สรุปมาให้ อ่านอันนี้ลดเวลาอ่านเล่มเต็มไปได้ 90% !

หนังสือ  Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology
เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลยครับ ทำให้เราเข้าใจทั้งอุตสาหกรรม Semiconductor แบบตั้งแต่ต้นจริง ๆ และ ใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการลงทุน Semiconductor ด้วย แต่ปัญหาคือหนังสือเล่มนี้ภาษาอังกฤษ ความยาว 600 กว่าหน้า (และภาษาไทยอาจมากกว่านั้น)

BottomLiner เลยอยากทำโพสต์สรุป (ที่ไม่สั้น) ย้ำว่าไม่สั้น แต่เน้นให้เนื้อหาครบถ้วน ถ้าหากใครขี้เกียจอ่านยาว ๆ
มาอ่านบทความย่อได้เช่นกัน
โดยกว่า 600 เราสรุปมาให้แล้วเหลือเพียงประมาณ 20 หน้าเท่านั้น!
ซึ่งเราต้องทำเป็น 2 ตอนนะครับ เพราะจะถึง Limit ที่ทาง FB กำหนด เลยทำเป็นตอนเดียวไม่ได้
==========
#ขอTieInนิดเดียว
สำหรับใครที่เป็นตัวตึงหุ้น Semiconductor ตอนนี้เรามีคอร์ส AI Semiconductor กำลังจะเปิด เนื้อหาอัดแน่น 20 ชม.+
โปร Early Bird หมด 15 เดือนนี้แล้วนะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> https://forms.gle/YjqZbT3LaaG8a1Q87
==========

#บทที่1
– สงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนแปลงการพัฒนาเทคโนโลยีจากยุคอุตสาหกรรมไปสู่ยุค semiconductor
– Akio Morita, Morris Chang, และ Andy Grove มีประสบการณ์ตรงในช่วงสงครามซึ่งส่งผลให้พวกเขาเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีใหม่
– หลังสงคราม โฟกัสเปลี่ยนจากวัสดุแบบดั้งเดิม เช่น เหล็ก ไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง semiconductor
– Morris Chang หนีจากการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงวัยรุ่น ขณะที่ Andy Grove ประสบกับการยึดครองของนาซีและโซเวียตในฮังการี
– การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในยุคหลังสงครามเป็นผลมาจากความต้องการของรัฐบาลและการพัฒนาทางการทหาร
–  semiconductor กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทางทหารและเศรษฐกิจในยุคหลังสงคราม
– การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่สำคัญของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้นำทางการเมือง

#บทที่2
– William Shockley เชื่อว่า semiconductorคือ  “switch” (ระบบเปิด-ปิด) ที่ดี สามารถใช้เป็นวัสดุในการควบคุมกระแสไฟฟ้า
– ในปี 1945 Shockley ได้ทฤษฎีเกี่ยวกับ “solid state valve” แต่ในขณะนั้นเครื่องมือยังไม่ละเอียดพอที่จะวัดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กได้
– ในปี 1947 เพื่อนร่วมงานของ Shockley ที่ Bell Labs คือ Walter Brattain และ John Bardeen ได้ทำการทดลองและค้นพบว่าทฤษฎีของ Shockley ถูกต้อง
– ผลการทดลองของ Brattain และ Bardeen นำไปสู่การสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า “transistor” ซึ่งสามารถขยายสัญญาณและควบคุมกระแสไฟฟ้าได้
– Bell Labs เห็นว่า transistor จะมีประโยชน์ในการขยายสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้กลายเป็นนวัตกรรมสำคัญในอุตสาหกรรม electronics
– Shockley รู้สึกไม่พอใจที่เพื่อนร่วมงานของเขาประสบความสำเร็จและพยายามสร้าง transistor แบบใหม่ของตัวเอง
– Shockley ได้แนวคิด transistor แบบใหม่ที่เรียกว่า “junction transistor” ซึ่งสามารถทำงานได้ดีกว่าแบบเดิม
– การค้นพบนี้นำไปสู่การพัฒนา transistor ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาชิปในบทต่อๆ มา

#บทที่3
–  transistor สามารถแทนที่หลอดสูญญากาศได้หากสามารถทำให้เรียบง่ายและผลิตในปริมาณมากได้
– William Shockley ก่อตั้ง Shockley Semiconductor ใน Mountain View, California ในปี 1955 เพื่อสร้าง transistor ที่ดีที่สุด
– Jack Kilby วิศวกรที่ Texas Instruments ในปี 1958 ได้ค้นพบวิธีลดความซับซ้อนของการเชื่อมต่อ transistor หลายตัว โดยการรวมส่วนประกอบหลายตัวไว้ในแผ่น semiconductor เดียวกัน เรียกว่า “integrated circuit” (IC) หรือ “chip”
– กลุ่มวิศวกรแปดคนจาก Shockley Semiconductor ได้ลาออกและก่อตั้ง Fairchild Semiconductor ใน Palo Alto, California
– Bob Noyce หนึ่งในแปดวิศวกร ได้พัฒนา “planar method” ของ Jean Hoerni ซึ่งช่วยให้สามารถสร้าง transistor หลายตัวในแผ่น semiconductor เดียวกันได้
– Noyce ใช้ planar method สร้าง transistor หลายตัวบนชิปเดียวและสร้างการเชื่อมต่อด้วยการฝากเส้นโลหะลงบนชิป
– Integrated circuits ที่ Kilby และ Noyce พัฒนาขึ้นกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “semiconductors” หรือ “chips”
– Noyce และทีมที่ Fairchild รู้ว่าชิปของพวกเขาจะมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงกว่าปกติ
– ความสำเร็จในบทนี้เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกลงในบทต่อๆ มา

#บทที่4
– ช่วงต้นทศวรรษ 1950 สหรัฐฯ และโซเวียตแข่งกันพัฒนาศักยภาพทางทหารในสงครามเย็น
– วิศวกรในสหรัฐฯ ได้รับแรงจูงใจจากการวิจัยทางทหารและโครงการอวกาศ
– William Shockley หนึ่งในผู้คิดค้น transistor  มีแนวคิดใหม่ ๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยี
– Shockley ก่อตั้ง Shockley Semiconductor ในปี 1956 ที่ Mountain View, California เพื่อพัฒนา transistor
– นักวิจัยรุ่นใหม่ เช่น Gordon Moore และ Robert Noyce ร่วมงานกับ Shockley แต่มีความขัดแย้งเรื่องการบริหารจัดการ
– กลุ่มนักวิจัยที่ไม่พอใจเรียกว่า “Traitorous Eight” (ผู้ทรยศทั้ง 8) ลาออกจาก Shockley Semiconductor และก่อตั้ง Fairchild Semiconductor ในปี 1957
– Fairchild Semiconductor เป็นบริษัทแรกที่ผลิต integrated circuit (IC) สำเร็จและจำหน่ายได้ในเชิงพาณิชย์
– IC ทำให้สามารถลดขนาดอุปกรณ์ electronics และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก
– ความสำเร็จของ Fairchild เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา Silicon Valley ให้กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก
– การพัฒนา IC ส่งผลให้อุตสาหกรรม electronics เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติเทคโนโลยี

#บทที่5
– Jay Lathrop เริ่มทำงานที่ Texas Instruments (TI) ในปี 1958 พร้อมกับ Jack Kilby ที่กำลังทดลองในห้องปฏิบัติการของ TI
– Lathrop และผู้ช่วยของเขา James Nall คิดค้นวิธีการใช้เลนส์จุลทรรศน์แบบกลับด้านเพื่อย่อขนาดรูปแบบลงบนสารกึ่งตัวนำ
– การใช้สารเคมีของ Kodak ที่ไวต่อแสงช่วยให้ Lathrop สามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กและแม่นยำบนเยอรมันเนียมได้
– Jack Kilby ใช้เวลาทุกวันเสาร์ในการพัฒนา integrated circuit (IC) ที่ TI ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นนวัตกรรมสำคัญ
– Morris Chang เข้าร่วม TI ในปี 1958 และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการผลิต IC
– TI สามารถผลิตและขาย IC ให้กับโครงการ Minuteman II ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้มากกว่า 100,000 หน่วยภายในปี 1964
– การลงทุนของ TI ในการผลิต IC ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor

#บทที่6
– การพัฒนา semiconductor ในสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากโครงการทางทหารและอวกาศในช่วงทศวรรษ 1960
– Bob Noyce จาก Fairchild Semiconductor มองเห็นศักยภาพในตลาดพลเรือนที่ใหญ่กว่าแม้ว่าในขณะนั้นยังไม่มีตลาดที่ชัดเจน
– Fairchild ไม่พึ่งพาการสนับสนุนด้านการวิจัยจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มากนัก โดยมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสำหรับตลาดพลเรือน
– ชิปตัวแรกที่พัฒนาสำหรับตลาดพลเรือนถูกใช้ในเครื่องช่วยฟังของ Zenith ซึ่งเดิมถูกออกแบบมาสำหรับดาวเทียมของ NASA
– Fairchild Semiconductor ตั้งอยู่ใน Palo Alto รายล้อมด้วยบริษัทที่จัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับกระทรวงกลาโหม
– การเปลี่ยนแปลงในวงการ electronics เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วใน Silicon Valley ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากที่เน้นการพัฒนาชิป
– ความท้าทายสำคัญคือการทำให้ชิปมีราคาถูกพอที่จะจำหน่ายในตลาดพลเรือน ขณะที่ยังคงประสิทธิภาพสูง
– ตลาดพลเรือนมีขนาดใหญ่กว่าและมีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่าตลาดทหาร
– Noyce เชื่อว่าการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสำหรับตลาดพลเรือนมีความเสี่ยงมากกว่าแต่ก็มีศักยภาพที่จะทำกำไรได้มากกว่า

#บทที่7
– ในปี 1960 IBM เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีใหม่โดยใช้ semiconductor ในคอมพิวเตอร์ของตน
– IBM ร่วมมือกับ Fairchild Semiconductor ในการพัฒนาชิปใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
– IBM เห็นว่าชิปใหม่เหล่านี้จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความเร็วและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
– ในปี 1964 IBM เปิดตัวคอมพิวเตอร์รุ่น System/360 ที่ใช้ชิปจาก Fairchild ทำให้มีความสำเร็จทางการตลาดอย่างมาก
– การร่วมมือระหว่าง IBM และ Fairchild ช่วยให้ทั้งสองบริษัทเติบโตและกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor
– ความสำเร็จของ System/360 ส่งผลให้ IBM กลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
– Fairchild Semiconductor ได้ประโยชน์จากความสำเร็จนี้เช่นกัน โดยสามารถขยายธุรกิจและพัฒนาชิปใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
– การพัฒนาชิปใหม่ๆ เหล่านี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีระดับโลก
– IBM และ Fairchild กลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือกันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

#บทที่8
– ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Nikita Khrushchev สนับสนุนการสร้างเมือง Zelenograd นักศึกษาโซเวียต Boris Malin กลับมาจากการศึกษาในรัฐเพนซิลเวเนียพร้อมกับ integrated circuit  (IC) รุ่นแรกจาก Texas Instruments
– Alexander Shokin ผู้ดูแลการพัฒนาไมโคร electronics ของโซเวียต มองว่าการได้ครอบครอง IC เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโซเวียต
– Shokin สั่งให้วิศวกรคัดลอก IC โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในสามเดือน
– นักวิทยาศาสตร์โซเวียตไม่พอใจที่ถูกมองว่าเป็นการคัดลอกเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพราะพวกเขามีความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ที่ไม่แพ้สหรัฐฯ
– การแข่งขันด้านการพัฒนา IC ระหว่างสหรัฐฯ และโซเวียตเป็นปัจจัยสำคัญในสงครามเย็น
– โซเวียตมีความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นเดียวกับสหรัฐฯ แต่การคัดลอกเทคโนโลยีไม่ได้ผลในระยะยาว
– สหรัฐฯ เรียนรู้วิธีการผลิตชิปจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพ ในขณะที่โซเวียตมีปัญหาด้านคุณภาพและความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบ
– การผลิตชิปในปริมาณมากจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์การผลิตและวัสดุขั้นสูง ซึ่งโซเวียตยังขาดสิ่งเหล่านี้

#บทที่9
– ในปี 1962 นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Hayato Ikeda มอบวิทยุทรานซิสเตอร์  Sony ให้กับประธานาธิบดีฝรั่งเศส Charles de Gaulle ในการประชุม
– De Gaulle มองว่าญี่ปุ่นเป็นเพียง “เศรษฐกิจขนาดเล็ก” และวิจารณ์ว่า Ikeda เป็น “พนักงานขาย transistor “
– การประดิษฐ์ integrated circuit (integrated circuits) เชื่อมต่อส่วนประกอบ electronics และประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยมีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง
– โซเวียตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้โดยการลอกเลียนผลิตภัณฑ์จาก Silicon Valley
– ญี่ปุ่นตั้งใจจะรวมตัวเองเข้าไปในอุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้นำธุรกิจและรัฐบาลสหรัฐฯ
– ความสำเร็จในการขาย semiconductor ทำให้ญี่ปุ่นร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น
–  integrated circuit เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อเมริกากลายเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก
– การแข่งขันในตลาด semiconductor ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก

#บทที่10
– ระหว่างทศวรรษ 1970 Hughes Aircraft เป็นบริษัทที่โดดเด่นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการใช้สำหรับการโจมตีทางอากาศ
– ระบบเลเซอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นใช้สำหรับการเล็งเป้าหมายทำให้การโจมตีมีความแม่นยำมากขึ้น
– Hughes ใช้เลเซอร์ในการพัฒนาระบบที่เรียกว่า “smart bomb” ซึ่งสามารถระบุเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
– ระบบนี้ทำให้การโจมตีทางอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้อาวุธและความเสียหายที่ไม่จำเป็น
– เทคโนโลยีของ Hughes ได้รับการยอมรับและถูกใช้ในการสงครามต่างๆ เช่น สงครามเวียดนาม
– Hughes เน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ
– การพัฒนาของ Hughes ช่วยให้สหรัฐฯ มีความได้เปรียบทางทหารในการโจมตีทางอากาศ
– Hughes ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
– เทคโนโลยีเลเซอร์ของ Hughes กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอาวุธยุทธภัณฑ์สมัยใหม่

#บทที่11
– ช่วงสงครามเวียดนามในปี 1965 สหรัฐฯ เริ่มใช้เทคโนโลยี “precision-guided munitions” (PGMs) ในการโจมตีเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
– กองทัพสหรัฐฯ ใช้เลเซอร์ในการชี้เป้าหมายเพื่อให้ระเบิดสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำ
– ระบบการโจมตีแบบใหม่นี้ช่วยลดจำนวนระเบิดที่ต้องใช้ในการทำลายเป้าหมาย
– ความสามารถในการโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำทำให้สหรัฐฯ ได้เปรียบในสงคราม
– ในปี 1972 เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในการโจมตีสะพานสำคัญในเวียดนามเหนือที่ถูกโจมตีหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
– การพัฒนา PGMs ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุทธวิธีการโจมตีและการป้องกันของทหาร
– เทคโนโลยีนี้นำไปสู่การพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการทหารและพาณิชย์
– การพัฒนาเทคโนโลยี PGMs ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบการโจมตีอัตโนมัติที่ใช้ในสงครามสมัยใหม่

#บทที่12
– ในช่วงทศวรรษ 1960 Texas Instruments (TI) เริ่มดำเนินกลยุทธ์การย้ายการผลิตบางส่วนไปยังเอเชีย โดยมี Mark Shepherd เป็นผู้นำ
– Mark Shepherd และ Morris Chang ไปเยือนไต้หวันในปี 1968 เพื่อเลือกสถานที่ตั้งโรงงานประกอบชิปใหม่
– Shepherd แสดงความไม่พอใจเมื่อได้รับอาหารที่ไม่ตรงตามความคุ้นเคยของเขา และการประชุมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ K. T. Li จบลงด้วยความขัดแย้ง
– Li มองว่า Shepherd เป็นตัวแทนของอำนาจอเมริกาและวิจารณ์การใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการควบคุมประเทศที่พัฒนาไม่ถึง
– ไต้หวันมองเห็นประโยชน์ในการรวมตัวกับสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามและสร้างงานให้ประชาชน
– รัฐบาลสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเมืองในเอเชียและเห็นว่าการลงทุนในเทคโนโลยี semiconductor เป็นวิธีการหนึ่งในการเสริมสร้างความสัมพันธ์
– ในวอชิงตัน นักยุทธศาสตร์มองเห็นว่าความพ่ายแพ้ในเวียดนามอาจทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสี่ยงต่อการเป็นคอมมิวนิสต์
– ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในกลุ่มชาติพันธุ์จีนในมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นแรงผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค
– การลงทุนของ TI ในไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงและความเจริญในเศรษฐกิจไต้หวัน

#บทที่13
– ปี 1968 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะในแวดวง semiconductor
– Bob Noyce และ Gordon Moore ลาออกจาก Fairchild Semiconductor และก่อตั้งบริษัท Intel ซึ่งย่อมาจาก Integrated Electronics
– ความฝันของ Noyce และ Moore คือการสร้าง transistor ที่มีราคาถูกที่สุด และใช้กันอย่างแพร่หลายจากทั่วโลก
– การก่อตั้ง Intel เกิดขึ้นในขณะที่โลกกำลังถูกเปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยี transistor
– สองปีหลังจากก่อตั้ง Intel ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกคือชิป DRAM (Dynamic Random Access Memory)
– ก่อนหน้าปี 1970 คอมพิวเตอร์ใช้การจดจำข้อมูลด้วย magnetic core ที่ประกอบด้วยวงแหวนโลหะเล็ก ๆ และสายไฟ
– ความต้องการในการจดจำข้อมูลด้วย magnetic core เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ระบบนี้มีข้อจำกัดในด้านขนาดและการผลิต
– Robert Dennard จาก IBM พัฒนาแนวคิดในการใช้วงจร electronics ที่มี transistor และตัวเก็บประจุ (capacitor) ในการจดจำข้อมูล
– Intel มองเห็นศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยเทคโนโลยี DRAM และได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้จนประสบความสำเร็จ
– พื้นที่เล็กๆ ในแคลิฟอร์เนีย เช่น Palo Alto และ Mountain View กำลังกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจระดับโลกในยุค semiconductor

#บทที่14
– กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า “Offset Strategy” เพื่อให้สหรัฐฯ ได้เปรียบทางทหาร
– โครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันและอาวุธที่ทันสมัย รวมถึงการใช้ semiconductor ในระบบต่าง ๆ
– การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การควบคุมขีปนาวุธและระบบเรดาร์ ทำให้กองทัพสหรัฐฯ มีขีดความสามารถในการป้องกันและโจมตีที่แม่นยำยิ่งขึ้น
– การใช้ semiconductor ในระบบอาวุธต่าง ๆ เช่น ขีปนาวุธนำวิถี และระบบควบคุมการบิน ทำให้ประสิทธิภาพของอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมาก
– ความสำเร็จของ Offset Strategy ทำให้สหรัฐฯ มีความได้เปรียบในสงครามเย็นและส่งผลให้การพัฒนา semiconductor กลายเป็นเรื่องสำคัญในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

#บทที่15
– ทศวรรษ 1980 เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากญี่ปุ่น
– Richard Anderson จาก Hewlett-Packard มีบทบาทสำคัญในการตัดสินคุณภาพของชิปที่ HP จะใช้ โดยพบว่าชิปจากญี่ปุ่นมีคุณภาพดีกว่าชิปจากสหรัฐฯ
– บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Toshiba และ NEC ผลิตชิป DRAM ที่มีอัตราการเสียต่ำกว่า 0.02% ในการใช้งาน 1,000 ชั่วโมงแรก ทำให้เหนือกว่าชิปจากสหรัฐฯ
– Anderson พบว่าการแข่งขันจากญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และรายงานว่าชิปจากญี่ปุ่นมีคุณภาพสูงกว่า
– ความสำเร็จของญี่ปุ่นในการผลิตชิปทำให้บริษัทสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าคู่แข่งจากต่างประเทศกำลังเข้ามาแทนที่
– ความสามารถของญี่ปุ่นในการผลิตชิปคุณภาพสูงและราคาถูกทำให้บริษัท semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องปรับตัว
– การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างบริษัท semiconductor สหรัฐฯ และญี่ปุ่นทำให้เกิดการฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาหลายกรณี
– อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องหาทางพัฒนาคุณภาพและลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

#บทที่16
– ในช่วงทศวรรษ 1980 อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่นที่รุนแรง
– Jerry Sanders จาก Advanced Micro Devices (AMD) มองว่าการแข่งขันนี้เป็น “สงครามเศรษฐกิจ”
– Sanders เน้นการต่อสู้แข่งขันกับญี่ปุ่นด้วยแนวคิดที่ว่าต้อง “ล้มพวกเขา ต่อสู้กับพวกเขา และกำจัดพวกเขา”
– ญี่ปุ่นได้เปรียบทางเทคโนโลยีและการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้สินค้าของพวกเขามีคุณภาพดีกว่าและราคาถูกกว่า
– กรณี Hitachi ที่มีพนักงานถูกจับกุมในสหรัฐฯ เนื่องจากข้อหาละเมิดกฎหมายการส่งออกและการจารกรรมทางเศรษฐกิจ
– ญี่ปุ่นถูกกล่าวหาว่าขายเทคโนโลยีที่สำคัญให้กับโซเวียต ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
– สหรัฐฯ พยายามตอบโต้ด้วยการเพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา และดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor ของตน
– มีความพยายามร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและรักษาความได้เปรียบในตลาดโลก

#บทที่17
– ในทศวรรษ 1980 บริษัท GCA Corporation ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีชื่อเสียง
– GCA มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตไมโครชิป ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในเวลานั้น
– การพัฒนาของ GCA ได้รับการสนับสนุนจาก CIA และการทหารของสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในยุคสงครามเย็น
– ปัญหาทางการเงินและการบริหารจัดการภายในบริษัททำให้ GCA ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
– การแข่งขันกับบริษัทอื่นที่มีเทคโนโลยีและทุนสนับสนุนที่ดีกว่า ทำให้ GCA ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– GCA ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ แต่ไม่สามารถหาแหล่งทุนได้เพียงพอ
– ปัญหาทางการเงินทำให้ GCA ต้องลดขนาดการผลิตและปลดพนักงานจำนวนมาก
– ในที่สุด GCA ถูกซื้อกิจการโดยบริษัทอื่น ซึ่งทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนามาถูกย้ายไปยังบริษัทใหม่

#บทที่18
– ในทศวรรษ 1980 semiconductor กลายเป็นสิ่งสำคัญเหมือนน้ำมันดิบ
– สหรัฐฯ ประสบปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่นในอุตสาหกรรม semiconductor
– ญี่ปุ่นกลายเป็น “ซาอุดีอาระเบียของ semiconductor ” ด้วยการครอบครองตลาดอย่างมาก
– สหรัฐฯ เห็นความสำคัญของการรักษาความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้เพื่อความมั่นคงของชาติ
– กองทัพสหรัฐฯ ตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อศึกษาและปรับปรุงความสามารถด้าน semiconductor
– ความพยายามในการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีใหม่ถูกเร่งให้ทันกับญี่ปุ่น
– การปรับปรุงการผลิตและการลดต้นทุนเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทสหรัฐฯ
– ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลสหรัฐฯ ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรม semiconductor

#บทที่19
– อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ เผชิญกับ “death spiral” เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่น
– ในปี 1990 กว่า 90% ของตลาด DRAM ถูกควบคุมโดยบริษัทญี่ปุ่น
– สหรัฐฯ พยายามใช้มาตรการทางกฎหมายและนโยบายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor ของตน
– การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีและการผลิต
– กลยุทธ์ของสหรัฐฯ รวมถึงการสร้าง consortium อย่าง Sematech เพื่อรวมพลังงานและทรัพยากรในการพัฒนาเทคโนโลยี
– Sematech จัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อยกระดับความสามารถในการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
– ปัญหาด้านคุณภาพและการบริหารจัดการทำให้หลายบริษัทในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– Robert Noyce เน้นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเป็น “ครึ่งหนึ่งของปัญหา” ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งคือการจัดการและการผลิต
– ความพยายามในการปรับปรุงการผลิตและการลดต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันในตลาด semiconductor ระดับโลก

#บทที่20
– Akio Morita จาก Sony และ Shintaro Ishihara นักการเมืองญี่ปุ่น ร่วมกันเขียนหนังสือ “The Japan That Can Say No” เพื่อชูความสำเร็จของญี่ปุ่นในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
– หนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้ญี่ปุ่นยืนหยัดในความสามารถของตนและไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อีกต่อไป
– Morita และ Ishihara วิจารณ์วัฒนธรรมการบริหารงานและนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
– พวกเขาชี้ให้เห็นว่าญี่ปุ่นสามารถเอาชนะสหรัฐฯ ในด้านการผลิตเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
– “The Japan That Can Say No” ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยสร้างความไม่พอใจให้กับนักการเมืองและผู้บริหารของสหรัฐฯ
– การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในอุตสาหกรรม semiconductor ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
– สหรัฐฯ พยายามตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการทางการค้าและกฎหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของตน
– ญี่ปุ่นกลับยืนหยัดด้วยการพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง

#บทที่21
– Jack Simplot เจ้าของ Micron ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากนัก แต่มีความเข้าใจในธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
– Simplot มีบทบาทสำคัญในการพา Micron ให้กลายเป็นผู้ผลิต DRAM ชั้นนำของโลก
– Micron สามารถแข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่นได้โดยการนำนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมาใช้
– การร่วมมือกับไต้หวันและเกาหลีใต้ในการผลิตชิปช่วยให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นผู้นำในตลาด semiconductor
– การพัฒนาทางเทคโนโลยีและการปรับตัวทางธุรกิจของ Micron เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถเอาชนะวิกฤติและเติบโตได้

#บทที่22
– AMD ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– Intel ต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีของตัวเองเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
– CEO ของ Intel อย่าง Andy Grove มีบทบาทสำคัญในการพยายามผลักดันบริษัทให้ก้าวหน้าไปข้างหน้า แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– การพัฒนาเทคโนโลยี multi-core processors ของ AMD ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าแข่งขันในตลาดที่มีความต้องการสูงขึ้น
– ความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรมของ AMD ทำให้บริษัทสามารถท้าทายความเป็นผู้นำของ Intel ในอุตสาหกรรม semiconductor
– Intel ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด โดยการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ

#บทที่23
– เกาหลีใต้กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor  โดยเฉพาะการผลิต DRAM และ NAND flash
– Samsung และ SK Hynix เป็นบริษัทชั้นนำของเกาหลีใต้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและผลิต semiconductor
– รัฐบาลเกาหลีใต้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านนโยบายและเงินลงทุน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในประเทศ
– การแข่งขันในตลาด semiconductor ระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
– ความสามารถในการผลิตชิปของเกาหลีใต้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเทคโนโลยีของประเทศ

#บทที่24
– บทนี้พูดถึงการขึ้นสู่

ใส่ความเห็น

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น