เร็วๆนี้ คุณ Chal Chalermdej นายกสมาคม Thai VI คนปัจจุบัน ได้มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในสัมมนา Thai VI ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งรวมถึงผม โดยคุณเชาว์บรรยายเรื่องการจัดพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน โดยให้คำแนะนำแบบสรุปง่ายๆว่า ในพอร์ตหุ้นของเรานั้นควรมี
1. จำนวนหุ้น = รู้(จักหุ้น)มากถือมาก รู้น้อยถือน้อย
* รู้น้อย ถือหุ้น 20 ตัว กระจายคามเสี่ยง
* รู้มาก ถือหุ้น 3-5 ตัว
* คุณเชาว์แนะนำให้ถือหุ้นหุ้นแค่ 5-10ตัว
* พอร์ตใหญ่ ถือหุ้นเยอะขึ้น (กระจายความเสี่ยง)
2. ความกระจุกตัว = ถือแบบกระจุกในตัวที่เรามั่นใจ
* ตัวที่ถือตัวแรกอัด 30-50% ของพอร์ต
* ถ้าขึ้น 5เท่า 10 เท่า มันสร้างความแตกต่างกับพอร์ต
ชอบค้าขายลองดูหุ้น CPALL, Walmart, Costco
ชอบเทคโนโลยี ลองดูหุ้น Amazon, Infosys, TSMC
ชอบแฟชัน ลองดูหุ้น LVMH, Hermès, Adidas
ชอบรถลองดูหุ้น Toyota, Ferrari
ความชอบเป็นแค่จุดเริ่มต้นให้เราไปศึกษาต่อไป
เมื่อเลือกหุ้นมาแล้ว จะจัดพอร์ตหุ้นแบบที่คุณเชาว์แนะนำ ถือเฉพาะตัวที่เรามี ถือกระจุกในพอร์ตหุ้น (แต่โดยรวมเป็นแค่สัดส่วนเล็กๆของเงินลงทุน) แล้วค่อยๆให้การเวลาตัดสินว่าเราสามารถเลือกหุ้นได้ชนะตลาดหรือเปล่า ก่อนที่จะค่อยปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
ผมเชื่อว่าน่าจะเหมาะสมและมีประโยชน์ต่อนักลงทุน 90% ทุกท่านครับ
#portfoliomanagement #alphainvesting
#10percent
รวม 5
30 แนวคิดการลงทุนของ คุณหมอพงศ์ศักดิ์ นักลงทุน VI ระดับ 2 หมื่นล้าน
1. จะลงทุนบริษัทให้ดู Cycle ของธุรกิจ
Stage 1 : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ (Startup)
Stage 2 : เริ่มโต แต่ Cashflow ติดลบ
Stage 3 : เริ่มโตขึ้น และ Cashflow เริ่มเป็นบวก
Stage 4 : ช่วงธุรกิจขยายตัว (Scale up)
Stage 5 : ธุรกิจเริ่มอิ่มตัว (Maturity)
Stage 6 : ช่วงธุรกิจเริ่ม Decline
2. นักลงทุนที่เป็น VC จะเลือกลงทุนที่ Stage 1 -2 แต่นักลงทุน VI จะลงทุนช่วง Stage 3 และจะได้ผลตอบแทนดี..ที่ความเสี่ยงไม่เยอะ
3. แต่ส่วนใหญ่ที่เราลงทุนแล้วได้ Returns กลับมาน้อยๆ เพราะ เราดันไปลงทุนธุรกิจ ที่อยู่ใน Stage 4-5 ไปแล้ว
4. ถ้าจะลงทุนบริษัทที่ Stage 1-2 จะวิเคราะห์ 4 อย่าง คือ :
– ตลาดใหญ่มั้ย?
– บริษัทจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้เท่าไหร่?
– แล้วถ้าแย่งชิงตลาดมาได้ จะได้กำไรเท่าไหร่?
– กำไรเท่านี้ Impact กับบริษัทมั้ย?
5. จะลงทุนบริษัทอะไร ให้ศึกษาผู้บริหาร และวิเคราะห์ว่า เขามีความสามารถ 2 ข้อนี้หรือไม่ คือ
– ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ
– ความสามารถในการจัดการเงินลงทุน
6. ผู้บริหารส่วนใหญ่จะเก่งในการบริหารธุรกิจ แต่จะมีจุดอ่อนในเรื่อง การบริหารเงิน
7. เพราะส่วนใหญ่พอได้เงินมา จะเอาไปขยายงาน ที่ได้ Return กลับมาไม่ดี (ถ้า ROE ต่ำๆ จะไม่ค่อยน่าลงทุน)
8. ผู้บริหารที่ดี คือ ผู้บริหารที่ตรงไปตรงมา หมายถึง เป็นคนที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด
9. 4 คุณสมบัติผู้บริหาร ที่น่าลงทุนด้วย คือ
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นนักกลยุทธ์มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ หาโอกาสเก่งมั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่ค่อยๆสร้างธุรกิจให้โตใช่มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่คิดอะไรใหม่ๆเสมอมั้ย?
10. เพราะผู้บริหารบางคนฉวยโอกาสเก่ง แต่ไม่ยั่งยืน หรือ บางคนก็สร้างอะไรใหม่ๆเสมอ แต่ไม่มีกลยุทธ์ระยะยาว ดังนั้น ถ้าไม่ครบเครื่อง 4 ข้อ ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะลงทุนด้วย
11. ในมุมของพี่กระทิง (VC) เวลาจะลงทุน Start Up จะดู 7 ข้อ คือ
– มองทีมผู้ก่อตั้ง (Winning founding team)
– มีตลาดที่ใหญ่เพียงพอ
– มีเทคโนโลยีที่ยากจะลอกเลียนแบบ
– มี Unfair Advantage ที่คู่แข่งไม่มี
– มีความสามารถในการดึงดูด Talent
– มีช่องทางในการทำ Profitibility
– The way to exit
12. ในมุมของนักลงทุน VI จะเลือกลงทุนในธุรกิจ กึ่งๆ Monopoly หมายถึง ธุรกิจที่สามารถ Scale จนเป็น เบอร์ 1 ของตลาด
13. จะดูได้อย่างไรว่าธุรกิจนี้ เป็น กึ่งๆ Monopoly – ให้ดูที่ยอดขาย ว่าต่างจากคู่แข่งในตลาดประมาณ 4-5 เท่า
14. แต่ถ้าเราจะลงทุน ให้ลงทุนช่วงที่ยอดขายมากกว่าคู่แข่งในตลาด 2 เท่า ถ้าเราไปรอว่าธุรกิจนี้จะต้องใหญ่กว่า 3 เท่า….แบบนี้ช้าไปแล้ว
15. แต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะมีผู้ชนะ จนเป็น Monopoly เช่น ธุรกิจสายการบิน คงไม่สามารถปิดน่านฟ้าและบินได้เจ้าเดียว หรือ อสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ใช่มีเจ้าเดียวที่ก่อสร้างได้
16. ดังนั้น อุตสาหกรรมประเภทนี้เราจะลงทุนก็ได้…แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะสั้น หรือ ราคาต้องถูกมากๆ ถึงจะน่าลงทุน และ เมื่อราคาขึ้นมาเหมาะสมก็ค่อยขาย
17. เวลาลงทุนให้เราวิเคราะห์อุตสาหกรรมก่อน ว่าจะมี ผู้ชนะในตลาด เพื่อที่จะมี Monopoly Power หรือไม่ ถ้ามีก็ น่าลงทุนระยะยาวได้
18. การเป็นนักลงทุน VI จะให้ “ความสำคัญกับ ความเสี่ยง มากกว่า Return” เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ Black Swan เราจะเจ็บหนักมาก แต่ถ้าประเมินความเสี่ยงแล้ว เมื่อเทียบกับ Return พอรับได้ ก็จะค่อยๆลงทุน
19. เวลาลงทุน จะไม่ลงทุนไม้เดียว จะค่อยๆลงทุนและเรียนรู้กับบริษัทนี้ (เฉลี่ยประมาณ 3 ปี) เพื่อเข้าใจความเสี่ยง เข้าใจธุรกิจดีพอ แล้วจะค่อยๆ ลงทุนเพิ่ม
20. 4 เหตุผลที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน เป็นเพราะ
– ลงทุน โดยที่ไม่เข้าใจธุรกิจ
– มองความเสี่ยงไม่ขาด
– ศึกษาอุตสาหกรรมไม่ดีพอ
– เราเชื่อคำพูดผู้บริหารมากเกินไป (ให้ระวังผู้บริหารที่สร้างภาพมากเกินไป)
21. ถ้าคนอยากซื้อเราต้องไม่ซื้อ – แต่ถ้าคนไม่อยากซื้อ เราต้องรีบเข้าไปวิเคราะห์
22. ให้เรากล้า ในระหว่างที่คนอื่นกลัว – ทุกครั้งที่ทุกคนบอกว่าบริษัทนี้ไม่ดี และเทขายทิ้ง ให้เรารีบเข้าไปวิเคราะห์ทุกครั้ง ว่าเป็นวิกฤติชั่วคราวหรือ วิกฤติถาวร
23. ถ้าเป็นวิกฤติชั่วคราว แล้วเรามีความกล้ามากพอที่จะลงทุน เราจะได้ผลตอบแทนกลับมาสูง
24. ถ้าจะลงทุนธุรกิจสัปทาน ต้องระวังเรื่องการต่อสัมปทานด้วย และ ธุรกิจสัมปทาน ต้องดูเรื่องการเมืองควบคู่ ถ้าเปลี่ยนขั้วการเมือง หรือ ไม่ได้ต่อสัปทาน จะมีความเสี่ยงสูงมาก
25. เหตุผลที่เราต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนให้ลึกซึ้ง เพราะ เราจะสามารถประเมินอนาคตของธุรกิจนี้ได้ และ ประเมิน “มูลค่า” ได้ ยิ่งถ้าเราถนัดและคุ้นชินกับอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุนด้วย เรายิ่งจะประเมินธุรกิจออกได้ง่าย
26. เราควรทำ Financial model และใส่ตัวเลข คาดการณ์ล่วงหน้า ของธุรกิจที่เราจะลงทุนในทุกๆไตรมาส ว่า “ผลประกอบการเป็นไปตามที่เราคาดการณ์หรือไม่?” ถ้าใช่ก็ให้ค่อยๆลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าไม่ใช่และผิดไปมาก ก็ต้องรีบขายออก ข้อดีของวิธีนี้คือ “เราจะรู้ตัวเร็ว”
27. เมื่อยิ่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงเรายิ่งต้องระวัง – ถ้าธุรกิจมี New S Curve ต้องดูว่า มีความเป็นไปได้มั้ย และ ทำกำไรหรือเปล่า สุดท้ายถ้าเราตีมูลค่าได้ เราจะค่อนข้างลดความเสี่ยงไปได้สูง
28. เราควรขายหุ้นที่เราลงทุนเมื่อไหร่? ให้กลับไปดูที่ Life cycle ของธุรกิจ ถ้าธุรกิจมัน Maturity ไม่โตแล้ว ให้ลองหาธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตเพื่อลงทุน (ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นแล้วถือตลอดชีวิต)
29. ถ้าเราลงทุนแล้วขาดทุน เวลาทำใจให้คิดว่า “เราเหลืออะไร มากกว่าเสียอะไร” อย่าไปยึดติดความผิดพลาด แต่ให้เรียนรู้และหาโอกาสในการลงทุนต่อไป
30. สิ่งที่เราควรฝึกฝน คือ ยิ่งหุ้นตก ทุกคนเทขาย ให้ฝึกนิสัยรีบเข้าไปวิเคราะห์ และตีมูลค่า เพราะ “ทุกวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ”
วันนี้โชคดีมากๆที่ได้ฟัง แนวคิด การลงทุน ทั้ง VC และ VI
ขอบคุณคุณหมอพงศ์ศักดิ์ พี่กระทิง ที่แชร์ Wisdom ให้ฟัง มากๆเลยนะครับ
ขอบคุณทีมงาน Disrupt ที่จัดงานขึ้นมานะครับ🙏😊
#CXO #CXO3
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน : วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
วิทยากร
1.ทิวา ชินธาดาพงศ์
2.ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
3.วีระพงษ์ ธัม
4.กิตติศักดิ์ โควินกวีวัฒน์
5.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
6.วัชระ แก้วสว่าง
7.ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ
8.ภาคภูมิ ศิริหงษ์ทอง
9.Mr.Bin Shi
10.ยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร
11.Mr.Pon Van Compernolle
12.อนุรักษ์ บุญแสวง
Session 1 Take Off : ทำไมคนไทย ต้องออกเดินทางไปลงทุนหุ้นนอก
1.Playbook 1 : Forget Who and Where You Are and Start Hunting For Growth Ex.หุ้น100 เด้ง ฝั่ง America Google, Priceline, Netflix
หุ้น Super Stock ฝั่ง Japan Nintendo, Uniqlo, Softbank
2.Playbook 2 : Runway of Growth (Ex.Case Study ในอดีต Home Depot vs Home pro ต่างก็เป็นหุ้นที่ทำกำไรมหาศาลทั้งคู่
อยู่ที่ Time Frame ที่เราเลือกมาจับมาว่าเป็นช่วง Timing ไหนและระยะเวลานานเท่าไร ซึ่งทั้งคู่)
3. 4 Stage ของการลงทุน 1.The Introduction Stage 2.The Growth Stage 3.The Maturity Stage 4.The Decline Stage ใช้เพื่อแยกแยะว่าบริษัทที่เราลงทุนตอนนี้อยู่ใน Stage ไหน
4.เราจำเป็นที่จะต้อง คิด วิเคราะห์ ความเสี่ยงในการลงทุน เทียบกับโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ
5. เหยี่ยว vs นก Kiwi, โดยหลักเหยี่ยวจะสามารถบินไปมา เพื่อที่จะเลือกพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่นก Kiwi นั้นแม้จะมีปีก แต่ก็บินไม่ได้และพบได้เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น เปรียบเสมือนการลงทุนที่เราควรจะเลือกเป็นเหยี่ยวที่บินไปมาเพื่อหาแหล่งพื้นอาหารที่สมบูรณ์ หรือเราจะเลือกเป็นนกกีวี ที่อยู่แต่เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
6.Playbook 3 : What is Understanding
กลับไปสู่ Back to Basic คือ เข้าใจในสินค้าและบริการ แม้จะลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่เราก็สามารถมองหาและเข้าใจในสินค้าและบริการได้เพราะ แม้จะเป็นร้านสะดวกซื้อก็มีสินค้าที่มาจากบริษัทจากต่างประเทศ หรือเวลาไปเดินในห้างสรรพสินค้าหรูๆ ก็มี Shop จากต่างประเทศมากมาย
7.Playbook 4 : What is Risk (Risk vs Opportunity)
8.Hunting การล่า (ตามล่าหาหุ้นเด้ง)
Trapping การขุดหลุมล่อ (โดยดูฤดูกาล)
Farming ปักหลักระยะยาว (Ex.หาหุ้นแบบ Megatrend และปักหลักระยะยาว)
9.What got you here, won’t get you there
อะไรที่อาจจะทำให้พาคุณมาถึงที่นี่ อาจจะไม่สามารถทำให้เราก้าวข้ามต่อไปจนถึงอีกฝั่ง
Session 2 Boarding Time : ถ้ามีงานประจำ แล้วจะติดตามหุ้นนอกอย่างไร?
10.Ex.Criteria บริษัทการลงทุน 1.)มีศักยภาพแข่งขันในระยะยาว 2.)การเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.)ราคาที่เหมาะสม 4.)งบการเงินดี
หุ้นดีๆ อยู่รอบตัวเรา , Mindset คือการมองที่ธุรกิจ
11.Ex.จุดเด่นของบริษัท Apple : 1.)Brand Strong 2.)Innovation 3.)Ecosystem 4.)Profitability
12.เปรียบการลงทุน เสมือนกับการตีเทนนิส ผู้ที่จะชนะในการลงทุนในระยะยาวคือ ผู้ที่พลาดน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม
13.จะ Valuation บริษัทได้นั้นเราต้องมีความเข้าใจในธุรกิจอย่างถ่องแท้
14.Checklist การลงทุนเบื้องต้น
1.)Business Model เป็นอย่างไร รายได้ธุรกิจมาจาก บริษัทอะไรบ้าง
2.)MOAT มีไหมและมาจากอะไรเช่น Brand, Network Effect, Economy of scale
3.)ตัวชี้วัดทางธุรกิจและอัตราส่วนทางการเงิน
4.)ผู้บริหาร
5.)ความเสี่ยงของธุรกิจ
15.Ex.Case การ Screen หุ้น
1.)Top Brand Company
2.)Hard to be disrupted
3.)Market Leader
4.)Durability Company
5.)Growth Consistency
จากนั้นจึงค่อย pick up Stock
Session 3 New York Call : หุ้นสหรัฐ
16.Female Economy : Female Spending power spending significant role than before
ปัจจัยสนับสนุนคือ 1) ตลาดผู้หญิงในกลุ่ม Millennials ที่มีกำลังซื้อสูงและกล้าใช้จ่าย 2) บทบาทของผู้หญิงที่เด่นชัดขึ้นในตลาดแรงงาน ทำให้สามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต 3) ผู้หญิงมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจและกำหนดการจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนมากขึ้น
17.แนวคิดการลงทุนหุ้นเติบโต บางส่วนสามารถศึกษาได้จากหนังสือ
7 Powers: The Foundations of Business Strategy by Hamilton Helmer
Ex.เรื่อง Switching Cost ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้ Platform อื่น
18.แม้บางที Business model จะดี เราเองก็ยังต้องประเมิน Valuation ควบคู่ไปด้วย เพราะแม้ Business model จะดี แต่ถ้าเข้าซื้อในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมเราก็อาจจะทำให้เราไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
19.เวลาวิเคราะห์หุ้น อาจจะต้องประเมินในหลายมิติ เช่น สินค้าประเภทนี้ มีโอกาสที่จะถูกสินค้าประเภทอื่น หรือบริการอย่างอื่นมาทำให้เกิดผลกระทบกับยอดขายของสินค้านี้หรือไม่
20.Theme นึงของการลงทุน คือ ลองมองหา
1.)Underdog
2.)Underowned
3.)Undervalue
เพราะอาจจะเป็นบริษัทที่คนส่วนใหญ่ไม่มีคนมาสนใจ ทำให้ความคาดหวังของราคาหุ้นไม่สูงมาก กรณีที่เกิดมี product ใหม่ หรือ Catalyst เกิดขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดสิ่งดีๆกับหุ้นตัวนั้นได้
21.ปัจจัยนึงที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น คือ โครงสร้างการถือหุ้นและผู้บริหาร บางครั้งการเปลี่ยนผู้บริหารก็อาจจะส่งผลดี/ผลเสีย ต่อกิจการของบริษัท
22.กรณีที่เป็นหุ้นที่ Too hard to be understanding ก็คงเป็นหุ้นที่ไม่เหมาะกับการลงทุนของเรา โดยหลักเราควรจะเลือกหุ้นที่เราสามารถ Predictable รายได้และกำไรได้
Session 4 Turbulence : ช่วงเวลาที่ผันผวนของหุ้นนอก เลวร้ายอย่างไร มีวิธีรับมือแบบไหน?
23.เวลาอ่านข่าว เราควรดูจากหลายแหล่งข่าว เพราะสื่อตะวันตกก็อาจจะมี Bias กับประเทศ Asia บางประเทศ
24.Theme นึงที่เลือกใช้ คือเน้นหุ้นที่บริษัทดี, มีคุณภาพ ที่มีปันผลดี และกระแสเงินสดดี ถือไประยะเวลาที่นานพอ ราคาหุ้นที่ฟื้นตัวกับปันผลที่ได้ ก็อาจจะทำให้เราได้กำไรจากการลงทุนพอสมควรจากการลงทุน (ผลประกอบการที่ดี วันนึงราคาของหุ้นก็ต้องสะท้อน)
25.America ดินแดนแห่งโอกาส ถ้าสามารถเลือกหา ธุรกิจที่เราเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่เติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
26.ลงทุนให้เหมาะกับจริตของเรา เช่นถ้าเราเป็นคนที่ชอบศึกษา Business ของธุรกิจ Technology เราก็อาจจะเหมาะกับการลงทุนประเภทนี้
27.กรณี Farming หรือเลือกปักหลักกับหุ้นในระยะยาว ปัจจัยเชิง Qualitative สำคัญกว่าปัจจัยเชิง Quantitative
28.การที่เราเลือกลงทุนในต่างประเทศ ก็อาจจะมีข้อดีอย่างนึงคือ เราจะมี Option ในการ Switch หุ้นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะขายหุ้นจากประเทศ A เพื่อนำเงินกลับมาซื้อหุ้นที่ประเทศไทย ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยลงหนัก เราก็อาจจะได้ในแง่สามารถช้อนหุ้นในราคาถูก แถมยังได้กำไรจาก Exchange Rate ที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว เวลาแลกเงินกลับมาเป็นเงินไทยก็อาจจะได้เงินบาทมากขึ้น
29.การจัดเก็บภาษีหุ้นนอก เป็นประเด็นที่ควรต้องติดตามต่อ ขณะนี้ กรมสรรพากรอยูระหว่างคุยกับ ธปท. และ กกต. อยู่ เป็นประเด็นที่อาจจะส่งผลกระทบกับนักลงทุนที่ไปลงทุนมนต่างประเทศ
Session 7 Shanghai Terminal : คุยกับผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน
30.อุตสาหกรรมยาที่จีนกำลังเริ่มที่จะ Penetrate อาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่เป็น Wave ถัดไปในอนาคต
31.จุดสำคัญ อย่างนึงของประเทศจีนที่ส่งผลต่อการลงทุน คือเรื่อง Government Regulation อย่างเช่น Case After School Tutor,
Healthcare, Tech Giant เป็นต้น
ซึ่งถ้า Government กลับมา Focus ที่เศรษฐกิจและออกนโยบายที่ผ่อนคลายบางอย่างก็อาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนได้
Session 8 Ho Chi Minh Terminal : คุยกับนักลงทุนไทย ที่รู้จริงในตลาดหุ้น Vietnam
32.อุตสาหกรรม ธนาคาร ที่ผ่านมาสินเชื่อโตปีละ 15% โดย Bank ควรจะต้องดู 1.)NPL 2.)Corporate Ratio 3.)LDR 4.)Valuation โดย Bank ที่ Vietnam มีข้อดี คือ 1.)Loan Growth สูง เช่น 15% 2.)ROE สูง เช่น 20% 3.)P/BV ต่ำ 4.)P/E ต่ำ
33.พึงระวังบริษัทที่หันไปทำธุรกิจที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท
34.Farming Vietnam : โดยมองว่าเศรษฐกิจมีโอกาสขับเคลื่อนเติบโตสูงในระดับหนึ่งใน 5-10 ปีข้างหน้า
35.Mindset การลงทุนที่ Thai อาจจะไม่สามารถนำมาใช้กับการลงทุน Vietnam ได้ 100% อาจจะมีบางบริบทที่ไม่เหมือนกัน
Session 9 Final Call : Pitching 3 บริษัท USA, China, Vietnam
36.Criteria นึงในการเลือกบริษัทคือ TAM ใหญ่, มี Competitive Advantage, เป็นบริษัทที่มี Network Effect , มี Free Cash Flow ที่ดี
37.เวลาเราจะเลือกลงทุนบริษัทนึง อาจจะต้องฝึกตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องใช้บริการบริษัทนั้น เราสามารถเลือกใช้บริการของบริษัทอื่นแทนได้ไหม เพื่อไม่ให้เรามี Bias ในบริษัทนั้นจนเกินไป
38.Theme การลงทุนอย่างนึง บริษัทที่มี DCA แต่อาจจะมีปัญหาชั่วคราวบางอย่าง ซึ่งถ้ารายได้และกำไรกลับไปที่จุดที่ควรจะเป็นและเราซื้อบริษัทนั้นได้ในราคาที่ไม่แพง ก็มีโอกาสที่จะได้กำไรมหาศาลได้
39.เวลาเลือกลงทุน เราอาจจะต้องลองมองหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งหรือหลายๆประเทศ เพื่อเป๋นข้อมูลประกอบให้เราสามารถวิเคราะห์บริษัทนั้นๆ หรือความเป็นไปได้ในการดู TAM ในอนาคตของบริษัทได้ เช่นบริษัทในจีนแต่เราอาจจะลองมองหาบริษัทที่ทำกิจการที่คล้ายๆกันในประเทศอื่นๆเพื่อ Benchmark เปรียบเทียบกัน
40.Dhandho Investing : Downside ต่ำ (โอกาสแพ้น้อย) แต่มีโอกาสได้กำไร/Upside สูงๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพิธีกร และพี่ๆทีมงานที่จัดงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน ทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 9 Oct 23
(2 Years Promise)
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 พลัง/กลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ
“องค์กรที่ดำเนิน/ปฏิบัติงานได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ดี ถ้าไม่มีกลยุทธ์ที่ดี” CEO Netflix ได้กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ โดยหนังสือ 7 Powers นั้นได้อธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาธุรกิจ/บริษัทชั้นนำ ซึ่งเริ่มแรกหนังสือได้กล่าวนิยามของ กลยุทธ์ ว่าคือ แผนการ/หนทางในการสร้าง/รักษาอำนาจทางธุรกิจในตลาดที่สำคัญ โดยหนังสือได้แบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 2 กลุ่มคือ Strategy Statics ซึ่งมี 7 หัวข้อย่อย และ Strategy Dynamics ซึ่งมี 2 หัวข้อย่อย โดยบทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 โพสต์ ซึ่งโพสต์แรกนี้จะกล่าวถึง Strategy Statics 5 ข้อแรก ดังนี้
Scale Economies คือ ธุรกิจที่ต้นทุนต่อหน่วยลดลง เมื่อปริมาณการผลิตเพิ่ม่ขึ้น โดยหนังสือได้ยกตัวอย่าง Netflix ว่ามีกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale อย่างมาก โดยใช้ยุคเริ่มแรกนั้นธุรกิจ Netflix เริ่มจากการปล่อยเช่าวีดิโอ/DVD โดยผู้นำได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างถูกต้องหลายครั้ง ได้แก่ การมุ่งสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง(Bet on Internet/Streaming) และถัดมาก็ดำเนินกลยุทธ์แบบ Exclusive Right/Original Contents ซึ่งเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ที่มาอย่างถูกจังหวะเวลา ทำให้ Netflix สามารถใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale ได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ การสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นการประหยัดหน้าร้านและค่าใช้จ่ายสนับสนุนสำหรับการเช่าDVDออนไลน์ ส่วนการทำ Original Contents ที่ได้เริ่มช่วง 2012 นั้นเป็นช่วงที่เริ่มมีปริมาณ Subscriber เติบโตเยอะพอสมควรแล้ว การลงทุนสร้างหนัง/ซีรี่(Fixed Cost) แล้วฉายให้ฐานผู้ชมที่กำลังเติบโตสูงนั้นจึงเริ่มคุ้มในเชิงกลยุทธ์
Network Effect คือ ธุรกิจที่มูลค่ามากขึ้น เมื่อมีคนใช้แพลตฟอร์มมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่าง LinkedIn ซึ่งตอบโจทย์และมีคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการสร้าง Network Effect ได้แก่ เป็นตลาดที่ Winner Take All เป็นธุรกิจที่มีขอบเขต/กำแพง(boundary)ชัดเจน มีการใช้งาน(Engagement)สูงตามปริมาณคนใน Network และเป็นบริษัทที่มีสินค้า/Solution ที่ดี/ได้ผลจริง ตั้งแต่ช่วงแรก(Leader มากกว่า Follower) ซึ่งจะเห็นว่า LinkedIn มีข้อดีเหล่านี้ครบ โดยตลาดหางาน(Professional Recruitment) นั้นเป็นเหมือน Winner Take All ธุรกิจมี boundary หรือกำแพงกั้นคู่แข่งอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากความพยายามทำ Service เดียวกันของ Facebook โดยการซื้อ Branchout แต่ไม่สำเร็จ ส่วนนึงเพราะผู้คนอยากแยกชีวิตทำงาน และชีวิตส่วนตัว รวมทั้งเป็น Network ที่คนยิ่งมาก Engagement ก็ยิ่งมากตาม สุดท้าย ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม ธุรกิจที่มี Network Effect โดดเด่น เช่น iOS(Apple), Social Network(Facebook) เป็นต้น
Counter Positioning คือ การสร้างโมเดลธุรกิจที่ตรงข้ามกับตลาดโดยสิ้นเชิง โดยใช้ตัวอย่าง บริษัทบริหารจัดการหลักทรัพย์ Vanguard เทียบกับ Fidelity ซึ่งแต่เดิมช่วงก่อนปี 1975-1990 นั้น Fidelity เป็นบริษัทรายใหญ่ในสาขานี้ และใช้โมเดล Active Fund(เก็บค่าบริหารแพง และเลือกหุ้นดีดี) แต่ Vanguard กลับเสนอโมเดล Passive Fund ซึ่งจะเก็บค่าบริหารถูกมาก และบริหารตาม Index ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า AUM ของ Vanguard ก็เติบโตขึ้นมหาศาล จึงได้พิสูจน์ว่า Counter Positioning ในเรื่องนี้ Vanguard(Passive) นั้นเป็นโมเดลที่เหมาะสมกว่า ทีนี้ลองพิจารณาว่า ทำไม Fidelity ที่เห็น Vanguard ทำโมเดล Passive มานานกว่า 30 ปีแล้วถึงจะมาเริ่มปรับตัว อาจมาจากเหตุผลต่างๆเหล่านี้ เช่น การไม่คิดว่าโอกาส(ตลาด)ของ Passive Fund จะใหญ่พอ กลัวว่ารูปแบบกองทุนแบบ Passive จะมากินส่วนแบ่งรายได้เดิมลง(Cannibalize) มีความยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ ว่า Active Fund เวิร์คในอดีต อนาคตก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน และอาจมีปัญหา Agency Bias คือ ผู้บริหารไม่กล้าเปลี่ยนกลยุทธ์เพราะกลัวผลประโยชน์ของตนหรือของบริษัทระยะสั้นจะลดลง
Switching Cost คือ ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่น โดยธุรกิจที่มี Switch Cost ยิ่งสูงยิ่งดี ซึ่งหนังสือกล่าวว่ามีปัจจัยที่ช่วยทำให้แพลตฟอร์มมี Switch Cost สูง ได้แก่ สินค้า/บริการมี Learning Curve สูง(เช่น Adobe ที่คนใช้เป็นแล้วไม่อยากไปเรียนรู้โปรแกรมใหม่) มีมาตรฐานอุตสาหกรรม(เช่น Microsoft office File format สำหรับสำนักงาน) มี Bundling Synergy เยอะ(เช่น SAP, Amazon Prime มีบริการหลากหลายที่ตอบโจทย์) มีความผูกพันทางอารมณ์(เช่น Apple) มีข้อมูลลูกค้าอยู่มาก(เช่น Spotify ทำให้ย้ายแพลตฟอร์มยาก) หรือลูกค้ามีโอกาสเสียหายเพิ่มเติม(เช่น เปลี่ยนค่ายมือถือต้องจ่ายเพิ่ม หรือจะเปลี่ยนโปรแกรมองค์กรอาจมี downtime หรือข้อผิดพลาดได้) ซึ่งบริษัทที่สร้าง Switching Cost ได้อย่างดีสำหรับแพลตฟอร์มตนเอง เช่น Microsoft Office ซึ่งเป็นสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาด ใช้อย่างกว้างขวางจนเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีความไม่แน่นอน/เสี่ยง หากองค์กรจะเลือกใช้แพลตฟอร์มอื่น
Branding โดยหนังสือได้ให้คำนิยามว่า แบรนด์คือการนำเสนอสินค้า/บริการที่คุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าสินค้า/บริการจะมีคุณภาพดีกว่า ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น Apple หรือกระเป๋า LVMH ซึ่งพลังงานของแบรนด์ที่เหนือกว่าจะทำให้ธุรกิจมีอัตรากำไรที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หนังสือยังกล่าวถึงหลายปัจจัยที่ทำลายแบรนด์ได้ เช่น สินค้าคุณภาพต่ำ การนำเสนอสินค้าที่ราคาต่ำลง(down market) ทำให้การรับรู้ของผู้บริโภคเปลี่ยน การขยายธุรกิจ/แบรนด์ไปต่างประเทศก็จะเจอแรงต้านที่ทำให้แบรนด์อ่อนแอลง และสินค้าผู้บริโภครายย่อย(B2C)มีโอกาสที่แบรนด์จะเสื่อมลงเร็วกว่าสินค้าองค์กร(B2B)
ติดตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 2 ได้เร็วๆนี้ ทั้งเนื้อหาของ Power 6-7 และสรุปเกี่ยวกับ Power Dynamics ได้ที่เพจ สรุปย่อลงทุนนอก
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
#ลงทุนต่างประเทศ #7Powers #HamiltonHelmer #BusinessStrategy #GrowthInvesting #StrategyStatic #PowerDynamics #หุ้นนอก
Reference :
-Official Site of 7Powers : https://7powers.com/synopsis/
-Podcast The 7 Powers with Hamilton Helmer & Jeff Lawson :https://www.youtube.com/watch?v=U_eQK9UR8ao
-Youtube Chanel of 7 Powers Summary
:https://www.youtube.com/watch?v=1h50lBC0YyQ&t=2s
สรุปย่อแนวคิดการเลือกสุดยอดหุ้นเติบโต/กลยุทธ์ของบริษัทที่แข็งแกร่ง จาก หลักการของหนังสือ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer
Part 1) Strategy Static : Powers 1-5
Part 2) Powers 6-7 และ Dynamics Strategy
·
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
Veritas กับการลงทุน
เมื่อวานไปงานลงทุนแมน เห็นคุณหลินพูดถึง Harvard’s Motto ผมว่าน่าสนใจ
1 Veritas เป็นภาษาละตินแปลว่า Truth หรือความจริง เป็นการ imply ว่าการเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกก็คือ การเข้ามาเรียนรู้ค้นหาความจริง
2 มนุษย์เราจริงๆ แล้วยังสับสน คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง ยุคนึงก็เคยเชื่อว่าโลกแบน ปัจจุบันมนุษย์ยังไม่รู้เลยว่าเรามาจากไหน จักรวาลคืออะไร มีขอบเขตขนาดไหน
3 บางสังคมอย่างคนไทย ยังสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรคือ ความจริง ความเห็น ความเชื่อ คนจำนวนมากคิดว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือถูกแต่จริงๆ แล้วผิด เช่น การรู้ข้อมูล inside information ก่อน public ผ่านการ CV หรือ Analyst meeting เป็นต้น
4 ผมเองได้แต่ฝันว่าอยากเรียน Harvard แต่โตมาจึงรู้ว่าค่าเทอมแพงจัด แถมจบตรีวิศวะจุฬาด้วยเกรด 2.52 ฝันสลายเลย 555
5 แต่จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อ่านหนังสือมากมาย ฟัง podcast ฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ผมก็ได้ conclusion เดียวกันว่า สุดท้ายแล้ว ชีวิตคือการเรียนรู้ การค้นหาความจริง เพื่อให้บรรลุ เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นแบบ Harvard’s Motto ว่าไว้จริงๆ
6 ในแง่การลงทุน ผู้ชนะคือคนที่รู้ความจริง คาดเดาอนาคตถูก ไม่เมากาว ไปหลงซื้อตอน bubble และไปขายที่ bottom เพราะหดหู่จนทนไม่ไหว
7 การลงทุนที่ประสบความสำเร็จคือ การตามล่าหาความจริงผ่านการ scuttlebutt จนบางครั้งเราอาจสามารถคาดการณ์อนาคตในบางอุตสาหกรรม หรือบาง theme ได้ เช่น
7.1 สินค้า FMCG ของไทย เช่นที่ขายอยู่ใน 7-11, Watson, EveandBoy เป็นระดับ world class อาจโตได้ระดับโลก
7.2 AI มาแน่ data คือ the new oil
7.3 โลกยุคใหม่ เป็นยุคของ social commerce เป็นยุคของ Kols
7.4 มนุษย์จะอายุยืนยาวขึ้นด้วยความรู้ใหม่ๆ เรื่อง genetics
เป็นต้น
8 เมื่อเราค้นพบความจริงแบบผู้รู้ยุคก่อนหน้าเรา ในศาสนาพุทธ เรียกว่าพระอรหันต์ หรือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง จนบรรลุนิพพาน เป็นความว่าง ประมาณว่ารู้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเกิดแล้ว
9 ในโลกตะวันตกแบบที่ Elon Musk บอก ถ้าเรารู้ความจริงมากๆ เราอาจจะรู้ว่าความจริงแล้วเรากำลังอยู่ใน simulations หรือ ที่ผู้ก่อตั้ง Harvard เรียกว่า come closer to God ก็เป็นได้