🌟 สรุปข้อมูลสำคัญจากการเยี่ยมชมบริษัท KCG Corporation – 26 มิถุนายน 2567 🌟
✨Highlights ผลประกอบการ Q1 2024✨
📈 ยอดขาย : โตขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหมวด Dairy และ Biscuits เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ และแนวโน้มจะเร่งตัวเพิ่มขึ้นใน Q ถัดไป
💰 กำไรสุทธิ : เพิ่มขึ้น 22.5% YoY หลังหักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร 21.1 ล้านบาท หากนับรวมการขยายสู่ OEM คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 58.7% YoY
🧀 IWS (ชีสสไลด์แผ่น) : ยอดขายโต 21.1% YoY และมีส่วนแบ่งยอดขาย 5.9% ซึ่งใน Q1 ชีส 2 สไลด์ โตถึง 111.1% YoY
📊 กำไรขั้นต้น (GP) : ได้ 30.5% สูงกว่า Q1/2023 ที่ 27% และ 30% ในปี 2023
🏦 การใช้เงิน IPO : เพื่อลดหนี้ระยะสั้นและยาว ทำให้หนี้ลดลง 589.3 ล้านบาทจากสิ้นปี 2023 อย่างมีนัยยสำคัญ (จาก 1,837.8 ล้านบาท เหลือ 1,248.5 ล้านบาท)
🏭 การเพิ่มกำลังการผลิต : โรงงานผลิต Butter จะเสร็จสิ้นในปีนี้ โดยใช้เงินในบริษัทมาลงทุนเอง เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 23,000 ตัน ซึ่งจะใช้ได้อีก 4-5 ปี
ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการขาดทุนด้อยค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ 21.1 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคตทั้งหมด
⚡️ภาพรวมผลประกอบการ Q1 2024⚡️
▪️ ยอดขาย : 1,785.5 ล้านบาท
+4.5% YoY จาก 1,707.9 ล้านบาท
-19.1% QoQ จาก 2,207 ล้านบาท เนื่องจาก Q4 เป็น Seasonal ที่สูงสุด
▪️ กำไรขั้นต้น (GP) : 30.5%
+3.5% YoY จาก 27.0%
-2.2% QoQ จาก 32.7%
▪️ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) : 24.1%
+1.9% YoY จาก 22.2%
-0.5% QoQ จาก 24.6%
▪️ กำไรสุทธิ (NP) : 71.6 ล้านบาท
+22.5% YoY จาก 58.4 ล้านบาท
-49.3% QoQ จาก 141.4 ล้านบาทฟ
▪️ D/E และ IBD/E ปรับตัวลดลง
D/E จาก 1.2 เท่า เหลือ 0.9 เท่า
IBD/E จาก 0.7 เท่า เหลือ 0.5 เท่า
📈 โครงสร้างยอดขาย Q1 2567
🔸 ตามหมวดหมู่ :
Dairy 60.85%
Biscuits 10.3%
Food & Beverage Ingredient (FBI) 28.9%
🔸 ตามช่องทางการขาย :
B2B 40.8% แบ่งเป็น
– Food Industry 57%
– Food Services 43%
B2C 55.5% แบ่งเป็น
– Modern Trade 59.9%
– General Trade 37.8%
– Online และ อื่นๆ 2.3% (ช่องทางการขาย online มีสัดส่วน 1.2% ของยอดขายทั้งหมด)
Export 3.6%
🔸 ตามการดำเนินงาน :
ผลิตภัณฑ์ของบริษัท 72.9%
การนำสินค้ามาจากต่างประเทศ 27.1%
🏗 แผนการปรับปรุงและการเติบโตในอนาคต
🔻 การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต : มีการยกเลิกการผลิตบางส่วนเพื่อเปลี่ยนไปใช้การผลิตแบบ OEM และยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ยอดขายต่ำและไม่ทำกำไร (SKU Rationalization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยจะ Recover ยอดขายที่หายตัว โดยการออกสินค้าใหม่มาทดแทน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ขายสินค้าที่ได้กำไรสำหรับบริษัทเพิ่มขึ้น
🔻 ขยายกำลังการผลิต : การเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 23,000 ตัน และมีแผนจะใช้ Automation มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานคน
🔻 การลงทุนในโครงการ KCG Logistic Park : ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
🌟 แนวโน้มในอนาคต
🔹 สินค้าใหม่
คาดว่าจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ใน Q3/2567 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
🔹 ต้นทุนวัตถุดิบ
คาดการณ์ว่าเทรนด์ต้นทุนวัตถุดิบจะยังคงลดลง แต่อาจมีการปรับตัวขึ้นในบางชนิดในครึ่งปีหลัง
🔹 ค่าใช้จ่าย
ควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้โฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับปรุงคลังสินค้าใหม่ KCG Logistics Park ที่จะเสร็ขเดือนกรกฎาคม 2567
🔹 การใช้เทคโนโลยี
การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตและการจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย
🔹 การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
บริษัทได้ขยายการผลิตเนยอีก 5,000 ตัน และใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ถึง 39% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการใช้คน
🔹 ESG และความยั่งยืน
– บริษัทมีแผนการติดตั้ง Solar Roof ที่ KCG Logistics Park เพื่อประหยัดพลังงานและลด Carbon Footprint
– การแข่งขันด้านนวัตกรรมและการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
– การส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนและการดูแลครอบครัวของพนักงาน
– การพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้านการเติบโต การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การเติบโตในระยะยาว
🌟 7 Business Pillars 🌟
1. Growth
2. People
3. Export
4. Innovation Data & Tech
5. Supply Chain & Inventory
6. Production & Automation
7. Sustainable Development
🗣 Q&A – คำถามและคำตอบจากผู้บริหาร KCG
Q1 : บริษัทวางแผนการเติบโตในธุรกิจ Dairy และ Biscuits อย่างไรในอีก 1-3 ปีข้างหน้า?
A1 : ตลาด Dairy และ Biscuits เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดย KCG มุ่งเน้นการขยาย Port Folio และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันตลาดส่งออก โดยเฉพาะในประเทศกลุ่ม CLMV ที่มีโอกาสในการขยายตัว เน้น B2B มากขึ้นและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น บิสกิตและชีสสไลด์แผ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ เพราะมีกฎเกณฑ์สินค้าเข้ามาใหม่ที่มีทั้งกำไรและอยู่ใน Trend ที่จะขายได้ดี
Q2 : อะไรคือจุดแข็งของ KCG ในการเจาะตลาดต่างประเทศ?
A2 : KCG มีความแข็งแกร่งในธุรกิจ B2B โดยเฉพาะในกลุ่มเบเกอรี่และอาหารที่ต้องใช้วัตถุดิบ เช่น แป้ง ไขมัน น้ำตาล และไข่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการปรับตัวและเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า เช่น การร่วมมือกับ McDonald’s ฟิลิปปินส์ ในการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเอง และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะตัวในตลาดต่างประเทศ เช่น Topping เนยกระเทียมสำหรับร้านอาหารใน Pepper Launch ญี่ปุ่น
Q3 : บริษัทมีแผนในการพัฒนาการผลิตและใช้เทคโนโลยีอย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ?
A3 : KCG มีการลงทุนในเทคโนโลยี Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดการพึ่งพาแรงงานคน นอกจากนี้ยังมีการใช้ AI ในการควบคุมคุณภาพและกระบวนการ R&D ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และยังสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงทางบริษัทมีหน่วยงานที่คอยดู Trend ราคาวัตถุดิบและทำการประเมินราคาไว้ล่วงหน้า ทำให้บริษัทได้ราคาวัตถุดิบที่ดีกว่าตลาดและยืนราคาได้นานกว่าปกติ
Innovation Product ที่จะออกวางขาย เช่น ชีสกะเพรา ชีสทรัฟเฟิล ชีสศรีราชา รวมถึงถ้วยกาแฟที่ทำเป็นบิสกิต
Q4 : KCG วางแผนการจัดการต้นทุนและการดำเนินงานในปี 2567 อย่างไร?
A4 : KCG มีการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บและการจัดการ logistics ผ่านโครงการ KCG Logistic Park ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามลดค่าใช้จ่าย SG&A และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนโดยรวม
Q5 : ทางบริษัทมีการตั้งยอดขาย Double Digit มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้มั้ย รวมถึงจัดการเรื่องค่าเงินบาทอ่อนอย่างไร
A5 : การทำ SKU Rationalization กระทบยอดขาย Q1-Q3 ทางบริษัทจะพยายามรักษาให้ ยอดขายเติบโตได้สัก 10% และทางบริษัทมีการทำ Budget เผื่อ Exchange Rate ไว้แล้ว รวมถึงพยายามลด SG&A ให้ๆด้ 0.3-0.5%
Q6 : ทางบริษัทมีมุมมองในเรื่องของ Free Trade ในการนำเข้านมและเนยอย่างไรบ้าง รวมไปถึง U-Rate จัดการอย่างไร
A6 : จริงๆ แล้ว สินค้าบางตัวเป็น 0% มานานแล้ว ส่วน Category ที่เหลือ เช้น ครีม นมพร้อมดื่ม Skim Milk มีมุมมองที่เป็นบวกกับทางบริษัท
สำหรับเรื่อง U-Rate เฉลี่ยทั้งปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 80-90% ซึ่ง ถึงเวลาที่เราต้องขยายกำลังผลิตแล้ว เพื่อที่บริษัทจะได้ไม่เสียโอกาสทางการค้า
ทางบริษัทพยายามปรับให้สินค้าบิสกิต เป็นสินค้าที่ขายได้ตลอดปีไม่ใช่เป็นแค่ของขวัญปลายปี โดยการทำเป็นซองเล็กๆ ที่สามารถทานได้ทุกวัน
💫สรุป💫
KCG Corporation แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการวางแผนที่มีประสิทธิภาพสำหรับอนาคต ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี การขยายกำลังการผลิต และการมุ่งเน้นในตลาดต่างประเทศ เรามั่นใจว่าบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ขอขอบคุณผู้บริหารที่มาให้ข้อมูล :
1. คุณดำรงชัย วิภาวัฒนกุล – Chief Executive Officer & Managing Director
2. คุณกนกวรรณรัตน์ ศรีมณีศิริ – Chief Financial Officer
3. คุณดนัย คาลัสซี – Chief Supply Chain Officer
4. คุณธวัช ธีระนุสรณ์กิจ – รองกรรมการผู้อำนวยการ
และขอขอบคุณ Easy Invest by Pi A8 และ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ในการจัดงานเยี่ยมชมบริษัทในครั้งนี้ด้วยค่ะ
ปล.
1. การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล ก่อนตัดสินใจลงทุน
2. หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาด หรือขาดตกบกพร่อง ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
#ไก่อึน
#pisecurities
#PiA8
#ThaiVI
#KCGCorporation
#CompanyVisit
#BusinessGrowth
#Sustainability
#Investment