TAN

Tan CV 21-6-24
Update ปัจจุบัน
Pandora มี 47 สาขา
Ganni เปิดสาขาแรกเมื่อ Jan 24
Cath Kidston tea room เปิดสาขา 3 the mall bangkapi
March เปิด Gordon ramsay street pizza
Event ครบรอบ 60 years Marimekko
กิจกรรม Marimekko X uniqlo > จัดโดยนโยบายของบริษัทแม่ Collection นี้ทำทำมา 5 ครั้งแล้ว >ไม่ทำให้ brand เสียไป เป็นการสร้างคาวามรับรู้เพิ่มขึ้น
Brand marimekko โต 42%
Pandora โต 21%
Cath Kidston บริษัทแม่ประสบปัญหาล้มละลายจึงขายกิจการให้บริษัทใหม่ > ทำให้สะดุดไปเมื่อปีที่แล้ว > สินค้าใหม่เริ่มมา march 24
ปี 2567 วางเป้ารายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 20% ผ่านการสร้างการเติบโตจากแบรนด์เดิม และเพิ่มแบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมแกร่งในพอร์ตธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม

Q&A
Sssg Q2 ค่อนข้างดีต่อเนื่อง
อาหารแนวโน้มไปได้ดี
Ganni ยังดีไม่ได้ผลกระทบ
โครงการ HARNN ใน china จัดตั้งบริษัทย่อย HARNN Greater China ในเมืองหางโจวเรียบร้อยแล้ว เริ่มจัดจ้างพนักงาน ของเริ่มผลิตแล้วเริ่มส่งของได้ตั้งแต่เดือน 7
เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ของกลุ่มจากต่างประเทศเป็น 25% ภายใน 3 ปี
เปิดตัว Brand United arrow / brand ใหม่เปิดวันนี้ที่ชั้น 3 emsphere

โดย TAN จะนำแบรนด์ต่างๆ ของยูไนเต็ด แอร์โรว์ เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย รวมทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่

  1. ยูไนเต็ด แอร์โรว์ (UNITED ARROWS) การแต่งกายแบบผู้ใหญ่ที่เป็นทางการภายใต้คอนเซ็ปต์ หรูหรา มีระดับ (Affluent and Premium)
  2. บิวตี้แอนด์ยูธ ยูไนเต็ด แอร์โรว์ (BEAUTY&YOUTH UNITED ARROWS)
  3. ยูไนเต็ด แอร์โรว์ แอนด์ ซันส์ (UNITED ARROWS & SONS) นำเสนอเสื้อผ้าสไตล์สตรีท
  4. เอช บิวตี้แอนด์ยูธ (H BEAUTY&YOUTH) นำเสนอแฟชั่นแคชชวลระดับพรีเมียม ใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
  5. โลเอฟ (LOEFF) แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่วปราดเปรียวและภูมิฐาน

United arrow > ถ้าเปรียบเทียบ Brand
Fast fashion = uniqlo
Niche luxury = Ganni
UA อยู่ตรงกลาง สามารถ scale ได้มากกว่า Ganni / Marimekko ถ้าเทียบคุณภาพกับราคา
เป็น brand มาจากญี่ปุ่น / ช่วงแรกเปิด 1 สาขาก่อน
คู่แข่งทางตรงคือ Beams Brand (Japan) ( กลุ่ม The Mall นำเข้ามา )
ใกล้เคียงกับ brand COS แต่เป็น street มากกว่า
ต้องหา hero product ของ brand > เพื่อสร้างการรับรู้ของ Brand
มี x กับ Brand อื่นๆเช่น new balance / Adidas
กลุ่ม agency สถานปนิก art ชอบใช้
ใช้วิธีสร้าง community > แล้วจะเห็น character ของกลุ่ม สามารถนำไปต่อยอดได้
United arrow ลักษณะคือถึงไม่มี logo แต่มองแล้วก็ยังทราบว่าเป็น UA จาก Charactor ของ Brand

Cath Kidston ของเข้าแล้วเดือน April sssg +3% / may -1-2%
เราพยายามเอาฐานลูกค้าเดิมกลับมา
การบริหารภาพรวม ไม่ได้มีสาขาเยอะ / ลดค่าใช้จ่ายสาขาขนาดใหญ่ > เปลี่ยนเป็นขนาดเล็กลง ( หายไป 7 สาขา )
ดูเรื่อง productivity ด้วย > ยอดขายไม่ได้ลดลง
Cath Kidston cafe 3 สาขา Central World growth 30% เทียบกับปีที่แล้ว
Central Eastville / บางกะปิ เพิ่งเปิด 6 เดือน

HARNN > ตั้งบริษัท Reach arm > เดิมทีมเค้าเก่งเเรื่อง online กับ alibaba / T-Mall
เค้าเห็นว่าเราควรเริ่มทำ offline > จึงมา discuss กันว่า HARNN จะ success ยังไง
ต้องหาผู้ซื้อ / ผู้ใช้สินค้า
ต้องสร้าง multi level ใน function ต่างๆ คือ
Trade finance > agent ของมณทลนั้นๆ > รับเป็น margin / เป็นการขายขาดสมมติเช่น EveNboy
เค้าต้องเป็น own store ในมณทลนั้นๆ
ปีนี้เปิดที่หางโจว ( ของเราเอง)
เป้าหมายเปิดสาขาเปิด 15 city ใน 18 เดือนแรก
Gp ของที่นู่น จะอยู่ที่ 52%
Focus ที่ sales team / marketing team
มีการแข่งเรื่อง shelf placement > PA เป็นคนจ่าย
ขายเป็น usd แต่ยังไม่ได้ finalize / บาทอ่อน ดีกับเรา

Q HARNN perception brand เรายัง strong มั้ย
A มองว่าดีขึ้นกว่าเดิม
มีการยอมรับ เข้าใจอัตลักษณ์มากขึ้น > จากข้อมูลถ้าเทียบกับ THANN ( REV ปีละ 700m ) PANPURI
2023 THANN +7%
PANPURI +80%
HARNN +30%
THANN ไม่ active มากในไทย / ในตปทเก่งแถบ East Asia
PANPURI ยอด 500+ ตอนนี้ขึ้นเป็นเบอร์1 > ทำให้หรูหรามากขึ้น หนัก selling expense / ได้ลูกค้าต่างชาติเยอะ > เค้าเน้นตปท
เรามองว่าเราต่างจากเค้า
โดนรวมทุกคนโตหมด
เราเลือกว่าจะใช้ทรัพยากรเรากับตรงไหน

HARNN central eastville > ลูกค้าคือ domestic > สร้างฐานลูกค้าที่ตรงนั้น
Cover ค่าเช่าค่าคน / พอไปได้อยู่
เปิดติดกับ marimekko / มี deal share พื้นที่กัน

Q เห็นคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ซื้อ THANN กันเรา represent ตัวเองยังไง
A มองที่ความชอบของแต่ละบุคคล / style ของคนนั้นๆมากกว่า

Q การสร้าง brand value สร้างการรับรู้ของต่างชาติ
A เป้าหมายเราไม่ใช่คนต่างชาติที่มาเมืองไทย
เราก็ enjoy ตัวเลขจาก king power
เราไม่ได้พยายามขายในมุมของฝาก แต่เป็นสร้าง value ให้คนซื้อใช้บ่อยๆ
เราไม่ได้เน้นลูกค้าที่ไปซื้อฝาก / เน้นคนซื้อใช้เองทั้งไทยและต่างชาติ
มีงบการตลาดไปที่จีน Q ละ 7 ล้าน

Q HARNN ในจีนให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบไปดู
A เดิมเรามี creative director ดูแล > แต่ออกไปตั้งแต่ NOV / ตอนนี้ทีทีมดูอยู่
Strategy team / marketing team > แบ่งงานกันทำ
คนที่เป็น founding ของ marimekko ออกไปตั้งแต่ก่อน ipo แต่ marimekko ก็ยังโตได้ดีมาเรื่อยๆ
เราไม่ได้มองที่คนมองที่ทีมงาน / สร้างความเป็น entrepreneurship ให้ทีมงาน

Q การตรวจสอบทีมงาน
A คุณแทนเป็น center ลงรายละเอียด / ทุกคนสามารถนำเสนอความคิดได้
เรามี milestone meeting > ซึ่งรวมทั้งการดู SSSG ด้วย
เราให้ความสำคัญเรื่อง people management พอๆกับ strategy เลย

Q กลยุทธ์ในการปั้น Brand
A Brand ที่เรานำเข้ามาต้องรู้ identity ของ brand เพื่อสร้างการรับรู้เช่น Pandora เองคนขายก็มี loyalty กับ brand ด้วย
ได้ marketing manager ใหม่มาดูเรื่อง HARNN

Q กังวลเรื่องโดน copy ของในจีนมั้ย
A เรามี trademark ทุกอัน / Brand local ที่สำเร็จคือ OSM
การไปเปิดในจีน ก็มีความเสี่ยงเรื่องคนซื้อน้อยงลงกว่า ที่อยู่ที่นี่

Q ต้นทุนในการเปิดสาขา
A 1 สาขา 5-7 ล้าน
การเปิดสาขาเราก็ต้องไป approve เช่นขนาดร้าน การแต่งร้าน mood and tone
15 เมืองอาจจะมี 7-8 PA / Sign มาแล้ว 30%
17 July จะจัด brand sales conference เอาคนมา 130+ คน มาสร้างความเข้าใจเรื่อง brand
พาไป visit spa / ทีมการผลิตการตลาด

Q เกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหาร
A Bread street dec24 ตัวเลขไม่ตกเลย
Turn over ไม่สูง แต่ per head จาก 1,500 > 2,200 บาท
P ไม่สูง แต่ Q สูง / จะเปิดสาขา 2 ที่ icon Siam
Last order 3 ทุ่มครึ่ง / ไม่ได้ fix เรื่องรอบเวลา / ศ – อาทิตย์ คนเยอะ
เริ่มมี menu อื่นๆ คือเอาเมนูใน bible มา twist ได้ / ออกเมนูใหม่ทุก 3 เดือน
Pizza street เดิมเป็น all you can eat ปรับเป็น alacate ตัวเลขดีขึ้น / ดีไม่น้อยกว่าที่คาด

VINFAST

VINFAST.. เบื้องหลัง Money Game
ราคาจะไปจบลงที่ไหน?

. . .

บริษัทรถ EV ของเวียดนาม VINFAST เพิ่งเข้าตลาดหุ้น NASDAQ

จากราคา IPO $10 ขึ้นไปสูงสุด $37 จนมูลค่าบริษัทสูง $86b สูงกว่า มูลค่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Ford, GM และ Volks

ก่อนราคาจะปิดในสัปดาห์แรก $15 หรือ -60% จากจุดสูงสุด

Money Game นี้ จะจบอย่างไร?

. . .

#SPAC

VINFAST ผลิตและขายรถในเวียดนาม โดยใช้เงินทุน+กู้จากบริษัทแม่ VINGROUP $2.5b

เดิมมีแผนจะระดมทุน IPO ผ่านตลาดหุ้น US โดยหวังว่าจะได้เงิน $2b… แต่ไม่สำเร็จ

เลยมาจบทางลัดจากการระดมทุนผ่าน SPAC ก่อนแต่งตัวเข้า IPO ภายหลัง แต่กรณีนี้ได้เงินเข้าบริษัทแค่ $149m

SPAC Playbook จะเริ่มสร้าง Growth story ก่อนจะ Exit ผ่าน IPO ตลาด

ตลาดรถยนต์เวียดนามเล็กมาก ปีนึง 4 แสนคัน จึงต้องมาสร้าง Growth story ที่ US เพื่อรองรับการระดมทุนใน Nasdaq

ก่อน IPO ไม่นาน บริษัท เริ่มออกข่าว เตรียมสร้างโรงงานที่ North Carolina โดยมีกำลังการผลิต “1.5 แสนคัน”

VINFAST เริ่มเปิด US Showroom และนำเข้ารถมาขาย 3,000 คัน แต่ขายจริงได้แค่ 128 คัน แถมต้องเรียกคืนอีก เนื่องจากคุณภาพไม่ได้มาตราฐาน และได้ review ไปทางไม่ดี

ในเวียดนามเอง VINFAST ขายได้ระดับ 2 หมื่นคัน และตั้งเป้าการขายปีนี้รวม 50,000 คัน น่าจะเพื่อตั้งมูลค่าหุ้นให้ใกล้เคียงกับ EV อีกเจ้าในตลาดคือ Rivian ที่ระดับ $20b

การสร้าง Growth Story เพื่อดัน demand หุ้นวันเปิด IPO ที่ราคาสูง โดยจำกัด supply หุ้นให้ต่ำที่สุด โดยการนำหุ้นเข้าตลาดแค่ 1% ของทั้งหมด

เมื่อ High demand ของรายย่อย มาเจอ Low supply ทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 3.7 เท่า นักลงทุน SPAC น่าจะ Exit ทำกำไรไปเกือบหมด (ตามสถิติ หุ้นที่เข้ามาผ่านช่องทาง SPAC กว่า 90% ไม่นาน ราคาจะลงไปต่ำกว่าราคา IPO)

Volume ซื้อขาย VINFAST อยู่ราวๆ 3-7 ล้านหุ้นต่อวัน เจ้าของที่หุ้นอยู่กว่า 2.3 พันล้านหุ้น ย่อมขายออกมากไม่ได้ แต่จะหาเงิน Step ต่อไปจากไหน?

ถ้าเทียบราคา VINFAST ที่ $15 ตอนนี้ บริษัทมีมูลค่า $34b บริษัทย่อมหวังว่าจะสามารถเพิ่มทุนอีกรอบที่มูลค่าสูงขึ้น หรือหุ้นนำไปคำ้เงินกู้ ดึงเงินออกมา ถ้ามีธนาคารใจดียอมปล่อย

แต่จะทำแบบนั้นได้ง่ายๆจริงหรือ?

. . .

#EV2023

ตลาด EV ปี 2019-2021 เกือบทุกบริษัทไม่มีกำไร ไม่มี Scales และอาศัยการเติบโตจาก Venture Capital, ตลาดหุ้น หรือ Subsidy จากรัฐมหาศาล

แต่ตลาด EV ปี 2023 ไม่เหมือนเดิม

บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง TESLA ที่เคยประสบปัญหาการเงินช่วงตั้งต้น ตอนนี้มีกำไรและกระแสเงินสดเป็นบวก สามารถผลิตรถขายได้กว่า 1.3 ล้านคัน

ทิศทางของ Elon Musk จึงเปลี่ยนเป็นหันมาเร่ง Market Share เพื่อเพิ่มการผลิตให้เต็มประสิทธิภาพ โดยเร่ง Volume ให้มากขึ้น โดยยอมลด Margin ลง

จากที่ TESLA เคยมี Margin สูง 17% (vs บริษัทรถอื่น 7%) จนตอนนี้ เหลือ 11% และมีแนวโน้มจะลดต่ำกว่านี้อีก โดยเป้าหมายกำไรที่แท้จริงอยู่ที่ Software

พอ TESLA ที่มี Brand ที่ดีที่สุด หันมาลดราคา รายอื่นต้องจำใจยอมลดราคาสู้ด้วย ทำให้ Margin ที่มีน้อยอยู่แล้วบางไปอีก ส่วนเจ้าที่ไม่มี Volume/กำไร จะทยอยสูญหายจากตลาดไป

ปีนี้ มีรายงานว่าบริษัท EV ในจีนกว่า 500 แห่ง ล้มละลายไปแล้วกว่า 400 แห่ง และตลาดน่าจะ Consolidate เหลือผู้เล่นน้อยลง

Margin ตลาด EV กำลัง Race to the bottom

หันมาดูงบการเงิน VINFAST (สมมุติฐานว่ารายงานตัวเลขจริง)

ยอดขายรถ 524m
ต้นทุนขายรถ -1,044m
ขาดทุนจากการขายรถ -502m

รถทุกคันที่ขาย ยิ่งขาดทุนไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะผลิตที่ประเทศต้นทุนต่ำอย่างเวียดนาม ถ้ายิ่งไปสร้างด้วยต้นทุนใหม่ที่ US โอกาสที่ Margin เป็นบวก ดูแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อนักวิเคราะห์ AlixPartners บอกว่า EV Makers ต้องผลิตได้อย่างน้อย 4 แสนคัน ถึงผ่านจุดคุ้มทุน

VINFAST ยังสร้าง Competitive Advantage ที่แตกต่างชัดเจนไม่ได้ ทั้งเรื่อง Brand, Quality, และ Cost

คำถามก็คือ จะมีกี่คนใน US ที่จะซื้อรถจาก VINFAST ทั้งๆที่ คุณภาพถูกมองว่าด้อยกว่า แถมยังขายแพงกว่า TESLA อีกด้วย?   

. . .

#Value

ประเมินมูลค่าบริษัทควรเป็นเท่าไหร่?

บริษัทที่ Cash flow negative อนาคตมองไม่เห็นกำไร มูลค่าน่าจะเหลือแค่ Net Assets – Liability

คำถามสำคัญคือ บริษัทจะ Funding Growth ต่อจากนี้ได้อย่างไร

บริษัท EV Startup เจ้าอื่น เช่นบริษัท Revian (Market Cap $20b) back up ส่วนนึงโดย Amazon และ บริษัท Lucid ($15b) back up โดย Saudi Sovereign Wealth Fund
 
ส่วน VINFAST ปีนึงๆมีเงินไหลออกกว่า $2b คนที่เติมเงินเข้ามาก็คือเจ้าของ VINGROUP ที่ล่าสุดบอกว่าจะไม่เติมเงินมาอีกแล้ว เพราะธุรกิจภาคอสังหาของเวียดนามกำลังประสบปัญหาหนัก

บริษัทที่ไม่มีกำไร, ยังไม่มี Competitive Advantage และ Growth Funding ทื่ชัดเจน ในตลาดที่รายใหญ่กำลังครองตลาดโดยเล่นเกมส์ Race to the bottom

ถ้าเจ้าของหุ้นไม่สร้าง Story อะไรใหม่ จนมีนักลงทุนเพิ่มทุนอีกได้

ส่วนตัวจะไม่แปลกใจ ถ้า…

โรงงานที่ US จะ delay
นักลงทุน VC จะทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อ Exit
ส่วนราคาหุ้นจะหวือหวาสุดๆ และเมื่อพื้นฐานส่งผล มีโอกาสลดลงเหลือ $1-$2 ในอนาคตครับ

#MoneyDisruptor

SAPPE

SAPPE vs CELSIUS
ใครจะเป็น “Monster” รายต่อไป?

. . .

หุ้นอะไรให้ผลตอบแทนมากที่สุดใน S&P 500 ในรอบ 30 ปี? ⏳

ไม่ใช่ Amazon, Apple หรือ NVIDIA

แต่คือ หุ้นเครื่องดื่ม Energy Drink ชื่อ Monster ขึ้นไป 2,200 เด้ง

ถ้ามาดูหุ้นเครื่องดื่มในตลาดหุ้นไทยและอเมริกา มีน่าสนใจสองราย คือ SAPPE และ Celsius (CELH)

หุ้น SAPPE 4 ปี 7 เด้ง
หุ้น CELH 4 ปี 40 เด้ง

ใครมีโอกาสจะเป็น “Monster” รายต่อไป?

. . .

#ProductPositioning

ทั้ง Sappe และ Celsius วางตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างและน่าสนใจ

ยอดขายกว่า 80% ของ Sappe มาจาก Hero product ชื่อ “Mogu Mogu” เครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่ ”เคี้ยวได้” เป็นรายแรกๆของโลก [You Gotta Chew!] 

Mogu Mogu วางตัวเองเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสนุกสดชื่น (Fun & Refreshing) และได้กระแส “ดื่มไปเคี้ยวไป” ของชาไข่มุกที่เติบโตทั่วโลก

ส่วน Celsius เริ่มต้นจาก Energy drink ตลาดทะเลเดือด ที่บุกเบิกโดย Redbull ผู้นำตลาดโลก ตามด้วย Monster ที่ภายหลังได้ Coca-Cola มาถือหุ้น

ทั้ง Red Bull และ Monster มี Positioning ทับซ้อนกัน คือ เน้นกลุ่มผู้ชาย, Outdoor, และ Extreme Sport

ผู้บริหาร Celsius ได้คำแนะนำจาก ปรามาจารย์การตลาด Jack Trout (ผู้แต่ง Positioning) สร้างจุดแตกต่างของผลิตภัณฑ์ Celsius ให้เป็น เครื่องดื่มให้พลังงานเพื่อสุขภาพ “Healthy energy drink” โดยตัดน้ำตาลและสารปรุงแต่งออก แต่เพิ่มคาเฟ่อีนเข้าไป (ในปริมาณสูงมาก) เพื่อเกาะกระแสสุขภาพ

Celsius เรียกตัวเองเป็น “Fitness Lifestyle Brand”, เน้นในยิม Indoor มากกว่า Outdoor, เจาะกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงเท่าๆกัน (Gender Neutral), และขยายฐานลูกค้าไปยัง “ตลาดกาแฟ” ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถดื่ม Celsius ในชีวิตประจำวันได้

. . .

#Growth

Mogu Mogu ยอดขาย ~$150m 
ตลาดน้ำผลไม้ทั่วโลก = $153b (เติบโต +3.8%)
ตลาดชาไข่มุก (Chewing drink) = $3b (+9%)

Mogu Mogu ส่งออกผ่านทาง “ตัวแทน” กว่า 90 ประเทศ เติบโตทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรปโตกว่าเท่าตัว ส่วนตลาด US ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนยอดขายเพียง 5% มีโอกาสเติบโตอีกมาก 

นอกเหนือจากการต้องพึ่งพาตัวแทน  ข้อจำกัดในการเติบโตขณะนี้ น่าจะเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ปีละ 25-30% การ Outsources การผลิตที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทำได้ยากและซับซ้อนกว่าการผลิตแบบ Functional drink ปกติ และถึงจุดหนึ่งอาจต้องไปขยายโรงงานต่างประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสระยะยาว แต่เป็นความเสี่ยงระยะสั้น

ส่วน Celsius ยอดขาย $1.2b (-vs- Monster $7b)
อยู่ในตลาด Energy drink $100b (โต +8.4%)
และหวังไปแชร์ส่วนแบ่งตลาด Coffee $127b (+4.7%)

Celsius มี Market Share ในตลาดค้าปลีก US ยังไม่ถึง 10% (vs Redbull 40%, Monster 30%)

แต่ในช่องทาง Amazon ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแซงทั้ง Redbull และ Monster แล้ว

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ปลายปี 2022 Pepsi เข้ามาลงทุน $550 ล้านเหรียญ ถือหุ้น 8.5% ผ่าน Convertible preferred stock เพื่อจะเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับ Celsius

ปัจจุบันยอดขายของ Celsius มาจากต่างประเทศเพียง 4% แค่นั้น โอกาสเติบโตไปทั่วโลกพร้อมกับการผลักดันของ Pepsi ยังมีอีกมหาศาล

ที่สำคัญ Pepsi ไม่ใช่ทำธุรกิจเครื่องดื่ม แต่ยังเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารอีกหลายแบรนด์ มีโอกาสขยายไปยังตลาด “Fountain drink” อีกด้วย

. . .

#Owners

Sappe ยังไม่มีสถาบันถือหุ้นเป็นนัยสำคัญ หุ้นใหญ่ถือโดยครอบครัวผู้ก่อตั้ง ซึ่งทีมผู้บริหารเป็น Gen 2 ที่มีความสามารถ CEO เก่งทั้งด้านบริหารงานและบริหารคน เพิ่งได้รับรางวัล Best CEO Award ปีล่าสุดจาก SET

ส่วน Celsius มีการถือหุ้นโดยสถาบันไปแล้ว >60% เจ้าของเดิม (DeSantis) เสียชีวิตปีที่แล้ว ทางลูกหลาน Gen 2 ไม่มีความประสงค์จะบริหารงานเอง และทยอยขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง รวมถึงการขาย Stock-based compensation ของผู้บริหารและกรรมการ แค่ 1 ปีย้อนหลังขายออกมาแล้ว $1b

สิ่งนึงที่ทั้งสองบริษัทเหมือนกันคือ CEO ในปัจจุบัน มีพื้นฐานมาจาก CFO ทำให้นอกจากเป็นมิตรกับผู้ถือหุ้น ยังให้ความสำคัญด้านความเข้มแข็งทางการเงินด้วย

. . .

#InvestmentThesis

ทั้ง Sappe และ Celsius มี Balance sheet แข็งแกร่ง (Net Debt, DE) มีเงินสดในมือสูง

Gross Margin vs Net Margin
Coca-Cola: 59% vs 24%
Monster: 53% vs 23%
Celsius: 48% vs 10%
Sappe: 44% vs 18%

Sappe ยังต้องลงทุนใน CAPEX ในการขยายกำลังการผลิต ส่วน Celsius น่าจะโฟกัสที่การเติบโต Top line เป็นหลัก ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำกำไรยังสามารถทำได้ดีอีกเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับ Monster

EPS growth (consensus) -vs- Forward PE
Coca-Cola: +5% vs 21
Monster: +15% vs 30
Celsius: +33% vs 53
Sappe: +12% vs 21

ในระยะสั้น ราคาหุ้นมักจะขึ้นกับผลประกอบการเทียบกับ Market consensus ซึ่งนักลงทุนที่ทำการบ้านเป็นอย่างดี ย่อมจะประเมินได้เองว่า การคาดการณ์ของตลาดผิดพลาดหรือไม่? (Know what you own)

ส่วนในระยะยาว มูลค่าบริษัทจะขึ้นกับการเติบโตของยอดขาย และกำไร

Bull Investment Thesis ของ Celsius คือการ “มองบน” ไปยังยอดขายและอัตรากำไรของ Monster และ Market Cap CELH $12b vs MNST $58b

เพราะ Celsius -vs- Monster ไม่ต่างกับ Proxy war ของ Pepsi -vs- Coke

แต่ผู้บริหารคงหวังว่าจะ “มองข้าม” จับตลาดที่ใหญ่กว่า Monster ไปเลย

ส่วนของ Sappe คือการเปิดตลาดต่างประเทศ “เพิ่ม Gems” ต่อเนื่อง การหาพาร์ทเนอร์ที่เติบโตไปด้วยกัน และการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตให้รับกับดีมานด์

. . .

Key success factors ของธุรกิจเครื่องดื่มที่ขึ้นไประดับโลก คือ Brand position และ World-class supply chain

ซึ่งปัจจัยแรก “เจ้าของแบรนด์” ต้องสร้างความแตกต่างทั้งผลิตภัณฑ์และการจดจำ จนเกิดการซื้อซ้ำในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเองก่อน

ส่วนเรื่องการมี World-class supply chain เป็น Competitive advantage ของรายใหญ่

ซึ่งดูเหมือน Celsius จะมีตั๋วทั้งสองใบในมือแล้ว

การที่รายใหญ่ซื้อกิจการหรือการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Emerging brand เป็นเรื่องปกติในธุรกิจเครื่องดื่ม

Coke ซื้อ Vitaminwater $4.1b (2007), ซื้อ Monster $2b (16.7%, 2017)

Pepsi ซื้อ Rockstar $4.5b (2020), ซื้อ SolaStream $3.2b (2018)   

ถ้ามีความสามารถสร้างธุรกิจที่เข้าถึงคนทั้งโลกได้  โอกาสขยายธุรกิจยังอีกยาวไกลครับ

. . .

Follow & Share
#MoneyDisruptor


รวม 7

เรื่องเข้าใจผิด ของนักลงทุนไทย 🇹🇭
เมื่อไปลงทุน ในตลาดหุ้น US 🇺🇸

. . .

ช่วงนี้เห็นคนแปะกำไรหุ้นอเมริกาหลายคน ยินดีด้วยครับ  🎉

แต่พอดัชนียิ่งสูงขึ้น เริ่มเห็นบางคนกลัวตกรถ เลยใช้วิธี “ปาเป้า”
บางคนเอ๊ะว่า หรือเป็นสัญญาณ “ท็อป” 🗻
ส่วนใครที่ไม่กล้าเข้าแต่แรก เห็นดัชนีขึ้นสูง ก็ยิ่งกลัว ไม่กล้าตาม

ตลาดหุ้น US มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับลงทุนในตลาดบ้านเรา

เท่าที่อ่านตาม post/comment ขอเล่ามุมที่อาจจะ “เข้าใจผิด” ของนักลงทุนไทย  เมื่อไปลงทุน ในตลาดหุ้น US แบบรวบยอดให้ฟังครับ

. . .

1/ เข้าใจผิดว่า ตลาด US ขึ้นไป All Time High (ATH) แล้วไม่ควรซื้อ

ถ้าดูตลาด US ย้อนหลัง ยาวๆไป 50 ปี มีเดือนที่ดัชนีทำ ATH มากกว่าครึ่ง แปลว่า การซื้อหุ้นช่วงดัชนีสูง เป็นเรื่องปกติของตลาดที่เติบโตในระยะยาว
.

2/ เข้าใจผิดว่า ตลาด US มีแต่ขึ้นเรื่อยๆ

กลับไปดูสถิติย้อนหลัง 50 ปีอีกที มี 3 ช่วงเวลา ที่ตลาด US ตกลงแรง และต้องรอถึงกว่า 5 ปี ถึงจะกลับไป ATH ใหม่ ซึ่งถ้าจังหวะไม่ดี ก็ดอยนานครึ่งทศวรรษ ในอนาคตอาจจะนานกว่านี้ก็ได้
.

3/ เข้าใจผิดว่า ซื้อหุ้นดีๆ ราคาลงไม่เยอะ

เอาแค่ช่วงปลายปี 2021-ปลายปี 2022 ช่วงตลาดปรับฐานแรง หุ้นที่ดีและแข็งแกร่งระดับโลกอย่าง NVIDIA META TESLA ราคาลงมา -70% อย่างกับหุ้นปั่น

หรือหุ้น ZOOM ราคาลงมาจาก ATH -90% แม้ว่า eps จะโตขึ้นถึง 90 เท่า
.

4/ เข้าใจผิดว่า หุ้นวัฎจักร เป็น หุ้นเติบโตระยะยาว 

หลายคน ตั้งใจจะหาหุ้นถือลืม ยาวๆ ไป 10 ปี แต่กลับเลือกหุ้นวัฎจักร ซึ่งเมื่อธุรกิจเหล่านี้ หมดรอบวัฎจักรของมัน ราคาอาจจะลง -70% โดยไม่รู้จะกลับมาที่เดิมได้อีกมั๊ย
.

5/ เข้าใจผิดว่า ต้องเลือกหุ้นเด้ง 1-2 ตัว แล้ว “ตีแตก” ไปเลย แบบที่ใช้กับตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้น US ใหญ่กว่าไทย 100 เท่า มีหุ้นเด้งเป็นร้อยๆตัว สามารถจัดทีมพอร์ตลุ้นเด้งได้หลายตัว โดยให้ผลตอบแทนรวมสูง และความเสี่ยงน้อยกว่าตีแตกหุ้นแค่ 1-2 ตัวมาก
.

6/ เข้าใจผิดว่า ตลาดหุ้น US ขึ้นกับเศรษฐกิจ US อย่างเดียว

จริงอยู่ว่า Fed มีผลกับตลาดหุ้น US มาก แต่ตลาดหุ้น US เป็นที่ระดมทุนของบริษัททั่วโลก

รายได้ของบริษัทหลายแห่ง เกินครึ่งอยู่นอก US ไปแล้ว เช่น Microsoft (50%), Alphabet (52%), Nike (57%), McDonald’s (59%), Apple (65%) บางบริษัท รายได้ 100% อยู่นอก US ทั้งหมด 
.

7/ เข้าใจผิดว่า ต้องใช้วิธีประเมินหุ้นโดย PE เท่านั้น เหมือนที่ใช้กับหุ้นไทย

PE เหมาะสำหรับประเมินธุรกิจที่ค่อนไปทางขวาของวัฎจักรการเติบโต Mid-late Growth Cycle

ธุรกิจในตลาดหุ้น US มีหลายบริษัทอยู่ในช่วงต้นของวัฎจักร Early Growth Cycle ยังห่างไกลจากการอิ่มตัวอีกมาก จึงใช้ตัวประเมินที่แตกต่างไป หนึ่งในที่ดีที่สุด คือประเมินจากการเติบโตของ Free Cash Flow

ถ้าประเมินด้วย PE เราแทบจะไม่มีวันได้ซื้อหุ้น 1,000 เด้ง อย่าง AMAZON ได้เลย ค่า PE (5Y) = 75   
.

8/ เข้าใจผิดว่า หุ้นที่สามารถจดทะเบียนได้ใน US ต้องมีธรรมาภิบาลสูงเท่านั้น

แต่จริงๆ มีการฉ้อฉล แต่งบัญชี ปั่นหุ้น บริษัทลม ไม่ต่างกับหุ้นไทย ที่โด่งดังที่สุดคือ การแต่งบัญชีของ ENRON บริษัทที่เคยใหญ่เป็นอันดับ 7 ของตลาด จนหุ้นเหลือ $0 ทำให้คนที่ All-in หมดตัวไปหลายคน
.

9/ เข้าใจผิดว่า ทุกบริษัทที่ประกาศซื้อหุ้นคืน หุ้นต้องขึ้นแน่นอน เพราะ จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดจะลดลง

แต่จริงๆ บางบริษัท ประกาศซื้อหุ้นคืน เพื่อรองรับการขายหุ้นของผู้บริหารและกรรมการ ที่ได้ผลตอบแทนเป็นหุ้น ซึ่งบางบริษัทที่ประกาศซื้อหุ้นคืน พอจบสิ้นปีปริมาณหุ้นในตลาดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
.

10/ เข้าใจผิดว่า ต้องเลือกหุ้นรายตัวเก่งๆ ถึงจะประสบความสำเร็จ

แท้จริงแล้ว นักลงทุนกว่า >90% แพ้การลงทุนใน S&P500 Index เพราะ Index เป็นการคัดสรรผู้ชนะตามธรรมชาติ กระจายความเสี่ยงทันที แม้แต่ Warren Buffett ก็แนะนำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนใน US Index Fund ที่มีค่าธรรมเนียมถูกๆ

. . .

อ่านมาถึงนี่แล้ว ความเข้าใจผิดเต็มไปหมด เราควรทำอย่างไร?

ถ้าไปที่ที่แปลกใหม่ สิ่งที่สำคัญที่ควรมี คือ แผนที่และศึกษาหลักคิด ของผู้ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว เช่น Warren Buffett หรือ Peter Lynch ทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย และประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ

สุดท้าย มีชุมชนนักลงทุนไทยที่ใจดี แชร์ข้อมูลการลงทุนในตลาดต่างประเทศให้เราได้อ่านหลายคน เช่น ลูกสาวสอนพ่อลงทุน Billionaire VI ชีพจรลงทุน หุ้นเปลี่ยนโลก ทันโลกกับ Trader KP Think’s Invest Fun Manager ลงทุนนอก  The Contrarian Investor และอื่นๆอีกมาก ติดตามอ่านดูครับ

#MoneyDisruptor

ถ้า AI จะเปลี่ยนโลก เราจะวางเงินลงทุนไว้ที่ไหนดี?
ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือ ปลายน้ำ

. . .

#PlatformShift

เมื่อย้อนดูอดีต เกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วงที่เกิดการ “เปลี่ยนยุค”?

ในยุค Mobile Phone เข้าสู่ยุค Smart Phone

มูลค่า (Value) ช่วงแรกๆจะเริ่มตกอยู่กับผู้ผลิต Semi Conductor (ARM, Qualcomm) แล้วส่งต่อไปยัง ผู้ผลิตมือถือ (Apple, Samsung) และสุดท้าย ส่งต่อไปที่ Applications (Google, Meta)

ในยุคของ Cloud ก็เช่นกัน Value จะเริ่มจากผู้ผลิต Semi Conductor (Intel, AMD) ไปสู่ผู้ให้บริการ Data Center (Microsoft, Amazon) และ ส่งต่อไป Applications (CRM, Adobe)

เมื่อวัฏจักรดำเนินไป Value จะผ่องถ่ายไปจาก ต้นน้ำ -> กลางน้ำ -> ปลายน้ำ

Gross Margin ใน Cloud Value Chain

Semi ~45% -> Data Center ~65% -> Application ~75%  

. . .

#AIEra

ปัจจุบัน เรายังน่าจะอยู่ในช่วงต้นของยุค AI หรือ Gen AI 

ถ้าดู Gross Margin ของ AI Value Chain ในปัจจุบัน  “ต้นน้ำ” สูงมาก

Semi ~80% => AI Data Center ~65% => AI Application ~50%

*ถ้าอดีต พอจะบอกถึง ปัจจุบัน* Value ควรจะไหลไปทางขวามากขึ้น แต่จะไปที่ไหน และอย่างไร?

. . .

#NVIDIA

ฝั่ง “ต้นน้ำ” NVIDIA กวาดตลาด AI Data Center Chip นำหน้าเหนือกว่าคู่แข่งชัดเจน อย่างน้อย 1.5-2 ปี สามารถเก็บ Gross Margin สูง

และล่าสุดลด Product Cycle จากปกติ 2 ปี มาเหลือ 1 ปี หมายความว่า NVIDIA “ยอมกินตัวเอง” เพื่อทิ้งคู่แข่งให้ไกลให้มากที่สุด

NVIDIA เก็บกิน Value ที่ “ต้นน้ำ” เพียงแค่ 1.5 ปี มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 10 เท่า จนทะลุ $3T จ่อขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในโลก 

. . .

#กลางน้ำ

ปัจจุบันยอดขาย ~50% ของ NVIDIA มาจากแค่ 4 บริษัท Microsoft, META, Google, Amazon และที่กำลังจะสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นคือ TESLA

ผู้เล่น “กลางน้ำ” AI Data Center เหล่านี้ ช่วงแรกจะเกิดค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง มีแนวโน้มกด Gross Margin ให้ต่ำลง จาก CAPEX ที่เพิ่มขึ้น (ถ้าใครดู EBITDA อาจจะไม่พบ)

เมื่อถึงถึงจุดๆหนึ่งที่ในตลาด AI Chip มีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งจากคู่แข่งหรือผลิตเอง จนเพียงพอกับความต้องการทางธุรกิจ ความต้องการ Semi จะเข้าสู่สมดุลตามวัฎจักรตามปกติ ในอดีต คือรอบละ 4-6 ปี  

เมื่อถึงตอนนั้น Value จะทยอยย้ายจาก “ต้นน้ำ” มา “กลางน้ำ” เพราะ ค่าใช้จ่าย CAPEX จะลดลง ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวกำไรของผู้เล่น “กลางน้ำ” เต็มที่

รายได้จะเพิ่มขึ้น และกำไร และ Free Cash Flow จะเพิ่มสูงกว่ามาก พร้อมทั้งมี MOAT ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกมิติ

. . . 

#ปลายน้ำ

ผู้เล่น “ปลายน้ำ” ระดับ Applications ที่น่าสนใจ อาจจะไม่ใช่แค่ที่ทำด้าน AI โดยตรงที่ใครๆก็รู้ (OpenAI, MidJourney)

แต่รวมถึง Applications ที่ได้ประโยชน์จากการปฎิวัติ AI  ซึ่งข้ามไปหลากหลายธุรกิจมาก ตั้งแต่การค้า การแพทย์ การศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การท่องเที่ยว เกมส์และสันทนาการ

ผู้เล่น “ปลายน้ำ” ที่ไม่คิดจะสร้าง Infrastructure ขนาดใหญ่เอง ย่อมไม่มีความเสี่ยงด้านลงทุน CAPEX สูง แต่ใช้บริการแบบ Subsciption/Pay-per-use กับผู้เล่น “กลางน้ำ” ซึ่งในระยะยาว ต้นทุนตรงนี้จะต่ำลงเรื่อยๆจากการแข่งขันและ Scales

“ไอเดีย” ในการหาผู้เล่นปลายน้ำ ที่อาจจะได้ประโยชน์ โดยไม่ลงรายชื่อหุ้นรายตัว  เช่น  

– บริษัทมีข้อมูลที่ครอบครองอยู่ปริมาณมาก (Proprietary Data) ซึ่งอาจจะมาจากของตัวเอง หรือของ Partner ที่ยินยอมให้ใช้งาน

– เพิ่ม User Experience จากเดิมขายแค่ Product เดี่ยวๆ แต่ใช้ Gen AI ในการขาย Solutions ซึ่งมีหลายผลิตภัณฑ์ ปรุงแต่งให้กับลูกค้าเฉพาะแต่ละราย

– เพิ่มประสิทธิภาพด้าน Digital Marketing ได้ ROI มากกว่าเดิมหลายเท่า

– ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายหลังบ้าน ด้านงาน Service & Support เช่น Call & Support Center

จะเห็นว่า AI เข้ามาช่วย Applications “ปลายน้ำ” ได้ประโยชน์หลายทาง มี Efficiency มากขึ้นตั้งแต่หน้าบ้านถึงหลังบ้าน โอกาสหารายได้สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายลดลง

. . .

#UpsideRisk

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแค่ “ข้อคิดเห็น” ซึ่งอาจจะ “ผิดทั้งหมด” เพราะเรากำลังเข้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาก่อน

ตอนนี้ AI เริ่มส่งผลประโยชน์ชัดเจนในบางอุตสาหกรรมแล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงคือ จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หรือใช้เวลานานเท่าไหร่

ย้อนอดีตไปช่วง Early Internet แทบทุกคนรู้ว่า Internet จะมาแน่ๆ แต่มีบริษัท .com กว่า 90% ล้มละลายไป กว่าจะเกิด Google, Amazon หรือ Meta ขี้นมา

การเลือกวางเงินลงทุน จึงต้องลงรายละเอียด และมอง AI เป็น “Upside Risk” ขณะที่ธุรกิจเดิมของบริษัท ต้องดีก่อนหน้าอยู่แล้ว

และราคาไม่ได้สะท้อน AI Hype เกินไป เมื่อเทียบ Valuation ปัจจุบัน กับ 5 ปีในอดีต

เท่าที่เริ่มเห็นแนวโน้มช่วงต้นนี้ พอจะคาดการณ์ได้ว่า

AI จะทำให้บริษัท Big Tech “กลางน้ำ” ที่มีความได้เปรียบทั้ง Capital, Data และ Talents อยู่แล้ว จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากๆ 

และจะมีบริษัท “ปลายน้ำ” ฝั่ง Applications ในหลากหลายอุตสาหกรรม ที่คนยังมองข้าม มีโอกาสสร้างผลตอบแทน “หลายเด้ง” จากการเพิ่มประสิทธิภาพก้าวกระโดดของ AI ครับ

#MoneyDisruptor

NEO

ประเมินพื้นฐานหุ้นค้าปลีก ธุรกิจแบบNeo
peเทรดปกติ12-15เท่า

หุ้นเทรดเฉลี่ยปดติ pe13เท่า(ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง3ปี+เทียบหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน Neo) ถ้าeps0.20บาท(เต็มปี)=epsไตรมาสละ0.05บาท

-พื้นฐาน pe13 x eps 0.20 = 2.6บาท(เป้าหมายสิ้นปี ถ้าทำได้eps 0.05บาททุกไตรมาส)
-ใช้eps 4ไตรมาสล่าสุด Q2/66-Q1/67 คำนวนหาพื้นฐานปัจจุบัน
0.03+0.03+0.04+0.05=0.15บาท
-พื้นฐานล่าสุด 0.15 x 13 = 1.95 บาท (พื้นฐานQ1/67จนถึงQ2/67)
-Mos5% 1.85บาท
-Mos10% 1.75บาท
-ถ้าซื้อแพงกว่าพื้นฐาน=เรามีความคาดหวังสูงขึ้นกว่าพื้นฐานหุ้น ผิดทางอาจติดดอย ขาดทุน ขึ้นอยู่กับ งบQ2/67จะเติบโตy-y ได้แค่ไหน แล้วประเมินพื้นฐาน หาราคาเหมาะสมอีกรอบ
ถ้าซื้อมีMos ต้นทุนจะต่ำกว่าพื้นฐานเสมอ เกิดงบไตรมาสต่อไปไม่ดี เติบโตต่อไม่ได้ก็ลดพอร์ตทัน
-จุดคัทลอส ขึ้นอยู่กับ เราจะวางแผนอย่างไร

ถ้าแนวโน้มกำไร เติบโตต่อy-y upsideเพิ่ม
ถ้าแนวโน้มกำไร ลดลงy-y upsideลดลง

เอาวิธีนี้ไปปรับใช้กันครับ

จีน

สรุปรวมรวมเมดเลย์ ธุรกิจจีนรุกไทย แทบทุกอุตสาหกรรม (คุณช่วยเติมได้นะ)

ภาคธุรกิจ

  • การศึกษา ซื้อโรงเรียน มหาลัย
  • ธุรกิจอสังหา (คอนโด-บ้าน-ที่ดิน)
  • เกษตร สวนผลไม้ ล้ง
  • รถยนต์ EV
  • วัสดุก่อสร้าง
  • ขนส่ง logistic
  • อุตสาหกรรมหล็กมาตีตลาดเหล็กไทย

ปัจจัยพื้นฐาน

  • อสังหา (บ้าน คอนโด ที่ดิน)
  • การศึกษา (โรงเรียน มหาลัย)

โครงสร้างพื้นฐาน

  • ขนส่ง
  • การเงิน เงินทุน ประกัน
  • Platform (E-Commerce)

การสนับสนุนจากภาครัฐ

  • ภาษี 0% (FTA)
  • สิทธิพิเศษ BOI, EEC
  • ฟรี.! VISA (เดินทางมาง่าย)

กำลังสรุปสร้าง Framework ธุรกิจจีนในไทย เพื่อทำให้เราได้เห็นภาพในมุมกว้างที่ชัดเจนมากขึ้น

มาช่วยกันเติมให้หน่อยสิครับ อยากเห็นมุมมองจากหลายๆ มุมมองครับ

เข้าไปกรอกได้เลย ลิงค์อยู่ในคอมเมนต์..

CVS

🔮ช่วงวิเคราะห์หุ้นมั่วๆ😆
✨วันนี้ขอลองเปลี่ยนแนวสรุปหุ้นมาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ (ต้องขออภัยหากลายมือไม่สวย555)

หุ้นที่จะมาแนะนำวันนี้เป็น 1 ในหุ้นที่อยู่ใน megatrend ด้านสุขภาพ มีจำนวนสาขาเยอะมากกว่า 9000 แห่ง เป็นเหมือน cpall ที่ขายยาเป็นหลักในอเมริกาเลยครับครับ นั่นก็คือหุ้น CVS นั่นเอง ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนไม่รู้จัก แต่ตัวนี้ถือเป็นผู้นำด้านร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมกาเลย ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 – 2 ของตลาดมาตลอดที่ผ่านมา

และแถมช่วงนี้ราคาหุ้นไม่แพงด้วย รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายยาเป็นหลัก ซึ่งโดยปกติแล้วการรักษาโรคในเมกากับไทยต่างกัน คนไทยจะมีประกันสุขภาพใช่มั้ยครับ แต่ที่อเมริกามีประกันแค่ค่ายาด้วย ทำให้เบี้ยประกันถูกกว่า และการตรวจก็ไม่แพงเท่าการรักษา สู้ไปตรวจร่างกายแล้วขอใบรับรองแพทย์ มาเบิกยาตามร้านขายยาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในปัจจุบัน

แถมหุ้นตัวนี้มีแผนจะขยายไปออนไลน์มากขึ้นลดภาระหมอ ตรวจออนไลน์แล้วมารับยาที่ร้านใกล้บ้านเลย แต่มีการผลิตยาเองบางตัวด้วยที่รักษาโรคเรื้อรังโดยเฉพาะเช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ

🎯ใครสนใจเข้ากลุ่มครอบครัวหุ้นจงปัง ปรึกษาการลงทุน รับซิกแนลฟรี ดูรายละเอียดได้ที่เม้นต์

LLY

LLY – ทำไมหุ้นที่ราคาขึ้น ถึงขึ้นต่อ

คอนเท้นต่อจากมะวานครับ เป็นตัวที่ผมชอบมากสุดในหุ้นกลุ่มยาเลย คือหุ้น LLY ชื่อเต็มๆคือ Lilly(Eli) & Co ทำธุรกิจการวิจัยและพัฒนายาเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคระบบประสาท โรคภูมิคุ้มกัน และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงผลิตยาเองด้วย

ถ้าดูจากงบการเงินจะเห็นว่าธุรกิจยังสามารถสร้างรายได้โตเรื่อยๆ รายได้ส่วนใหญ่มาจากยารักษาโรคเบาหวาน ดูงบจากปี 2023 ถึงปี 2024 รายได้โตขึ้น 1 ใน 4 หรือ 25 % เลยแถมยาชนิดใหม่ล่าสุดที่ทำออกมา ก็กำไรงามด้วย พึ่งออกมา 2024 เอง คือยา Zepbound เป็นยารักษาโรคอ้วน ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน คือ มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI ตั้งแต่ 27 kg/m2 ขึ้นไป เป็นโรคอ้วน obesity ซึ่งตั้งแต่ต้นปีทำรายได้ไปแล้ว 500 ล้านดอล

น่าสนใจตรงไหน
ตรงที่ตัวธุรกิจการแพทย์มีความสามารถในการตั้งราคา ทำให้รายได้โตขึ้นทุกปี และการรักษาต้องรักษาอย่างต่อเนื่องทำให้มีการใช้ซ้ำ พร้อมทั้ง LLY เองเป็นผู้ผลิตและพัฒนายาก็ได้มีการไปจดสิทธิบัตรแล้ว ทำให้ป้องกันการลอกเลียนแบบ และทำให้ความคุ้มครอง ช่วยให้บริษัทสามารถตั้งราคาสูงได้เป็นปราการป้องกันคู่แข่ง

โรคที่เป็นส่วนใหญ่จะเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องเข้ารักษาตัวนานทำให้ต้องใช้ยารักษาโรคเรื่อยๆ และโรคอ้วนในประเทศอเมริกาจากงานวิจัยพบว่ามีจำนวนมากขึ้นทุกปี เนื่องจากการบริโภคอาหารขยะ

นอกจากนี้จะเห็นว่า ธุรกิจมีการลงทุนใน Research and Development วิจัยและพัฒนายาอย่างต่อเนื่อง ดูจากงบการงบที่ลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นตลอด เพราะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ดูได้จากภาพแรกที่ราคาเขียวหมดทั้งตาราง

===============================
*ขออนุญาตขายของค้าบ😆
ใครที่อยากลงทุนหุ้นเมกาฟรีค่าคอม สามารถลงทะเบียนได้ที่ใต้คอมเม้นต์เลยนะครับ
🎯ฟรีห้อง VIP ซิกแนลหุ้น และ TFEX ครับ
🎯เปิดบัญชีฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

NFLX

🎥หุ้น NFLX หรือ Netflix Inc.
+—————————–+
ทำธุรกิจสื่อให้สื่อความบันเทิง โดยมี 2 ธุรกิจหลักที่สร้างรายได้คือ
1.บริการสตรีมมิ่งวิดีโอแบบสมัครสมาชิกบนแพลตฟอร์ม Netflix
2.ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และละครเอง ภายใต้ชื่อ “Netflix Originals”
และมีธุรกิจอื่นอีกเช่น ขายสินค้าภายใต้แบรนด์ Netflix เป็นต้น

📈การเติบโต
เป้าหมายของ Netflix ในตอนนี้โฟกัสไปที่ “รายได้โตยั่งยืนมากกว่า” และพยายามเพิ่ม margin กับกระแสเงินสด ซึ่งค่าสมัครสมาชิคจะมีการปรับให้เหมาะสมที่สุด หาการลงทุนใหม่ๆ และทำคอนเท้นที่ตรงกับความต้องการตลาดมากขึ้น ในรูปแบบ “ original content ” โดยวัดความสำเร็จจากจำนวนคนที่ต่ออายุ หรือสมัครสมาชิกเพิ่ม และเวลาในการดูแต่ละครั้ง

📈ความสามารถในการแข่งขันหรือ moat

  1. ทรัพย์สินไม่มีตัวตน (Intangible Asset)
    ทาง Netflix มี original content ที่ร่วมมือสร้างกันหลายที่ เป็นลิขสิทธิ์ส่วนตัวของ Netflix เอง ทั้งนี้ยังสามารถทำสินค้าจาก original content ออกมาขายได้อีกด้วย
  2. พลังแห่งเครือข่าย (Network Effect)
    original content ของ Netflix ยิ่งดังจะยิ่งมีการสมัครสมาชิกรายเดือนมากขึ้น จากการบอกปากต่อปาก จนเกิดเป็น community ในเรื่อง หรือซีรี่ส์นั้นๆ ดึงดูด new user ได้

แถมทำให้ บ.จะยิ่งได้ข้อมูลมากด้วย เพื่อนำมาเป็นโปรโมชั่นการตลาด หรือมีผลต่อราคาสมัครสมาชิกภายหลังก็ได้

📈งบการเงิน
ด้านผลประกอบการรายได้โตทุกปี มีรายได้โตต่อเนื่อง กำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดปีที่แล้วมี gross 40% และ net 16%

โดยผมได้ไปหา arpu มา เฉลี่ยทั่วโลก 7.94 $/เดือน ทั่วโลก ถ้าเป็นประเทศไทยจะอยู่ประมาณ 100 – 200 บาทต่อเดือน

แปลว่า รายได้คนหนึ่งคน 200 บาท จะเป็นกำไรสุทธิให้ netflix 32 บาท

และถ้าดูรายได้รายไตรมาส น่าสนใจที่ปี 2022 มีปัญหากำไรลงไปต่ำมาก ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงจาก high เดิม 676 $ >>> 164 $ คิดเป็นประมาณ 76 % เลย

สาหตุมาจากสภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ดี มีการขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และคู่แข่งที่ลงมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น เช่น Disney+, HBO Max, Apple TV+, และ Amazon Prime Video แต่หลังจากนั้น 2 ปีถึงปัจจุบันราคาได้มาเท่าราคาเดิมแล้ว บ่งบอกว่าหุ้นตัวนี้แข็งแกร่งสามารถกลับมาได้

ลงทุน #TFEX #เปิดบัญชีลงทุน #อิสรภาพด้านเวลา #อิสระภาพทางการเงินและเวลา #วิเคราะห์กราฟ #หุ้นปันผล #วิเคราะห์ #หุ้น #วิเคราะห์หุ้น #หุ้นต่างประเทศ

NVIDIA

หุ้น NVIDIA เทรนด์แห่งอนาคตและ AI.
+————————————-+
NVIDIA หรือตัวย่อ NVDA ทำธุรกิจออกแบบและผลิตชิพประมวลผลกราฟิก (GPU) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การ์ดจอในการเล่นเกม ชิพคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC)เพื่อใช้กับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชิพแสดงผลรถยนต์ไฟฟ้า
.
เราอยู่ในยุคที่ AI. เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน สินค้าและบริการ ดังนั้นธุรกิจ Data Center และกระแสของ Generative AI กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม ทำให้ความต้องการชิป Nvidia สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
.
โดยชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ตัวล่าสุดของ NVDA ชื่อ Blackwell ข้อดีคือมีประสิทธิภาพสูง สามารถฝึก AI เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 4 เท่า และอนุมานเร็วขึ้น 30 เท่า พร้อมรองรับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่มีความซับซ้อนสูง เพราะมีพารามิเตอร์หลายล้านล้านตัว ถือเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลกในขณะนี้
.
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ธุรกิจเติบโตได้ขนาดนี้มาจากการที่ NVDA ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นทุกปี โดยล่าสุดลงไป 8675 ล้าน $ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15 %
.
+————————————-+
ด้านสัดส่วนรายได้มี 5 ส่วนใหญ่
1.Data Center 86.63 % ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24
ขายชิพประมวลผลกราฟิก และแพลตฟอร์มสำหรับศูนย์ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ AI.
ลูกค้าคือ ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น Amazon, Google, Microsoft และองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาโมเดล AI และสร้างแอปพลิเคชัน AI
.
2.Gaming 10.16 % ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24
ขายการ์ดจอ GeForce สำหรับเล่นเกม
ลูกค้าหลักคือเกมเมอร์ทั่วไป และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูง
.
3.Professional Visualization 1.64 % ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24
ขายชิพประมวลผลกราฟิก และซอฟต์แวร์สำหรับงานกราฟิกมืออาชีพ ใช้สำหรับงานออกแบบ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และภาพยนตร์
ลูกค้าหลักคือ วิศวกร สถาปนิก และสายภาพยนต์ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูง
.
4.Automotive 1.26 % ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24 ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24
ขายชิพและซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ใช้สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบความบันเทิงในรถยนต์ เช่นหน้าจอ
ลูกค้าหลักคือผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทเทคโนโลยียานยนต์
.
5.OEM and Other 0.03 % ของรายได้ทั้งหมดใน 1Q24
ขายชิพประมวลผลกราฟิก (GPU) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้กับลูกค้า OEM และลูกค้ารายอื่นๆ
.
+————————————-+
สิ่งที่คู่แข่งเจ้าอื่นทำตามไม่ได้ เช่น
1.ด้านการออกแบบ มีการออกแบบชิพที่ใช้ข้อมูลในการประมวลผลน้อยกว่าเจ้าอื่น ใช้พร้อมทั้งจดสิทธิบัตรแล้วด้วย
.
2.มีการลงทุน R&D สูง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เทคโนโลยีทิ้งห่างจากคู่แข่งมาก และมีการดึงคนที่เก่งๆมาทำงานด้วย สร้างระบบนิเวศในการทำงาน ซึ่งจบทั้งออกแบบและผลิตใช้เอง มีทั้ง hardware และ software ที่ใช้ควบคู่กันทำให้มีต้นทุนการย้าย เวลาไปใช้เจ้าอื่นด้วย
.
3.มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาด ชิพและการ์จอ GPU เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วโลก
.
4.ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น เทคโนโลยี FinFET และเทคโนโลยี TSMC 5nm ช่วยให้ผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้พลังงานต่ำ และมีขนาดเล็ก ช่วยควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
+————————————-+

ลงทุน #ตลาดหุ้น #เทรดหุ้น #หุ้น #กราฟ #เล่นหุ้น #เรียนหุ้น #สอนหุ้น #มือใหม่ #มือใหม่เล่นหุ้น #หุ้นปันผล #เก็งกำไร #นักลงทุน #SET #หุ้นจงปัง #กาวหุ้น #teerextrader #หุ้นต่างประเทศ #NVDA #nvidia

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น