Pop Mart หุ้นฮ่องกงรหัส 9992 ที่ใกล้ตัวคนไทย
.
.
Pop Mart เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดย Wang Ning ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ของเล่นสะสมที่มีคุณภาพและความน่าสนใจ บริษัทนี้เป็นที่รู้จักในเรื่องการออกแบบและผลิตของเล่นสะสมที่มีดีไซน์สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังเพื่อสร้างของเล่นที่มีความสร้างสรรค์และน่าสะสม
.
.
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Pop Mart มุ่งเน้นไปที่การขายของเล่นสะสมในรูปแบบที่เรียกว่า “Blind Box” ซึ่งเป็นกล่องที่ผู้ซื้อไม่สามารถรู้ได้ว่าข้างในมีของเล่นชิ้นไหน จนกว่าจะเปิดกล่องออกมา การทำเช่นนี้เพิ่มความตื่นเต้นและความสนุกให้กับผู้ซื้อ
ในช่วงปี 2015 Pop Mart เริ่มทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังหลายคนเพื่อออกแบบของเล่น ซึ่งการทำงานร่วมกับศิลปินทำให้ Pop Mart สามารถออกแบบและผลิตของเล่นที่มีลักษณะดีไซน์หลากหลาย เปิดตลาดลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นเกิดเป็นตัวละครเพียบ เช่น LABUBU ที่ลิซ่ามาช่วยดันกระแส หรือ MOLLY DIMOO
.
.
Pop Mart ยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยการเปิดร้านค้าในห้างสรรพสินค้าและการขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายนี้ทำให้ Pop Mart สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและขยายตลาดอย่างรวดเร็วถึงขนาดว่าเริ่มขายใน Douyin/TikTok แค่ 2 ปีสร้างยอดขายได้ขึ้นมาเทียบเท่าช่องทางออนไลน์เดิมๆ
ในปี 2020 Pop Mart ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หลังจากนั้นจึงได้ขยายการดำเนินธุรกิจในระดับโลก โดยเปิดร้านค้าในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย และสหรัฐอเมริกา การขยายธุรกิจในระดับสากลทำให้ Pop Mart สามารถเพิ่มรายได้และขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น เกิดเป็นกระแสต่อคิวยาวตอนสาขาใหม่เปิดในไทย
.
.
โชคดี 2 ต่อของ Pop Mart ที่ได้กระแสตอบรับจากสาขาเปิดใหม่นอกจีน แบบในไทยที่มีคนไปต่อคิวซื้อและได้ลิซ่ามาช่วยโปรโมต กลายเป็นผลดีของหุ้น Pop Mart ปรับคาดกำไรจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมกลายเป็นหุ้นจีน 1 เด้ง สวนกระแสตลาดขาลง
1024
🇭🇰 Kuaishou Technology (1024) (Communication Services : Internet Content & Information)
✍️ About Kuaishou Technology
- Kuaishou Technology เป็นบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของจีน มีผลิตภัณฑ์หลักคือแอปพลิเคชันสำหรับแชร์ Short Video และ Live-Streaming ทำให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของตนเองผ่าน Short Video และ Live-Streaming รวมถึงแสดงความสามารถต่างๆได้ โดย Kuaishou ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้สร้างเนื้อหาและธุรกิจต่างๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิง บริการการตลาดออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ การแบ่งปันความรู้ออนไลน์ และอื่นๆ
✍️ Key Takeaways
1️⃣ ผลประกอบการดีต่อเนื่อง: รายได้รวมในไตรมาส 1/2024 เติบโต 16.6% เป็น 29.4 พันล้านหยวน กำไรและอัตรากำไรเพิ่มขึ้นมาก โดยกำไรสุทธิเป็น 4.1 พันล้านหยวน เปรียบเทียบกับการขาดทุน 876 ล้านหยวนในช่วงเดียวกันของปีก่อน
2️⃣ ผู้ใช้ DAU และ MAU เติบโตดีอย่างมีคุณภาพ: ยอดขายอีคอมเมิร์ซ (GMV) โตถึง 28.2% เป็น 288.1 พันล้านหยวน ยอดผู้ใช้รายวันเฉลี่ย (DAU) และผู้ใช้รายเดือนเฉลี่ย (MAU) เพิ่มขึ้น 5.2% และ 6.6% ตามลำดับ
3️⃣ ต่อยอดเทคโนโลยี AI: พัฒนาระบบ AI อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจในหลายด้าน เช่น การตลาดออนไลน์ การซื้อขายอีคอมเมิร์ซ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
🟢 ด้านที่ดี
- รายได้จากการให้บริการการตลาดออนไลน์เติบโต 27.4% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้า การใช้จ่ายที่มากขึ้นจากลูกค้าเดิม การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ การพัฒนาระบบการตลาดอัจฉริยะ และการปรับปรุงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
- ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ Kuaishou เติบโตแข็งแกร่ง โดยยอดขายรวม (GMV) เติบโต 28.2% จำนวนผู้ใช้ที่ซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น 22.4% และจำนวนร้านค้าที่ใช้งานเติบโตขึ้นประมาณ 70% จากการขยายหมวดหมู่สินค้าใหม่ การปรับปรุงประสิทธิภาพการซื้อขาย และการจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นที่ดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ เข้ามาซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้น
- การพัฒนาระบบ AI marketing ของ Kuaishou ทำให้ลูกค้าสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ (AIGC) การจัดการโฆษณาอัตโนมัติ (UAX) การเชื่อมต่อกับผู้ใช้โดยใช้ AI และการโฆษณาผ่านอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตลาด เพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔴 ด้านที่ไม่ดี
- รายได้จากธุรกิจ Live-Streaming ของ Kuaishou ลดลง 8% เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงระบบ Live-Streaming Ecosystem เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว เช่น การลดการใช้จ่ายที่เกินควร ปรับปรุงคุณภาพระบบและเนื้อหา สนับสนุนผู้สร้างเนื้อหา และควบคุมคุณภาพเนื้อหา ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้รายได้ลดลงในระยะสั้นแต่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
🧑🏫 Outlook ของบริษัท
- Kuaishou มั่นใจว่าผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความได้เปรียบของธุรกิจที่มาจากระบบผู้ใช้และการพาณิชย์ที่แข็งแกร่ง ในอนาคต บริษัทจะใช้ Short Video และ Live-Streamingเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น
📌 สรุป
- ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2024 ของ Kuaishou Technology แสดงถึงการเติบโตในด้านผู้ใช้ รายได้ และกำไร ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพและประสิทธิภาพ บริษัทใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบธุรกิจของ Kuaishou
TIKuaishou
TIKTOK
การเติบโตของ TikTok ย้อนกลับไปแค่ 7 ปีมีแต่ขาขึ้น
เริ่มต้นในจีนด้วยชื่อ Douyin (抖音)
- 2016: การเปิดตัวในจีน�Douyin ถูกเปิดตัวโดยบริษัท ByteDance ในเดือนกันยายน 2016 แอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สร้างและแชร์วิดีโอสั้น ๆ ที่มักจะมีเพลง การลิปซิงค์ การเต้น และคอมเมดี้ โดยแอปนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้ชาวจีนเนื่องจากอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและน่าสนใจ
- 2017: การขยายตัวสู่ TikTok
�ByteDance เห็นศักยภาพในการประสบความสำเร็จระดับโลก จึงได้เปิดตัวเวอร์ชันนานาชาติของ Douyin ในเดือนกันยายน 2017 ที่ชื่อว่า TikTok แพลตฟอร์มนี้ถูกเปิดตัวในตลาดนอกประเทศจีนและเริ่มดึงดูดฐานผู้ใช้จำนวนมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย - Cultural Influence: TikTok มีผลกระทบอย่างมากต่อวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต โดยการสร้างกระแสต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการเริ่มต้นอาชีพของ Influencer หน้าใหม่คล้ายกันกับที่ Facebook, Instagram, YouTube ทำไว้ก่อน
- 2018: การเข้าซื้อกิจการ Musical �ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ByteDance ได้เข้าซื้อกิจการแอป Musical ที่ได้รับความนิยมในด้านการลิปซิงค์ในราคาประมาณ $1 พันล้าน ในเดือนสิงหาคม 2018 ByteDance ได้รวม Musical เข้ากับ TikTok รวมฐานผู้ใช้ของทั้งสองแอปเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้ TikTok ได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกาและตลาดตะวันตกอื่น ๆ
- 2018-2019: การเติบโตและความนิยมอย่างรวดเร็ว�TikTok
กลายเป็นหนึ่งในแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดทั่วโลก ความสำเร็จนี้ได้รับแรงหนุนจากอัลกอริทึมที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งใช้ AI เพื่อแสดงวิดีโอที่แนะนำให้ผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจง - Algorithm: อัลกอริทึมของ TikTok เป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จ มันใช้การเรียนรู้ในการแสดงฟีดวิดีโอที่ต่อเนื่องและเฉพาะเจาะจงกับความสนใจของผู้ใช้ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและการรักษาผู้ใช้สูง
- Monetization: TikTok ได้พัฒนาการสร้างรายได้ เช่น การโฆษณา การซื้อสินค้าหรือบริการในแอป และการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ นอกจากนี้ยังได้แนะนำฟีเจอร์ที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถหารายได้ผ่านการสตรีมสด การร่วมงานกับแบรนด์ และ TikTok Creator Fund
- 2020: ความท้าทายเริ่มเยอะเพราะแอปใหญ่ขึ้น�TikTok เผชิญกับความท้าทายหลายประการในปี 2020 รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการตรวจสอบจากรัฐบาล แอปนี้ถูกแบนในอินเดีย หนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ
- ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ขู่ว่าจะแบนแอปนี้เนื่องจากความกังวลเรื่องความมั่นคงของชาติหาก ByteDance ไม่ขายธุรกิจในสหรัฐให้กับบริษัทอเมริกัน ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เกิดความสนใจในสื่ออย่างมากและการพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตของแอปนี้
- 2021-ปัจจุบัน: การขยายตัวและการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง�แม้จะมีความท้าทาย TikTok ยังคงเติบโตและขยายฟีเจอร์ของตน แอปนี้ได้แนะนำตัวเลือกการสร้างรายได้ต่าง ๆ สำหรับครีเอเตอร์ เช่น TikTok Creator Fund และฟีเจอร์การช็อปปิ้งในแอป TikTok ยังได้เปิดตัวโครงการด้านการศึกษาและขยายเนื้อหาให้ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลายมากขึ้นนอกจากความบันเทิง

SMCI
SMCI หุ้น AI 40 เด้ง
.
.
Super Micro Computer หรือที่รู้จักกันในชื่อ Supermicro ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดย Charles Liang (อ่านว่า เชา เลียง) ซึ่ง Charles Liang เกิดที่ไต้หวัน และย้ายมาเรียนที่สหรัฐอเมริกาโดยได้รับปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก University of Texas at Arlington ด้วยความเข้าใจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตและความหลงใหลในนวัตกรรม Liang ได้ก่อตั้ง Supermicro ขึ้นที่ San Jose, California ในใจกลางของ Silicon Valley
.
.
วิสัยทัศน์ของ Charles Liang สำหรับ Supermicro คือการสร้างบริษัทที่สามารถนำเสนอเซิร์ฟเวอร์คุณภาพสูงที่มีประสิทธิภาพสูงและออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า (ซึ่งสินค้านี้กลายมาเป็นตัวสร้างรายได้หลักในยุค AI แบบตอนนี้) เขามุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน และมีความน่าเชื่อถือ ทั้งยังคงรักษาราคาให้แข่งขันได้
.
ผลิตภัณฑ์แรกของ Supermicro คือเมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโปรเซสเซอร์ล่าสุดของ Intel เมนบอร์ดเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานในตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่แข่งขันสูง Supermicro มุ่งเน้นการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าและปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 Supermicro ได้รับการยอมรับอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมสำหรับโซลูชั่นเซิร์ฟเวอร์คุณภาพสูง ผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้งานโดยลูกค้าจำนวนมากขึ้น ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของ Supermicro ช่วยให้บริษัทขยายฐานลูกค้าและเข้าสู่ตลาดใหม่
.
Supermicro ยังได้สร้างพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ รวมถึง Intel และ AMD พันธมิตรเหล่านี้ช่วยให้ Supermicro ยังคงอยู่ในแนวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอโซลูชั่นล้ำสมัยให้กับลูกค้า
.
ในปี 2007 Supermicro ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ โดยใช้สัญลักษณ์การซื้อขายว่า SMCI การเคลื่อนไหวนี้ทำให้บริษัทมีทุนในการขยายการดำเนินงานทั่วโลก ในอีกไม่กี่ปีต่อมา Supermicro ได้เปิดสถานที่ใหม่ในเอเชียและยุโรปเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการให้บริการฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีข้อเสนอใหม่ๆ ในด้านการประมวลผลบนคลาวด์ บิ๊กดาต้า และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีองค์กร
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Supermicro ยังคงนำนวัตกรรมเข้ามาโดยมุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชั่นล้ำสมัยสำหรับคลาวด์ AI 5G และการประมวลผลแบบ Edge ผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นและขยายได้ของบริษัททำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับองค์กร ศูนย์ข้อมูล และผู้ให้บริการทั่วโลก การเน้นคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และโซลูชั่นที่มุ่งเน้นลูกค้ายังคงเป็นหัวใจของกลยุทธ์ธุรกิจของ Supermicro
.
การพัฒนาถูกทางในการเน้นให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อเซิฟเวอร์พร้อมติดตั้งแบบสะดวกที่สุด ราคาถูกกว่าคู่แข่ง ทำให้ SMCI เก็บรายได้เติบโตเร็วมากๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการเกิดขึ้นของ CHATGPT, GEMINI ยิ่งเร่งการลงทุนเซิฟเวอร์ AI จึงกลายเป็นหุ้น 40 เด้งใน 5 ปี

M10
ทำไม Garment 10 หรือ M10 ถึงเป็นบริษัทยอดเยี่ยมได้ในอุตสาหกรรมยอดแย่
เชื่อว่าคนไทย ที่ลงทุนใน Vietnam ส่วนใหญ่รู้จักบริษัท TNG เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าเป็นบริษัททีสร้างความมั่งคั่งให้นักลงทุนไทยหลายคน
แต่คนส่วนใหญ่ของนักลงทุนไทยอาจจะไม่รู้ว่ามีบริษัทหนึ่งที่มี Market cap. ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่กลยุทธ์ของบริษัทนี้ได้หยิบยก case study มาตั้งแต่ช่วง Covid.
ในช่วง Covid บริษัทนี้มีความยืดหยุ่นมากกว่าบริษัทสิ่งทอใน Vietnam จริงๆ ข้อมูลพวกนี้มันหาไม่ได้หรอก เหมือนต้องมาเรียบเรียงกันเอง
- กลยุทธ์ที่เรียกว่า Lot เล็กๆ มารวมกันกลายเป็น Lot ใหญ่ได้ เหมือนบริษัทรู้ว่าถ้าจะเพิ่งบริษัทใหญ่ อย่างเดียว มันคงรอวันตาย จึงพยายามหา รายย่อยๆ มารวมกัน ให้ได้เป็น Lot ใหญ่เพื่อ Cover fix cost ที่เกิดขึ้น
- ใช้กลยุทธ์จาก Global to Local ในช่วงวิกฤติ สร้าง Shop ของตัวเองกระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆ เพราะรู้ว่านักธุรกิจต่างชาติที่ยังอยู่ Vietnam ยังมีอีกมากรวมทั้งคน Vietnam ที่ต้องใช้ชุดแบบ ประณีต ในการติดต่อธุรกิจ หรือในการใช้งาน และ shop ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รอดตายมาจนถึงทุกวันนี้และอย่าลืมว่าช่วงนี้ กลยุทธ์จุดติดของเสื้อผ้า Brand Vietnam เองก็อยู่ในระดับโลกแล้ว ปีละประมาณ 70,000 ล้านบาท
- เป็นบริษัทที่ Adopt FTA โดยเฉพาะยุโรปนำมาใช้ได้อย่างดี และเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ทางด้าน ESG สร้างลูกค้าแบบ Niche Market เขารู้ว่า ปัญหาเสื้อผ้าในประเทศพัฒนาแล้วคือ เป็นขยะมือสองที่สร้างปัญหาให้แต่ละประเทศ รู้ว่า ESG จะกลายเป็น Mandatory ของการส่งออกไปยัง EU และ carbon emission เป็นเรื่องระดับโลก บริษัทใช้ Strategy ที่เรียกว่า Green transition process.
-การลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย: เพื่อลดการใช้พลังงานและทรัพยากร
-การใช้พลังงานแสงอาทิตย์: เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
-การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล: เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุธรรมชาติ: เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ใช้ใยผ้าเป็น organics ซึ่งได้จากแหล่งวัตถุดิบ คือ ไผ่ กาแฟที่ปลูกได้เป็นอันดับต้นของโลก และ moccasins และสร้าง Green Building ทั้งหมด
-ด้วย Market cap. แค่พันกว่าล้านบาทที่ All time high เทียบกับตลาด แฟชั่นใน Vietnam ระดับ 100,000 ล้านบาทในอนาคตอันไกล้บวกกับบริษัท ESG ระดับประเทศที่ ถ้าเลื่อนผ่านเป็น HOSE เหมือนกับว่า ESG คือ Mandatory ในการลงทุนของสถาบัน M10 จะต้องเป็นตัวเลือกหลักแน่นอน
ที่พูดมาทั้งหมดถามว่า เชียร์หุ้นหรือไม่ ผมไม่ด้านขนาดนั้น เป็น การตลาดแบบ Basic มากที่บอกว่าผมไม่ได้เชียร์หุ้น แต่เล่าได้เป็นฉาก ๆ ทุกวัน เพราะต่างประเทศไม่สามารถซื้อหุ้นบริษัทนี้ได้ แต่นี่คือการยกตัวอย่างหุ้นยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่ ที่แม้อุตสาหกรรมนี้ยังไม่กลับมา ถึง 50% ของที่ควรจะเป็นแต่มีบางบริษัทที่สามารถทำ All time high ไปเรียบร้อย

TIDLOR
CV Tidlor 19-6-24
Product and Services
จำนำทะเบียน : มอร์เตอไซค์ รถยนต์ รถกระบะ
เช่าซื้อ : รถบรรทุกมือสอง
จำนำที่ดิน
Insurance Broker : :Life / Non-life
มีประกันหลากหลาย Product
ประกันติดโล่
Areegator > platform ให้นายหน้า มี Agent มากกว่า 7000 ราย / Premium growth > 110% YoY
Heygoody > Digital Broker ที่ลูกค้าเลือกซื้อประกันได้เอง ไม่มีการโทรรบกวน
Areetech > หารายได้จาก technology ที่เราสร้างขึ้น
Penetrate ประกันไทยต่ำเมื่อเทียบ Asian
มีรถจดทะเบียน 19.8m ซื้อประกันแค่ 50%
อัตราการเติบโต 3.75%
ช่องทาง 70% broker
จำนวนสาขา 1,678 แห่ง
สาขาในธนาคารกรุงศรีมากกว่า 550 แห่ง
จำนวนบัตรติดล้อ 644,000 ใบ +30% YoY / Active 63%
คนทำธุรกรรมกับ App 60%
Touch point. Line application ซื้อพรบ website Facebook
ลูกค้า 91% เป็น nonloan
Feature ประกัน 0% คนใช้ 70%
หลายคนซื้อประกันครั้งแรกกับเรา
91% เป็น nonloan เลยสร้าง brand ประกันติดโล่ให้ชัดเจน
ทำระบบ omni channel
สาขา > พนักงานใช้ iPad นำเสนอผลิตภัณฑ์ > check credit
ทำผ่าน app ตอนนี้ได้มี 1 ล้าน user / Core engine ใช้ร่วมกัน
Feature ใหม่คือ auto renew ประกัน
Call center 1501 > ทำได้ทั้งขายและเคลม
ดูแลตั้งแต่ซื้อยันเคลม > รถชนโทรเข้าเบอร์กลางจัดการให้หมดเลย
โครงสร้างคือ core insurance module > ดูทุกอย่างจนถึง sales admin
Link กับประกัน 16 ราย / สามารถผ่อน 0% ได้ 10 เดือน / ใช้ได้ทั้งคอมและมือถือ
ใช้ it inhouse 50+ คน / ใช้ slack และ app ระดับโลกต่างๆมาพัฒนา
Areegator ในตลาดมี agent ประมาณ 165,000 คน / เป็น agent ที่คอยขาย product ให้ได้ทุกบริษัทซึ่งวุ่นวายเรื่อง เอกสาร / manual process
เราเลยแก้ pain point ให้ agent อิสระ > ขายให้ใช้ > 3 ปีเบี้ย 1,500 ล้าน
ดูว่าเรื่องไหนมี value กับ agent ก็พัฒนาขึ้นมา
ได้รับความสนใจในระดับ global
Use case คือสามารถเช็คผลตอบแทน / ลูกทีม
แบ่งรายได้ให้เค้า 12-15% เราได้ 3-5% จากรายได้ ( คือเค้ามาช่วยขาย > หลักๆเป็น no life / motor )
Heygoody ไม่มีคนโทรกวน + มีระบบ chat bot
มีแผนทำ life insurance
Areetech เอา tech ที่เราพัฒนาแล้วไปขายคนภายนอก
ขายเป็น subscription model
มี features ต่างๆ provide ให้คนทำระบบ insurance/ security
ลูกค้ามีแล้วเป็น local broker
Product ที่ต้อง scale
Target 2024 10,000M / Areegator 2,xxx m
Financial Highlight
Y2021 – 2022 – 2023
Gross Loan (พันล้านบาท) 61.5 – 81.3 – 97.5 +20YoY
Net Income 3,169 – 3,640 – 3,790 +4%YoY
Non-Life Insurance Premium 5.2 – 7.0 – 8.7 +25%YoY
Cost to Income Ratio 60% 56.4% 54.9%
ต้นทุนการเงิน (%) 1.99% – 1.73% – 2.06%
D/E Ratio 1.97 – 2.33 – 2.52
Loan Lost Reserve (LLR) 4.25% – 3.94% – 4.09%
LLR = จำนวนเงินที่กันไว้สำหรับลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บเงินไม่ได้
Credit Cost (อัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง) 0.7% – 2.2% – 3.34%
Net interest Income (NII) ล้านบาท 2,221 – 2,742 – 3,427
Net Interest Margin (NIM) 15.44% – 15.85% – 15.33%
4Q22 1Q23 2Q23 3Q23 4Q23
NPL (%) 1.58 – 1.50 – 1.54 – 1.51 -1.45
NPL Stage2 17.57 – 17.81 – 17.23 – 16.50 – 16.61
NPL Coverage 249% – 270% – 266% – 264% – 282%
Outstanding Loan per branch (ล้านบาท) 47.8 – 49.9 – 58.1 ( 3 เท่าของค่าเฉลี่ยของตลาด )
Outlook Y2024
Loan Growth 10-20% / Non-life Insurance Premium Growth 10-20% YoY / NPL 1.4-1.8% Credit Cost 3-3.35%
Q&A ( ส่งนของประกัน )
Q เงินเดือนพนักงาน it
A turn over ไม่สูง / เงินเดือนดีเมื่อเทียบกับ peer
Q ภาพระยะกลางถึงยาว
A พยายาม test ตลาด / คุยกับ local broker / หา pain point แล้ว support
Q agent Areegator เป็น part หรือ full time
A ทั้ง2 แบบ
agent 8,000 คน มีรายได้ 1,500 ล้าน > 200,000 บาทต่อปี
Active user ประมาณ 3,000 กว่าคน
Q งานคัดคนให้ loan lost น้อย
A ใช้ระบบ it monitor / ระบบการ inspection ดารถ่ายรูป /
Broker ทั่วไป จ้าง surveyer มาถ่ายรูป > เรามีทีมตรวจสอบ / พัฒนาระบบ AI เองมาตรวจ
เจ้าหน้าที่พาไปดูแผนก Analytic & Development
ทำการ test ระบบก่อนปล่อยออกใช้
Data science / business intelligence > ดูเรื่อง data insight
Geo data analytics > ดูเรื่อง location > เวลาเปิดปิดสาขา
Data engineering
Renovation
2011-2013 motorcycle loan ลดลง > ไปดูพบว่ามีการให้ incentive ที่น้อยเกินไป
สิ่งที่ทำคือ > ใช้ระบบ GIS / POI ดูตำแหน่ง ว่ามีอะไรดึงดูดลูกค้ามาก เช่น โรงพยาบาล ห้าง แต่ละที่ค่าน้ำหนักไม่เท่ากัน / รวมถึงระยะทาง การเดินทาง
คำนวณออกมาเป็นค่า GS score ว่า location ไหนเอามาเปิดสาขาได้
หลังจากใช้ระบบนี้แล้ว พบว่า y2015 สาขาไหนใช้ระบบ GIS ทำให้ยอดปล่อยเพิ่มขึ้นมาก
จากนั้นเอาระบบ machine learning มาช่วยดูเรื่อง profit
การเปิดสาขาน้อย > แต่ hit target มากกว่า
Productivity ต่อสาขาเลยมีมากกว่า
เรามี 1,708 สาขา
เราต่างจากเจ้าหลักอื่นคือ เราเน้นปล่อย 4 ล้อ / มอไซค์ เป็นแค่ 10+%
Q สาขาที่ score สูง แต่คู่แข่งเยอะ เป็นยังไง เพราะอะไร
A จะมีระยะห่างแต่ละสาขาที่เหมาะสม > เราเลือกไม่เปิดใกล้คู่แข่ง/ต้องไม่ overlap กัน
เช่นนิคมอุตสาหกรรม performance สาขาดีมาก
เรามีการใช้ criteria ว่าแต่ละจังหวัดควรมีกี่สาขา เช่น ข้อมูลเรื่องรถที่จดทะเบียน
ทั่วประเทศ ประเมินว่าเปิดได้ 2,200 สาขา
ปีนี้แผนเปิดปีละ 100 สาขา
ปีที่แล้วไม่ได้เปิดสาขาเลย ( ก่อนหน้านั้นเปิด 300 สาขา ) > หันมาปรับเรื่อง quality แทน > ค่าเช่าหลังโควิดไม่แพง
เราวิเคราะห์ทุกปี
สมมติสาขาไหนที่ไม่ feasibility ก็สามารถเลือกปิดได้
พบผู้บริหาร
Q&A
Q ภาพรวมปีนี้เป็นอย่างไร
A ทุกอย่างยัง inline กับที่ให้ภาพเดิมไว้
Q เรื่อง cooperate > ปรับเป็น holding > มีเรื่อง benefit ที่ดีขึ้น
A แยกส่วนของประกันออกมา > ทำให้คล่องตัวขึ้น
Areegator เป็น B2B2C > สร้าง option เพิ่มให้กับนายหน้าประกัน
เพิ่งเซนต์สัญญากับ ADB > ได้ funding 5,500 ล้าน
เอาไปปล่อยเหมือนเดิม กลุ่มที่อยากได้คือ micro SME / female
เพราะ ในหลายประเทศผู้หญิงมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ชาย > ADB ได้ดอกเบี้ย
ปีที่แล้ว IFC
( ADB share holders คือ รัฐบาลใน Asian )
Nonbank ในไทย เราค่อนข้าง unique > มี shareholders ที่แข็งแรงสุด / DE ดีที่สุดใน Asian
เมื่อประเมินเทียบคู่แข่งในต่างประเทศ ถือว่าเรา top tier
คนที่ php vietnam มาคุยกับเรามากขึ้น
Q ในไทยการปล่อย micro Finance ความเสี่ยงสูงเรา minimize risk ยังไง
A เรามี frame work เรื่องการบริหารความเสี่ยง > 2/4/10 ล้อมี risk ที่ต่างกัน
ก่อน covid 10 ล้อ profit ในเชิง % น้อยกว่าแต่ amount เยอะกว่า
Q ถ้ามุม bottom up สถานการณ์ลูกค้าความสามารถจ่ายเงินเป็นยังไง
A ลดลง ในปี covid พักชำระหนี้> เลยมาเจ็บตอนนี้
เราลดวงเงินปล่อยสินเชื่อ ลง 10-20%
เจ้าเล็กออกหุ้นกู้ไม่ได้ เลยไม่มีเงินมาปล่อย
ดอกเบี้ยปล่อยเรายังไม่ได้ชนเพดาน
ถ้าราคารถ ดีขึ้น >
เรา confidence กับสถานการณ์ ตอนนี้
Q Cost to income ของ insurance
A ได้ book ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว > ถึงจะมีต้นทุนที่เพิ่มก็ไม่มาก
Q ธุรกิจประกันมี operating profit เท่าไหร่
A บอกไม่ได้
Cost to income ถ้าถอด insurance ออกเราน่าจะต่ำกว่าเจ้าอื่น
แม้จะรวม it expense แล้ว
Q ในตปท เรามี role model มั้ย
A เรายังไม่คิดว่าจะทำแบบใคร เพราะมีความแตกต่างกันไป
เรื่องสินเชื่อเราแข็งแรงแล้ว
ประกันยังอยู่ใน early stage > จะมีเรื่อง product development/ product design ใหม่ๆมากขึ้น
Q การเติบโตในอนาคต เราทำหลักๆไปหมดแล้วมั้ย
A เรายังมี product development ใน pipeline อยู่อีก
สมมติในไทยเริ่ม slow > ไปทำ insurance
หรือไปศึกษาตลาดอื่น > business เดิมในตปทหรือ product อื่นๆใกล้ตัว
ประเทศไทยเป็นประเทศที่บุกเบิกจำนำทะเบียน > แต่ละประเทศมีกฎเกณฑ์ที่ต่างกัน > เรากำลังศึกษาว่าสามารถ adopt ระบบไปใช้ที่ไหนยังไงได้
อินโด php น่าสนใจ
อินโด มอไซค์จดทะเบียน 100 ล้านคัน
Php new motorcycle มากกว่าไทย 2 เท่า
Q ที่บอกว่าเราอยู่ใน position ที่ดี เราจะ aggressive กว่านี้มั้ย
A เรากำลัง aggressive อยู่ตอนนี้
เรา continue ที่จะปล่อยสินเชื่ออยู่ / เจ้าอื่น slow
ในเรื่อง it เรา invest เยอะที่สุด
Q มี kpi จับผลตอบแทนฝ่ายบริหารยังไง
A เราดูผลตอบแทนรวมระยะยาว > หลาย product ใช้เวลาพัฒนาหลายปี
KPI ไม่ใช่ราคาหุ้น > good business ที่ sustain จะ reward
Q KPI หลักๆคืออะไร
A กำไรโต/เรา continue deliver growth
Q ถ้าไม่นับ insurance เราโตมั้ย
A โตอยู่
Insure tech จริงๆ ก็ยอดไม่ได้มาก
Bottom line กำไร ปีที่แล้วโต 100 ล้าน
Insurance เรา renewal rate > 50%
3 ใน 5 ของลูกค้าใหม่ ไม่เคยทำประกันมาก่อน
Q บัตรติดล้อมีค่า maintenance เท่าไหร่
A มากกว่า 50% ปรับไปใช้ mobile application แล้ว
พัฒนามา 6 ปี > ลงเป็นค่าใช้จ่ายไปหมดแล้ว
ค่า MA ไม่มาก พัฒนาเอง ไม่ได้มีค่า license
Roi around mid teen
Q การคุม NpL เราทำยังไง
A ยึดรถเร็ว > พอๆกับคู่แข่ง
วิธีการยึด compile ตามกฎ
มีทีม pre-visit ไปดูว่ายังทำงานอยู่ที่เดิมมั้ยหลังจากนั้นจึงไปขอเอารถคืน
อายุรถ 10 ปี 50% เป็นกระบะ
Average ปล่อย 180,000 บาท / 17% เป็น 10 ล้อ / LTV 70-80% ทั้ง รถและมอไซค์
มอไซค์ราคาไม่ลงแล้ว
รถ Q1 ราคารถขึ้น Q2 drop นิดนึง
มาตราการพักชำระหนี้สิ้นสุด สิ้นปี จะมีเข้า มาอีกระลอก
ราคารถน่าจะ bottom ปลาย Q2
Q พนักงานสาขาได้ incentive เรื่องประกันยังไง
A Incentive เราค่อนข้างดี ( ไม่ได้บอกตัวเลข )
Q พนักงาน สาขาใหม่ จาก 3 คน เหลือ 2 คน
A สัดส่วนสาขา 3 คน > จะมีการ relocate พนักงาน
Q พนักงานใหม่ train นานมั้ย
A 3 เดือน ถ้าไม่ผ่านก็ terminate / อัตราการผ่านเยอะ
Link
COUR
Coursera (NYSE: COUR) ผู้นำแพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์ระดับ World class ที่ใหญ่ที่สุด (Massive Open Online Courses หรือ MOOC) โดยมีพาร์ทเนอร์เป็นมหาวิทยาลัย สถาบัน ชั้นนำทั่วโลก
.
ที่มาของ Coursera เริ่มมาจาก Professor Andrew Ng (แอนดรูว์ อัง) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จาก Stanford ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าพ่อวงการ AI และผู้ก่อตั้ง Google Brain ในปี 2011 ได้เปิดคอร์สสอนวิชา Machine learning แบบออนไลน์ คอร์สนี้ถือว่าเป็นคอร์สที่ประสบความสำเร็จมากโดยมีผู้ลงสมัครเรียนทั่วโลกเป็นหลักแสนคน
หลังจากนั้นไม่นาน Professor Andrew Ng จึงได้ชักชวนเพื่อนร่วมงาน Daphne Koller ศาสตราจารย์ด้าน AI จาก Stanford อีกคน ลาออกมาตั้งบริษัท ที่ชื่อว่า Coursera ในปี 2012 โดยมี mission ของบริษัทที่ ”จะสร้างโลกที่ทุกคนสามารถเปลี่ยนชีวิตด้วยการเข้าถึงประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดในโลกได้”
.
ตลาดงานในอนาคต
ด้วยการมาของ AI ที่จะมาช่วย automate งานที่มนุษย์ต้องทำซ้ำๆ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้งาน 85 ล้านตำแหน่งจะหายไปภายในปี 2025 และถูกแทนที่ด้วยตำแหน่งงานใหม่ๆจำนวนมาก ซึ่งงานใหม่นั้น require ทักษะใหม่ๆ ซึ่งทำให้คนต้องมีการ upskill และ reskill ไปตลอดชีวิต (Lifelong learning) หมดยุคที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วจะหยุดการเรียนรู้แล้ว ทันทีที่เราเรียนจบ ความรู้เราแทบจะ obsolete ทันที
นอกจากนั้น โควิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า The great resignation การลาออกครั้งใหญ่ ที่เป็นเทรนด์กันทั่วโลก ผู้คนอยากจะเปลี่ยนงานกันมากขึ้น ต้องการงานที่สามารถมอบอิสระให้กับชีวิตมากขึ้น และจะไม่ยอมตอกบัตรเข้างานทำงานกันในรูปแบบเดิมๆอีกต่อไป
ซึ่งทำให้เกิดเทรนด์การ work form anywhere คนไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อหางาน บริษัทต่างๆก็จะมีการจ้างงานจากส่วนต่างๆของโลก ขอเพียงแค่คนนั้นมีความสามารถอย่างที่ต้องการ และเราไม่จำเป็นจะต้องมีงานเพียงแค่อย่างเดียว ซึ่งทั้งหมดทำให้การเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ ไม่สามารถตอบโจทย์พัฒนาคนให้ทันกับทักษะที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และในหลักสูตรการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมมักมีการ bundle วิชาที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย ทำให้ผู้เรียนเสียเวลาและเงินทองโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนสูงมาก เห็นได้จากหนี้ภาคครัวเรือนก้อนใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐ ก็คือ เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา นั่นเอง
.
.
😁Coursera เกิดมาเพื่อแก้ปัญหานี้
Coursera แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพาร์ทเนอร์เป็นมหาวิทยาลัย สถาบัน ชั้นนำ 257 รายจาก ใน 54 ประเทศ มีหลักสูตร คอร์สเรียนออนไลน์ และปริญญาในหลากหลายสาขาวิชารวมกันให้เลือกถึง 8,214 คอร์ส ปัจจุบันมีผู้เรียนมากกว่า 92 ล้านคนทั่วโลก มีลูกค้ามากกว่า 100 รายที่เป็นบริษัทใน Fortune 500 และมากกว่า 6,000 แคมปัสทั่วโลก รวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลที่เป็นลูกค้าด้วย
💎💎Coursera มี Products อะไรบ้าง
ใน Coursera จะมีคอร์สให้เลือกมากมายอยู่ใน 11 หมวดหมู่ ตั้งแต่ Business courses, Health, Arts and humanities, Personal development, Computer science, Social sciences, Math and logic, Data science, Language learning, Information technology และ Physical science and engineering
เมื่อเข้าไประบบจะให้เราสร้างโปรไฟล์และระบุ Career Goals ของเรา เพื่อที่ระบบจะได้ customized คอร์สให้ตรงกับความต้องการของเราได้ ซึ่งจะมีทั้งแบบ
- Guided projects — คอร์ส upskill สั้นๆที่เรียนจบได้ใน 2 ชั่วโมง อย่าง AWS S3 Basic, Building a Business Presence With Facebook Marketing, Introduction to Python ในส่วนนี้มีให้เลือกถึง 2,000+ คอร์ส
- Courses — คอร์สเรียนสั้นๆ จบใน 4-6 สัปดาห์ มี 5,000+ คอร์ส
- Specializations — คอร์สเรียนเน้นเนื้อหาลึกลงไปอีก จบใน 3-6 เดือน มี 600+ คอร์ส
- คอร์สที่เรียนแล้วได้ Certificate — ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนราว 3-9 เดือน ซึ่งมี 3 แบบ
⭐Professional Certificate ส่วนที่ทำร่วมกับบริษัทอย่าง Google, Facebook, IBM, Intuit, Salesforce มีให้เลือก ราว 90 คอร์ส เช่น Facebook Marketing Analytics, Google Data Analytics, IBM Cybersecurity Analyst เรียนจบได้ Professional Certificate เอาไปใช้สมัครงานต่อในสายงานโดยตรงได้เลย
⭐MasterTrack Certificates จะเป็นส่วนที่แยกเป็นรายวิชาของ Master’s degree ออกมาเพื่อผู้สนใจเรียนเป็นบางวิชาที่ต้องการรู้จริงๆ มีให้เลือกราว 34 คอร์ส ในส่วนนี้ถ้าเราเป็นนักศึกษาที่ลงเรียนเป็น full time ในคอร์สนี้อยู่แล้ว สามารถเรียนออนไลน์นับหน่วยการเรียนได้
⭐University Certificates คอร์สรายวิชาของมหาวิทยาลัย มีวิชาที่น่าสนใจ อย่าง Blockchain Applications Certificate ของ Duke University
ทั้ง University และ MasterTrack Certificates คอร์สในส่วนนี้ยังมีไม่มาก และวิชาส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดหมู่ Data Science, Computer Science และ Business แต่ถือว่าเป็นการ unbundle การศึกษาแบบเก่าที่เราต้องลงเรียนกันเป็นหลักสูตรปริญญาหลายปีออกมาเพื่อให้เรียนแต่ส่วนสำคัญของหลักสูตรเท่านั้น
- เรียนแล้วได้ Degree — Coursera เป็นพาร์ทเนอร์กับมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายที่ มีทั้งหลักสูตรที่เป็น Bachelor, Master และ Postgraduate โดยค่าเรียนผ่าน Coursera ราคาถูกกว่ากันครึ่งนึงเทียบกับการเรียนในห้อง ซึ่งเนื้อหาต่างๆจัดทำโดยมหาวิทยาลัยเอง
Coursera ก็มีหลายคอร์สให้เราเรียนได้ฟรี และหลายคอร์สดีดีก็ให้เราลองนั่ง audit ได้ เพียงแต่เรียนจบเราก็จะไม่ได้ certificate ใดๆ แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากได้ใบเซอร์ก็สามารถทำได้ โดยต้องจ่ายเงิน ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปแล้วแต่คอร์ส
😄ตัวอย่างคอร์สดังๆใน Coursera ที่มีผู้ลงเรียนจำนวนมาก
Machine Learning ของ Stanford University — ผู้เรียน 4.4 ล้านคน
The Science of Well-Being ของ Yale University — ผู้เรียน 3.7 ล้านคน
Learning How to Learn: Powerful mental tools to help you master tough subjects ของ
University of California San Diego — ผู้เรียน 3 ล้านคน (คอร์สนี้แอดดูหลักสูตรแล้วน่าเรียนมาก)
Programming for Everybody (Getting Started with Python) ของ University of Michigan — ผู้เรียน 2.4 ล้านคน
นอกจากนี้ Coursera ยังมีระบบติดตามผล ให้เราตั้งเป้าหมายการเรียนในแต่ละสัปดาห์ได้
✨มาดูส่วนของ #งบการเงิน
ปี 2019 – รายได้ 184 ล้านเหรียญ
ปี 2020 – รายได้ 294 ล้านเหรียญ โตขึ้น 59%
คาดการณ์รายได้ 2021 อยู่ที่ 412 ล้านเหรียญ คาดว่าจะโตขึ้น 40%
.
.
รายได้ของ Coursera แยกเป็น 3 ส่วน คือ
- รายได้ส่วน Consumer — คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 60% มี Gross margin 64%
- รายได้ส่วน Enterprise — สัดส่วนรายได้ 28% ลูกค้าเป็นองค์กร บริษัท แคมปัส รัฐบาล Gross margin 67%
โมเดลของ Coursera มีความคล้าย Netflix อยู่ คือ บริษัทผลิตวิดีโอเนื้อหาต้นฉบับเองแล้วสตรีมให้กับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มตัวเอง โดยผู้เรียนสามารถเลือกที่จะจ่ายเป็นคอร์สไป หรือ สมัคร subscription ที่เรียกว่า Coursera Plus มีให้เลือกรายเดือน หรือ รายปี เพื่อให้เข้าถึงคอร์สต่างๆแบบ unlimited ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือน 59 เหรียญ หรือ รายปี 399 เหรียญ ที่ราคาคุ้มค่ากว่ามาก
- รายได้ส่วน Degree — คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12% Gross margin 100% บริษัทไม่มีต้นทุนการผลิตในส่วนนี้ ผู้เรียนจ่ายค่าเรียนโดยตรงกับมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Coursera ตามจำนวนค่าเล่าเรียน
✨ตัวเลขทางบัญชีขาดทุนอยู่
ปี 2019 – ขาดทุน 46 ล้านเหรียญ
ปี 2020 – ขาดทุน 67 ล้านเหรียญ
ค่าใช้จ่ายหลักๆมาจาก R&D และ Sales and General
✨Adjusted EBITDA ยังติดลบอยู่
ปี 2019 – ลบ 27 ล้านเหรียญ
ปี 2020 – ลบ 40 ล้านเหรียญ
คาดการณ์ Adjusted EBITDA 2021 อยู่ที่ ลบ 35.5 ล้านเหรียญ
✨3 ไตรมาสผ่านไปของปีนี้
รายได้รวม 300 ล้านเหรียญ โตขึ้น 43% YOY Gross profit 61.6%
โดยแบ่งเป็น
1.Consumer รายได้ 180 ล้านเหรียญ โตขึ้น 29% YOY
2.Enterprise 85 ล้านเหรียญ โตขึ้น 69% YOY
3.Degrees 35 ล้านเหรียญ โตขึ้น 72% YOY
✨Key Metrics ในไตรมาส 3 อื่นๆ
Learners 92 ล้านคน
จำนวนลูกค้า Paid enterprise customers ทั้งหมด 711 คน โตขึ้น 124% YOY
Net retention rate for paid enterprise customers 113%
จำนวนผู้เรียน Degree 16,068 คน โตขึ้น 40% YOY
Operating cash flow บวก 10.7 ล้านเหรียญ
Free cash flow 7.1 ล้านเหรียญ
Deferred revenue 95 ล้าน + Educator partners payable และเจ้าหนี้การค้าอื่น 56 ล้าน — 2 รายการนี้คิดเป็น 76% ของหนี้สินทั้งหมด
มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น 816 ล้านเหรียญ คิดเป็น 85% ของสินทรัพย์ทั้งหมด
CompetitiveAdvantage
Coursera มี Products คอร์สเรียนที่ดีเยี่ยมระดับ World-Class มี subscription model ที่เป็น recurring income ที่แม้ว่าจะมีสัดส่วนแค่ 25% ของรายได้ส่วน consumer แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงการมีพาร์ทเนอร์ที่เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังชั้นนำ บริษัทเทคระดับแถวหน้าที่เรียนแล้วสามารถได้ certificate เอาไปใช้ต่อยอดในการทำงานได้
บริษัทมี Moat จากการมี network effects ที่การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้จะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่แพลตฟอร์มได้ ในที่นี้ เราเห็นแล้วว่า เมื่อจำนวนผู้เรียนในแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นการดึงดูดมหาวิทยาลัย หรือ บริษัทเทค ให้เข้ามาสร้างคอร์สเรียนหลากหลายมากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นการดึงดูดผู้เรียนหน้าใหม่ให้เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มมากขึ้นไปอีก กลายเป็นวงจรหมุนไปไม่หยุด ซึ่งมีโอกาสที่จะนำไปสู่ธุรกิจที่เป็น winner take most ได้
รวมถึงการที่ในแพลตฟอร์มมี Top Instructors มีเรทติ้งในการสอนที่ดี บางคอร์สมีคนลงเรียนแล้วหลายล้านคน ก็เป็นการดึงดูดผู้เรียนให้เข้ามาในแพลตฟอร์มด้วย และพอมีผู้เรียนมากก็เป็นการดึงดูด Top Instructors ให้เข้ามามากขึ้นอีก ส่งผลให้คุณภาพของแพลตฟอร์มดีขึ้นไปอีก
ในตัวแพลตฟอร์มยังมีการใช้ data learning ที่บริษัทเก็บสะสมจากผู้เรียนเพื่อ customized คอร์สเรียนให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนได้ และยังมีหลายภาษาให้เลือก ตั้งแต่ อังกฤษ เยอรมัน สเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลี โปรตุเกส รัสเซีย จีน ที่มาพร้อม transcript อีกด้วย
.
คู่แข่งและความเสี่ยง
- ในอุตสาหกรรม EdTech มีบริษัทเยอะมากๆที่ทำอยู่ เช่น Udacity, Udemy, LinkedIn Learning, EdX, Khan Academy
Udemy คอร์สเรียนสำหรับคนต้องการ upskill ในเวลาสั้นๆ สอนโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานนั้น คล้าย Skilllane ของไทย มีผู้เรียนราว 300 ล้านคน เพิ่ง IPO ไปเมื่อปลายตุลาที่ผ่านมา
LinkedIn Learning แพลตฟอร์มคอร์สเรียนของ LinkedIn สำหรับคนที่ต้องการ upskill ในการทำงาน
Khan Academy องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร มุ่งเน้นเนื้อหาฝั่งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
.
.
คู่แข่งรายใหญ่ที่ชนกันในเรื่องของกลุ่มผู้เรียน และคอร์สเรียนจริงๆของ Coursera ก็คือ Udacity และ EdX
Udacity ก่อตั้งขึ้นโดย 2 โปรเฟสเซอร์จาก Stanford มีผู้เรียนแล้ว 12 ล้านคนทั่วโลก คอร์สเรียนของ Udacity จะออกแนว tech skills, programming และ computer science
ซึ่ง Udacity ก็มีทั้งคอร์สที่ให้เรียนฟรี แล้วก็คอร์สที่เรียนแล้วได้ Nanodegrees certificates ของ Udacity เอง ซึ่งเอาไปใช้สมัครงานได้ ซึ่งค่าคอร์สของ Udacity ส่วนนี้จะมีราคาสูงอยู่ ราว 499 เหรียญ ในส่วนนี้ Coursera ก็มีคอร์สคล้ายกันที่จ่ายแค่ 40-80 เหรียญต่อเดือนเท่านั้น
edX เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัย MIT และ Harvard ที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่จะให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่ทุกคนทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเนื้อหาระดับมหาวิทยาลัย EdX เป็นพันธมิตรโดยตรงกับมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกกว่า 160 แห่ง อย่าง UC Berkeley, University of Texas, Caltech, Cornell, Australian National University, University of Tokyo, National University of Singapore, University of Cambridge ปัจจุบันมีหลักสูตรมากกว่า 3,000 หลักสูตร มีผู้ใช้ทั่วโลกประมาณ 24 ล้านคน
edX เป็นแพลตฟอร์มที่ดีมากๆ แรกเริ่มเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร แต่ตอนนี้ถูกขายให้ 2U ไปแล้ว ถ้าเราอยากได้ edX เราก็ต้องไปซื้อหุ้น TWOU ซึ่งตอนนี้ราคาไหลมาก สอดคล้องไปกับผลประกอบการที่รายได้ของ 2U ในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้บริษัทเริ่มไม่โต และมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย
หากเทียบจำนวนผู้เรียน จำนวนคอร์สเรียน และความหลากหลายของคอร์สใน Coursera เทียบกับ Udacity และ edX ถือว่า Coursera มีจำนวนที่มากกว่าในทุกเมทริค
- การที่ Coursera สร้างคอนเท้นต์เอง ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย ซึ่งมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ไม่มีแพลตฟอร์มไหนที่จะมีคอนเท้นต์เหมือน Coursera ได้ แต่อีกมุมหนึ่ง มหาวิทยาลัยต่างๆไม่ได้มีข้อตกลง exclusive ใดๆกับ Coursera ว่าจะไม่ทำคอร์สสอนแบบเดียวกันในแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งก็นับว่าเป็นความเสี่ยงหนึ่ง
- ในส่วนของการเรียนแบบ degree ยังมีหลักสูตรไม่เยอะ ซึ่งมหาวิทยาลัยต่างๆอาจอยากจะเลือกที่จะทำแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองขึ้นมาเองในอนาคต ไม่ต้องให้ Coursera มาคิดค่าคอมอีกต่อ
โอกาสในการเติบโต
- เติบโตไปกับ Total addressable market ในตลาด higher education 2 ล้านล้านเหรียญ
Global online degree market 74,000 ล้านเหรียญ
Organization training market 300,000 ล้านเหรียญ
และต้องมีคนจำนวน 1,300 ล้านคนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอีก 10 ปี ซึ่งจะต้องมีการ Upskill reskill กันไปตลอดทั้งชีวิต - การมาของโควิด มาช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนรู้ของคนให้เข้าสู่โลกออนไลน์ให้เร็วขึ้น การจะย้อนกลับไปเรียนในห้องเรียนแบบเดิมๆน่าจะเป็นเรื่องยาก และ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการจ้างงานในอนาคตที่จะเป็นแบบการทำงาน Remote Working น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
- Coursera เพิ่งมี Market cap ราว 5 พันล้านเหรียญเท่านั้นและยังเพิ่งอยู่ใน early stage ของการเติบโตในอุตสาหกรรมที่ใหญ่และกำลังจะถูก disrupt โอกาสที่บริษัทจะเติบโตไปได้ runway น่าจะยังอีกไกล
.
สรุป Coursera หุ้นขนาดกลางที่มีศักยภาพในการเติบโต เป็นผู้นำที่อยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่กำลังจะโดน disrupt แน่ๆไม่ช้าก็เร็ว กับราคาตอนนี้ที่ไหลลงต่ำ IPO สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดย Morning Star ให้ Fair Value ไว้ที่ 38.98
ถ้าเราเชื่อว่าการปฏิวัติทางการศึกษาจะเกิดขึ้นจริง AI มาทดแทนแรงงานมนุษย์ มนุษย์ต้อง upskill reskill กันไปตลอดทั้งชีวิต เพื่อให้สอดคล้องไปกับความต้องการของตลาดที่ require ทักษะใหม่ๆในตลาดแรงงานที่เป็นเทรนด์เกิดขึ้นทั่วโลก Coursera ก็เป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่งในการลงทุนค่ะ
.
.
บทความนี้ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นแต่อย่างใด กรุณาศึกษาทำความเข้าใจด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ
.
.
ชอบกดlike กดshare ให้แอดด้วยนะคะ
ติดตามบทความได้ทุกวันเสาร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน เวลา 9.00 เช้านะคะ
ช่องทางติดตาม
http://www.facebook.com/stocksurgepage
http://www.blockdit.com/stocksurge
http://www.stocksurge.net
.
.
–Stock Surge—
เล่าเรื่องหุ้นนอกรายตัว แบบเข้าใจง่าย อ่านจบได้ใน 5 นาที
.
References:
- S-1 COURSERA, INC.
https://bit.ly/3oFzLjN
2.Coursera Reports Third Quarter Fiscal 2021 Financial Results
https://bit.ly/3nsElCB
3.Q3 Fiscal Year 2021 Investor Presentation
https://bit.ly/3FqGdC6
4.www.coursera.org - Wikipedia Coursera
https://en.wikipedia.org/wiki/Coursera
6.Wikipedia edX
https://en.wikipedia.org/wiki/EdX
7.Morningstar
8.Seeking Alpha
9.‘Khan Academy VS edX’ ฟังสองเจ้าพ่อห้องเรียนออนไลน์คุยถึงประชาธิปไตยการเรียนรู้
https://bit.ly/3CttOeP
10.Coursera: Biggest Global MOOC Platform with Millions of Learners Worldwide
https://bit.ly/3Dod5e1
11.Udacity vs Coursera: Let’s Battle It Out For A Winner
https://bit.ly/3HwBSPA
12.edX vs Coursera
https://bit.ly/3qOjnQJ
13.Coursera Review
https://bit.ly/3nufmPo
สรุปหนังสือ 1
สรุปหนังสือ Why Moats Matter หุ้นดีต้องมีปราการ หนังสือหุ้นที่เขียนโดยนักวิเคราะห์ของ Morning Star ที่เคลมว่าเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่อธิบายแนวคิด Moat ซึ่ง Warren Buffet ใช้คัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบรอบด้านที่สุด
.

หนังสือถูกเขียนออกเมื่อปี 2014 ข้อมูลจึงมีความเก่าประมาณหนึ่ง แต่แอดว่ายังไงก็คุ้มค่าแก่การอ่าน เพราะจะทำให้เราได้หลักคิดในการวิเคราะห์กรองหุ้นใส่พอร์ต
.
ในตลาดเสรี… ธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม สักพัก…ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาขอส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย การรักษาไว้ซึ่งกำไรส่วนเกินจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในระยะยาว
#ป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Moat) คือ ป้อมปราการที่ทำหน้าที่คล้ายกับปราสาทที่คอยกันข้าศึกศัตรูไม่ให้เข้ามาตีเมืองได้
เปรียบเทียบได้กับบริษัทชั้นเลิศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ก็จะมีป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ที่แข็งแกร่ง เมื่อมีคู่แข่งเข้ามา บริษัทเหล่านี้ก็ยังจะสามารถสร้างผลตอบแทนของเงินทุนที่สูงสม่ำเสมอไว้ได้ และในท้ายที่สุดก็จะเป็นการป้องกันตัวเองจากคู่แข่งออกได้
.
ป้อมปราการที่ว่านั้นมี 5 อย่าง คือ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ความได้เปรียบทางต้นทุน ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย พลังของเครือข่าย และ ขนาดที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีทั้งแบบแข็งแกร่ง (Wide Moat) แบบอ่อนแอ (Narrow Moat) และไม่มีเลย (No Moat)
และเทรนด์ของป้อมปราการนั้นก็เป็นได้ ทั้งบวก (Positive), ลบ (Narrow), คงที่ (Stable)
บริษัทที่จัดได้ว่ามีป้อมปราการและมีเทรนด์เป็นบวกจะเติบโตได้เร็วกว่า เนื่องจากมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า หรือ มีความสามารถในการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำกำไรได้มากกว่า สามารถสร้าง ROIC ที่สูงกว่า ในขณะที่บริษัทที่ไม่มีป้อมปราการหรือเทรนด์เป็นลบก็มักจะสูญเสียส่วนแบ่ง และไม่สามารถขึ้นราคาเพื่อชดเชยกับต้นทุนที่แพงขึ้นได้
ตัวอย่างหุ้นที่เรารู้จักกัน ที่มีป้อมปราการลักษณะต่างๆ ที่แอดหาได้มาจาก Morning Star ก็เช่น
ป้อมปราการแข็งแกร่ง #เทรนด์เป็นบวก — NVIDIA, Salesforce, ServiceNow
ป้อมปราการแข็งแกร่ง เทรนด์คงที่ — Amazon, Google, Microsoft, Facebook, Adobe
ป้อมปราการอ่อนแอ #เทรนด์เป็นบวก — Sea, Mercadolibre, Twilio, Zendesk, Team, Palantir
ป้อมปราการอ่อนแอ เทรนด์คงที่ — Tesla, Square, Paypal, Airbnb, DocuSign
ไม่มีป้อมปราการ — Teladoc, GoodRX, Fiverr, Roku, The trade desk, Unity
*อ้างอิงข้อมูลในปัจจุบัน อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
.
หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เรา #คิดแบบการเข้าเป็นเจ้าของกิจการ โดยดูจากความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน การประเมิณมูลค่า และส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสู่การเอาชนะตลาดในระยะยาว
การประเมิณมูลค่าบริษัท นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจใดๆว่าควรเป็นเท่าไหร่ เราต้องมองหาส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอยู่เสมอก่อนที่จะลงทุน และซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าต่อให้เป็นบริษัทที่มีป้อมปราการแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม
ดังที่วอร์เรนบัฟเฟตต์กล่าว “ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้” ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะวิ่งเข้าสู่มูลค่ายุติธรรม (Fair Value)
วิธีการที่ใช้ในการประเมิณมูลค่าหุ้น ก็คือ #วิธีการวิเคราะห์กระแสเงินสดคิดลด Discounted Cash Flow หรือ DCF
ส่วนที่ท้าทายที่สุดในการประเมินมูลค่ายุติธรรมของบริษัท คือ การคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตอย่างไรให้มีความใกล้เคียงที่สุด
ซึ่งป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์มีอิทธิพลโดยตรงต่อกระแสเงินสด บริษัทที่มีป้อมปราการเข้มแข็งมักจะมีสัดส่วนของกระแสเงินสดอิสระต่อกำไรค่อนข้างสูง มีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าบริษัทที่ไม่มีป้อมปราการ
และระยะเวลาของการที่บริษัทจะสามารถรักษาป้อมปราการได้ มีความสำคัญมากกว่าส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) กับต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital)
ในการจัดอันดับความแข็งแกร่งของป้อมปราการ เราต้องเริ่มจากการตอบคำถาม 2 ข้อ
1. อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน ROIC > ต้นทุนของเงินทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก WACC ?
2. บริษัทนั้นมีป้อมปราการ อย่างน้อย 1 ข้อ ?
.
#ป้อมปราการที่1 สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets)
เช่น แบรนด์ สิทธิบัตร สัมปทานของภาครัฐ
สินค้าที่มีแบรนด์ไม่ได้ถือว่ามีป้อมปราการเสมอไป อย่าง สายการบินต่างๆ ที่ลูกค้ามักจะเลือกใช้บริการมาจากราคาเป็นที่ตั้ง
แบรนด์ที่ดีมักมีอำนาจในการตั้งราคา และต้นทุนสินค้าไม่ได้สูงตามราคาที่เพิ่มขึ้น บวกกับการมีนวัตกรรมและสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้ จึงจะจัดได้ว่ามีปราการ เช่น Coca Cola, Walt Disney, Starbucks, BMW
สิทธิบัตรที่จัดได้ว่ามีป้อมปราการต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตัวเลือกอื่นในตลาด บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจัดได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีป้อมปราการนี้ ซึ่งเกิดจากแบ่งปันองค์ความรู้ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้ การปรับประยุกต์ใช้เพิ่มเติมจะทำให้สินทรัพย์ชนิดที่ไม่มีตัวตนยิ่งขึ้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Regeneron และ Seattle genetics
ในกลุ่มผู้ผลิตยามักจะมีความยากในการเข้ามาของคู่แข่งถึงแม้ว่าสิทธิบัตรจะหมดอายุลงแล้ว เนื่องจากความยากของการผลิต ต้นทุนในการทดลองทำ และความซับซ้อนในการทำการตลาด ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้คู่แข่งเลือกที่จะไม่เข้ามา เช่น ยาโรคเบาหวานของ Sanofi
บริษัทที่สร้างปราการที่ยั่งยืนได้จากกฎระเบียบนั้น ต้องไม่มีสินค้าที่ทดแทนได้หรือมีข้อกำหนดในการตั้งราคา ซึ่งจะทำให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างผูกขาด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบ่อนการพนัน ในจีนมีใบอนุญาติออกเพียงแค่ 6 ใบ และ สิงคโปร์มีแค่ 2 ใบเท่านั้น บริษัทอย่าง Las Vegas Sands and Wynn Resorts จึงจัดได้ว่ามีป้อมปราการจากกฎระเบียบนี้
.
#ป้อมปราการที่2 ความได้เปรียบทางต้นทุน (Cost Advantage)
ได้มาจาก ขั้นตอนในการดำเนินงาน – เช่น สามารถแชร์ค่าใช้จ่าย R&D ความรู้ต่างๆให้ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นร่วมกันได้ (Economies of Scope)
ทำเลที่ตั้ง – มีผลต่อค่าขนส่ง โดยเฉพาะในสินค้าที่มีอัตราส่วนมูลค่าต่อน้ำหนักต่ำ เช่น พวกวัสดุก่อสร้าง
ขนาด – ยิ่งผลิตเยอะยิ่งประหยัด มีต้นทุนคงที่ รวมถึงการมีอำนาจต่อรองกับ Supplier
การเข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะตัว – บางอุตสาหกรรม การเป็นเจ้าของหรือเข้าถึงทรัพยากรที่หายากอย่างแหล่งทับถมทางธรณีก็จัดว่าเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งได้ คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้แม้จะมีเงินและเวลาขนาดไหน
ตัวอย่างหุ้นที่มีป้อมปราการที่มีความได้เปรียบทางต้นทุน เช่น United Health, WellPoint, Aetna บริษัทเหล่านี้ มีค่าใช้จ่ายที่คงที่ ทำให้ยิ่งบริษัทมีสมาชิกมาก ก็ยิ่งมีความได้เปรียบทางต้นทุน ทำให้ SG&A ต่อหัวต่ำลง และทำให้มีอำนาจต่อรองกับโรงพยาบาลด้วย
FedEx อีกบริษัทที่มีปราการความได้เปรียบทางด้านต้นทุน ส่วนหนึ่งมาจากการใช้เทคโนโลยีในระบบอัตโนมัติในการกระจายพัสดุที่ทำให้คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก
#ป้อมปราการที่3 ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Costs)
ค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นในรูปของเวลา ความยุ่งยากกวนใจ เงิน หรือ ความเสี่ยงที่ลูกค้าต้องจ่ายเมื่อเปลี่ยนไปใช้บริการหรือสินค้าจากอีกบริษัทหนึ่ง
ลูกค้าที่มีต้นทุนการเปลี่ยนย้ายสูงจะไม่เปลี่ยนจ้าวโดยไม่จำเป็น ถึงแม้ว่าคู่แข่งจะมีสินค้าหรือบริการที่ดีกว่าหรือถูกกว่าก็ตามโดยเฉพาะสำหรับบริษัทให้บริการซอฟต์แวร์
Apple เป็นตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่มี Swiching Cost สูง แพลตฟอร์ม iOS ที่นำเสนอบริการอย่าง iTune และ iCloud ให้ลูกค้าซื้อเพลง หนัง หรือ เก็บข้อมูล เก็บรูปภาพ ทำให้ลูกค้ามีต้นทุนในการเปลี่ยนย้าย ซึ่งนี่ช่วยให้บริษัทรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคา
กองทุน Black Rock ก็ถือว่ามี Switching Cost ที่สูงเพราะแม้การเปลี่ยนย้ายจะไม่ได้มีต้นทุนที่สูงและยุ่งยากลำบากนัก แต่ผลประโยชน์ของการเปลี่ยนก็ไม่ได้มากมาย จึงทำให้นักลงทุนเลือกที่จะวางเงินอยู่กับกองทุนเดิมมากกว่า
#ป้อมปราการที่4 พลังของเครือข่าย (Network Effect)
เมื่อมีคนเข้ามาใช้งานผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้น จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่าย และดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ให้เข้ามาใช้มากขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์มแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเป็นวงจรไปเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญในการประเมินบริษัท คือ การดูว่าบริษัทนั้นสามารถทำเงินจากเครือข่ายนั้นได้อย่างไร เพราะก็มีหลายบริษัทที่สามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งแต่ไม่สามารถทำเงินได้มากพอจากการให้บริการ
Expedia และ Priceline ผู้นำแพลตฟอร์มด้านท่องเที่ยว Tencent ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเกมออนไลน์และ WeChat เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีป้อมปราการของพลังของเครือข่าย
.
#ป้อมปราการที่5 ขนาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Scale)
ลักษณะที่ตลาดมีขนาดเล็กจำกัดจนแค่บริษัทหนึ่งแห่งหรือไม่กี่แห่งก็สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้หมด คู่แข่งมีแรงจูงใจน้อยมากที่จะเข้ามาในตลาดนี้ เนื่องจากหากมีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนของอุตสาหกรรมโดยรวมต่ำกว่าต้นทุนของเงินลงทุน ขนาดที่มีประสิทธิภาพจะเป็นตัวกีดกันคู่แข่งหน้าใหม่ไม่ให้เข้ามาได้
เช่น ธุรกิจท่อส่งน้ำมัน บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่โฟกัสไปที่ยากำพร้า (Orphan drug) เช่น บริษัท Alxion ที่มียา soliris ซึ่งเป็นยาที่ไว้รักษาโรคระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง
.
นอกจากจะดูปราการทั้ง 5 แล้ว #การจัดสรรเงินทุน ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน ดังที่ จดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway เขียนไว้ว่า “เมื่อเวลาผ่านไปทักษะในการจัดสรรเงินทุนของผู้จัดการจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อมูลค่าของกิจการ”
จะเห็นว่าตัวผู้บริหารไม่ใช่รากฐานป้อมปราการ เพราะทีมผู้บริหารที่มีความสามารถอาจจะลาจากบริษัทได้
Morning Star เชื่อว่าการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนสามารถนำไปสู่การสร้างและพัฒนาหรือแม้แต่ทำลายป้อมปราการได้ และผลงานบางอย่างโดยเฉพาะผลงานระยะสั้นเป็นเรื่องของโชคมากกว่าฝีมือ
ผู้พิทักษ์เงินทุนชั้นยอด มักจะมีประวัติของการเข้าซื้อกิจการที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัท ไม่เขวออกไปจากขีดความสามารถของบริษัท ยึดอยู่กับสิ่งที่ตนรู้ดีที่สุด รวมถึงการตัดขายกิจการ และโฟกัสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าต้นทุนของเงินทุนได้สม่ำเสมอและแน่นอน
รวมถึงมีนโยบายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนอย่างสมดุล สนใจไปในที่การสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว แม้ว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในระยะสั้นต้องเสีย ตัวอย่างบริษัทที่มีผู้พิทักษ์ของกิจการที่ดีเยี่ยมในข้อมูลปัจจุบันที่แอดหาได้ ได้แก่ Microsoft, Amazon, Accenture, Nike
นอกจากนั้นการดูว่าบริษัทมี #ความสามารถในการจ่ายเงินปันผล หรือไม่นั้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
เพราะเงินปันผลสร้างวินัยแก่ผู้บริหาร หุ้นที่จ่ายปันผลมีประวัติเอาชนะหุ้นที่ไม่ได้จ่ายปันผล และหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงก็มักจะมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นที่มีอัตราปันผลต่ำด้วย
ถ้าบริษัทจ่ายปันผลได้แบบสม่ำเสมอและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะบริษัทที่ไม่ได้มีป้อมปราการจะไม่สามารถดำรงอัตรากำไรไว้ให้เท่ากับที่เคยทำได้ ปันผลก็มีแนวโน้มจะลดลง
เมื่อบริษัท #มีเงินสด บริษัทมีทางเลือกในการจัดการกับกระแสเงินสดของตัวเอง ได้แก่ การชำระหนี้ การซื้อธุรกิจ หรือสินทรัพย์อื่น การซื้อหุ้นคืน และการจ่ายปันผล คำถามต่อมาคือวิธีใดที่จะสร้างหรือส่งผลต่อมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ธุรกิจที่เป็นวัฏจักรอย่าง Ford หรือ GM จะมีการสะสมเงินสดไว้ในช่วงธุรกิจขาขึ้น เผื่อไว้ยามขาลง ในกรณีนี้ ถึงแม้บริษัทจะมีเงินสดอยู่เยอะ แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็น กระแสเงินสดอิสระได้ เพราะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนกลับไปสู่ผู้ถือหุ้นได้
และรวมถึง Apple ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งมีการสะสมเงินสดเก็บไว้ต่างแดนเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีเงินได้ที่มาจากต่างประเทศซึ่งมีอัตราสูงกว่าในสหรัฐด้วย
.
#การซื้อหุ้นคืน ของบริษัทกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กระแสเงินสดอิสระนั้นถูกจ่ายคืนกลับไปยังผู้ถือหุ้น โดยปกติบริษัท บริษัทจะซื้อหุ้นคืนเมื่อราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าของธุรกิจ นั่นถึงจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่หุ้นที่เหลือได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงบริษัทมักซื้อหุ้นคืนโดยไม่ค่อยสนราคากันในช่วงที่บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่มาก และไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นการทำเพื่อเพิ่มมูลค่าใดๆ
.
ในส่วนท้ายเล่มของหนังสือได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมมากมายและหลากหลายมาวิเคราะห์ป้อมปราการ แต่แอดเกรงว่าจะทำให้บทความนี้ยาวเกินไป แอดจึงขอเลือกมาบางตัวอย่าง
#สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม กระดาษ สารเคมี สินค้าเพื่อการเกษตร ผลิตภัณฑ์จะไม่มีความแตกต่างกัน ราคาจึงเป็นทุกสิ่ง ที่ถูกกำหนดด้วยกฎของอุปสงค์อุปทาน
ความได้เปรียบจากต้นทุนต่ำจึงนับเป็นที่มาหลักของป้อมปราการในหมู่ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทต้องมีความสามารถในการเข้าถึงวัตถุดิบและพลังงานที่ถูกกว่า หรือมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตจึงจะสร้างป้อมปราการนี้ได้
#Consumer Products แบรนด์คือป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงความได้เปรียบทางด้านต้นทุนจากการมีขนาดที่ใหญ่ ซึ่งทำให้บริษัทมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และเครือข่ายการจัดจำหน่าย เช่น Coca Cola, Pepsi, Heinz, Marlboro
#ร้านอาหาร การแข่งขันในอุตสาหกรรมจัดได้ว่าดุเดือดมาก มี barrier to entry ที่ต่ำมาก แต่ก็มีร้านอาหารจำนวนหนึ่งที่สามารถสร้างป้อมปราการจากสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนและความได้เปรียบทางต้นทุนได้ ซึ่งมาจากการมีเครือข่ายกว้างขวาง มีสาขาเป็นจำนวนมาก สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ลูกค้า มีเมนูเป็นแบบเดียวกันเปลี่ยนแปลงตามท้องถิ่นเล็กน้อย ได้แก่ Mcdonald, Starbucks
#ธุรกิจการเงิน เงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน จัดได้ว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แท้ๆ ทั้งยังมีกฎระเบียบและผู้เล่นจำนวนมากที่เก่งฉกาจพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกัน จึงไม่ใช่กลุ่มที่จะทำกำไรได้ง่ายๆ
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ เราจะโน้มน้าวใจให้ลูกค้าจ่ายแพงขึ้นในการใช้บริการเงินกู้ และยอมรับการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าอีกเจ้าได้
นอกจากนี้ปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างอัตราดอกเบี้ยและการว่างงานก็มีผลทำให้กำไรอาจแกว่งขึ้นแกว่างลงได้มาก
ตัวอย่างธนาคารที่พอจะมีป้อมปราการอย่างอ่อนๆ ได้แก่ Wells Fargo
แต่ในธุรกิจประกัน ไม่มีเจ้าไหนเลยที่สามารถสร้างป้อมปราการขึ้นมาได้ เพราะผลิตภัณฑ์เลียนแบบได้ง่ายมากและลูกค้าก็จะไม่ยอมจ่ายแพงด้วย
ในส่วนของบริษัทบัตรเครดิตและบริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จอาจจะสร้างปราการขึ้นได้จากเครือข่ายของผู้ใช้บัตร ตัวอย่างบริษัทบัตรเครดิต เช่น Visa, Mastercard
#Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่มีบริษัทที่มีป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์อยู่มากที่สุด
สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตร จัดว่าเป็นป้อมปราการหลักในอุตสาหกรรมนี้
บริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรยาตัวใหม่อย่างยาวนานถึง 20 ปี พร้อมอำนาจในการตั้งราคา ขนาดที่มีประสิทธิภาพยังช่วยในตลาดยา สำหรับโรคที่พบได้ยากเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่น้อยลงจะลดแรงจูงใจของคู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามา
ความได้เปรียบทางด้านต้นทุนก็มีบทบาทสำคัญสำหรับเทคโนโลยีชีวภาพที่มีกระบวนการผลิตสลับซับซ้อนน่าจะทำกำไรได้เฉพาะบริษัทที่มีการผลิตขนาดใหญ่เท่านั้น
และการที่แพทย์ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้ที่จะใช้งานเครืองมือต่างๆ ต้นทุนในการเปลี่ยนย้ายก็ช่วยสร้างป้อมปราการให้กับบริษัทด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี เครื่องมือแพทย์ก็มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ บริษัทที่จะมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งได้ต้องผลิตสินค้าที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน บริษัทที่สามารถสร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่งขึ้นมา เช่น Intuitive Surgical ที่ผลิตหุ่นยนต์ผ่าตัด
#หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ต้นทุนการเปลี่ยนย้ายถือเป็นปราการหลักในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงพลังของเครือข่ายเป็นที่มาสำคัญของป้อมปราการของบริษัท Software ด้วย ยกตัวอย่างโปรแกรม Office, Adobe Photoshop
.

สรุป Why Moats Matter หนังสือดีอีกเล่มหนึ่งที่ควรค่าแก่การอ่าน แอดสรุปใจความสำคัญได้แค่นี้ แต่ยังรายละเอียดอีกเยอะมาก สนใจลองหาอ่านเก็บตกกันดูนะคะ
.
#ฝากชอบกดไลก์#ใช่กดแชร์ ให้ด้วยนะคะ กำลังใจดีดีให้เแอดค่ะ

ติดตามบทความได้ทุกวันเสาร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน เวลา 9.00 เช้านะคะ
.
.
–Stock Surge—
เล่าเรื่องหุ้นนอกรายตัว แบบเข้าใจง่าย อ่านจบได้ใน 2 นาที
รวม 5
เร็วๆนี้ คุณ Chal Chalermdej นายกสมาคม Thai VI คนปัจจุบัน ได้มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในสัมมนา Thai VI ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งรวมถึงผม โดยคุณเชาว์บรรยายเรื่องการจัดพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน โดยให้คำแนะนำแบบสรุปง่ายๆว่า ในพอร์ตหุ้นของเรานั้นควรมี
1. จำนวนหุ้น = รู้(จักหุ้น)มากถือมาก รู้น้อยถือน้อย
* รู้น้อย ถือหุ้น 20 ตัว กระจายคามเสี่ยง
* รู้มาก ถือหุ้น 3-5 ตัว
* คุณเชาว์แนะนำให้ถือหุ้นหุ้นแค่ 5-10ตัว
* พอร์ตใหญ่ ถือหุ้นเยอะขึ้น (กระจายความเสี่ยง)
2. ความกระจุกตัว = ถือแบบกระจุกในตัวที่เรามั่นใจ
* ตัวที่ถือตัวแรกอัด 30-50% ของพอร์ต
* ถ้าขึ้น 5เท่า 10 เท่า มันสร้างความแตกต่างกับพอร์ต
ชอบค้าขายลองดูหุ้น CPALL, Walmart, Costco
ชอบเทคโนโลยี ลองดูหุ้น Amazon, Infosys, TSMC
ชอบแฟชัน ลองดูหุ้น LVMH, Hermès, Adidas
ชอบรถลองดูหุ้น Toyota, Ferrari
ความชอบเป็นแค่จุดเริ่มต้นให้เราไปศึกษาต่อไป
เมื่อเลือกหุ้นมาแล้ว จะจัดพอร์ตหุ้นแบบที่คุณเชาว์แนะนำ ถือเฉพาะตัวที่เรามี ถือกระจุกในพอร์ตหุ้น (แต่โดยรวมเป็นแค่สัดส่วนเล็กๆของเงินลงทุน) แล้วค่อยๆให้การเวลาตัดสินว่าเราสามารถเลือกหุ้นได้ชนะตลาดหรือเปล่า ก่อนที่จะค่อยปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
ผมเชื่อว่าน่าจะเหมาะสมและมีประโยชน์ต่อนักลงทุน 90% ทุกท่านครับ
#portfoliomanagement #alphainvesting
#10percent
รวม 5
30 แนวคิดการลงทุนของ คุณหมอพงศ์ศักดิ์ นักลงทุน VI ระดับ 2 หมื่นล้าน
1. จะลงทุนบริษัทให้ดู Cycle ของธุรกิจ
Stage 1 : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ (Startup)
Stage 2 : เริ่มโต แต่ Cashflow ติดลบ
Stage 3 : เริ่มโตขึ้น และ Cashflow เริ่มเป็นบวก
Stage 4 : ช่วงธุรกิจขยายตัว (Scale up)
Stage 5 : ธุรกิจเริ่มอิ่มตัว (Maturity)
Stage 6 : ช่วงธุรกิจเริ่ม Decline
2. นักลงทุนที่เป็น VC จะเลือกลงทุนที่ Stage 1 -2 แต่นักลงทุน VI จะลงทุนช่วง Stage 3 และจะได้ผลตอบแทนดี..ที่ความเสี่ยงไม่เยอะ
3. แต่ส่วนใหญ่ที่เราลงทุนแล้วได้ Returns กลับมาน้อยๆ เพราะ เราดันไปลงทุนธุรกิจ ที่อยู่ใน Stage 4-5 ไปแล้ว
4. ถ้าจะลงทุนบริษัทที่ Stage 1-2 จะวิเคราะห์ 4 อย่าง คือ :
– ตลาดใหญ่มั้ย?
– บริษัทจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้เท่าไหร่?
– แล้วถ้าแย่งชิงตลาดมาได้ จะได้กำไรเท่าไหร่?
– กำไรเท่านี้ Impact กับบริษัทมั้ย?
5. จะลงทุนบริษัทอะไร ให้ศึกษาผู้บริหาร และวิเคราะห์ว่า เขามีความสามารถ 2 ข้อนี้หรือไม่ คือ
– ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ
– ความสามารถในการจัดการเงินลงทุน
6. ผู้บริหารส่วนใหญ่จะเก่งในการบริหารธุรกิจ แต่จะมีจุดอ่อนในเรื่อง การบริหารเงิน
7. เพราะส่วนใหญ่พอได้เงินมา จะเอาไปขยายงาน ที่ได้ Return กลับมาไม่ดี (ถ้า ROE ต่ำๆ จะไม่ค่อยน่าลงทุน)
8. ผู้บริหารที่ดี คือ ผู้บริหารที่ตรงไปตรงมา หมายถึง เป็นคนที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด
9. 4 คุณสมบัติผู้บริหาร ที่น่าลงทุนด้วย คือ
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นนักกลยุทธ์มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ หาโอกาสเก่งมั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่ค่อยๆสร้างธุรกิจให้โตใช่มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่คิดอะไรใหม่ๆเสมอมั้ย?
10. เพราะผู้บริหารบางคนฉวยโอกาสเก่ง แต่ไม่ยั่งยืน หรือ บางคนก็สร้างอะไรใหม่ๆเสมอ แต่ไม่มีกลยุทธ์ระยะยาว ดังนั้น ถ้าไม่ครบเครื่อง 4 ข้อ ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะลงทุนด้วย
11. ในมุมของพี่กระทิง (VC) เวลาจะลงทุน Start Up จะดู 7 ข้อ คือ
– มองทีมผู้ก่อตั้ง (Winning founding team)
– มีตลาดที่ใหญ่เพียงพอ
– มีเทคโนโลยีที่ยากจะลอกเลียนแบบ
– มี Unfair Advantage ที่คู่แข่งไม่มี
– มีความสามารถในการดึงดูด Talent
– มีช่องทางในการทำ Profitibility
– The way to exit
12. ในมุมของนักลงทุน VI จะเลือกลงทุนในธุรกิจ กึ่งๆ Monopoly หมายถึง ธุรกิจที่สามารถ Scale จนเป็น เบอร์ 1 ของตลาด
13. จะดูได้อย่างไรว่าธุรกิจนี้ เป็น กึ่งๆ Monopoly – ให้ดูที่ยอดขาย ว่าต่างจากคู่แข่งในตลาดประมาณ 4-5 เท่า
14. แต่ถ้าเราจะลงทุน ให้ลงทุนช่วงที่ยอดขายมากกว่าคู่แข่งในตลาด 2 เท่า ถ้าเราไปรอว่าธุรกิจนี้จะต้องใหญ่กว่า 3 เท่า….แบบนี้ช้าไปแล้ว
15. แต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะมีผู้ชนะ จนเป็น Monopoly เช่น ธุรกิจสายการบิน คงไม่สามารถปิดน่านฟ้าและบินได้เจ้าเดียว หรือ อสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ใช่มีเจ้าเดียวที่ก่อสร้างได้
16. ดังนั้น อุตสาหกรรมประเภทนี้เราจะลงทุนก็ได้…แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะสั้น หรือ ราคาต้องถูกมากๆ ถึงจะน่าลงทุน และ เมื่อราคาขึ้นมาเหมาะสมก็ค่อยขาย
17. เวลาลงทุนให้เราวิเคราะห์อุตสาหกรรมก่อน ว่าจะมี ผู้ชนะในตลาด เพื่อที่จะมี Monopoly Power หรือไม่ ถ้ามีก็ น่าลงทุนระยะยาวได้
18. การเป็นนักลงทุน VI จะให้ “ความสำคัญกับ ความเสี่ยง มากกว่า Return” เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ Black Swan เราจะเจ็บหนักมาก แต่ถ้าประเมินความเสี่ยงแล้ว เมื่อเทียบกับ Return พอรับได้ ก็จะค่อยๆลงทุน
19. เวลาลงทุน จะไม่ลงทุนไม้เดียว จะค่อยๆลงทุนและเรียนรู้กับบริษัทนี้ (เฉลี่ยประมาณ 3 ปี) เพื่อเข้าใจความเสี่ยง เข้าใจธุรกิจดีพอ แล้วจะค่อยๆ ลงทุนเพิ่ม
20. 4 เหตุผลที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน เป็นเพราะ
– ลงทุน โดยที่ไม่เข้าใจธุรกิจ
– มองความเสี่ยงไม่ขาด
– ศึกษาอุตสาหกรรมไม่ดีพอ
– เราเชื่อคำพูดผู้บริหารมากเกินไป (ให้ระวังผู้บริหารที่สร้างภาพมากเกินไป)
21. ถ้าคนอยากซื้อเราต้องไม่ซื้อ – แต่ถ้าคนไม่อยากซื้อ เราต้องรีบเข้าไปวิเคราะห์
22. ให้เรากล้า ในระหว่างที่คนอื่นกลัว – ทุกครั้งที่ทุกคนบอกว่าบริษัทนี้ไม่ดี และเทขายทิ้ง ให้เรารีบเข้าไปวิเคราะห์ทุกครั้ง ว่าเป็นวิกฤติชั่วคราวหรือ วิกฤติถาวร
23. ถ้าเป็นวิกฤติชั่วคราว แล้วเรามีความกล้ามากพอที่จะลงทุน เราจะได้ผลตอบแทนกลับมาสูง
24. ถ้าจะลงทุนธุรกิจสัปทาน ต้องระวังเรื่องการต่อสัมปทานด้วย และ ธุรกิจสัมปทาน ต้องดูเรื่องการเมืองควบคู่ ถ้าเปลี่ยนขั้วการเมือง หรือ ไม่ได้ต่อสัปทาน จะมีความเสี่ยงสูงมาก
25. เหตุผลที่เราต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนให้ลึกซึ้ง เพราะ เราจะสามารถประเมินอนาคตของธุรกิจนี้ได้ และ ประเมิน “มูลค่า” ได้ ยิ่งถ้าเราถนัดและคุ้นชินกับอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุนด้วย เรายิ่งจะประเมินธุรกิจออกได้ง่าย
26. เราควรทำ Financial model และใส่ตัวเลข คาดการณ์ล่วงหน้า ของธุรกิจที่เราจะลงทุนในทุกๆไตรมาส ว่า “ผลประกอบการเป็นไปตามที่เราคาดการณ์หรือไม่?” ถ้าใช่ก็ให้ค่อยๆลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าไม่ใช่และผิดไปมาก ก็ต้องรีบขายออก ข้อดีของวิธีนี้คือ “เราจะรู้ตัวเร็ว”
27. เมื่อยิ่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงเรายิ่งต้องระวัง – ถ้าธุรกิจมี New S Curve ต้องดูว่า มีความเป็นไปได้มั้ย และ ทำกำไรหรือเปล่า สุดท้ายถ้าเราตีมูลค่าได้ เราจะค่อนข้างลดความเสี่ยงไปได้สูง
28. เราควรขายหุ้นที่เราลงทุนเมื่อไหร่? ให้กลับไปดูที่ Life cycle ของธุรกิจ ถ้าธุรกิจมัน Maturity ไม่โตแล้ว ให้ลองหาธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตเพื่อลงทุน (ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นแล้วถือตลอดชีวิต)
29. ถ้าเราลงทุนแล้วขาดทุน เวลาทำใจให้คิดว่า “เราเหลืออะไร มากกว่าเสียอะไร” อย่าไปยึดติดความผิดพลาด แต่ให้เรียนรู้และหาโอกาสในการลงทุนต่อไป
30. สิ่งที่เราควรฝึกฝน คือ ยิ่งหุ้นตก ทุกคนเทขาย ให้ฝึกนิสัยรีบเข้าไปวิเคราะห์ และตีมูลค่า เพราะ “ทุกวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ”
วันนี้โชคดีมากๆที่ได้ฟัง แนวคิด การลงทุน ทั้ง VC และ VI
ขอบคุณคุณหมอพงศ์ศักดิ์ พี่กระทิง ที่แชร์ Wisdom ให้ฟัง มากๆเลยนะครับ
ขอบคุณทีมงาน Disrupt ที่จัดงานขึ้นมานะครับ🙏😊
#CXO #CXO3
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน : วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
วิทยากร
1.ทิวา ชินธาดาพงศ์
2.ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
3.วีระพงษ์ ธัม
4.กิตติศักดิ์ โควินกวีวัฒน์
5.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
6.วัชระ แก้วสว่าง
7.ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ
8.ภาคภูมิ ศิริหงษ์ทอง
9.Mr.Bin Shi
10.ยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร
11.Mr.Pon Van Compernolle
12.อนุรักษ์ บุญแสวง
Session 1 Take Off : ทำไมคนไทย ต้องออกเดินทางไปลงทุนหุ้นนอก
1.Playbook 1 : Forget Who and Where You Are and Start Hunting For Growth Ex.หุ้น100 เด้ง ฝั่ง America Google, Priceline, Netflix
หุ้น Super Stock ฝั่ง Japan Nintendo, Uniqlo, Softbank
2.Playbook 2 : Runway of Growth (Ex.Case Study ในอดีต Home Depot vs Home pro ต่างก็เป็นหุ้นที่ทำกำไรมหาศาลทั้งคู่
อยู่ที่ Time Frame ที่เราเลือกมาจับมาว่าเป็นช่วง Timing ไหนและระยะเวลานานเท่าไร ซึ่งทั้งคู่)
3. 4 Stage ของการลงทุน 1.The Introduction Stage 2.The Growth Stage 3.The Maturity Stage 4.The Decline Stage ใช้เพื่อแยกแยะว่าบริษัทที่เราลงทุนตอนนี้อยู่ใน Stage ไหน
4.เราจำเป็นที่จะต้อง คิด วิเคราะห์ ความเสี่ยงในการลงทุน เทียบกับโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ
5. เหยี่ยว vs นก Kiwi, โดยหลักเหยี่ยวจะสามารถบินไปมา เพื่อที่จะเลือกพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่นก Kiwi นั้นแม้จะมีปีก แต่ก็บินไม่ได้และพบได้เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น เปรียบเสมือนการลงทุนที่เราควรจะเลือกเป็นเหยี่ยวที่บินไปมาเพื่อหาแหล่งพื้นอาหารที่สมบูรณ์ หรือเราจะเลือกเป็นนกกีวี ที่อยู่แต่เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
6.Playbook 3 : What is Understanding
กลับไปสู่ Back to Basic คือ เข้าใจในสินค้าและบริการ แม้จะลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่เราก็สามารถมองหาและเข้าใจในสินค้าและบริการได้เพราะ แม้จะเป็นร้านสะดวกซื้อก็มีสินค้าที่มาจากบริษัทจากต่างประเทศ หรือเวลาไปเดินในห้างสรรพสินค้าหรูๆ ก็มี Shop จากต่างประเทศมากมาย
7.Playbook 4 : What is Risk (Risk vs Opportunity)
8.Hunting การล่า (ตามล่าหาหุ้นเด้ง)
Trapping การขุดหลุมล่อ (โดยดูฤดูกาล)
Farming ปักหลักระยะยาว (Ex.หาหุ้นแบบ Megatrend และปักหลักระยะยาว)
9.What got you here, won’t get you there
อะไรที่อาจจะทำให้พาคุณมาถึงที่นี่ อาจจะไม่สามารถทำให้เราก้าวข้ามต่อไปจนถึงอีกฝั่ง
Session 2 Boarding Time : ถ้ามีงานประจำ แล้วจะติดตามหุ้นนอกอย่างไร?
10.Ex.Criteria บริษัทการลงทุน 1.)มีศักยภาพแข่งขันในระยะยาว 2.)การเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.)ราคาที่เหมาะสม 4.)งบการเงินดี
หุ้นดีๆ อยู่รอบตัวเรา , Mindset คือการมองที่ธุรกิจ
11.Ex.จุดเด่นของบริษัท Apple : 1.)Brand Strong 2.)Innovation 3.)Ecosystem 4.)Profitability
12.เปรียบการลงทุน เสมือนกับการตีเทนนิส ผู้ที่จะชนะในการลงทุนในระยะยาวคือ ผู้ที่พลาดน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม
13.จะ Valuation บริษัทได้นั้นเราต้องมีความเข้าใจในธุรกิจอย่างถ่องแท้
14.Checklist การลงทุนเบื้องต้น
1.)Business Model เป็นอย่างไร รายได้ธุรกิจมาจาก บริษัทอะไรบ้าง
2.)MOAT มีไหมและมาจากอะไรเช่น Brand, Network Effect, Economy of scale
3.)ตัวชี้วัดทางธุรกิจและอัตราส่วนทางการเงิน
4.)ผู้บริหาร
5.)ความเสี่ยงของธุรกิจ
15.Ex.Case การ Screen หุ้น
1.)Top Brand Company
2.)Hard to be disrupted
3.)Market Leader
4.)Durability Company
5.)Growth Consistency
จากนั้นจึงค่อย pick up Stock
Session 3 New York Call : หุ้นสหรัฐ
16.Female Economy : Female Spending power spending significant role than before
ปัจจัยสนับสนุนคือ 1) ตลาดผู้หญิงในกลุ่ม Millennials ที่มีกำลังซื้อสูงและกล้าใช้จ่าย 2) บทบาทของผู้หญิงที่เด่นชัดขึ้นในตลาดแรงงาน ทำให้สามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต 3) ผู้หญิงมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจและกำหนดการจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนมากขึ้น
17.แนวคิดการลงทุนหุ้นเติบโต บางส่วนสามารถศึกษาได้จากหนังสือ
7 Powers: The Foundations of Business Strategy by Hamilton Helmer
Ex.เรื่อง Switching Cost ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้ Platform อื่น
18.แม้บางที Business model จะดี เราเองก็ยังต้องประเมิน Valuation ควบคู่ไปด้วย เพราะแม้ Business model จะดี แต่ถ้าเข้าซื้อในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมเราก็อาจจะทำให้เราไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
19.เวลาวิเคราะห์หุ้น อาจจะต้องประเมินในหลายมิติ เช่น สินค้าประเภทนี้ มีโอกาสที่จะถูกสินค้าประเภทอื่น หรือบริการอย่างอื่นมาทำให้เกิดผลกระทบกับยอดขายของสินค้านี้หรือไม่
20.Theme นึงของการลงทุน คือ ลองมองหา
1.)Underdog
2.)Underowned
3.)Undervalue
เพราะอาจจะเป็นบริษัทที่คนส่วนใหญ่ไม่มีคนมาสนใจ ทำให้ความคาดหวังของราคาหุ้นไม่สูงมาก กรณีที่เกิดมี product ใหม่ หรือ Catalyst เกิดขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดสิ่งดีๆกับหุ้นตัวนั้นได้
21.ปัจจัยนึงที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น คือ โครงสร้างการถือหุ้นและผู้บริหาร บางครั้งการเปลี่ยนผู้บริหารก็อาจจะส่งผลดี/ผลเสีย ต่อกิจการของบริษัท
22.กรณีที่เป็นหุ้นที่ Too hard to be understanding ก็คงเป็นหุ้นที่ไม่เหมาะกับการลงทุนของเรา โดยหลักเราควรจะเลือกหุ้นที่เราสามารถ Predictable รายได้และกำไรได้
Session 4 Turbulence : ช่วงเวลาที่ผันผวนของหุ้นนอก เลวร้ายอย่างไร มีวิธีรับมือแบบไหน?
23.เวลาอ่านข่าว เราควรดูจากหลายแหล่งข่าว เพราะสื่อตะวันตกก็อาจจะมี Bias กับประเทศ Asia บางประเทศ
24.Theme นึงที่เลือกใช้ คือเน้นหุ้นที่บริษัทดี, มีคุณภาพ ที่มีปันผลดี และกระแสเงินสดดี ถือไประยะเวลาที่นานพอ ราคาหุ้นที่ฟื้นตัวกับปันผลที่ได้ ก็อาจจะทำให้เราได้กำไรจากการลงทุนพอสมควรจากการลงทุน (ผลประกอบการที่ดี วันนึงราคาของหุ้นก็ต้องสะท้อน)
25.America ดินแดนแห่งโอกาส ถ้าสามารถเลือกหา ธุรกิจที่เราเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่เติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
26.ลงทุนให้เหมาะกับจริตของเรา เช่นถ้าเราเป็นคนที่ชอบศึกษา Business ของธุรกิจ Technology เราก็อาจจะเหมาะกับการลงทุนประเภทนี้
27.กรณี Farming หรือเลือกปักหลักกับหุ้นในระยะยาว ปัจจัยเชิง Qualitative สำคัญกว่าปัจจัยเชิง Quantitative
28.การที่เราเลือกลงทุนในต่างประเทศ ก็อาจจะมีข้อดีอย่างนึงคือ เราจะมี Option ในการ Switch หุ้นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะขายหุ้นจากประเทศ A เพื่อนำเงินกลับมาซื้อหุ้นที่ประเทศไทย ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยลงหนัก เราก็อาจจะได้ในแง่สามารถช้อนหุ้นในราคาถูก แถมยังได้กำไรจาก Exchange Rate ที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว เวลาแลกเงินกลับมาเป็นเงินไทยก็อาจจะได้เงินบาทมากขึ้น
29.การจัดเก็บภาษีหุ้นนอก เป็นประเด็นที่ควรต้องติดตามต่อ ขณะนี้ กรมสรรพากรอยูระหว่างคุยกับ ธปท. และ กกต. อยู่ เป็นประเด็นที่อาจจะส่งผลกระทบกับนักลงทุนที่ไปลงทุนมนต่างประเทศ
Session 7 Shanghai Terminal : คุยกับผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน
30.อุตสาหกรรมยาที่จีนกำลังเริ่มที่จะ Penetrate อาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่เป็น Wave ถัดไปในอนาคต
31.จุดสำคัญ อย่างนึงของประเทศจีนที่ส่งผลต่อการลงทุน คือเรื่อง Government Regulation อย่างเช่น Case After School Tutor,
Healthcare, Tech Giant เป็นต้น
ซึ่งถ้า Government กลับมา Focus ที่เศรษฐกิจและออกนโยบายที่ผ่อนคลายบางอย่างก็อาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนได้
Session 8 Ho Chi Minh Terminal : คุยกับนักลงทุนไทย ที่รู้จริงในตลาดหุ้น Vietnam
32.อุตสาหกรรม ธนาคาร ที่ผ่านมาสินเชื่อโตปีละ 15% โดย Bank ควรจะต้องดู 1.)NPL 2.)Corporate Ratio 3.)LDR 4.)Valuation โดย Bank ที่ Vietnam มีข้อดี คือ 1.)Loan Growth สูง เช่น 15% 2.)ROE สูง เช่น 20% 3.)P/BV ต่ำ 4.)P/E ต่ำ
33.พึงระวังบริษัทที่หันไปทำธุรกิจที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท
34.Farming Vietnam : โดยมองว่าเศรษฐกิจมีโอกาสขับเคลื่อนเติบโตสูงในระดับหนึ่งใน 5-10 ปีข้างหน้า
35.Mindset การลงทุนที่ Thai อาจจะไม่สามารถนำมาใช้กับการลงทุน Vietnam ได้ 100% อาจจะมีบางบริบทที่ไม่เหมือนกัน
Session 9 Final Call : Pitching 3 บริษัท USA, China, Vietnam
36.Criteria นึงในการเลือกบริษัทคือ TAM ใหญ่, มี Competitive Advantage, เป็นบริษัทที่มี Network Effect , มี Free Cash Flow ที่ดี
37.เวลาเราจะเลือกลงทุนบริษัทนึง อาจจะต้องฝึกตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องใช้บริการบริษัทนั้น เราสามารถเลือกใช้บริการของบริษัทอื่นแทนได้ไหม เพื่อไม่ให้เรามี Bias ในบริษัทนั้นจนเกินไป
38.Theme การลงทุนอย่างนึง บริษัทที่มี DCA แต่อาจจะมีปัญหาชั่วคราวบางอย่าง ซึ่งถ้ารายได้และกำไรกลับไปที่จุดที่ควรจะเป็นและเราซื้อบริษัทนั้นได้ในราคาที่ไม่แพง ก็มีโอกาสที่จะได้กำไรมหาศาลได้
39.เวลาเลือกลงทุน เราอาจจะต้องลองมองหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งหรือหลายๆประเทศ เพื่อเป๋นข้อมูลประกอบให้เราสามารถวิเคราะห์บริษัทนั้นๆ หรือความเป็นไปได้ในการดู TAM ในอนาคตของบริษัทได้ เช่นบริษัทในจีนแต่เราอาจจะลองมองหาบริษัทที่ทำกิจการที่คล้ายๆกันในประเทศอื่นๆเพื่อ Benchmark เปรียบเทียบกัน
40.Dhandho Investing : Downside ต่ำ (โอกาสแพ้น้อย) แต่มีโอกาสได้กำไร/Upside สูงๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพิธีกร และพี่ๆทีมงานที่จัดงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน ทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 9 Oct 23
(2 Years Promise)
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 พลัง/กลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ
“องค์กรที่ดำเนิน/ปฏิบัติงานได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ดี ถ้าไม่มีกลยุทธ์ที่ดี” CEO Netflix ได้กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ โดยหนังสือ 7 Powers นั้นได้อธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาธุรกิจ/บริษัทชั้นนำ ซึ่งเริ่มแรกหนังสือได้กล่าวนิยามของ กลยุทธ์ ว่าคือ แผนการ/หนทางในการสร้าง/รักษาอำนาจทางธุรกิจในตลาดที่สำคัญ โดยหนังสือได้แบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 2 กลุ่มคือ Strategy Statics ซึ่งมี 7 หัวข้อย่อย และ Strategy Dynamics ซึ่งมี 2 หัวข้อย่อย โดยบทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 โพสต์ ซึ่งโพสต์แรกนี้จะกล่าวถึง Strategy Statics 5 ข้อแรก ดังนี้
Scale Economies คือ ธุรกิจที่ต้นทุนต่อหน่วยลดลง เมื่อปริมาณการผลิตเพิ่ม่ขึ้น โดยหนังสือได้ยกตัวอย่าง Netflix ว่ามีกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale อย่างมาก โดยใช้ยุคเริ่มแรกนั้นธุรกิจ Netflix เริ่มจากการปล่อยเช่าวีดิโอ/DVD โดยผู้นำได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างถูกต้องหลายครั้ง ได้แก่ การมุ่งสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง(Bet on Internet/Streaming) และถัดมาก็ดำเนินกลยุทธ์แบบ Exclusive Right/Original Contents ซึ่งเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ที่มาอย่างถูกจังหวะเวลา ทำให้ Netflix สามารถใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale ได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ การสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นการประหยัดหน้าร้านและค่าใช้จ่ายสนับสนุนสำหรับการเช่าDVDออนไลน์ ส่วนการทำ Original Contents ที่ได้เริ่มช่วง 2012 นั้นเป็นช่วงที่เริ่มมีปริมาณ Subscriber เติบโตเยอะพอสมควรแล้ว การลงทุนสร้างหนัง/ซีรี่(Fixed Cost) แล้วฉายให้ฐานผู้ชมที่กำลังเติบโตสูงนั้นจึงเริ่มคุ้มในเชิงกลยุทธ์
Network Effect คือ ธุรกิจที่มูลค่ามากขึ้น เมื่อมีคนใช้แพลตฟอร์มมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่าง LinkedIn ซึ่งตอบโจทย์และมีคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการสร้าง Network Effect ได้แก่ เป็นตลาดที่ Winner Take All เป็นธุรกิจที่มีขอบเขต/กำแพง(boundary)ชัดเจน มีการใช้งาน(Engagement)สูงตามปริมาณคนใน Network และเป็นบริษัทที่มีสินค้า/Solution ที่ดี/ได้ผลจริง ตั้งแต่ช่วงแรก(Leader มากกว่า Follower) ซึ่งจะเห็นว่า LinkedIn มีข้อดีเหล่านี้ครบ โดยตลาดหางาน(Professional Recruitment) นั้นเป็นเหมือน Winner Take All ธุรกิจมี boundary หรือกำแพงกั้นคู่แข่งอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากความพยายามทำ Service เดียวกันของ Facebook โดยการซื้อ Branchout แต่ไม่สำเร็จ ส่วนนึงเพราะผู้คนอยากแยกชีวิตทำงาน และชีวิตส่วนตัว รวมทั้งเป็น Network ที่คนยิ่งมาก Engagement ก็ยิ่งมากตาม สุดท้าย ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม ธุรกิจที่มี Network Effect โดดเด่น เช่น iOS(Apple), Social Network(Facebook) เป็นต้น
Counter Positioning คือ การสร้างโมเดลธุรกิจที่ตรงข้ามกับตลาดโดยสิ้นเชิง โดยใช้ตัวอย่าง บริษัทบริหารจัดการหลักทรัพย์ Vanguard เทียบกับ Fidelity ซึ่งแต่เดิมช่วงก่อนปี 1975-1990 นั้น Fidelity เป็นบริษัทรายใหญ่ในสาขานี้ และใช้โมเดล Active Fund(เก็บค่าบริหารแพง และเลือกหุ้นดีดี) แต่ Vanguard กลับเสนอโมเดล Passive Fund ซึ่งจะเก็บค่าบริหารถูกมาก และบริหารตาม Index ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า AUM ของ Vanguard ก็เติบโตขึ้นมหาศาล จึงได้พิสูจน์ว่า Counter Positioning ในเรื่องนี้ Vanguard(Passive) นั้นเป็นโมเดลที่เหมาะสมกว่า ทีนี้ลองพิจารณาว่า ทำไม Fidelity ที่เห็น Vanguard ทำโมเดล Passive มานานกว่า 30 ปีแล้วถึงจะมาเริ่มปรับตัว อาจมาจากเหตุผลต่างๆเหล่านี้ เช่น การไม่คิดว่าโอกาส(ตลาด)ของ Passive Fund จะใหญ่พอ กลัวว่ารูปแบบกองทุนแบบ Passive จะมากินส่วนแบ่งรายได้เดิมลง(Cannibalize) มีความยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ ว่า Active Fund เวิร์คในอดีต อนาคตก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน และอาจมีปัญหา Agency Bias คือ ผู้บริหารไม่กล้าเปลี่ยนกลยุทธ์เพราะกลัวผลประโยชน์ของตนหรือของบริษัทระยะสั้นจะลดลง
Switching Cost คือ ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่น โดยธุรกิจที่มี Switch Cost ยิ่งสูงยิ่งดี ซึ่งหนังสือกล่าวว่ามีปัจจัยที่ช่วยทำให้แพลตฟอร์มมี Switch Cost สูง ได้แก่ สินค้า/บริการมี Learning Curve สูง(เช่น Adobe ที่คนใช้เป็นแล้วไม่อยากไปเรียนรู้โปรแกรมใหม่) มีมาตรฐานอุตสาหกรรม(เช่น Microsoft office File format สำหรับสำนักงาน) มี Bundling Synergy เยอะ(เช่น SAP, Amazon Prime มีบริการหลากหลายที่ตอบโจทย์) มีความผูกพันทางอารมณ์(เช่น Apple) มีข้อมูลลูกค้าอยู่มาก(เช่น Spotify ทำให้ย้ายแพลตฟอร์มยาก) หรือลูกค้ามีโอกาสเสียหายเพิ่มเติม(เช่น เปลี่ยนค่ายมือถือต้องจ่ายเพิ่ม หรือจะเปลี่ยนโปรแกรมองค์กรอาจมี downtime หรือข้อผิดพลาดได้) ซึ่งบริษัทที่สร้าง Switching Cost ได้อย่างดีสำหรับแพลตฟอร์มตนเอง เช่น Microsoft Office ซึ่งเป็นสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาด ใช้อย่างกว้างขวางจนเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีความไม่แน่นอน/เสี่ยง หากองค์กรจะเลือกใช้แพลตฟอร์มอื่น
Branding โดยหนังสือได้ให้คำนิยามว่า แบรนด์คือการนำเสนอสินค้า/บริการที่คุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าสินค้า/บริการจะมีคุณภาพดีกว่า ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น Apple หรือกระเป๋า LVMH ซึ่งพลังงานของแบรนด์ที่เหนือกว่าจะทำให้ธุรกิจมีอัตรากำไรที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หนังสือยังกล่าวถึงหลายปัจจัยที่ทำลายแบรนด์ได้ เช่น สินค้าคุณภาพต่ำ การนำเสนอสินค้าที่ราคาต่ำลง(down market) ทำให้การรับรู้ของผู้บริโภคเปลี่ยน การขยายธุรกิจ/แบรนด์ไปต่างประเทศก็จะเจอแรงต้านที่ทำให้แบรนด์อ่อนแอลง และสินค้าผู้บริโภครายย่อย(B2C)มีโอกาสที่แบรนด์จะเสื่อมลงเร็วกว่าสินค้าองค์กร(B2B)
ติดตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 2 ได้เร็วๆนี้ ทั้งเนื้อหาของ Power 6-7 และสรุปเกี่ยวกับ Power Dynamics ได้ที่เพจ สรุปย่อลงทุนนอก
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
#ลงทุนต่างประเทศ #7Powers #HamiltonHelmer #BusinessStrategy #GrowthInvesting #StrategyStatic #PowerDynamics #หุ้นนอก
Reference :
-Official Site of 7Powers : https://7powers.com/synopsis/
-Podcast The 7 Powers with Hamilton Helmer & Jeff Lawson :https://www.youtube.com/watch?v=U_eQK9UR8ao
-Youtube Chanel of 7 Powers Summary
:https://www.youtube.com/watch?v=1h50lBC0YyQ&t=2s
สรุปย่อแนวคิดการเลือกสุดยอดหุ้นเติบโต/กลยุทธ์ของบริษัทที่แข็งแกร่ง จาก หลักการของหนังสือ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer
Part 1) Strategy Static : Powers 1-5
Part 2) Powers 6-7 และ Dynamics Strategy
·
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
Veritas กับการลงทุน
เมื่อวานไปงานลงทุนแมน เห็นคุณหลินพูดถึง Harvard’s Motto ผมว่าน่าสนใจ
1 Veritas เป็นภาษาละตินแปลว่า Truth หรือความจริง เป็นการ imply ว่าการเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกก็คือ การเข้ามาเรียนรู้ค้นหาความจริง
2 มนุษย์เราจริงๆ แล้วยังสับสน คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง ยุคนึงก็เคยเชื่อว่าโลกแบน ปัจจุบันมนุษย์ยังไม่รู้เลยว่าเรามาจากไหน จักรวาลคืออะไร มีขอบเขตขนาดไหน
3 บางสังคมอย่างคนไทย ยังสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรคือ ความจริง ความเห็น ความเชื่อ คนจำนวนมากคิดว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือถูกแต่จริงๆ แล้วผิด เช่น การรู้ข้อมูล inside information ก่อน public ผ่านการ CV หรือ Analyst meeting เป็นต้น
4 ผมเองได้แต่ฝันว่าอยากเรียน Harvard แต่โตมาจึงรู้ว่าค่าเทอมแพงจัด แถมจบตรีวิศวะจุฬาด้วยเกรด 2.52 ฝันสลายเลย 555
5 แต่จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อ่านหนังสือมากมาย ฟัง podcast ฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ผมก็ได้ conclusion เดียวกันว่า สุดท้ายแล้ว ชีวิตคือการเรียนรู้ การค้นหาความจริง เพื่อให้บรรลุ เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นแบบ Harvard’s Motto ว่าไว้จริงๆ
6 ในแง่การลงทุน ผู้ชนะคือคนที่รู้ความจริง คาดเดาอนาคตถูก ไม่เมากาว ไปหลงซื้อตอน bubble และไปขายที่ bottom เพราะหดหู่จนทนไม่ไหว
7 การลงทุนที่ประสบความสำเร็จคือ การตามล่าหาความจริงผ่านการ scuttlebutt จนบางครั้งเราอาจสามารถคาดการณ์อนาคตในบางอุตสาหกรรม หรือบาง theme ได้ เช่น
7.1 สินค้า FMCG ของไทย เช่นที่ขายอยู่ใน 7-11, Watson, EveandBoy เป็นระดับ world class อาจโตได้ระดับโลก
7.2 AI มาแน่ data คือ the new oil
7.3 โลกยุคใหม่ เป็นยุคของ social commerce เป็นยุคของ Kols
7.4 มนุษย์จะอายุยืนยาวขึ้นด้วยความรู้ใหม่ๆ เรื่อง genetics
เป็นต้น
8 เมื่อเราค้นพบความจริงแบบผู้รู้ยุคก่อนหน้าเรา ในศาสนาพุทธ เรียกว่าพระอรหันต์ หรือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง จนบรรลุนิพพาน เป็นความว่าง ประมาณว่ารู้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเกิดแล้ว
9 ในโลกตะวันตกแบบที่ Elon Musk บอก ถ้าเรารู้ความจริงมากๆ เราอาจจะรู้ว่าความจริงแล้วเรากำลังอยู่ใน simulations หรือ ที่ผู้ก่อตั้ง Harvard เรียกว่า come closer to God ก็เป็นได้