หนึ่งในความเข้าใจผิดที่หลายๆ คนอาจจะเข้าใจผิดแบบไม่รู้ตัวอยู่ คือการมองหุ้นขนาดใหญ่ว่าเป็นหุ้นกลาง-หุ้นเล็ก เพียงเพราะมัน Hyper Growth หรือยังไม่ค่อยรู้จักกันดี หรือแม้แต่ว่ามันเป็นหุ้นในกองของป้าเคธี่ วู๊ด เลยคิดว่ามันเป็นหุ้นกลาง-เล็กไปหมด
สิ่งที่ใช้วัดขนาดของหุ้น ก็คือ Marketcap โดยทั่วไป ที่หลายๆ สำนัก ใช้ระบุขนาด มักจะแบ่งกว้างๆอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ ใหญ่-กลาง-เล็ก
• หุ้นใหญ่ (Large Cap) มาร์เก็ตแคปมากกว่า $10B
• หุ้นกลาง (Mid Cap) มาร์เก็ตแคประหว่าง $2B-$10B
• หุ้นเล็ก (Small Cap) มาร์เก็ตแคปน้อยกว่า $2B
แต่ในบางครั้งก็จะเจอ
• Mega Cap คือ $200B หรือ $100B ขึ้นไป (อันนี้หลายตำราให้เกณฑ์วัดที่ไม่เท่ากัน)
• Micro Cap คือ $300M-$50M หรือตั้ง $300M ลงไป ถ้าเกณฑ์นั้นไม่มี Nano
• Nano Cap คือ $50M ลงมา
และในบางครั้ง บางสำนัก ก็อาจจะมีเกณฑ์การระบุขนาดเป็นของตัวเอง เช่น Morningstar ที่จะจัดเป็นกลุ่มขนาดต่างๆ ตามเปอร์เซนไทล์ ไม่ได้วัดจากตัวเลขมาร์เก็ตแคป (Giant = 40% สูงสุด / Large 30% ถัดมา / Mid 20% ถัดมา / Small 7% ถัดมา / Micro 3% สุดท้าย)
สำหรับแอป Dime ที่นักลงทุนหุ้นนอกในไทยชอบใช้กัน นั้นมีเกณฑ์วัดอยู่ 5 ขนาด ได้แก่ Mega-Large-Mid-Small-Micro โดย Mega ใช้เกณฑ์ $100B นอกนั้นก็ตามที่ผมบอกไว้ด้านบน
ทีนี้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
คือหลายครั้ง ผมเห็นคำถาม แนะนำหุ้นกลาง-หุ้นเล็กหน่อย มันจะเจอคนแนะนำหุ้นขนาดเกือบ $50-100B ก็มี หรือคำถามว่า หุ้นนี้ไซส์ไหน บางคนก็ให้คำตอบที่ผิด
ยกตัวอย่าง CrownStrike ที่ๆตอนพีคสุดๆ มาร์เก็ตแคปของมันใหญ่ถึง $90B+ และแม้ปัจจุบัน จะลดมาเหลือ $62B แล้วก็ตาม มันก็ยังเป็นหุ้น ใ ห ญ่ อยู่ดี
หรือจะเป็น Snowflake ปัจจุบันก็ยัง $40B++
Palantir หุ้นยอดนิยมอีกตัวนึง นี่ก็ $60B
แม้แต่ ARKK ของป้าเคธี่ วู๊ด ที่หลายๆคนมองว่าเป็นตัวแทนของหุ้นกลาง-หุ้นเล็ก นั้นมีถึง 15 จาก 32 ตัว ที่เป็นหุ้นใหญ่และเมก้าแคป
สังเกตุง่ายๆ เลยว่าหุ้นที่มักจะถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ คือกลุ่มหุ้นเติบโต หุ้นเทคที่ไม่คุ้นชื่อ
ตรงนี้จะขอยกตัวอย่างมาร์เก็ตแคปของบริษัทที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ในไซส์ต่างๆ ข้อมูลจาก companiesmarketcap ณ วันที่โพสต์ (ตัวเลขมีการปัดเศษ)
• QCOM : Qualcomm – $200B
• UBER : Uber – $134
• ANET : Arista – $100B
• PANW : Palo Alto – $105B
• CDNS : Cadence -$71B
• MSI : Motorola – $65B
• PLTR : Palantir – $60B
• O : Realty Income – $50B
• MRNA : Moderna – $46B
• F : Ford – $44B
• HSY : Hershey – $39B
• MSTR : Microstrategy – $31B
• RBLX : Roblox – $26
• WBD : Warner Bros – $20B
• H : Hyatt Hotels – $15B
• CELH : Celsius – $11B
• RL : Ralph Lauren ‐ $10B
• HAS : Hasbro – $9B
• INZ : Invesco – $8B
• VVV : Valvoline – $6B
• SHAK : Shake Shack – $3B
• DNUT : Krispy Kream – $2B
• GETY : Gety Image – $1.5B
• SSTK : Shutter Stock – $1.5B
• XRX : Xerox – $1.4B
• CRSR : Corsiar Gaming – $0.9B
• KODK : Kodak – $0.5B
จะเห็นว่าบางตัวก็ใหญ่กว่าที่คิด บางตัวก็เล็กกว่าที่คิด ฉะนั้นจะใช้ความรู้สึกวัดว่า นี่คือหุ้นใหญ่ นี่คือหุ้นเล็ก แค่นั้นไม่ได้ ต้องวัดด้วย fact จากตัวเลข
และสุดท้ายนี้ แค่เรื่องขนาดหุ้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเอาชนะหรือต้องมาคอยจับผิดกัน การรู้ขนาดของหุ้นก็อาจจะไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นหรือแย่ลง ขอแค่ถ้าเจอใครแนะนำผิดก็แค่เข้าไปบอกกัน ไม่ต้องไปกล่าวหาว่าใครมั่ว โพสต์นี้ก็แค่อยากจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูก และอยากให้คนที่ได้อ่านส่งต่อสิ่งที่ถูกให้คนต่อๆไปด้วย
คำเตือน : หุ้นที่ปรากฏชื่อเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำใดๆ ในการลงทุน และภาพประกอบก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา ใช้เพื่อสื่อถึงเนื้อหาเท่านั้น