบละเอียดเพิ่มเติมด้วย (Analytic protocol)
1.5) Misconception of regression : Regression to the mean
• เราชอบมองว่าบริษัทที่ดีกว่าอุตสาหกรรมมาก ๆ จะดีได้ตลอดได้ (หมายถึงตลาด Oligopoly เพราะ monopoly อาจจะทำได้) แต่ที่จริงแล้วสุดท้ายมันจะ Regression to the mean ดังนั้นการ Valuation ของเราถ้าเป็นระยะยาวมาก ๆ อย่าลืม Discount ส่วนนี้ลงมาด้วย (อย่าให้ Valuation เพลิน ยิ่งถ้าเป็น PER ratio อีก)
– – – – – – – – – – – – – – – –
2️⃣ AVIABILITY : การคิดอย่างง่าย
2.1) Bias due to the retrievability of instance :
• เรื่องที่ถูกลื้อฟื้นง่าย เราจะคิดว่ามันเกิดบ่อย (เกิดความเป็นจริง) ทั้ง ๆ ที่มัน อาจจะ Rare มาก ๆ
• เช่น การที่เราเข้ามาลงทุนใหม่ แล้ววิเคราะห์แบบนี้ ซื้อแบบนี้แล้วหุ้นจะขึ้นเลยทันทีใน 1-3 วันถัดไป ถามว่ามันเกิดได้มั้ยได้ แต่ที่จริงมันมไ่ได้เกิดแบบนี้เสมอไป คนที่ลงทุนมานานจะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้เสมอไป แม้เราจะ Timing Market มากขนาดไหนก็ตาม
2.2) Bias due to effectiveness of research set :
• คนเรามักจะตอบสิ่งที่คิดขึ้นมาง่ายกว่า เมื่อเจอคำถามที่ยาก หรือคนเราจะตอบคำถามที่ง่ายกว่าในการค้นหา
• เช่น ถ้าเราถามว่าบริษัทนี้กำไรโตปีละเท่าไหร่คิด CAGR 10 ปี ย้อนหลัง บางคนก็จะตอบว่ามันโตมาตลอดนะครับ (แต่ ที่ตอบมาคือไม่ตรงคำถาม เขาตอบคำถามที่ง่ายกว่า คือ “ กำไรบริษัทโตไหม ? “ ซึ่งเราไมไ่ด้ถาม !)
• ดังนั้น ถ้าเราจะไปวิเคาะห์ เราต้องเอาสิ่งที่เป็น Objective คือสิ่งที่เราสามารถ Measurement ได้ อย่าหลงไปตาม Subjective ที่เราตอบตัวเองเวลาเจอคำถามยาก ๆ
2.3) Bias of imaginability :
• เรามักจะคิดว่าเราสามารถจินตนาการเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ (+ เราจะสามารถควบคุมมันได้) แต่ที่จริงแล้วมีอีก หลาย Factor ที่เราไม่สามารถนึกถึง ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์
• เช่น เราคิดแล้วว่าเมื่อเกิดวิกฤติเราจะต้อง Cutloss ที่ -15% เนี่ยนะพอหุ้นลงมาถึงตรงนี้เราจะขายหมดพอร์ทเลย
• แต่เมื่อถึงเหตุการณ์ เป็นจังหวะที่เราพึ่งซื้อหุ้นเข้าไป และตอนนี้ถือหุ้นเต็มพอร์ท เห็นเงินที่ติดลบ 1 ล้านบาท (นี้มัน Civic 1 คันเลยนะ) ความคิด Anchoring bias เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา >> สุดท้ายไม่ได้ขาย ลงไป -30% (แล้วกลับมาโทษตัวเองว่าทำไมไม่ขาย)
2.4) Illusory correlation :
• การสร้างความสัมพันธ์ให้กับ 2 สิ่ง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย
• เช่น การที่เราคิดว่า Factor นี้ต้องเป็น Leading indicator ของบริษัทแน่ ๆ เพราะมันขึ้นไปก่อน แล้วรายได้ของบริษัทขึ้นตาม แต่หัลงจากนั้นมามันไม่ได้เป็นไปตาม factor นั้น (พอไปอ่าน Research หลาย ๆ ฉบับก็พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กันในเชิงสถิติเลย)
– – – – – – – – – – – – – – – –
3️⃣ Adjustment and Anchoring :
3.1) Insufficient adjustment :
• การประเมินสถานการณ์เพียงมิติเดียว
• เช่น การที่เราคิดผลตอบแทนที่เราอยากได้เพียงแค่ค่าที่เราอยากได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อ หรือเราคิดกำไรของโรงพาบาลที่เปิดตึกแต่ไม่ได้ใส่ค่าเสื่อมราคาเข้าไป
– – – – – – – – – – – – – – – –
ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็น Bias ที่เราควรจะต้องรู้เท่าทันตัวเอง …
เพราะเมื่อเรารู้เท่าทันตัวเอง มันก็จะไม่ใช่ Bias อีกต่อไป
🙏🙏 ขอบคุณ : Amos Tversky และ Daniel Kahneman ที่ทำผลงานอันทรงคุณค่าออกมาครับ
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ติดต่องาน
E-mail : longtundi@gmail.com
line ID : 0956980374
#ลงทุนดิ
#Fooledbyrandomness
#ลงทุนดิ
#Fooledbyrandomness
สรุปความรู้งาน Chula Investment Forum 2024 (17 Mar 24)
เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสัมมนา Chula Investment Forum 2024 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนท่านอื่นๆครับ
Session : P’เฉลิมเดช และ P’ทิวา
1.Edge ในการลงทุน : ถ้าอยากให้ลงทุนแล้วมีโอกาสประสบความสำเร็จ ควรจะเลือกหาธุรกิจที่เรามี Edge ในการลงทุนเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น เช่นเป็นกิจการที่เรามีความรู้, ความเข้าใจ ในอุตสาหกรรมนั้นเป็นอย่างดี หรือทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ
2.หุ้นที่มีโอกาสจะราคาสูงขึ้นได้เยอะๆนั้น มี 2 ปัจจัยที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง 1.)Pricing Power หมายถึงเป็นธุรกิจที่สามารถปรับราคาได้เรื่อยๆ โดยที่คนยังยอมซื้อสินค้า/บริการ นั้นๆ 2.)Scalable สามารถที่จะขยาย Scale ได้เรื่อยๆ ซึ่งบางธุรกิจอาจจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ แต่อาจจะขายได้แต่แค่ในจำนวนที่จำกัด เช่น Brand รถหรูบางค่ายก็ถือว่าไม่มีในหัวข้อ Scalable
3.Blackswan : ถ้าเราต้องลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลา 10-20 ปี ขึ้นไป ยังไงเราก็จะต้องเจอเหตุการณ์ Market Crash ชั่วคราว เข้ามากระทบเป็นระยะๆ ซึ่งก็มีโอกาสทำให้ Port การลงทุนมีโอกาสลดลงไปได้ค่อนข้างเยอะ สิ่งสำคัญคือ 1.)อย่าไปคิดว่าเราเดาอนาคตได้ 2.)ถ้าเลือกลงทุนหุ้นที่ดีมีคุณภาพ สุดท้ายยังไง Port การลงทุนก็จะกลับมาได้เสมอๆ
4.Question : ถ้าจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแล้ว ออกมาเป็นนักลงทุน Full Time? เลยดีไหม
Answer : ค่อยๆ เรียนรู้ , ค่อยๆลงทุน , พยายามออกไปลองทำงานหาประสบการณ์ดูก่อน โดยเฉพาะถ้าทุนน้อย ควรจะทำงานหาทุนให้ได้เยอะๆ
แก้ว 3 ประการ คือ 1.)จำนวนเงินต้น x 2.) % Return ต่อปี x 3.)Time (จำนวนปีที่ลงทุน)
ซึ่งโดยหลัก 1.)จำนวนเงินต้น สามารถเปลี่ยนได้ง่ายสุด ถ้าเราสามารถขยันหาเงินมาเพิ่มจำนวนเงินต้นในช่วงเริ่มต้น
ในขณะที่ % Return ต่อปี ขนาดนักลงทุนอย่าง Warren Buffet ในระยะยาวก็ยังอาจจะได้ไม่ถึง 30%
และจริงๆแล้วการที่ทำงานไปด้วย และลงทุนไปด้วย ผลตอบแทนก็อาจจะดีกว่าตอนเป็น Full Time Investor ก็เป็นไปได้ เพราะบางทีการเป็น Full Time Investor เวลาที่เยอะขึ้นก็อาจจะทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้นก็เป็นไปได้ โดยข้อสรุปยังคงแนะนำว่าควรจะทำงานก่อนดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่
5.Valuation Method : หลักๆก็ยังคงใช้วิธี P/E เป็นหลัก เพราะมีประสิทธิภาพดีสุด โดยจำเป็นต้องดู Business Model ,ความสามารถในการแข่งขัน, จำนวนหนี้ของบริษัทว่ามีมาก/น้อย , ผู้บริหารและข้อมูลอื่นๆประกอบ ซึ่งสิ่งที่ยากคือการหา Earning ของบริษัท
6.Question : พี่ๆมองช่วงวิกฤติยังไง
Answer : ช่วงจังหวะซบเซาคือดีสำหรับนักลงทุน, ศึกษาและตามข้อมูลไปเรื่อยๆ มองหาโอกาสที่ดีแล้วค่อยลงทุน โดยถ้าไม่รู้ชัดเจน อย่าเพิ่งลงทุน
7.Question : ผู้บริหารที่เก่งและดี ดูยังไง
Answer : เป็นอะไรที่ยากเหมือนกัน บางทีต่อให้ได้คุยก็อาจจะไม่รู้ เพราะถ้าเป็นคนที่หลอกเก่งๆบางทีแค่คุยก็ไม่ทราบ แต่อาจจะต้องลองใช้วิธีอื่นๆ เช่น Scuttlebutt ผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เช่นเพื่อนสมัยเรียน, เพื่อนสมัยทำงาน , Supplier เพื่อให้ได้ข้อมูลมาประเมินข้อเท็จจริงได้ดีขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วผู้บริหารที่เก่ง/ไม่เก่ง ยังไม่สำคัญเท่ากับ ผู้บริหารที่โกง/ไม่โกง
โดยความเก่งของการบริหารนั้น อาจจะดูได้ง่ายกว่าเพราะ เราสามารถ check ข้อมูลอื่นๆ เช่นยอดขาย/กำไร ประกอบได้ พยายามดู/มองหา ผู้บริหารที่ผลประโยชน์ของเขากับเราไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะดูสัดส่วนของการถือหุ้นว่ามาก/น้อย ประกอบด้วย และพยายามมองหาช่วงที่เป็นขาขึ้นของธุรกิจ
8.Question : สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนคืออะไร
Answer : 1.)พยายามซื้อกิจการที่อนาคต 5-10 ปี เติบโตยาวนาน ในราคาที่ไม่แพง พยายามมองไปที่อนาคตของบริ่ษัท โดยพยายาม Focus รู้ในบางเรื่องที่สำคัญ ซึ่ง Return 10-100 เท่า ก็เพียงพอที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนๆนึง
2.)การลงทุน เรารู้สึกชอบและสนุกหรือเปล่า ซึ่งการลงทุนอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตและทำให้คนที่รักมีความสุข จริงๆที่ผ่านมาในชีวิตของพี่ทิวาการลงทุนเป็นวิธีการเดียวที่ง่ายที่สุด เหนื่อยแต่ก็คุ้ม เมื่อเทียบกับนับ 10 นับ100 อาชีพที่ผ่านมา โดยชอบที่จะได้เรียนรู้ Trick ในการทำธุรกิจ จากการได้มีโอกาสศึกษาและซักถามจากผู้บริหารที่เก่งๆ
Session : อ.นิเวศน์ และ อ.ไพบูลย์
1.Question : มีวิธีการในการ Work Life Balance ยังไง
Answer : อ.ไพบูลย์ พยายามหาจุดสมดุลของชีวิต อย่าหักโหมหนักจนเกินไป คือเข้าใจว่าอยากจะ Success มากๆ ก็ต้องทุ่มเทมากๆ เพื่อให้ได้เงินเยอะๆ แต่ก็อาจจะทำให้เราแก่เร็ว ซึ่งถึงวันนึงคนเราก็จะต้องเสียชีวิต ซึ่งเมื่อใกล้ถึงตอนนั้นบางทีเราก็อาจจะลืมไปแล้วว่ามีเงินเท่าไร โดยที่ความสำเร็จหรือเป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไป น้อยกว่า 5% ของคนทั่วไปที่จะประสบความสำเร็จ และแค่ 1-2% ที่อาจจะประสบความสำเร็จสูงๆ ซึ่งเราเองก็ไม่ควรที่จะปรับเป้าความสำเร็จของตัวเราไปเรื่อยๆ เช่น ตอนแรกเราอาจจะตั้งเป้าแค่ 20 Mb พอถึงเป้าหมายก็ปรับเป้าเป็น 50 Mb เป็น 100Mb เป็น 1,000 Mb และเป็น 10,000 Mb ทำให้เหนื่อยไปเรื่อยๆแบบไม่รู้จักจบสิ้น
(ขยายความเพิ่มเติมโดยส่วนตัวมองว่าเป็นเป้าหมายที่ไม่รู้จักจบสิ้นและทำให้อาจจะต้องเหนื่อยๆไปเรื่อย และถึงจุดนึง, จำนวนเงินที่มากถึงจุดนึงต่อให้ได้มากกว่านั้นเราก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินนั้น)
2.Question : มองการลงทุนแล้วตอบโจทย์ภาพใหญ่ยังไง
Answer : ก่อนอื่นเรียนจบแล้วให้ไปลองทำงานหรือเรียนต่อในสายที่เราเรียนมาก่อน ซึ่งนักลงทุนที่เก่งๆหลายท่านก็เคยผ่านการทำงานมาก่อน พอไปทำงานและลงทุนก็จะเริ่มรู้ว่าต้องหาความรู้แบบไหนที่จะเอาไปใช้ในการลงทุน ยิ่งถ้าได้มีโอกาสทำงานในบริษัทเล็กๆ เราอาจจะได้ทำงานแทบจะทุกอย่าง ทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้และได้ลอง ซึ่งลูกศิษย์ อ.ไพบูลย์หลายๆท่าน ที่จบออกมาแล้วรีบลงทุนเลยก็มีพอสมควรที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะออกไปโดยไม่มีประสบการณ์ และวิเคราะห์เองไม่เป็น
Answer : อ.นิเวศน์
1.)ลงทุนเพราะคิดว่าเป็นธุรกิจ (มองความเป็นเจ้าของ) เช่นก่อนหน้าตอนวิกฤติปี 40 ที่มีเงินลงทุน 10Mb ก็ได้พบกับธุรกิจที่มี Brand เป็นสินค้าที่ทุกคนรู้จัก และธุรกิจมีกำไรดีมาก รวมถึงมีเงินปันผลที่ดีมาก เช่น 10% ในขณะที่มี P/E ต่ำมาก ทำให้เฉพาะเงินปันผลที่อาจารย์ได้รับก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูอาจารย์และครอบครัวได้
3.Risk Management : กระจายความเสี่ยงให้ดี ซิ้อหุ้น 5-10 ตัวแทนที่จะ All in เงินลงทุนในหุ้น 1 ตัว เพราะต่อให้เป็นธุรกิจที่ดีก็อาจจะมีวิกฤติบางอย่างที่อาจจะทำให้บริษัทเสียหายได้ การที่กระจายความเสี่ยงให้ดีก็จะลดโอกาสที่ Port ของเราจะเสียหายทั้งหมด
4.พยายามเลือกซื้อธุรกิจที่ดี ,โดดเด่นในราคาที่ไม่แพง โดยที่หลังจากซื้อไปแล้วราคาหุ้นขึ้นสูงๆ เราก็อาจจะใช้วิธีการ Switching port โดยขายหุ้นที่ขึ้นเยอะๆแล้ว upside เหลือน้อย เพื่อไปเลือกซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคาอาจจะไม่ขึ้นซึ่งมี Upside สูงกว่าตัวเดิม
5.เวลาลงทุน พยายามอย่าไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นๆ (ลงทุนโดยไม่ต้องไปแข่งกับใคร) เพราะจะทำให้มีโอกาสที่จิตใจเราวอกแวกได้ ถ้าถึงจุดนึงที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว กรณที่เราสามารถจัด Port ในเชิงตั้งรับ ก็อาจจะทำให้ตัวเราไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป
6.ชีวิตคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนรวยตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งก็ส่งผลให้ข้อจำกัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สามารถดูรายละเอียดได้ในเรื่องตะเกียง 3 ดวง อย่างไรก็ตามการลงทุนก็ทำให้ชีวิตในอนาคตของแต่ละคนดีขึ้นได้
7.Question : พฤติกรรมที่ดีและไม่ดีในการลงทุนคืออะไร
Answer : อ.ไพบูลย์ สิ่งที่ไม่ดีคือการไม่กระจายการลงทุน ถ้า Focus หรือลงทุนแบบกระจุกอาจจะทำให้รวยเร็ว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็อาจจะเสียหายหนัก โดยเฉพาะการใช้ Margin หรือการลงทุนพวก Block-Trade ซึ่งจะทำให้เกิดPressure ความกดดันได้มาก
สิ่งที่ดี คือ กระจายการลงทุนให้เหมาะสม และพยายามคิด Worst Case ความเสี่ยงของการลงทุน โดยเมื่อถึงจุดหนึ่งก็พยายามแบ่งการลงทุนใน Asset ที่อาจจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจทั่วไป โดยที่พยายามสำรองมีให้พอกินทั้งชีวิต
อ.นิเวศน์ พยายามเลือกที่จะลงทุนใน Fair Game เพื่อให้สังคมการลงทุนน่าอยู่ เช่นไม่ใช้ข้อมูลภายใน เพราะอาจจะทำให้บางคนอาจจะได้เปรียบ/เสียเปรียบ
โดยพยายามให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินด้วยวิธีการที่ Clear และ Fair
และพยายามอยู่ในเกณฑ์การลงทุนของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เหมือนนักตกปลาที่ จะเลือกเบ็ด Size ขนาดไหน
8.Question หลักการลงทุน อดีต/ปัจจุบัน
Answer : อ.ไพบูลย์ ยังลงทุนแบบเดิม เน้นกระจาย + Port กองหลังต้องแน่น ถึงเป้าหมายช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเป้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน และ Condition ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเครียดเพราะอยากให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ ก็อาจจะไม่คุ้มค่า
พยายามกินน้อย ใช้น้อย โดยที่เราอาจจะหาความสุขได้ในหลายรูปแบบที่อาจจะไม่ต้องใช้เงินเยอะ เช่นการกินอาหารก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
อ.นิเวศน์ ยังคงใช้แนวทางเหมือนเดิมในอดีต แค่อาจจะเปลี่ยนจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดอื่น โดยใช้วิธีการที่ดีที่สุดที่คนเก่งที่สุด Prove มาแล้ว ซึ่งสบายใจกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่า โดยคนรุ่นใหม่ ใจอาจจะเปลี่ยนไปทำให้อาจจะไม่สามารถรอคอยได้เหมือนคนสมัยก่อน
9.สิ่งที่อยากฝาก
อ.ไพบูลย์ การวางแผนทางการเงินกว้างกว่า (อาจจะสำคัญกว่า)เรื่องหุ้น โดยภาพใหญ่เราควรจะดูและ Control เรื่องรายรับ- รายจ่ายให้ดี ในขณะที่หุ้นอาจจะเป็นภาพแค่ส่วนหนึ่ง
อ.นิเวศน์ หุ้นต่างประเทศที่เริ่มลงมาเยอะ เริ่มน่าสนใจ โดยลงทุนแบบ Semi Active โดยดูประเทศไหน +กลุ่มไหน ที่น่าสนใจ ซื้อแล้วเก็บเช่น 10 ตัวที่เป็นธุรกิจ Megatrend ในส่วนของต่างประเทศที่มีกฏ ยังไม่เอาเงินกลับยังไม่เสียภาษี ถ้าเอากลับมาอาจจะต้องเสียภาษี 35% ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่กำไรอาจจะต้อง Declare ภาษี โดยมองว่าอาจจะมาลงทุนในกองทุน DR กองทุนต่างประเทศ เป็นต้น
พยายามเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต เน้นศึกษาภาพใหญ่ และจำเป็นต้องดูเรื่องวัฒนธรรมและระบบสังคมของประเทศนั้นๆประกอบด้วย
10.วิธีการสร้างตัว
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการสร้าง port ยากกว่าเดิมมาก โดย Robot และ Short Sale ที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ โดยอาจารย์แนะนำให้พยายามเน้นที่การวางแผนทางการเงิน โดยให้เวลา 10-30 ปี ในการลงทุน และพยายามไปทำสิ่งอื่นๆที่เป็นประโยชน์ ใช้ความรู้ที่ได้มีโอกาสเรียนมาเพื่อให้เป็นประโยชน์กับประเทศ
อ.นิเวศน์ ช่วงนั้น Contrarian โชคดีและจังหวะดี ถ้ามาตอนนี้ซื้อหุ้นที่แพงก็อาจจะทำให้ Port เสียหายได้ โดยปัจจุบันเน้นการร่ำรวยจากการทำงาน น่าจะง่ายกว่าถ้าเราตั้งใจทำงาน
ในส่วนการลงทุนนั้นถ้าทุกอย่างบรรยากาศนั้น Cheerly คึกครื้นมากๆก็อาจจะเป็นโอกาสที่มีโอกาสขาดทุน ในขณะที่ช่วงที่บรรยากาศเงียบๆนั้น อาจจะเป็นช่วงที่มีโอกาสลงทุนแล้วร่ำรวยได้ โดยพยายามเลือกประเทศดีๆ ที่มีโอกาสเติบโต และนำเงินมาลงทุนแบบ DCA
11.เป้าหมายของอาจารย์
อ.ไพบูลย์และ อ.นิเวศน์ 1.)อายุยืน 2.)มีสุขภาพที่แข็งแรงจนวาระสุดท้าย 3.)มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำ 4.)หาความสุขจากสิ่งทั่วไป โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากจนเกินกำลัง
12.มีวิธีการ Valuation อย่างไร
อ.ไพบูลย์ แนะนำว่าไปลองศึกษา Security Analysis ดูซึ่งอาจจะไม่ได้ประเมินง่ายอย่างที่เห็นกัน ไม่ใช่แค่ว่าดูว่า P/E ต่ำเท่านั้น จริงๆมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ
อ.นิเวศน์ พยายาม Valuation โดยมองหาธุรกิจที่กำไรสม่ำเสมอ โดยมีกำไรย้อนหลัง 5 ปีต่อเนื่อง เป็น Background ซึ่งบางธุรกิจที่เป็น Commodity เราอาจจะประเมินไม่ได้
13.หนังสือแนะนำของ อาจารย์ทั้ง 2 ท่าน
อ.ไพบูลย์ 1.)คู่มือมนุษย์ (ท่านพุทธทาส) 2.ฤทธิ์มีดสั้น (ลี้คิมฮวง) เป็นบุคคลที่รักเพื่อนและไม่พยายามไขว่คว้าสิ่งต่างๆเป็นของตัวเอง 3.Random Walk Down
อ.นิเวศน์ 1.)Once Upon Wall Street 2.)Homo Sapiens 3.)ข้างหลังภาพ
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ
1.วิทยากรทุกท่าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร, ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา, คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ, คุณทิวา ชินธาดาพงศ์, คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม, คุณเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ที่กรุณาให้ความรู้แก่ผมและเพื่อนๆในงาน
และขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิเวศน์ เป็นอย่างสูงที่กรุณา Share ความรู้และประสบการณ์ชีวิตอันมีค่าให้ผมและเพื่อนๆที่มีโอกาสร่วมโต๊ะ Dinner กับท่านอาจารย์
2.พี่ๆน้องๆทีมงานที่จัดงาน Chula Investment Forum 2024 ทุกท่าน ที่จัดงานดีๆให้เพื่อนๆนักลงทุนและนิสิต,นักศึกษาได้รับความรู้อันมีประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อชีวิต
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณสมาคม Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/26 Mar 24
🔥 สรุป CU investment forum – PART 1
.
” Value investing vs Value Speculating “
.
📍 Value investing และ Value Speculating แตกต่างกันอย่างไร
P’ เชาว์ : Value investing vs Speculating จริงๆ การลงทุนไม่มีอะไรถูกผิด ทั้ง 2 แบบ based on Valuation ส่วนจะ speculate เก็งงบรายไตรมาสก็เป็นทางนึง value investing เป็นการมองในมุมธุรกิจว่าลงไปแล้วคืนทุนภายในกี่ปี IRR เท่าไหร่ ซึ่งโดยส่วนตัวทำทั้ง 2 อย่าง
.
📍 ถ้าระหว่างทางราคาเหวี่ยงจะยัง based on valuation ไหม ?
P’ เชาว์ : เน้นถือยาวกว่าแล้วมองว่าทำได้ดีกว่าแต่ของพี่มี่ทำในระยะสั้นกว่าอาจจะทำได้ดีกว่าอยู่ที่ถนัดแบบไหน
.
📍 Style การลงทุนพี่มี่
P’ มี่ : จริงๆ อยากลงทุนระยะยาวแต่เคยพยายามคาดการณ์ 5-10 ปี แล้วผิดหมด บางทีผู้บริหารเก่งมาก มองว่าต้องเติบโตไปนู้น ไปนี่ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ไม่ได้เป็นงั้น Ex. หุ้น SMC วิ่งจาก 5 บาทไป 30 บาท มองว่าผู้บริหารน่าจะปรับตัวไ้ด้ สุดท้ายก็กลับลงมา 5 บาท มุมมองต่างกันตรงที่ว่า cash flow ที่ได้ระหว่างการลงทุนมันเป็นเท่าไหร่ พอใช้วิธีจับจังหวะก็หาช่วงที่มี exceptional growth มองว่า undervalue และเข้าไปลงทุน จริงๆ อาจจะเปลี่ยนก็ได้ในอนาคต พี่มี่ถือเฉลี่ย 2 ปี วนไปวนมา ถือระยะสั้นก็สนุก พอถอยออกมาหรือขายหุ้นไปก็ต้องหาหุ้นใหม่ๆ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสตลอดเวลา
.
📍 P’ มี่เลือกลงทุนหลากหลายมาก มีอะไรที่ไม่ลงทุน
P’ มี่ : ลงหมด หุ้นปั่นก็เคย จริงๆ มองอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าให้ได้ แรกๆ ที่ลงทุน 3-4 ปีแรก ได้หุ้น turnaround เยอะ และมองว่าได้ผลตอบแทนเยอะ แต่จากวันนี้ไปอีก 10 ปี จะไม่ลง เนื่องจากหุ้นจะ turnaround แปลว่าตอนนั้นมันต้องห่วยกว่าเพื่อนและ GDP ต้องโตแรงๆ ถึงจะมีโอกาสกลับมา แต่ถ้า GDP ไม่โตแรงมันก็ turnaround ยาก จากวันนี้ไม่มีเลย turn ยากมาก เชื่อว่าภาพใหญ่ไม่น่าจะเอื้อให้ใคร turn ได้ทั้งนั้น
.
📍 Asset play / Cyclical ยังสนใจลงทุนไหม
P’มี่ : คำตอบคือลงได้ Covid ก็ลงหุ้นเรือทั้ง US และไทยแต่ US ได้ 20% Thai ได้ 5-6 เด้งกลายเป็นหุ้นเจดีย์เลย แตกต่างกันที่ตลาดมองไม่เหมือนกัน
.
📍 หุ้น Asset play ความยากคือถ้าไม่ liquidate และ business ไม่ ok เปรียบเสมือน “หมามองปลากระป๋อง” รู้ว่าข้างในมีของดีแต่กินไม่ได้
ทุกครั้งที่พี่เชาว์พูดถึงการลงทุน (MOAT) หรือ 7 powers มองว่าอันไหนแข็งแรงสุด
P’เชาว์ : ชอบมากที่สุด 2 อัน 1. Branding 2. Network effect มองว่าธุรกิจเหมือนเป็นสิ่งที่มีทั้งกองหน้าและกองหลัง กองหน้าทำหน้าที่สร้างรายได้และกองหลังทำหน้าที่ลดต้นทุน การมี Economy of scale (EOS) หรือการลดต้นทุนก็ดี แต่ส่วนตัวของหุ้นที่เพิ่ม top line มากกว่า ถ้าคิดลึกๆ แล้ว มันคือเริ่องเดียวกัน GUCCI LVMH Channel ทุกคนอยากโชว์ว่าตัวเองรวย เห็นโลโก้ก็รู้กลายเป็น network effect ประเภทหนึ่ง เหมือนการสร้าง Standard ว่าทุกคน perceived ว่าคนนี้รวยจะมาแข่งให้เปลี่ยนความคิดยาก
.
📍 กว่าจะชัด Branding ตอนที่ธุรกิจเล็กๆ รู้ได้ยังไง
P’เชาว์ : ทุกธุรกิจเบื้องหลังคือคน lead องค์กร คนที่ make decision ต่างชาติจะมีสำนวน “The first get the oyster the second get the shell” ไปดูว่าผู้บริหารเก่งขนาดไหน ถ้าเจอคนเก่งมากๆ ก็โชคดีได้หลาย 10 เด้ง ถ้าคนอายุน้อยยิ่งอ่านยาก เดายากว่าคนนี้เก่งหรือขี้โกง แต่คนรุ่นใหม่ก็มีสิ่งที่คนรุ่นเก่าได้เปรียบคือการอ่าน Network effect บริษัทที่ Market cap. เล็กๆ และ specific ในบางเรื่อง Social platform, insurance, genome frequency platform มองว่าคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ได้เปรียบคนละด้าน
.
📍 เจาะลึก case study ภาคอสังหาริมทรัพย์เคยได้เยอะช่วงแรก ๆ อยากให้เล่าสถานการณ์ตอนนี้หน่อย
P’มี่ : ตอนนี้ไม่มีหุ้นแล้ว เมื่อก่อนเลือกหลายแบบแล้วไปเล่าให้เซียนๆ ฟัง ถ้าทุกคนบอกดีมักจะได้หุ้นขาดทุนแต่ถ้าทุกคนบอกไม่น่า มันนู้นนี่นั่น มักจะได้กำไรดี เราต้องเป็น bad ideas ในสายตาคนอื่น ๆ อสังหาเป็นแบบนั้น ได้เยอะรอบแรกจาก subprime crisis หุ้นลงมา 70-80% ทุกคนเชื่อว่าต้องทิ้ง จนลงมา P/E 1 ท่า ปันผล 20% หุ้นบางตัวขายลงมาเหลือ 1 สตางค์ ทั้งที่กำไรต่อหุ้น 10 กว่าสตางค์ มันไม่อยู่ในภาวะปกติ คอนโดกำลังสร้าง กำลังเติบโตแต่ราคาหุ้นเหมือนล้มละลาย มีคนไปนอนเต๊นท์เพื่อรอจอง หุ้นก็ขึ้นมาง่าย ๆ 8-10 เด้ง เพราะตลาดเริ่มหันมาชอบคอนโด แต่ก็ไม่แน่อีก 10 ปี สมมติ AI เข้ามาทุกคนไปทำงานนอกเมือง ภาพอาจจะกลับ และ ณ ตอนนั้นมีหุ้นตัวนึงไม่ค่อยมา เจ้าของชื่อเศรษฐา ซื้อแล้วก็เจอวิกฤตน้ำท่วม แต่ตอนจบ demand ยังดีอยู่ รอบที่ซื้อเพราะโควิด ลงมาแรงไปแต่อาจจะไม่กลับไปแรง แรงซื้อจากต่างชาติมาจริงแต่แรงซื้อคนไทยไม่มา แต่โชคดีซื้อมาถูก พอจะปรับก็ยังมีช่องว่าง ส่วนตัวชอบมอง business ง่าย ๆ แบบอยู่ในภาวะทำง่าย ๆ ช่วงยาก ๆ ทำอะไรก็ยากไปหมด พี่มี่เคยทำร้านเกมแล้วโดนหลายเรื่อง อาทิ โดนลิขสิทธิ์ โดนจับบ้างแต่ปีนั้น กำไร all time high เพราะ Top line เติบโตดี แต่ปีไหนไม่ดีแม้ห้างจะลดค่าเช่าให้แต่กำไรลดลงครึ่งนึง สำหรับนักลงทุน “ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมให้กำลังใจ” ย้อนไปอสังหาริมทรัพย์มองว่า rejection rate ต้องลดลงแน่ ๆ แต่ก็เห็นว่าตลาดรถยนต์แย่กว่า กู้มา 300k-400k ขายตลาดมือสอง 160k แต่ราคาบ้านไม่ได้ลงเหมือนรถแต่แค่กำลังซื้อไม่มา
.
📍 รบกวนแชร์ consumer behavior ในแต่ละประเทศหน่อยว่าแตกต่างกันไหม
P’ เชาว์ :เดินทางมาแล้ว 77 ประเทศทั่วโลกไปมาแล้วทุกทวีป เชื่อว่าสิ่งที่คนไทยไม่รู้คือสินค้าไทยโคตรดี สินค้าใน 7-11 ทั้งดีทั้งถูกทั้งอร่อย ต่างชาติมารีวิวของใน 7-11 แต่คนไทยมองว่าไม่ค่อยมีค่า มารีวิวบอกว่าโคตรอร่อยและถูกเหลือเชื่อ น้ำดื่มบ้านเรา 7 บาท ยุโรป 1-2 เหรียญ ของเหมือนกันแต่ราคาต่างกัน 10 เท่า ประเทศที่ไม่ได้พัฒนาเท่าไทยหรือแย่กว่าไทย Phillipines, indonesia, brazil จะเท่า ๆ เราหรือแย่กว่าก็จะรู้ของเค้าห่วย ไม่น่ากิน ซื้อมาก็ไม่อร่อย เครื่องสำอางค์ก็ packaging ห่วยๆ เลยมานั่งคิดว่าทำไมไทยทำได้ดีกว่า rest of the world มาจากบ้านเราดวงดีที่ 1980 ญี่ปุ่นโดน plaza accord ญี่ปุ่นรบไปเรื่อยมีแต่ศัตรูแต่ไทยเป็นเพื่อนกับเขา สุดท้ายมาตั้งโรงงานในไทย transfer ความรู้ให้หมดเลย แต่บ้านเราโชคดีกว่าคือค่าแรงถูก ทำให้คุณภาพสูง ราคาถูก
P’ มี่ : เมืองไทยมีจุดเด่นมีสิ่งที่ทำได้ดีกว่า เพราะลึกๆ มีคนจีนมาผสมและคนจีนชอบ R&D ทดลองการปลูก ก็สะสม knowhow มีความเป็นจีนรวมกับญี่ปุ่น ใส่ไปตลอดเวลา ส่วนนึงคือการหลอมรวมชาติพันธ์ุต่าง ๆ รวมกับการที่คนไทยที่ชิว ๆ ชอบใช้จินตนาการเยอะ รวมๆ แม้จะไม่ดีสุดแต่ซื้อมั่ว ๆ ได้เลยและไทยก็ดีกว่าค่าเฉลี่ยโลก อย่างอินเดีย หากใครเคยไปซื้อขนมจะพบว่ามันดูสกปรก แกะออกมาก็สกปรก ไปจีนมาหลายรอบกินมื้อเป็นแสนแต่ไม่อร่อยเท่าที่ไทย ทั้ง ๆ ที่จีนทำรถยนต์ไฟฟ้า ทำเรื่องยาก ๆ ได้ แต่ทำอาหารไม่อร่อย แต่กินในไทย อร่อยหมด ถ้าตัดต้นตำหรับออกเช่น อาหารอิตาลี ถ้าตัดอิตาลี ไทยก็น่าจะอร่อยที่สุด เราจะไปเปิด makro ที่อินเดีย แต่มีกฎว่าของภายในต้องขายสินค้า india กี่ % ก็กลายเป็นโดนกีดกันไป
.
📍 ช่วงนี้เศรษฐกิจโต 2% กว่ามี plan จะไปต่างประเทศไหม?
P’ เชาว์ : ดูหุ้นเมกามาเป็น 10 ปี แล้วเคยไปอยู่ช่วงอายุ 20-30 แต่พอร์ทปัจจุบัน สัดส่วนต่างประเทศ 5% เท่านั้นเอง สาเหตุคือ 1. Port ไม่ใหญ่มาก ถ้าไม่เกิน 500 ล้าน ยังพอได้ ไม่ต้องไปต่างประเทศมากมาย ทำไมเน้นหุ้นไทยเกือบทั้งหมด เนื่องจากมองว่าหุ้นแต่ละตัวมีส่วนที่เหนือกว่าคนอื่น (edge) คล้ายๆ peter lynch “one up on wall street” เชื่อว่าหุ้น 1 ตัว ในไทยรู้เยอะกว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศ ถ้าไม่ได้เหนือกว่าเค้าละคาดหวัง extraordinary return ยากมาก ๆ หุ้นไทยก็เริ่ม efficient แล้วอาจทำให้เราฉกฉวยโอกาสได้น้อยลง
P’ มี่ : ไปจีน 30% เชื่อว่าการลงทุนต้องหาคุณสมบัติ 2 ส่วน
1. Pricing power : ขึ้นราคาทุกปีแล้วคนยอมซื้อ
2. Scalable : ความสามารถในการ scale
Ex. Ferrari : ผลิตปีละ 10,000 คัน ถ้าผลิตปีละล้านคันอาจเสีย pricing power แต่จีนมี character นี้ พยายามศึกษาอยู่ ดูเหมือนทรงจะใช่ แต่ไม่มีใครมากับเรา จีน สนใจหุ้น 2 ตัว คือ miniso กับ Trip.com อาจจะกลับมาเกินโควิดละ P/E 22 เท่า และมองว่าชนะแล้ว C-trip ชนะ Baidu ทุกวันนี้มีคนเข้าไปคุยด้วย 50 ล้านคน เยอะกว่า Chat GPT 10 เท่า เชื่อว่า Trip.com น่าจะได้ประโยชน์จาก AI เพราะขายถูกสุด และ Xi jinping ชอบท่องเที่บว พยายามดันและไม่มีแรงต้าน ถ้ามอง semiconductor US ก็สู้ตาย Xi jinping ปกครองเหมือนพ่อปกครองลูก สนับสนุนให้ IT โต ประชากรเกิดเยอะ ๆ มันลงแบบเยอะมาก ๆ หลาย ๆ เรื่อง อสังหามีไว้เพื่ออยู่อาศัย การศึกษา เดา ๆ ละก็คิดว่าจะมาตรงไหนจะได้ประโยชน์อีก การละเลยความคิดของผู้นำในจีนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมาก ๆ
.
📍 Black swan : เคยเจอไหม
P’ เชาว์ : มาในรูปแบบของ Crash ชั่วคราว Subprime / Covid เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ Port ยุบลงมาเยอะ ๆ มีอีกอยู่แล้วในอีก 10 ปีข้างหน้า ในรูป market crash แรง ๆ อยู่ที่เราทำตัวยังไงเท่านั้น 1. อย่าคิดว่าจะคาดการณ์อนาคตได้ 2. คิดว่าทำยังไงให้วิกฤตเป็นโอกาส หลัง black swan กลับมาเยอะ ๆ
P’ มี่ : เจอครั้งเดียว subprime ตั้งแต่แรก ๆ แต่เจอตลาดขาลงมาเยอะ ละก็คิด พอเกิดด้านร้าย ๆ ขึ้นมา ตลาดลงมาหมด เราชอบเพราะ switch ไปตัวที่ลงเยอะ ๆ บางทีได้ผลตอบแทนเยอะ
– – – – – – – – – – – – – – – –
🔰 Q&A 🔰
📍 ถ้ามีทุนน้อยควร DCA ไหมหรือลงเป็นก้อนเลย
P’ เชาว์ : ถ้าทุนน้อยควรทำงานหาทุนเยอะ ๆ เพราะสมการ wealth คือ เงินต้น*ผลตอบแทน*จำนวนปี เก่งสุดในโลกก็ 30% เปลี่ยนง่ายสุดคือ เงินต้น investor 2 คนเก่งเท่ากันคนนึง Port ไป 100 ล้านอีกคนไปหมื่นล้าน เคยเทียบตัวเองตอนทำงานไปลงทุนไป return เยอะกว่าเป็น full time เพราะ golden period ของ VI
.
📍 Valuation แต่ละกลุ่มต่างกันไหม
P’ มี่ : ใช้ P/E หมดเลยแต่ก็ adjust ตาม หนี้เยอะหนี้น้อย ผู้บริหารเก่งไหม สำหรับตลาดไทย P/E ดีสุด แล้วแต่ที่คนส่วนมากพลาดคือ คำนวนกำไรผิด Sizing กำไร ประมาณออกมาแล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ที่กำไรคือซื้อตอน low expectation ดีกว่าที่ตลาดมอง ไปขายที่ high expectation แต่ตลาดต่างประเทศจะดู market cap.
.
📍 หุ้นจีนที่ PE ถูกมากๆ อย่าง weibo PE 5 เท่า marketcap. เกือบเท่า cash หรือ alibaba ถูกมาก ๆ เป็น value trap ไหม
P’มี่ : Baba ดูละเตรียมซื้อ โดนแย่ง market share ไปได้ประมาณนึงและ low expectation แล้ว มีดาราจีน live วันเดียวรายได้ประมาณ 4,750,000,000 ล้าน ค่า com. 20% live 3 ปี ติดอันดับคนรวยอันดับที่ 9xx Baba เริ่มเห็นจุดเปลี่ยนและพูดถึง e-commerce มากขึ้น จีนทุกคนอยากเป็น AI company ใครสะสม chip Nvidia ได้มากกว่าจะพัฒนาได้ดีกว่า รายเล็กๆ ซื้อไม่ได้
.
📍 จิตวิทยาการลงทุนกับหุ้นจีน
จริงๆ จีนก็มา challenge อเมริกา โดยทั่วไปก็มองหุ้นที่ซบเซา ก็ตามแต่ถึงโอกาสจะซื้อ หลายๆ เรื่องไม่รู้จริง ยังไม่ชัดเจน ถ้าวันนึงมันดีก็เป็นโอกาส Trip.com ต่างจาก Meituan พยายามใช้ online + onsite แต่ถ้าจองตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม เริ่มใช้ trip.com การแข่งขันก็ปรับตัวเร็ว meituan ใช้ online to offline Platform ถ้าตลาดโตระดับนี้ไม่ค่อยน่ากลัว มี room ให้ขยายเยอะๆ ไทยเปิด free visa ให้จีน ทุกคนอยากได้จีนหมด เป็นโอกาสของ trip.com หมด
.
📍 ผู้บริหารที่เก่งและดี ดูยังไง
P’ เชาว์ : Berkshire เขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นยังบอกว่ายากมากเลย แต่มันมีวิธี check คุณไม่มีทางรู้ต่อให้คุยกัน 1 ชั่วโมง ให้ทำ differentiate ถามว่าใครรู้จักนาย A บ้าง คนจะรู้ว่าขี้โกงหรือป่าว scuttlebutt เพียงพอ จะรู้ เก่งไม่เก่งไม่เท่าไหร่ แต่คนโกงจะทำให้เราหายนะ
P’มี่ : ผู้บริหารเก่งให้ดูวิธีการทำไงเรื่องการค้าขาย ดูผลประโยชน์เรากับเขา การถือหุ้นอาจช่วยได้ประมาณนึง ดูเรื่องที่ซุกไว้ใต้พรหม ขาขึ้นคนอาจไม่ค่อยสนใจ แต่ขาลงจะเห็น ให้เช็คพฤติกรรมในงบการเงิน ว่าตรงกันไหม เคยไปดูบริษัทรับเหมาที่บอกว่าเก่งที่สุดในโลก gross margin 9% เราจะเชื่อเค้าได้แค่ไหน สิ่งที่ขายเยอะในตลาดหุ้นคือความฝัน เลือกความฝันดีๆ
.
📍Xiaomi หุ้นจีน
P’มี่ : ช่วงแรก ๆ หวัง IoT โตกว่า smartphone 3-4 เท่า ยังโตอยู่ แต่เชื่อว่าเป็น loop ของการพักตัว smartphone จากที่ไม่โตก็จะกลับมาโตจาก AI ที่เข้ามา มองว่ายังแข็งแรง เคยมองว่า EV xiaomi หลุด concept หรือป่าว ขายแพงหรือปาวแต่เข้ามาไม่ใช่ zero sum game ผู้ใช้ทั่วโลกชอบรถ sport EV แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อรถ sport ได้ เพราะแพง แต่ xiao,i design ออกมาในช่องว่างการตลาด ชอบเพราะปิดใน target market ที่ยังไม่มีใครเล่น
.
📍สิ่งสำคัญสุดในการเป็นนักลงทุน
P’ เชาว์ : เล่นเกม มองว่าซื้อกิจการอะไรก็ได้ที่เติบโต 5-10 ปี และซื้อในกิจการที่ยังไม่แพง อนาคตไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนจะรู้บางเรื่องที่คนส่วนมากไม่รู้ ขอ 1 อย่างที่รู้ดีและมองเห็นอนาคตนี่คือ Principle ของการลงทุน
P’ มี่ : มองว่าชอบและสนุกหรือปาว, ถ้าไม่ชอบ มองว่าเปลี่ยนชีวิตได้หรือป่าว นักลงทุนมันคิดและนอนอยู่บ้านถ้าถูกก็รวย ถ้าชอบธุรกิจก็จะตามไปดูว่าคนเก่ง ๆ ว่าทำธุรกิจยังไง เคยบอกนักลงทุนเหมือนเห็บแต่ไม่ใช่นักลงทุนเหมือนเมีย “ถ้าทำดีเอาส่วนแบ่งมาถ้าทำไม่ดีไปจี้ใน AGM ว่าทำไมไม่โตเกิดอะไรขึ้น”
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าโพสนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ติดต่องาน
E-mail : Longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum
#ลงทุนดิ
🔥 สรุป CU investment forum – PART 2
.
” Thai ETFs, Worldwide DRs “
.
นักลงทุนส่วนมากมองแต่ราคาแต่ไม่มองมูลค่า การลงทุนแบบ value เป็นเรื่องยาก อะไรที่แพงเราก็จะมองว่าดี มองสิ่งที่เราจ่ายคุ้มไหม มองในเรื่อง Growth / Cap gain ถ้ามอง 15 ปีย้อนหลังอาจได้หุ้น 2 แบบ ทั้งเติบโตและปันผล แต่ปัจจุบันเลือกได้อย่างเดียวคือปันผลเยอะก็ไม่ค่อยโต คนที่ศึกษาเยอะก็โอกาสเยอะ โอกาสไปอยู่ในที่ที่ไม่สมเหตุสมผล หุ้นเมกา 7 นางฟ้าก็แพงไม่สมเหตุสมผล ซื้อแล้วยิ่งแพง คนนึงจะถือได้ 10 เด้งยากมาก กว่าจะเห็นช้ากว่าราคาเยอะ มันไม่ได้ based on value มากนัก มองว่าอิสรภาพทางการเงินเกิดจากการถือหุ้นไม่ได้เกิดจากการ trade
.
📍 การร่ำรวยไม่ใช่การที่เราต้องมานั่งซื้อขาย ระหว่างทางทุกคนก็มี action แต่พยายามถือให้นานหน่อย แต่ถ้าอิ่มตัวเต็มที่ก็พิจารณาขายออกได้ หุ้น 1 ตัวที่เริ่มต้นเคยซื้อ delta, hana ไม่ได้มีจุดเด่น กะถือยาว ๆ แต่สุดท้ายมันขึ้นจาก 2 บาทไปถึง 8 บาท P/E สูงละพื้นฐานยังไม่กลับมา support เราขาย ขายเสร็จลงเลยไป 3 บาท ปัญหาคือลงมา 3 บาทจะรับเท่าไหร่ และตรง 2 บาทจะกลับมาซื้อ เด้งไป 5 บาท กลับมา 8 บาท แล้วไป 120 บาท สอนอะไรเรา อย่าขายหมด เพราะมีบางตัวที่ขึ้นเกินเหตุและคนที่อยู่เบื้องหลังหุ้น สำคัญ ฝรั่งอาจจะกล้ากว่าเรา
.
📍 หุ้นต้นรอบต้องเป็นอะไรที่คนไม่เอา ประเทศไทยไม่มีอนาคตแล้วอาจจะเป็นเริ่มต้นรอบใหม่ ปี 2008 ก็สิ้นหวัง, Covid ก็สิ้นหวัง ไปต่างประเทศ ทุกคนไปหมดแปลว่าโอกาสเริ่มน้อยแล้ว ตอนนี้ US, Japan, India all time high ตลอด ส่วนตัวรอซื้อจีน ในรอบล่าสุด ไทยยังไม่ overbought เลย ต้องปรับฐานครึ่งนึงก่อน
📍 ทำความผิดพลาดแล้วเก็บไปเรื่อยๆ จัดการความผิดพลาดอย่างไร
มีหุ้นเยอะมากและ Port โตเรื่อย ๆ แต่ระหว่างทางทุกวิกฤตเราจะขาดทุนเป็นเม็ดเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ เจอเพื่อนหลาย ๆ คน อยากทำรอบ แต่ข้อสังเกตคือ พอคนอยากทำรอบ รอบใหญ่จะมา 20-30 ปีที่แล้วทุกคนเป็นยุคทองของ value investor ทำให้คนที่ตัดสินใจถือยาวไปเลย เริ่มกลับมาแบบว่าฉันไม่ถือแล้ว คนที่ขาดทุนเยอะกว่าเรา บางคนก็ขาดทุนมากกว่า
.
สรุป 3 ข้อจากประสบการณ์
1. ต้องไม่ leverage จน Port ระเบิด
2. เวลาผิดพลาดคุณภาพชีวิตต้องไม่ลดลง ควรค่อย ๆ ปรับคุณภาพชีวิต ถ้ากำไรมันจะกำไรเยอะมากๆ
3. เวลาผิดพลาดต้องมีเงินมาเติม ควรมีรอบ 2 เสมอ ตอนนี้ยังไม่ใช่ต้นรอบของหลาย ๆ ตัว
.
📍 การลงทุนต่างประเทศ โดนภาษีเยอะขึ้น DR น่าจะตอบโจทย์ ไปลงตรงๆ ก็มีแต่มีความยากเรื่องของภาษี DCA ดีมากในส่วนของ ETF
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อย
ติดต่องาน
E-mail : longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum
#ลงทุนดิ
🔥 สรุป CU investment forum – PART 3
.
” Wisdom from the Legends “
.
📍 Work life balance ของการลงทุนมีไหม ?
อาจารย์ไพบูลย์ : ผมเป็นอาจารย์สอนส่วนอาจารย์นิเวศน์ทำงานสายการเงินจะหนักกว่า อาจารย์ที่ NIDA วางไว้ 3 เกณฑ์ 1.สอน 2.งานวิจัย 3.คืนความรู้สู่สังคมผ่านการไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ สอนน้อยมากที่ NIDA อาทิตย์นึงสอน 3 ชม. ค่อนข้างสบายมีเวลาเยอะ การลงทุนก็ไม่เข้มงวด เจ๊งมากกว่าอาจารย์นิเวศน์เยอะ แต่อาจารย์ไพบูลย์มองว่าสิ่งสำคัญคือวันที่ป่วยหนัก ๆ อาจจะมาคิดว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ให้หาจุดสมดุล ถ้าไม่ทำงานหนักพอก็อาจไม่เจอโอกาส แต่ละคนทุ่มเทมาก แต่ถึงจุดๆ นึงก็ต้องตาย ต้องป่วยหนัก ก็ไม่ได้คิดแล้วว่ามีเงินเท่าไหร่ เป้าหมายแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน คนที่ลงทุนจริง ๆ จัง ที่ประสบความสำเร็จอาจจะ 1% ความสำเร็จของเราอยู่ที่อยากได้อะไรแค่ไหน ต้องมีเงินเท่าไหร่ ก่อนตายจะเอาเท่าไหร่ ?
.
ดร.นิเวศน์ : Work life balance ทำงานเหนื่อยมากเป็นวิศวกรโรงงานน้ำตาล คิดว่าเราแน่ ไปช่วยเค้าทำตกลงมานิ้วเกือบขาด นอนรองไห้ไปช่วงนึง เพราะกลัวพิการ ตอนนั้นอยู่ต่างจังหวัดหมอก็ไม่ทำไรเยอะฉีดๆ แล้วก็พันเลย ทำงานหนักมา 6-7 ปีก็พบว่าคงไปได้ไม่ไกล ก็เก็บสะสมเงิน ทำงานเพื่อเก็บเงินก็ทำงานหนัก สุดท้ายคนข้างหน้าเราต่อให้เก่งจริง ๆ ก็เป็นผู้จัดการ เลยตัดสินใจไปเรียนต่อไปที่ NIDA สอบเข้าไปเรียน เรียนจบแล้ว กะว่าจะทำธุรกิจ จบมาเงินเดือนขึ้น เป็นหัวหน้าวิศวกร ทางโรงงานเค้าขอให้เป็นอะไรก็ได้ขอให้ทำงาน ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไปกลับกรุงเทพ – กาญจนบุรี ไม่มี work life balance งาน 24 ชม. นาน ๆ จะมีเข้าไปกินกาแฟนิดหน่อย สุดท้ายก็ทำงานต่อแต่ ไม่รู้จะไปยังไงต่อ มองไม่เห็นอนาคต เพราะโรงงานพวกนี้ อาจารย์ไพบูลย์ก็แนะนำว่าไปเรียนต่อได้เพราะสนิทกับ advisor ที่นั่น ก็เรียนที่อเมริกา ตีตั๋วใบเดียว ขากลับอีก 4 ปี เงินทั้งหมดไม่ได้เอาไป ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไปเรียนด้านการเงิน คล้ายกันมากกับอาจารย์ไพบูลย์ แต่ลงทุนไม่เคยคุยกัน รู้กันว่าจะตัดสินใจแบบไหน ความคิดยังไม่ทันพูดก็รู้แล้ว เรียกว่าใกล้เคียงกันมาก จบปริญญาเอกกลับมาก็ส่งไปเข้าทำงานที่สถาบันการเงิน
.
สุดท้ายตลาดหุ้นมาก็ได้เข้าไปทำ IB พอรู้ตลาดหุ้น วันนึงไปตัดผมอยู่ดี ๆ รู้สึกว่าจะตายหรือป่าว ก็จะช็อค พาไปโรงพยาบาล ตอนนั้นอายุ 33 มีลูกแล้ว กินกาแฟนหนักมาก อยู่บริษัทไม่เก่งทำงานหนัก 10 เท่าก็สู้เค้าไม่ได้ กลายเป็นเริ่มรู้ว่าไม่มีคนปูทางมาก่อน ไม่สำเร็จอะไรหรอก ทำไปถึงปี 2540 ก็เจ๊งเลย เช้ามา เลขาก็ยื่นซองเลย เปิดออกมาคุณถูกไล่ออกแล้ว bank กำลังจะเจ๊ง BOT ก็ยึด โดนให้ออกเดี๋ยวนั้นเลยก็เคว้งคว้างเลย สุดท้ายเพื่อนชวนเป็นที่ปรึกษา ช่วยกัน ไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว ทำไงดี ลูกเรียน inter 1 คน เก็บเงินมา 10 ล้าน สุดท้ายพบว่าตลาดหุ้นเป็นทางออกเพราะถูกมาก เป็นเหมือนเจ้าของบริษัทมีปันผลจ่ายเรา
.
ตอนทำงานเป็นที่ปรึกษาก็เบาแล้ว ไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา มีตำแหน่งมีเงินเดือนจ่าย รอดอยู่ 3 ปี บริษัทถูก take over ไป เอาที่ปรึกษาออก เพื่อนก็มาช่วยขาดคนที่ทำงานเกี่ยวกับความเสี่ยงใน bank ก็เข้าไป งานหนักมาก อยู่ bank ตอนที่กำลังฟื้นตัวและมีรายงานกู้เงินมหาศาลเลย ดูทุก case เครียดหนักเลย ขาดอะไรให้กู้เงินได้ก็พร้อมจะเอามาให้ ต้องการเงิน แต่เรามองธุรกิจไปไม่ไหวหรอก ก็เครียดหนัก แต่ก็ลงทุนมาตลอด ทำงานสถาบันการเงินก็เครียดเพราะความรับผิดชอบมันสูง ครั้งสุดท้ายอนุมัติไม่ไหวแล้ว เครียด เงินอะพอแล้วแต่ยังอยากทำงานอยู่ มันได้ทุกเดือน ๆ เพราะสมัยก่อนนักลงทุนถูกมองไม่ดี สุดท้ายก็เลิกตอนอายุ 51จริง ๆ ยังอยากเอาเงินมาเติมในหุ้น เพราะช่วงนั้นอะดีสุดเงินเดือนมันสูง มันได้เงินเยอะ เงินต้นมันเป็นตะเกียงดวงแรก ถ้ามี้เงินเยอะมันไปง่าย ตอนนั้นปันผลเยอะมากเมื่อเทียบกับเงินเดือนแล้ว พอมาเทียบความเสี่ยงตัวเองกับความเสี่ยงแบงค์ ตัวเองเสี่ยงกว่าเยอะ เสี่ยงติดคุกตลอด ออกมาก็เคว้งคว้าง ไม่มีงานทำเป็นที่ดูแคลนดูหมิ่นของสังคม สมัยก่อนแต่งงานกับแฟนพ่อตาไม่เห็นด้วย ยุคนั้นประเทศไทยเป็นแบบนี้
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 เป็นนักลงทุนเต็มตัว อย่าไป serious มาก work life ดีกว่า แต่การทำงานถ้าไม่มีเงินตั้งต้นมันสำคัญ คำถามต่อมา เมื่อพยายามจัดให้ work life balance อะไรทำให้เรื่องการลงทุนตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราในมุมอื่นที่มากกว่าเรื่องเงิน ?
.
อาจารย์ไพบูลย์ : เรียนจบแล้วไปไงต่อ ก็ไปทำสายที่จบมานั่นแหละ การก้าวจากมหาวิทยาลัยที่เรียนจบจากการลงทุนในสาขาเฉพาะไปสู่ตลาดหุ้นเป็นก้าวที่ใหญ่มาก ลงทุนหุ้นจะประสบความสำเร็จ ทุกคนเคยทำงานมาก่อนและทุกคนไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต การไปบริษัทเล็กได้ทำทุกอย่าง เหนื่อยแต่ได้เรียนรู้ เจ๊งก็ไม่เป็นไรไม่ใช่บริษัทเรา Bank ใหญ่ ๆ อยู่ไม่ได้ทำอะไรมาก หรือไม่ก็ไปเรียนต่อ แล้วจะให้รู้ว่าเราชอบอะไร มีน้อยที่รู้จักหุ้นทุกตัว เอาที่เหมาะว่าเราชอบประมาณไหม แต่ประมาณไหนถึงเข้ากับเรา หาประสบการณ์อย่างอื่นมาเติมเต็ม ลูกศิษย์ที่จบ NIDA อายุ 30 ปี เข้าไปในตลาดหุ้น ปัจจุบันไม่เหลือเลย
.
ดร. นิเวศน์ : ตั้งต้นแบบนี้เลย เขียนหนังสือด้วย ศึกษาพอสมควร ตาม warren buffett ลงทุนเพราะคิดว่าเป็นบริษัท เพราะปี 40 เรามีเงิน 10 ล้าน Apartment 40 ห้อง ก็คำนวนทำอะไรไป ถ้าช่วงนั้นไปดู volume น้อยมาก คนไม่เอาก็มองว่าเหมือนซื้อธุรกิจ ซึ่งปกติมักจะไม่ค่อยได้ถ้าไม่เกิดวิกฤต เช่น MAMA ดูไปแล้วตกใจ กำไรดีมาก ปันผลก็ดีมาก ลงทุน 100 จ่ายผม 10% ต่อปี PE 5 เท่า P/B ต่ำ 1 ทุกคนก็กินมาม่าเพิ่มขึ้นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจทุกคนก็กินเยอะขึ้น 10 ล้าน ปันผล 10% 1 ล้านให้ลูกเรียน 3 แสน ก็พอแล้ว แต่ถ้าไปลงตัวเดียวก็เสี่ยงไป ต้องกระจาย ซื้อ 5-6 ตัวเลย หุ้นที่ซื้อไม่ได้ถูกกระทบ แต่ถูกมาก ไม่ได้คิดจะขายด้วยไม่มีคนซื้อต่อ ปันผลดีอะไรต่าง ๆ ก็เก็บหุ้น พอตลาดเริ่มฟื้นก็มี VI แล้วก็เขียนหนังสือ VI ก็มากันใหญ่เลย คุณธันวามาหาถึงบริษัท ทำงานอยู่ singapore คุยๆ แล้วก็กระจายไป เริ่มมี Program ไว้คุยหุ้นกัน website คนก็มา join ได้ ชมรม VI อะไรประมาณรี้ ตลาดหุ้http://xn--q3c.com/ ชมรมไม่ไกลหรอกก็ตั้งเป็นสมาคม VI มีคนรับเรื่องไปทำ มี technology สำคัญสุดมองหุ้นให้เป็นธุรกิจที่มันดี ๆ โดดเด่น จังหวะแรก ๆ ขายบ้างเปลี่ยนตัวบ้าง รอดูตัวใหม่ ๆ ขึ้นไปแล้วแต่บางตัวดีกว่ายังไม่ขึ้น ขายตัวที่ขึ้นมาเยอะไปซื้อตัวถูก ๆ มี cash น้อยมากเพราะมีของใหม่ตลอดเวลา เหมือนคนที่มาจากทะเลทรายและเจอฮาเรม มีเยอะจนละลานตา Warren buffet พูด oversex ตกเข้าอยู่ในฮาเรม
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 ด้านดีด้านเสียของตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง
.
อาจารย์ไพบูลย์ : พอมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ก็จะผ่อนคลายแล้ว ตั้งรับให้ดี ต่อให้ตลาดวอดวายไป เราก็ยังมีเงิน แต่ในตลาดหุ้นความโลภไม่เคยพอ 1. เทียบกับตัวเอง 2. เปรียบเทียบกับเพื่อน ทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่าน ถือเป็นด้านไม่ดี พระทุกองค์จะบอกถ้าเล่นหุ้นอยู่อย่ามาบวช ให้เลิกก่อน เป็นด้านไม่ดี ส่งผลตอนป่วยหนัก เช่น ถ้าอีก 3 เดือนเสียชีวิต จะเอาไปทำไม
.
ดร.นิเวศน์ : เห็นด้วยกับ อ.ไพบูลย์ ความโลภ เลี่ยงไม่ได้ อยู่ในยีน ปี 42,43 ไม่ค่อยมีนะ เดี๋ยวนี้โชว์กันอุตหลุด มีการคุยกันว่าทำยังไง มีตัวเลขออกมา บางทีเป็น bubble เศรษฐี 1ใน10 ของประเทศ แบบหุ้นอยู่ใน corner สื่ออะไรต่าง ๆ มีเยอะ ไม่ได้สนใจว่าใครมีเท่าไหร่ ทำ ๆ ไปตั้งนานไม่มีความรู้สึกว่ารวยมาก ไม่ได้ตั้งบริษัทเพื่อลุยหุ้นต่อ ไม่ใช่ แต่ตั้งเพื่อแก้ปัญหาภาษีไปหน่อย สุดท้ายบริษัทนี้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ทิ้งไว้ 10 ปี ไม่ได้เครียดว่าต้องแข่งกับใคร ต้องหาความรู้ คนเก่ง ๆ เดี๋ยวจะมีคนเก่งกว่าตลอดเวลา ไม่ต้องไปดูหรอก จริงๆ Port ไม่ใหญ่ขนาดนั้น และมองว่าชีวิตคนบางคนไม่เหมือนกัน ต้องไปดูว่าชีวิตเรามันมีข้อจำกัด พอมีใช้ มีอะไรแล้ว เราจะไม่เครียด อย่าไปอยู่ในโลกมายาเรื่องการแข่งขัน เครียดแล้วจะมาลงทุนทำไม
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 พฤติกรรมในการลงทุนต้องเป็นยังไง ?
.
อาจารย์ไพบูลย์ : ควรทำยังไงให้ดี พฤติกรรมไม่ดีคือไม่กระจายแต่ไม่กระจายความเสี่ยง คนที่ Leverage อาจไปเร็วแต่มันจะไป Pressure ตัวเขาเอง เอาแบบสบายๆ ดีกว่า ด้านบวกก็ให้กระจาย ถ้ามีอะไรที่คิดไม่ถึง (unsystematic risk) มากระทบได้ ถ้าไปในจุดนึงที่สบายแล้ว ก้อนนึงควรอยู่ในจุดที่ไม่กระทบกับของพวกนี้ ที่มีก็พอกินจนตายอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว อย่าไปกระจุกมาก
.
ดร.นิเวศน์ : ในตลาดหุ้นก็มีคนได้เปรียบ ใช้ข้อมูลภายในที่เอาเปรียบหรือไปสร้างราคาเกินไปทั้งที่ไม่ควรเป็นอะไรแบบนี้ บางอย่างอาจจะไม่จริง ก็จะมีพวกนี้อยู่ หลังๆ พอถึงจุดนึงก็เอาแบบ แฟร์ ๆ ที่สุด ก็นึกถึงนักตกปลา จะต้องมีเกณฑ์หรือ Ethic อะไรสักอย่างที่เบ็ดจะใหญ่แค่ไหนก็ได้ มันไม่ใช่ นักตกปลาจริง ๆ จะมีคันเบ็ดที่เหมาะสม ไม่ใช่เอาอวนเอาอะไรไปจับ เราเป็นนักลงทุนเราก็เป็น artist เหมือนกันเล่นกัน fair ๆ ทำไปทำไม ตังก็มีอยู่แล้ว
ทำให้ fair มากขึ้น เช่น ผมรู้ข้อมูลตัวนี้ เราไม่เอา ถ้ามีคนรู้ว่าไปทำ จะมองว่าที่ได้มาเพราะแบบนี้หรือป่าว
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 บริบทการลงทุนมันเปลี่ยน ex. หุ้น MAMA, CPALL เปลี่ยนวิธีการลงทุนหรือป่าว
.
อาจารย์ไพบูลย์ : เหมือนเดิม กองหลังต้องแน่น ยิงประตูไม่ได้ไม่เป็นไร คือชีวิตของคุณ ถ้า save ไป ไปช้าก็ไม่เป็นไร เราไปเรื่อยๆ ขอไปช้าๆ ไปเร็วๆ มันเครียด ไม่ไหว บางคนบอกช้าไม่ไหว เครียด เกินไป
.
ดร.นิเวศน์ : เหมือนเดิมเลย แต่เปลี่ยนตลาด ใช้พลังงานน้อยกว่า และเห็นอยู่ว่าคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเยอะ เพราะต้องการอะไรที่เร็วมาก ดร.นิเวศน์อยู่บริษัทเดียว 7 ปี 10 ปี เลือกของเดิมของเรา โบราณแต่มีโบราณกว่าเราอีกหน่อย ถึงหากินไม่ได้ก็ตายอยู่ดี ของอะไรเดิมๆ เราก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ Old economy ก็ยังมีคนใช้ พอทัน เดี๋ยว EV จะมาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ของบางอย่างยังใช้ของเก่าก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เปลี่ยน เพราะเปลี่ยนไปก็ไม่ได้
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
🔰 Q&A 🔰
.
📍 จัดการกับภาษียังไงกับหุ้นต่างประเทศ ?
ดร.นิเวศน์ : ถ้าไปลงทุนแล้วไม่เอาเงินกลับ ก็ไม่เสีย แต่สรรพากรจะตรวจได้ไหมในอนาคต ทางที่ดีกว่าก็ไปลงทุนใน DR หรือกองทุนรวมต่างประเทศ เพราะอิงกับกงอทุนไทย ถ้าเก็บขึ้นมาก็ตายเลย
.
📍 อาจารย์ไพบูลย์ลงทุนต่างประเทศเท่าไหร่บ้าง?
อาจารย์ไพบูลย์ : เตรียมเงิน 10-20 % แต่ลงไปแล้ว 5%
.
📍 บทความอาจารย์นิเวศน์ที่เขียน action หุ้นจีนหรือยัง ?
ดร.นิเวศน์ : อายุขนาดนี้แล้วก็เปลี่ยนเป็น semi active / semi passive ดูกลุ่มไหนดีซื้อแล้วก็เก็บ megatrend หุ้น 10 ตัวที่เราชอบเป็นหุ้นผู้นำไม่เจ๊งง่ายๆ เจ๊งยาก ใช้กับตลาดจีน ตลาดไทยยังเป็น active อยู่ ตลาดไทยรอมานานแล้วขึ้นมาเดี๋ยวก็ลง ศึกษาภาพใหญ่แต่ไม่ศึกษาภาพเล็ก ดูวัฒนธรรม ดูถึงหลายๆ เรื่อง ระบบประเทศจะเป็นยังไง พร้อมหรือยัง แต่จีนรู้แล้วปัญหาคืออะไร ฝ่าฟันไปยังไง ก็ศึกษาอยู่
.
📍 ถ้าวันนี้ต้องเริ่มสร้างตัวจะให้คำแนะนำยังไง
อาจารย์ไพบูลย์ : ถ้าต้องสร้างใหม่ทุกวันนี้ ไม่เอาแล้ว ลงทุนหุ้นไทยยากกว่าเดิมเยอะมาก ทั้ง robot short sell และอะไรอีกหลายอย่างที่นักลงทุนหุ้นไทยไม่รู้ แต่สมัยก่อนจะเป็นการเอาเปรียบข้อมูล ถ้าต้องสร้างตัวใหม่ก็ไปวางแผนการเงิน ซื้อประกัน หรืออะไรต่างๆ ดีกว่า
ดร.นิเวศน์ : contratrian ตอนเข้าไปไม่มีใครสนใจ ถ้ามาวันนี้ คนแห่มาหุ้นก็แพง เข้ามาก็อาจจะเจ๊งได้ ต้องระวัง กลับไปทำงานน่าจะดีกว่า เข้ามาในยามที่ทุกคนฮือฮา เจ๊ง เข้ามาละตลาดเงียบอาจจะรวย เลือก DCA และเลือกประเทศดีๆ
.
📍 อยากทราบเป้าหมายชีวิต
อาจารย์ไพบูลย์ : ตายช้าหน่อย enjoy ทรัพย์สมบัติ และตายแบบแข็งแรง อยากตายก็ตายเลย
ดร.นิเวศน์ : อายุขนาดนี้ ก็ให้อายุยืนสุขภาพแข็งแรง แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ง่ายหรอก ธรรมชาติ อย่าไปอดอยากหรือวิ่งเยอะเกิน เราก็รู้สึกอยากกินก็กินไป หาความสุขไปก่อน ทำไมต้องไปดิ้นรนด้วย
.
📍 Valuation ในแต่ละหุ้นประเภท
อาจารย์ไพบูลย์ : (CFA) พูดตรงนี้ไม่ควรจะทำ บางครั้งเป็นการดู short term มากๆ PE ต่ำก็ซื้อ PE แพงก็ขาย ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดร.นิเวศน์ : ประเมินได้ไม่กี่ sector ได้แค่สม่ำเสมอมากๆ รู้เบื้องหลังพวกนี้หมดก่อน ถ้าบอกปิโตรเคมี ประเมินไม่ได้ ซื้อได้แต่ต้องถูกมากๆ
.
📍 หนังสือแนะนำ 2 เล่ม
อาจารย์ไพบูลย์
1. คู่มือมนุษย์ ของ พุทธ เล่ม modify อ่านแล้วจะรู้จักคิดในทางที่ควรจะคิดมากขึ้น
2. ริบบิ้นสั้น Li kim huang เพราะ พระเอกเป็นคนรักเพื่อนมากยอมลำบากและมีวิชาสูงสุดในแผ่นดิน
3. Random walk on Wall Street
ดร.นิเวศน์
1. Random walk on Wall Street ทำให้มองว่าไม่ง่ายในการลงทุน
2. Homo sapiens
3. ข้างหลังภาพ (คุณหญิงกีรติ)
.
📍ตัวอย่างนักลงทุนรุ่นใหม่ที่น่าติดตาม
มีหลายคนเลย ไปตามดู money talk ย้อนหลัง 10 ปี
.
📍 เบื่อไหมที่ต้องเป็นนักลงทุนเล่าชีวิตตัวเอง 10 ปี ถ้าเลือกได้อยากเป็นนักลงทุนที่ไม่มีชื่อเสียงไหม ?
เป็นอะไรที่ชอบทำ ถ้าไม่พูดไม่รู้จะออกจากบ้านมาทำอะไร เพราะไม่ CV ถ้าเลือกได้ ไม่มีชื่อเสียงจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ จะมีความสุขคนละแบบ เราชอบความสุขธรรมดา
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ตอนสุดท้าย *
ติดต่องาน
E-mail : Longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum#ลงทุนดิ