กรณีศึกษา NEX ผู้ผลิตรถเมล์ไฟฟ้าสัญชาติไทย มูลค่าบริษัทหายไป 33,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี | MONEY LAB
รู้หรือไม่ว่า รถเมล์ไฟฟ้าสีน้ำเงิน ที่เราเห็นบนท้องถนน ผลิตโดยบริษัทของคนไทย คือ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX
แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา NEX น่าจะเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถูกให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
เพราะมูลค่าบริษัทลดลงจากจุดสูงสุดที่ 37,000 ล้านบาท เหลือเพียง 4,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าที่หายไปเกือบ 90%
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ NEX ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
NEX เป็นบริษัทในเครือของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์
หรือ EA ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสะอาดรายใหญ่ และผู้ผลิตแบตเตอรี่ของไทย
ตอนแรก NEX จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยใช้ชื่อว่า บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) หรือ “SPPT”
เป็นผู้ผลิตส่วนประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ในหน่วยบันทึกความจำ หรือ Hard Disk Drive
ต่อมาช่วงกลางปี 2562 บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ
เข้าสู่ธุรกิจผลิต และประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.เน็กซ์ พอยท์ หรือ NEX
และ NEX ได้เข้าไปร่วมทุนกับบริษัท แอ๊บโซลูท
แอสเซมบลี จำกัด หรือที่เรียกว่า AAB ซึ่งเป็นบริษัท
ในเครือของ EA
โดย AAB ดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบรถไฟฟ้า
เชิงพาณิชย์ทุกประเภท เช่น รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า
ทำให้ในปัจจุบัน NEX มีรายได้หลัก 90%
มาจากการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
โดยรายได้จากการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ บริษัทเริ่มรับรู้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565
เราลองมาดูผลประกอบการของ NEX ในช่วงที่ผ่านมากัน
ปี 2563 รายได้ 1,421 ล้านบาท ขาดทุน 214 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 688 ล้านบาท ขาดทุน 107 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 6,617 ล้านบาท กำไร 208 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 9,412 ล้านบาท กำไร 725 ล้านบาท
แต่ถ้าดูเฉพาะรายได้ที่มาจากการจำหน่ายยานยนต์
ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จะเป็นดังนี้
ปี 2565 มีรายได้ 5,591 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 8,426 ล้านบาท
จะเห็นว่าในปี 2565 หลังจากเริ่มรับรู้รายได้จากการ
จำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ก็ทำให้บริษัท
สามารถพลิกกลับมามีกำไรได้
และที่สำคัญ หลังจากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าบริษัท จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
จาก 1,500 ล้านบาท ในช่วงวิกฤติโรคระบาด ปี 2563 ไปทำจุดสูงสุดที่ 37,000 ล้านบาท ในปี 2565
จากความคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตไปอย่างต่อเนื่อง
แต่แล้วในช่วงปี 2566 กลับเป็นภาพตรงกันข้าม
เพราะราคาหุ้นของ NEX ก็เริ่มดิ่งลงอย่างหนัก
หากเข้าไปดูในรายละเอียด จะพบว่า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ
ไตรมาส 3 ปี 2566 อัตรากำไรขั้นต้น 12.15%
ไตรมาส 4 ปี 2566 อัตรากำไรขั้นต้น 9.44%
ไตรมาส 1 ปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้น 7.29%
สาเหตุหลักก็มาจาก ช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้หลัก
มาจากการส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าให้กับ ไทย สมายล์ บัส ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท
แต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทได้ส่งมอบครบตาม
จำนวนขั้นต่ำที่ ไทย สมายล์ บัส ต้องการแล้ว ทำให้
บริษัทจำเป็นต้องเริ่มต้นผลิตรถยนต์เชิงพาณิชย์มากขึ้น
ซึ่งรถยนต์เชิงพาณิชย์ทั่วไป มีอัตรากำไรที่ต่ำกว่า รถเมล์ไฟฟ้า และยังเป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่งผลให้อัตรากำไรมีแนวโน้มที่จะลดลง
ซึ่งหากดูแผนการขายของบริษัท ตั้งเป้าทั้งปีไว้จำนวน 5,556 คัน แบ่งเป็นกลุ่มรถบัส 1,556 คัน กลุ่มรถบรรทุก
และกระบะอีก 4,000 คัน
แต่ผ่านมาแล้วหนึ่งไตรมาส บริษัทมียอดส่งมอบแค่ 591 คัน คิดเป็นเพียง 10.6% จากเป้าหมายปีนี้เท่านั้น
อีกทั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัทประกาศเพิ่มทุน
จดทะเบียนครั้งใหญ่ จำนวน 8,837 ล้านหุ้น จากจำนวน
หุ้นจดทะเบียนเดิม 2,022 ล้านหุ้น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง
ในปัจจัยเชิงลบที่ถาโถมเพิ่มเข้ามาอีก
จากทั้งหมดนี้ จึงสรุปได้ว่า ช่วงแรก NEX เป็นหุ้นที่
แบกความคาดหวังของนักลงทุนไว้สูง เนื่องจากมองว่า
บริษัทนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค EV
แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้นโยบายภาครัฐยังไม่มี
ความคืบหน้าเท่าที่ควร ทำให้คำสั่งซื้อขนาดใหญ่
ที่นักลงทุนคาดหวังไว้ยังไม่เข้ามา
ขณะที่ลูกค้ารายสำคัญอย่าง ไทย สมายล์ บัส ก็ใกล้จะส่งมอบครบไปตามจำนวนแล้ว
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง และเทขายหุ้นออกมา จนมูลค่าบริษัทลดลงเกือบ 90% ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับ NEX บ้าง ซึ่งก็น่าติดตามเหมือนกันว่า บริษัทจะแก้เกม และกลับมาเติบโตอีกครั้งได้อย่างไร
References
-รายงานประจำปี 2565 และ 2566 บมจ.เน็กซ์ พอยท์
-Oppday ประจำปี 2566 และ Q1/2567 ของบริษัท
-https://www.settrade.com/th/research/iaa-consensus/275793
ANF
หุ้น ANF Abercrombie and Fitch จาก $14 ขึ้นมา $180 ปัจจุบันนี้ขึ้นมา 12 เด้งถ้วน !!!
NVDA ต้องร้องขอชีวิต CELH ต้องก้มกราบ
รายละเอียดเป็นยังไง? ผมเคยสรุปไว้ เอามาลงให้อีกทีครับ ใครอยากรู้รายละเอียดเต็ม ไปอ่านบทความเต็มใน Trendlongtun Deep Dive ได้ครับ
#ธุรกิจของAbercrombieandFitch
จริงๆแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นนี้มีอายุรุ่นทวดแล้วนะ ก่อตั้งเมื่อปี 1892 ลุยตลาดระดับ Elite จากนั้นล้มละลายในปี 1976 แต่ก็มีนายทุนเจ้าใหม่มาอุ้มแล้วเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปลุยกลุ่มวัยรุ่น วางตำแหน่งแบรนด์ให้เท่ในสายตาวัยรุ่น ใครใส่แบรนด์นี้จะมีความรู้สึกเป็นคนป๊อปๆในโรงเรียน
แต่แล้วก็มีกระแสต่อต้านจากการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานตามมาตรฐานความงามของแบรนด์ จนถึงขั้นมีเรื่องขึ้นศาลมาแล้ว สุดท้ายได้ Fran Horowitz เข้ามารับตำแหน่ง CEO เปลี่ยนทิศทาง ภาพลักษณ์ การโฆษณาใหม่แบบยกแผง
ตอนนี้ Abercrombie and Fitch เป็นแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่เน้นเจาะตลาดวัยรุ่น Millennial, Gen Z และ Gen Y รวมถึงเด็กเล็กด้วย
ดีไซน์เสื้อผ้าของแบรนด์เน้นตามเทรนด์ใหม่ ไม่ติดโลโก้ ซื้อไปแล้วแต่งตัวง่าย แถมออกแบบขยายไซส์ใหญ่กว่าปกตินิดนึงเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าวัยรุ่นที่โตไว
จุดเด่นที่เห็นชัดเลย คือ ออกแบบสินค้าหลากหลายมาก ซื้อครบจบที่เดียว และมีมุมมองให้เสื้อผ้าของแบรนด์ใส่ได้ทุกโอกาสไม่ว่าจะใส่ทำงานออฟฟิศหรือไปสังสรรค์ ใส่ไปงานแต่งหรือปาร์ตี้ แม้กระทั่งใส่ไปเข้ายิมก็ได้
#บริษัทแตกไลน์สินค้าเป็น2แบรนด์หลัก
Abercrombie and Fitch มีแบรนด์ย่อย Abercrombie kids ลุยลูกค้ากลุ่ม 5-13 ปี กับ Abercrombie and Fitch เน้นกลุ่มลูกค้า 21-40+ ปี
Hollister ตีตลาดกลุ่ม 13-20 ปี มีแบรนด์ย่อยทั้ง Hollister, Social Tourist, Gilly Hicks Active
จะเห็นว่าแบรนด์ตีตลาดวัยรุ่นมาก แสดงว่าแบรนด์ต้องเน้นตีตลาดโฆษณา social media หนักๆ ซึ่งก็ตามเทรนด์ทันซะด้วย
บริษัทใช้ social media ที่กลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นชอบเล่นทั้ง Instagram มี follower 5 ล้าน และ TikTok มี follower 97,300 ถือว่าเป็นตัวเลขที่เยอะพอจะเป็นใช้ leverage ทำการตลาดได้
แบรนด์ใช้หลัก Data-driven เอาข้อมูลที่ลูกค้าซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทยังติดตามแต่ละคนทั้งลักษณะ ประวัติการซื้อ พฤติกรรม แล้วเอามาวิเคราะห์นำเสนอสินค้าให้เข้าถึงมากขึ้น เพื่อดึงลูกค้าซื้อแบรนด์ต่อไปอีก
ใช้ทุกช่องทางทั้ง paid media, influencer, คอนเทนต์จากลูกค้า, ไลฟ์ผ่าน social media ถ้าใครเข้าไปดู Tiktok ของแบรนด์จะเห็นเลยว่าเป็นคอนเทนต์จากชีวิตประจำวัน มีความเรียล ทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์เข้าถึงง่าย ถูกใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นขึ้นไปอีก
ส่วนรายได้บริษัทมาจาก Abercrombie and Fitch 51.8% และ Hollister 48.2% แบ่งเป็นจากสหรัฐฯ 82.2% ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 14.9% และเอเชียแปซิฟิก 2.9%
พอมาดูความนิยมของแบรนด์ในตลาดถือว่าไม่แย่เลยนะ ข้อมูลจาก CSIMarket เผยว่า Q2/2023 Abercrombie มี market share ในอุตสาหกรรมค้าปลีกเสื้อผ้าประมาณ 3.44% เพิ่มจาก Q1/2023 ที่ 3.39%
#การเติบโต
สัดส่วนรายได้แต่ละภูมิภาคชี้ชัดว่ายังกระจุกอยู่แต่ในสหรัฐฯ มีโอกาสให้เติบโตต่อในภูมิภาคอื่น ซึ่งคงรู้กันอยู่แล้วว่าเอเชียแปซิฟิกที่แหล่งหากินชัดๆ
พอไปดูระยะสั้นจากรายงานงบรายไตรมาสจะเห็นว่าบริษัทยังโฟกัสกับการเติบโตผ่านช่องทางดิจิตอล ทั้งทำการตลาด พัฒนายอดขาย และลดค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด สูตรนี้ดูคล้ายๆกลยุทธ์แบรนด์โตเร็วอย่าง LULU อยู่นะ เน้นการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ใช้เงินลงทุนน้อย ขายตรงให้กับลูกค้าซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นแหล่งรายได้หลัก และยังมีช่องว่างให้เติบโตในระยะสั้นอย่างชัดมาก
แต่ๆ ยังไงก็คงต้องเปิดตลาดภูมิภาคอื่นแน่นอนในระยะกลางถึงยาว เพิ่มการเติบโตอีกทาง ซึ่ง Abercrombie and Fitch ใช้การตลาดดิจิตอลแบบ Omni Channel ผสมผสานทุกช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้ได้ประสบการณ์เดียวกัน
ที่เด่นๆเลย บริษัทผสมประสบการณ์การซื้อฝั่งออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกันแล้ว ลูกค้าเลือกสินค้าออนไลน์ แล้วไปลองที่หน้าร้านได้ ส่วนจะซื้อจริงผ่านออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ได้
อีกตัวอย่างที่ว้าวกว่า คือ กลุ่มลูกค้า Hollister มีกำลังจ่ายน้อย บริษัทแก้ปัญหาด้วยฟีดเจอร์ใหม่ Share2Pay ผ่านแอพพลิเคชั่น เมื่อเดือน ต.ค. 2022 ลูกค้าวัยรุ่นสามารถเลือกสินค้าลงในตะกร้าแล้วแชร์ไปให้ผู้ปกครองจ่ายให้ หรือถ้าขอยากก็ส่งข้อความไปขอเป็นของขวัญวันเกิดก็ได้
ซึ่งฝั่งเอเชียแปซิฟิกก็ยังเป็นสังคมวัยรุ่น แนวทางลุยตลาดด้วยช่องทางออนไลน์น่าจะใช้ได้ผลเหมือนที่ทำอยู่ในตอนนี้ ยิ่งฝั่ง Tiktok คนใช้ก็เยอะ เพียงแค่ช่วงแรกอาจต้องเข้ามาลองตลาดแล้วปรับกลยุทธ์อีกนิดหน่อย
เป้าหมายระยะยาวของ ANF ที่ถือว่าไม่ธรรมดา โตทั้งรายได้ และอัตราการทำกำไรในระยะยาว
อนาคต ANF จะเป็นยังไงไว้จะสรุปมาให้เพิ่มเติมนะครับ 🙂
====================
สุดท้ายขอประชาสัมพันธ์คอร์สเรียนใหม่ของเทรนด์ลงทุนหน่อยนะครับ
====================
#คอร์สเรียนหุ้นพื้นฐาน #StockChecklist
ตอนนี้เรากำลังเปิดรับลงทะเบียนคอร์ส Stock Checklist คอร์สนี้เป็นการรวมเอา Pain Point ทั้งหมดที่ผมเจอในช่วงลงทุนใหม่ๆ ศึกษาใหม่ๆที่มักจะรู้สึกงงไปหมดเพราะรายละเอียดมันเยอะมาก จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะโฟกัสจุดไหนดี? ถ้ารู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ผมเชื่อว่าคอร์สนี้ช่วยคุณได้แน่นอน เพราะ Checklist ทั้งหมดที่จะทำทั้ง Growth Stock / Dividend Stock / Turnaround Stock ผมทำขึ้นมาเพื่อให้ Pratical ที่สุดในการใช้วิเคราะห์ / สกรีนหุ้นเบื้องตัน เรียกได้ว่าดูปราดเดียว สามารถบอกได้เลยว่าหุ้นตัวนี้น่าศึกษาต่อหรือไม่? เป็นหุ้นดีหรือหุ้นเน่า? เสร็จแล้วค่อยไปลงรายละเอียดต่อ หุ้น 800 กว่าตัว … ถ้ามีเวลาศึกษาทั้งหมดได้ก็ดี แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนจะทำแบบนั้นได้ คอร์สนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนที่ไม่มีเวลา สามารถมีเครื่องมือไปใช้ในการวิเคราะห์หุ้นสายพื้นฐาน ลดความได้เปรียบ เพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ระยะยาว เปลี่ยนพื้นฐานของนักลงทุน เพื่อการหาหุ้นที่ดีกว่าเดิม
====================
หากสนใจสามารถลงทะเบียนและดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยครับ -> https://bit.ly/stockchecklist01
====================
รวม 3
สรุปรวม 4 Session + Q&A งาน “ เสวนาหุ้นไทย หุ้นนอก “ โดยลงทุนแมน [ครบ]
.
สรุปโดย ลงทุนดิ
#Session1 : สรุปเรื่องราว โอกาสการลงทุน และความเสี่ยง ในปี 2024
#Session2 : ลงทุนประเทศไหนมีอนาคต
#Session3 : การจัดสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุน
#Session4 : คอมเมนต์หุ้นยอดนิยม
#Q&A
.
#Session1 : สรุปเรื่องราว โอกาสการลงทุน และความเสี่ยง ในปี 2024 | ลงทุนแมน
หุ้นฮ่องกงพีคปี2008ตอนที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปัจจุบันยังไม่ไปสู่จุดเดิมเลย
ลงหุ้นอเมริกา หุ้นที่โดดเด่นคือหุ้น7นางฟ้า ขึ้นเยอะมาก ถ้าเราถือยาวเกินหลายปีผลตอบแทนจะมหาศาล ซึ่งสิ่งที่มีเหมือนกันคืออยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเน้นพัฒนาAI(ยุคที่AIจะฉลาดกว่ามนุษย์)
หุ้นไทยตัวใหญ่ๆจะเป็นธุรกิจสัมปทานและผูกขาด
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
#Session2 : ลงทุนประเทศไหนมีอนาคต
อเมริกา
(พี่หลิน)ประเทศอเมริกาตั้งแต่ปี 4กรกฎาคม1776 ก่อตั้งประเทศเป็นเสรี ช่วงแรกเป็นยุคไฟเนนซ์ ยุคต่อมาเป็นยุคขนส่งรถไฟ ยุคต่อเป็นเป็นพลุงงาน ปัจจุบันเป็นยุคIoTและเทคโนโลยี (เซียนมี่) มองสหรัฐอเมริกาว่าเก่งทุกด้าน ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศถึงดึงดูดนักท่องเที่ยว และคนเก่ง&แรงงาน การวางรากฐานระยะยาวได้ดีที่สุดเรื่องทุนนิยม เปรียบเสมือนเซนทรัลเวิร์ด ส่วนจีนเปผ้นตลาดโบ้เบ้ มีบริษัทที่ขับเคลื่อนศก.โลก และDisruptedธุรกิจหลายประเทศ BMแบบเดิมเรื่องไม่มี ต้องเป็นเทคโนโบยีใหม่ และกรีดกันจีนค่อนข้างดี /อเมริกาเก่งเรื่องพิมพ์เงินเสียดุลการค้า แต่หล่ยประเทศต้องสำรองเงินดอลลาห์ ถ้าหลายประเทศไม่เก็บ$เป็นทุนสำรองอาจจะมีความเสี่ยงในอนาคต 4ดาวหักความเสี่ยงด้านการเงินนิดนึง Valuationคิดว่าแพงเพราะเป็นเหตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน จะคำนวณค่อนข้างยาก (ลงทุนแมน) 1.มีงบประมาณใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะด้านการทหารไม่มีใครสู้ได้ 2.อเมริกาเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 3.GDPค่อนข้างขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะอเมริกาขายของให้คนทั่วโลกไม่ไช่แค่ขายให้คนอเมริกา เช่นIphone และหุ้นกลุ่ม7นางฟ้า เทสลาร์ไปเมืองจีน อเมริการคุณภาพน่าจะดีที่สุด แต่ราคาก็ขึ้นมาเยอะแล้วไม่ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงจนซื้อไม่ได้
ประเทศจีน
(พี่หลิน) ประเทศจีน สร้างทุนนิยมแบบกงสี คนจีนเก่งเรื่องการค้ามากเราควรหาหุ้นจากกลุ่มนี้ ประเทศจีนผลิตเก่ง ส่งออกชา ผ้าไหม ไปอังกฤษส่งเยอะมากจีนอยากได้แต่เงิน คนเชื่อสายจีนเก่งหมด เช่น คนฮ่องกง สิงคโปร์ 3ดาวจีน เราต้องอ่านข้อมูลและเข้าใจประเทศอย่างแท้จริง ถ้าเราเข้าใจอาจจะหาหุ้นเด้งได้เพราะValueationยังค่อนข้างภูก (พี่มี่) จีนเก่งเรื่องการผลิตและการค้า มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจีนคิดตั้งแต่วันแรกว่าอยากเป็นGlobal band จีนแกะและก็อบโมเดลมาหาทางไม่ให้ติดลิขสิทธิ์ ตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิงมาบริหารเก่งมากเติบโต3digit ซึ่งไม่เคยมามาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อก่อนจีนเร่งมีลูกมากเพราะคนตายเยอะจนรัฐบาลออกนโยบายลูกคนเดียว ปีที่แล้ว-2ล้านกว่าคน GDP per capita ยังน่าจะมีช่องเติบโตอยู่ โต4-5%ไปอีก5-10ปีได้อยู่ 3ดาว หุ้นถูกมาปันผล10% P/E3-4 เท่า ซึ่งถูกมากแต่ต้องมีplaybook มาจับว่าจะลงทุนอย่างไร (ลงทุนแมน) ดูValueationมากกว่าคุณภาพ ดูว่าวางเงินไปแล้วจะเติบโตไปเท่าไหร่ ควรลงแต่หุ้นที่มีแบรนด์ถามคนจีนแล้วรู้จัก จะได้ไม่ถูกโกง เช่นTiktok ที่คนไทยเล่นเยอะมาก ,EVก๊อบมาแล้วพัฒนาจนดี ประเทศจีนทั้ง3คนให้คุณภาพสามดาว ราคาถูก
เวียดนาม
(พี่หลิน) เวียดนามมีอุตสาหกรรมเยอะมาก 1986มีการปฏิรูปเศรษฐกิจหลังสงคราม จนปัจจุบันเวียดนามมีROEสูงมาก ซึ่งในอนาคตอาจจะลดลง เพราะมีการแบ่งธนาคารบริการในแต่ละโซน คุณภาะเวียดนามให้2ดาว ส่วนเรื่องราคาไม่ได้ถูกไม่ได้แพง (พี่มี่) เวียดนามค่อนข้างคาดการณ์ได้ เวียดนามชอบแข่งขัน รัฐบาลชอบเปิดให้แข่งขันเรื่องธุรกิจจึงไม่รู้ว่าใครจะชนะอย่างแท้จริง ถ้ามองไปไกลๆหลายคนมองว่าปลาชุมเป็นNext of thailand แต่เราจ้องรู้ความลึกของน่านน้ำด้วย ไม่งั้นจะหลงทิศ 4ดาวเพราะจะก้างไปสู่Frontier market ให้มากว่าจีนเพราะ จีนอาจจะมีเหตุการณ์แปลกๆในอนาคตได้ (ลงทุนแมน) ดูท็อป20 อันดับยังไม่เห็นอะไรที่สนใจส่วนใหญ่เป็นธนาคาร เวียดนามเหมือนไทย20ปีที่แล้ว คาดการผู้ชนะได้ยาก ถ้าลงทุนในหุ้นGoogleยังคาดการณ์ได้ง่ายกว่า ลงทุนได้แต่ต้องFocus คัดเลือกดีๆเพราะเราอยู่ไกลต้องติดตามมากๆ ราคาไม่ได้ถูกมาก ถ้าเราเล่นโหมดยากก็เลือกเวียดนามได้ แต่อาจจะได้ผลตอบแทนที่สูง
ประเทศไทย
(พี่หลิน) ภาษาไทยคือMoatที่สำคัญที่สุดของไทย ฟังoppdayภาษาไทย ฝรั่งทำไม่ได้ ส่วนจุดแข็งของประเทศไทยคืออ่อนน้อมและwelcomeต่างชาติ เอาวัฒนาธรรมมาผสมกับนิสัยคนไทย จึงเกิดSoft power 1.อาหาร 2.ภาพยนต์ 3.แฟชั่นไทย 4.มวยไทย 5.เทศกาลประเพณี เราต้องไปแยกประเด็นดูว่ามีอะไรน่าสนใจ คุณภาพ4ดาว ราคาค่อนข้างถูก (พี่มี่) คุณภาพสูงแต่จับต้องยากคาดเดาลำบาก แต่มีเสน่ห์ ถูกหรอมรวมเป็นคนไทย พม่าเกิดปัญหากลางเมืองทะลักไหลเข้ามาในไทย รัฐเซียยูเครน มีปัญหากันก็บินเข้ามาในไหย ประเทศไทยเปิดรับและหลอมรวมทุกเทศกาลมีวันหยุดเยอะมาก ฮ่องกงมีการแข่งขันสูงทำให้คนเครียด ไม่สนับสนุนคนแพ้ อัตราการฆ่าตัวตายเลยสูงซึ่งไม่เหมือนไทย ประเทศไทยนอน10โมงเพื่อนโทรมายังไม่ตื่น ไทยอาจจะเกี่ยวกับผู้นำประเทศยุตก่อนไม่เน้นGrowth แต่ปัจจุบันเรามีผู้นำที่ดี และมีเศรษฐกิจใต้ดินอีกเกือบ50% มองภาพรวมอาจจะยังไม่ถูก แต่รายตัวถูกเป็นประวัตรการณ์ (ลงทุนแมน) เมืองไทยได้เปรึยบนัลงทุนอื่น เช่นเฮลบลูบอย ต่างชาติไม่เข้าใจว่าคืออะไร บางธุรกิจเห็นชัดว่าจะโตไปได้เรื่อยๆ ถ้าListหุ้น100อันดับแรกในไทย เราแทบจะรู้จักหมดเลยไม่เหมือนเวียดนาม ประเทศไทยคุณภาพไม่ได้แย่แต่ต้องคัดเลือก เล็งว่าจะซื้อหุ้นไทยเพิ่มเพราะราคาหุ้นในรอบ10ปี
ปนะเทศอื่นๆ (พี่หลิน) เลือกประเทศที่เรามีpassion ตลาดหุ้นอินโด และฟิลิปปินส์ก็น่าสนใจ (พี่มี่)ชอบอินโดนีเซีย เพราะเหมือนประเทศไทย ถ้าชนะแล้วกินรวบ แต่ออกไปต่างประเทศยาก อาจจะเป็นเพราะconnectionในประเทศ คนเติบโตเยอะมาก เฟรนลี่ คนชวนเดินคุย ธุรกิจที่นั้นก็น่าสนใจ
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
#Session3 : การจัดสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุน
(พี่หลิน) การหากหุ้นต่างประเทศต้องรอให้ถูกก่อน หุ้นจีนบางกลุ่มก็เริ่มมีปัญหาเริ่มถูกแล้วแต่อากงไม่ชอบ เช่น1.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และโรงเรียน แต่อาจจะฟื้นได้ในอนาคต 2.หุ้นโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟถูกมาก 3.กลุ่มเทคโทโลยี ROEต่ำเพราะแข่งขันกันสูง แต่หุ้นมีถูกและมีคุณภาพ หุ้นจีนพี่หลินไม่ชอบหุ้นเล็กเพราะเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ชอบหุ้ยที่มีแบรนด์ดี 4.หุ้นกลุ่มConsumer ค่อนข้างเซ็กซี่ เราสามารถใช้กลยุทFarmingได้ แต่ต้องเลือกธุรกิจที่สามารถขยายไปต่างประเทศได้ เช่นPopmart ที่คนต่อแถวรอคิวกันเยอะ เราต้องดูพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
อนาคต(หลายปีพอสมควร) อาจจะเพิ่มในตลาดหุ้นที่มีปัญหาและเข้าไปช่วยเหลือ(ซื้อ) ประเทศอินโดและอินเดีย มีบริษัทต่างชาติเข้าไปเยอะมากคาดว่าจะโจได้เหมือนเวียดนามตอนแรก ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ มีจุดที่ขายได้ แต่ยังรออยู่ รอบริษัทไทยที่ก้าวออกไปต่างประเทศได้ ถ้านักลงทุนที่อยากเปลี่ยนชีวิตประเทศไทยก็ยังมีโอกาส แต่อย่าBetมากเพราะบางที่อาจจะพลาดโอกาสในอีก4ประเทศ (พี่มี่) 50%ในไทย 50%ในจีนเป็นส่วนใหญ่ ธุรกิจยังอยู่ในAreaที่เราเข้าใจ วิธีการที่เลือกหุ้นจีนคือ หาการเติบโต แต่ไม่ชอบที่หุ้นรัฐบาลจีนไม่สนับสนุน หาธุรกิจที่มีลมใต้ปีกสนับสนุน พี่มี่จะศึกษาโมเดลที่อเมริกาแล้วมาปรับใช้ในหุ้นจีน เช่นAI ,สนามบิน เราเห็นตัวเลขการท่องเที่ยวในจีนAll time high ไปแล้ว ธุรกิจTiktokก็น่าสนใจมีคนใช้งานต่อเดือนเยอะมาก และE-commerceยังเติบโต
พี่มี่มองภาพใหญ่ มองmarketcap และP/E มองไปอนาคต5-10ปีว่าเป็นอย่างไร ส่วนหุ้นไทยเล่นตามสถานการณ์ว่าจะเกิดตรงไทยบ้างมีหุ้นกลุ่มไหนที่จะเติบโตได้เยอะ แล้วหมุนกลุ่มไปเรื่อยๆอาจจะ1-2ปี แล้วมองว่าตัวไหนถูกถ้าเทียบกับเงินสด เทียบกับมูลค่าและมีปัจจัยมาสนับสนุน. หุ้นที่ลงทุนในตลาดอเมริกาจะเป็นหุ้นประเทศจีนที่ไปจดในตลาดอเมริกา แต่จะไม่ไปลงทุนในหุ้นอเมริกาโดยตรง (พี่กวี) ตลาดหุ้นไทยยังสร้างการเติบโตหุ้น2-3เด้ง ในปี2019 ซึ่งยังชอบอยู่ ตลาดหุ้นไทยยังมีอนาคตแต่ยังมีปัญหาเรื่องอายุสูงวัยของประชากรแต่น่าจะรับรู้ไปหมดแล้วเพราะเราทุกคนก็รับรู้ เด็กรุ่นใหม่เริ่มสนใจเรื่องการลงทุน เด็กจบใหม่ก็เข้ามาซึ่งจะมีเม็ดเงินตรงนี้เข้ามา
ภูมิศาสตร์ประเทศไทยเป็อะไรที่ดีมาก ซ้ายติดอินเดีย1500ล้านคน ด้านบนติดประเทศจีน1500ล้านคน และคนทั้งโลก4500ล้านคนบินมาไทยได้ใน5ชั่วโมง จีนมีคนมาเที่ยวไทยแค่10%ถ้าเพิ่มขึ้นอีก10%เป็น20% รายได้ในไทยก็ยังเพิ่มขึ้นได้ ไทยโลกร้อนถือว่าส่งผลดีเพราะผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ดี และพื้นที่ราคาไม่แพง ซึ่งถือว่าเป็นFriendly country บางส่วนของเงินลงทุนพี่กวียังรอให้ตลาดหุ้นอเมริกาวิกฤต เพราะ30ปีที่ผ่านมายังเชื่อในความไม่สมดุลของเศรษฐกิจ พี่กวีสนใจในหุ้นใหญ่ที่ถ้าเกิดวิกฤต-30% จะทะยอยเข้าไปซื้อเก็บสะสม เช่นGoogle starbuck. ส่วนหุ้นจีนจะไปทางGreen energy ,อุตสาหกรรมการผลิต (ดร.นิเวศ) ทฤษฎีของผมเมืองไทยไม่น่าลงทุน
แต่เวียดนามกำลังดีกำลังซ้ำรอยประเทศไทย ตัวเลขต่างๆก็ขึ้นมาเยอะ เน้นเล่นหุ้นsuper stock แล้วถือไปเรื่อยๆเปลี่ยนชีวิตได้ 10เด้ง ไม่ไปเวียดนาม100% เพราะเสียภาษีเยอะ และไม่ได้ไปง่ายๆดร.นิเวศถึงตั้งบริษัทตีแตกขึ้นมา วีไอต้องหาหุ้นราคาถูก คาดว่าจะเป็นsuper stockแล้วซื้อเก็บไปเรื่อยๆ อายุมากขึ้นเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการมองภาพใหญ่ เมืองไทยก็จะโตเป็นเมืองท่องเที่ยวเพราะคนไทยต้อนรับ ลองไปหาหุ้นกันดู ประเทศเวียดนามโตไปจะเป็นคล้ายๆเกาหลี อาจจะไม่เหมือนแต่เป็นน้องๆ คนเวียดนามคล้ายคนจีน ก่อนตายขอรวยก่อน โกงเงินในธุรกิจก็ยอม เปิดสาขาเป็น100แห่งก็ทำ เวียดนามประวัติศาสตร์เป็นนักสู้มาก
คล้ายๆจีนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา. ดร.นิเวศ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไทยต้องออกไปเร็วที่สุดเพราะรู้ว่าเรื่องการลงทุนในประเทศไหนจะดีหรือไม่ดี ประเทศไทยเฉลี่ยโตแค่ปีละ1.9% ในอนาคตจะฟื้นตัวเยอะไหมถึง4-5%ไหม คุณเชื่อหรือเปล่า ต้องมองภาพใหญ่ ประเทศไทยประชากรเริ่มลดลงแล้ว (ตาย>เกิด) ตาย1คนรายได้หาไปแล้วปีละ50,000บาท ถ้าเราผลิตไม่ดีขึ้นศก.ก็จะไม่โต และคนเกรีษณเงินเดือนก็จะหายไปเยอะ คนที่จบใหม่เงินเดือนได้น้อยมาก แล้วแบบนี้ประเทศจะโตได้ยังไง ดูว่าศก.ไทยโตยาก 33%ยังอยู่ในหุ้นไทยเพราะเกิดและกินข้าวในประเทศไทยแต่อยู่ในหุ้นเดิมๆ. ส่วนอีก33%ในหุ้นจีนและอเมริกา
จะซื้อในDRเชื่อในธีมนั้นและกระจายลงทุนไป (ลงทุนแมน) ลงทุนในอเมริกามานานแล้วกำไรดีมาก ตั้งแต่7ปีที่แล้วตอนมีลงทุนแมนก็ซื้อGoogle cloudใช้งานต่างๆซื้อดีมาก ต่อมาซื้อMacbook ของAppleให้พนักงานลงทุนแมน200คน ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นอเมริกาไม่ได้ไกลตัวเรา ส่วนจีนเพิ่งออกไปตอนที่จีนมีวิกฤติโดยซื้อผ่านกองทุน ประเทศไทยตอนนี้ราคาก็น่าสนใจพอสมควรplaybook ราคาไม่แพง มีกระแสเงินสด ชนะชัดเจน เติบโตต่อเนื่อง เช่นเฮลบลูบอล ถ้าราคาต่ำมีปันผล4%ขึ้นไปก็น่าลงทุน ชอบอุตสาหกรรมที่ไม่ถดถอยตามประกรที่ลดลง และขายให้กับคนทั่วโลกได้ เช่น ท่องเที่ยว
– – – – – – – – – – – – – – – –
#Session4 : คอมเมนต์หุ้นยอดนิยม
Novo Nordisk เป็นบริษัทเดนมาร์ค
(พี่หลิน) ก่อนลงทุนเราต้องไปดูต้นน้ำเขา ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ หุ้นตัวนี้เกิดจากนักวิทยาศาตร์2คน ชาวแคนาดา และขายไปให้มหาลัยโตรอนโต้1$ โนโวเกิดจากการผลิตอินซูลิน ช่วยเหลือมนุษย์ได้หลายคนมาก เมื่อก่อนอินซูลินต้องสกัดมาจากวัว แต่บริษัทBiotechสามารถใช้เทคโนโลยีสกัดออกมาได้ซึ่งทำให้โตก้าวกระโดดมาก ซึ่งมีpaperนึงที่คาดการณ์ยอดขายของโนโว ว่าจะลดลงด้วย แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนต้องมองTAM(total accessdable market) ที่จะหาอะไรเติบโตไปได้เยอะๆ ซึ่งปัจจุบันโนโวเจอยาลดน้ำหนัก(GLP1)ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย โดยไม่มีผลข้างเคียง ทำให้บริษัทหลายๆในอุตสาหกรรมเลิกทำธุรกิจนี้ไปเหลือแค่สองเจ้าใหญ่ๆ ประกอบกับการรีวิวทำการตลาดในTiktok ถือว่าเป็นขั้นตอนของการเติบโตของหุ้นตัวนึง นักลงทุนชอบการลงทุนR&Dน้อยๆ และมีการขยายไปได้หลายประเทศ (ลงทุนแมน)คนรอบข้างมีคนใช้ยาGLP1บ้างแล้วฉีดแล้วจะไม่หิวแต่ก็จะไม่มีแรงนิดนึง แต่ลดน้ำหนักเห็นได้ชัด โดสนึงราคาหลักหมื่น ไม่แปลกใจที่รายได้เยอะ (ดร.นิเวศ) ร่างกายเราฉลาดมันจะปรับตัว เคยดักจับแมลงสาบแมลงสาบยังเรียนรู้เลย ยาตัวนี้จะกินแล้วอายุวัฒนะ ซึ่งอาจารย์ไม่เชื่อเรื่องนี้ ตอนนี้วิ่งอย่างเดียว เรื่องยาส่วนตัวดร.กลัวเหมือนกัน (พี่หลิน) ปัจจุบันจีนเริ่มหันมาทำบ้างแล้วซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงของธุรกิจประเทศนี้ นักวิเคราะห์หุ้นยังพลาดกับหุ้นตัวนี้มาแล้ว แต่ถ้ามีแบบนี้มาอีกในอนาคตเราก็ไม่ควนพลาด
Xiaomi
(พี่มี่) สะท้อนความแข็งแกร่งของประเทศจีนได้ดี เป็นFapless ซึ่งเสี่ยวมี่ผลิตได้ทุกหมวด โทรศัพท์ กรรไกรตัดเล็บ และปัจจุบันขายรถยนต์EVแล้ว ซึ่งมูลค่าตลาดของสมาร์ทโฟน ,IoT ,carEV ซึ่งต้องแย่งสัดส่วนทางการตลาดเพิ่มให้ได้ Ciaomi CyberDog2ถือว่าเป็นอนาคตของธุรกิจเขา หมาตัวนี้สามารถพูดคุยกับเรา เฝ้าบ้าน ปิดไฟให้เราได้ด้วย Gross margin เสี่ยวมี่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังรักษาmarket shareได้ดี SmartTV เป็นอันดับที่5ของโลก และอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในบ้านก็ขายได้ดีขึ้น รวมทั้งรถยนต์EV xiaomi มียอดจองในจีนที่ดีมาก โดยเสี่ยวมี่ต้องการเป็นTop5ของโลก ผู้บริหารประกาศสงว่าจะทำให้ดีที่สุด เป็นแบรนด์ระดับโลก (พี่กวี) ยุคก่อนเราใช้แบรนด์ญี่ปุ่นเช่น ฮอนด้า โตโยต้า ต่อมามีแบรนด์เกาหลีเข้ามาเช่น ซัมซุง และปัจจุบันมีแบนด์จีนเข้ามาในไทยหลายแบรนด์ เช่นเสี่ยวมี่ เสี่ยวมี่มีความแข็งแกร่ง (ลงทุนแมน) เลี่ยว จุน ผู้บริหารเสี่ยวมี่ คล้ายนโปเลียน ที่ทำศึกหลายด้าน เสี่ยวมี่ยังไม่มีสินค้าไหนที่เป็นที่หนึ่งชัดเจน โทรศัพท์ก็ยังไม่แน่นอน โดยพี่อัพมองว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเสี่ยวมี่อาจจะมีปัญหา (พี่หลิน) เสี่ยวมี่อยู่ในเฟสของการพิสูจน์และพัฒนา โดยพี่หลินจะดูที่แบรนด์ ถ้ามีคนใช้โทรศัพท์เสี่ยวมือยกขึ้นมาแล้วภาพลักษณ์ดูดีจะทำให้ชนะ
CPALL
(พี่กวี) อยากให้มองcpall เป็นบริษัทที่สร้าง S curveใหม่ ซึ่งตอนนี้เป็นขั้นที่สำคัญมาก เพราะจะก้าวข้ามสังคมสูงวัยไปได้ไหม กำไรยังไม่กลับไปที่เดิมราคาจึงยังไม่ไปที่90บาท แต่กำไรขึ้นต้นรักษาได้เสรียรภาพได้ดี มองCPเป็นกลุ่มธุรกิจซึ่งมีกลุ่มธุรกิจที่ครอบคลุมเกือบจะทั้งประเทศ(True,7-11,CPF,Makro,ธุรกิจยา) ซึ่งจะเห็นการเติบโตได้ในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่เห็น และปัจจุบันCPก็ไปจับมือกับPing Anในจีนที่จะเปิดโรงพยาบาลAI และยังตั้ง7-11เป็นstand aloneเพื่อจะตั้งเป็นศูนย์ชาร์จรถEVข้างๆปตท ซึ่งตอนนี้ปตท.เริ่มมีความกังวล ผู้บริหารมองว่าธุรกิจLogisticเป็นสิ่งที่สำคัญมาก S-curveนี้ต้องใช้เงินลงทุน จ่ายดอกเบี้ยจ่ายเยอะมากถ้าในอนาคตไม่มีดอกเบี้ยจ่ายแล้ว จะสร้างรายได้ขึ้นในอนาคต20,000ล้านบาท CPอาจจะเห็นราคาหุ้นเป็น3หลักได้ภายใน5ปี(คาดการณ์) (ดร.นิเวศ) คิดว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัวเกินไป แต่ถ้าขึ้นตามแบบนี้ก็ดี55555 (พี่กวี)ต่างชาติเข้ามาในไทยต้องคุยกับ7-11 เพราะจะมีความได้เปรียบ (ลงทุนแมน) cpall ซื้อกิจการที่เยอะมาก และทำให้เกิดภาระหนี้ที่เยอะมาก ถือว่าเป็นความเสี่ยงอีกอย่างนึง ส่วนดีของ7-11ก็คือถือมีคนเข้ามาก็จะทำให้ ยอดต่อบิลเพิ่มขึ้น
FPT
(ดร.นิเวศ) เป็นหุ้นที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเวียดนาม สร้างมหาลัยหลายแห่งผลิตนักศึกษาออกมาทำงาน ซึ่งFPTเป็นบริษัทชั้นนำที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วนานพอ ถ้าในอนาคตจะเติบโตด้านอุตสาหกรรมก็น่าจะเป็นบรืษัทนี้ เห็นภาพผู้ชนะชีดเจน (พี่มี่) เคยไปCVที่มหาลัยด้วยสวยมาก แต่ปัญหาคือติดตามข้อมูลบริษัทยาก ถ้าราคาลงมาเยอะๆก็น่าสนใจ (พี่หลิน) เป็นหุ้นตัวที่ดีสุดของเวียดนาม แต่ปัญหาคืองบR&Dไม่ถูกรายงาน เสี่ยวมี่รายงานหลายแสนล้านบาท จำนวนพนักงานของFPT37,000 40,000 50,000คน ซึ่งถ้าจะโตต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ซึ่งถ้าแบบนี้พรักงงานอาจจะไปถึง300,000คน
Nvidia
(พี่กวี) AIยังไม่มีใครได้ประโยชน์ชัดเจน บริษัทนี้ได้ประโยชน์จากAI แต่ถ้าบริษัทอื่นเอาAIไปใช้ได้ก็จะทำให้มีบางเสียประโยชน์ ผู้ชนะจากธุรกิจplatformก็มีหลายเจ้าและสามารถหารายได้ได้ ส่วนที่Nvidiaจะชนะแค่ส่วนเดียวคือชิป แต่ราคาหุ้นขึ้นมาไกลมากโดยเฉพาะกลุ่ม7นางฟ้า ซึ่งหมายถึงรับรู้ข่าวดีไปพอสมควร Nvidiaยังเจอความท้าทายใหม่ๆเช่นควอนตัม คอมพิวเตอร์ เช่นIBM การผลิตสูตรยาก็เริ่มใช้ควอนตัม คอมพิวเตอร์แล้ว ในอนาคตสามารถรักษาโรคเอดด์ได้ จีนเป็นประเทศที่ลงทุนงบประมาณรัฐบาลในการสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบเงียบๆ อุตสาหกรรมที่จะใช้ควอนตัมเยอะที่สุดสุขภาพและยารักษาโลก สามารถใช้AIไปต่อยอดได้ เพราะมนุษย์มีความไม่อยากตาย (พี่หลิน) ค้านเรื่องNvidiaอาจจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศหรือเปล่า บริษัทพยายามปิดจุดอ่อนเดิมที่บริษัทอื่นๆมี ต้องวิเคราะห์Fiveforceว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะกระทบต่อบริษัทอย่างไร (นิเวศ) แข่งกันด้วยเทคโนโลยี สร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมา มีความไม่แน่ยอยสูง เพราะในอนาคตก็จะแข่งในแบบอื่นๆ ไม่เหมือนหุ้นFPT ที่ไปจับมือกับNvidiaในการสร้างcloudในการเก็บข้อมูล ได้ประโยชน์ชัดเจน มีแต่ผมที่ทำได้ รับทำและเลียนแบบ ตอนที่เกาหลีรีโครงสร้าง เรียกคนที่เก่งๆกลับมาสร้างเทคโนโลยีสำคัญให้กับประเทศเช่น ซัมซุง แสดงให้เห็นถึงความเก่งของคนเกาหลีซึ่งคล้ายๆกับคนเวียดนามตอนนี้. (พี่มี่) มูลค่าบริษัทเยอะมากแล้ว แต่ถ้าเจาะลึกลงไปจะตกใจกับสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมี ผู้บริหารเก่งมากเกินมนุษย์ 40%ของยอดขายชิปก็มาจากหุ้น7นางฟ้า คิดว่าราคาหุ้นตัวนี้ไม่แพงไม่ถูกแต่คาดการณ์ยาก (ลงทุนแมน) รู้จักหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว Aiเป็นสิ่งสุดท้ายของมนุษย์ ในอนาคตอาจจะไม่มีมนุษย์อยู่แล้ว NvidiaขายแบบB2Bเป็นเลือกแรกๆ Nvidiaจะเป็นกระดูสันหลังของแต่ละธุรกิจ ถ้าอยากแข่งด้านAIต้องเลือกnvidia ลงทุนมา10ปียังไม่เคยเจอกำไรของปีนี้เยอะกว่ารายได้ปีที่แล้ว จะเกิดขึ้นได้ในบริษัทเล็กๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะเป็นแนวโน้มที่ดีอนาคต
– – – – – – – – – – – – – – – –
#Q&A
1. เราต้องดูครอสก่อนว่าเขาจะสอนอะไรเราบ้าง การเรียนMBAจะทำให้เราทำธุรกิจเก่งขึ้น แต่ละวิชาขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในธุรกิจอะไร ในปีที่สองเขาจะให้เอาความรู้มารวมกันแล้วฝึกวิเคราะห์
2.ความขัดแย้งมันย้อนกลับมาไม้ได้แล้ว การขัดแย้งจีนกับอเมริกา ก็จะยังเห็นในหัวข้อข่าวอยู่ เรื่องราวนี้จะเห็นไปอีกยาวนาน เรื่องราวเหล่านี้อาจจะกระทบไปในตลาดหมดแล้ว โลกกำลังแบ่งเทคโนโลยีเป็นสองสาย จีนกับอเมริกา ซึ่งประเทศไทยอาจจะได้ประโยชน์ จากประเทศจีนที่ใกล้และเป็นเพื่อนสนิท รวมถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนออกมา ไม่มีใครยอมใครแน่ๆ งบR&D จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
3.เรื่องราวเหล่านี้คุณกวีก็เคยได้ถามคุณพ่อไปตอนเด็ก แล้วปัจจุบันก็ยังมีคำถามนี้อยู่ มีอันใหม่ก็จะมีอันใหม่อีก เช่นบริษัทSappeทำเครื่องดื่มที่สามารถเคี้ยวได้ ยังมีบริษัทเหล้านี้ตลอดเวลา ถ้าประเทศยังเป็นทุนนิยมยังมีความน่าสนใจในประเทศนั้นๆอยู่ ทุกตลาดมีโอกาสอยู่ ถ้ามองว่าอีก10-20ปีข้างหน้าต้องมองว่ามีบริษัทต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยอยู่หรือไม่ ไทยยังเป็นศูนย์Green energyของประเทศจีนที่มาตั้งในไทยแสดงว่าเขายังมองว่าได้โดดเด่น และมีอนาคตอยู่. SET INDEX ไม่ไปไหน ถ้าตัดหุ้น7นางฟ้าออกจากอเมริกาก็แทบไม่ไปไหน เรายังต้องเจาะจง แต่ละคนต้องมีหุ้นที่เราเข้าใจหาให้เจอว่ามีPassionกับประเทศที่จะเข้าไปลงทุนแค่ไหน
4.ผมลงทุนระยะยาว ถ้าเห็นโอกาสเป็นจริงสูง ก็ซื้อไปเรื่อยๆ ซื้อเก็บ สมัยประเทศไทยเติบโตผมก็ลงทุนไปเรื่อยๆของมัน แต่เลือกถูกตัว คิดว่าดี คิดว่าเก่ง ที่ผิดก็มี การวางPositioningสำคัญ แต่ตอนนี้ไทยเริ่มหมดหวังแล้ว แต่ไปเห็นที่เวียดนามที่คล้ายไทย แต่คนเก่งกว่าคนไทย มีคุณภาพ ถนนทุกสายวิ่งเข้าสู่เวียดนาม. ตอนที่ซื้อลงทุนที่เวียดนามก็ใช้หลักการคล้ายๆในไทย ที่สามารถโตไปหลายที่ในประเทศได้ เช่นธุรกิจสนามบินเก็บค่าธรรมเนียมแบบไทย โดยการลงทุนในเวียดนามจะเลือกเฉพาะsuper stock 6-7ตัว และถือไปสิบกว่าปี ที่อาจจะโตMarket cap.เหมือนหรือเท่าไทย ในหุ้นจีน33%เป็นกลางกลางมีการเทรดบ้างตัวไหนขึ้นสูงก็ขาย ได้10%ต่อปีก็ดีใจแล้ว ส่วนประเทศไทย33%เป็นกองหลัง เก็บปันผลอยู่ใกล้เรา ส่วนที่เวียดนามก็เป็นกองหน้า
5.เริ่มเมื่อ10ปีกว่าปีที่แล้ว เพราะหาหุ้นในไทยดีๆไม่เจอ ตอนอยู่ในรถไฟฟ้าคนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์กันหมดเลย เลยไปดูผลกำไรย้อนหลังของหุ้นต่างประเทศเกี่ยวกับสมาร์โฟน และเห็นว่าพฤติกรรมนี้ในอนาคตน่าจะดี และยังเจอหุ้นบัตรเครดิตVisa ,Master card ที่มีงบการเงินที่ดี และอยู่ไปได้เรื่อยๆ. อีก10ปีข้างหน้า ก็มองเห็นAI เงินจะไปหาบริษัทรุ่นใหม่ๆ เอาข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าจะหารายได้อย่างไรในอนาคต ข้อมูลคือน้ำมัน ซึ่งจะเกิดรายได้ใหม่ๆในอนาคต
#สรุปลงทุนแมน Conference Summer 2024 (Part 2)
Asset Allocation Optimization
#Portคุณหลิน
– ไทย 70% จีน 20% US 5% เวียดนาม 5%
ในอนาคตมองว่า ไทยลดลงเหลือ 60% จีนลดเหลือ 10% แบ่งไป US Europe india+indo อย่างละ 10%
– เคยโดนหุ้น US
– จีนชอบ 3 กลุ่ม
1. มองกลุ่มโรงเรียน
2. กลุ่ม Infra
3. China tech ใหญ่ มีการแข่งขันกันสูง การ allocate เงิน มีประสิทธิภาพ
– หุ้นไทยชอบหุ้นเล็ก แต่หุ้นจีนชอบหุ้นใหญ่ๆ ไม่ชอบหุ้นเล็กมีการเปลี่ยนแปลงสูง ชอบมีแบรนด์ มี Casf Flow ตลาดไม่ชอบ
4. Consumer ผลิตเก่ง และค้าขายเก่ง ถ้าซื้อในราคาที่ไม่แพงไป คือ ดี และถ้าไปต่างประเทศได้ จะดีขึ้นไปอีก
– มี US เพราะ….ติดดอยอยู่ มีไว้เพื่อให้ติดตาม
– อนาคต คือ อีกหลายปีนะ มองว่ารอบนี้จะเก็บเกี่ยวจีนได้พอสมควร ก่อนจะลดพอร์ต
– Playbook สำคัญมองว่า ตลาดหุ้นไหนมีปัญหา และช่วยเหลือ…หมายถึงลงทุน
– ยุโรป อินเดีย อินโด ต้องใล้ความพยายามในการห่ข้อมูล แต่พวกบริษัทอุปโภคบริโภค ก็เข้าไปในอินโด อินเดีย
– ไทย รอบริษัทไทยบางแห่งที่ก้าวออกไป เปลี่ยนตัวเอง ขยายตลาด
– นักลงทุนที่อยากเปลี่ยนชีวิต….หุ้นไทยอาจไม่มีโอกาสมาก แต่อยากให้เปิดโอกาวในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น
.
==========
#Portคุณมี่
– ปัจจุบันไทย 65% จีน 35% ในระยะยาวอยากปรัยเป็นไทย 50% ต่างประเทศ 50%( จีน+จีนในUS) ค่อยๆปรับทีละ 5% ในช่วง 3 ปีนี้
– วิธีการเลือกหุ้นจีน ใฟ้มองว่า อะไรที่อยากได้ เช่น
ไม่ชอบหุ้นที่รัฐบาลจีนไม่สนับสนุน ขอให้โตและรัฐสนับสนุน คือ โอเค
– มีหุ้นจีนที่น่าสนใจ ได้สนับสนุนจากอเมริกา
– Baidu เป็นบริษัทจดทะเบียนแรกในโลกที่ทำ GPT
– สนามบิน Monopoly น่าสนใจในระยะยาว
– ปรับพอร์ตจีนบ่อย เพิ่ม trip .com เข้ามา มองว่าจะได้ประโยชน์ช่วงนี้ (เวลาคนจีนจองเที่ยว ใช้ ctrip)
– หุ้นไขว้โส่ ?? มี DAU 382 ล้านคนพอๆ โต่อิน ดู Market cap บางตัวที่เล็กแต่เทียบกับสิ่งที่จะไป พยายามเลือกตัวที่โตได้
– รัฐบาลจีนสนับสนุน Xiaomi ขายทุกอย่างจริงๆ รถก็มา กรรไกรตัดเล็บก็มี
– มองภาพในอนาคตเทียบตอนนี้ จะโตไปทางไหน
– ไทยเลือกตัวที่ถูกและมีข่าวดีสนับสนุน หมุนกลุ่ม แต่จีนมอง 5 ปีขึ้นไป
.
– ไทยต้องมองโอกาสจะไปตรงไหน งบประมาณ หนุนกลุ่มไหน
– BOI โตมากในไทยปีที่แล้ว Q4 โตแรงมาก แล้วดูว่าตัวไหนเทียบ Cf / ถูกเทียบ สินทรัพย์
.
– ฟัง Jensen สูง คนเก่ง High expectation Low Resilient / แต่พี่มี่ low ทั้งคู่ ไม่ได้บ้าเงินขนาดนั้น ยังมีอยู่ในไทยนะ
– หุ้น US หมายถึง จีนที่จดทะเบียนในไทย
.
==========
#Portคุณกวี
– จากไทย 80% ต่างประเทศ 20% (จีน+us) ปรับเป็น 50/50
– ไม่คิดว่าพอร์ตจะโต 3 เด้งช่วง 2020 เพราะเจอวิกฤต ในอดีตเคยได้พอร์ตโตเป็นเด้งๆในช่วงที่มีวิกฤต
.
– ความดีของไทย คือ ตลาดหุ้น Priced in เรื่องแย่ๆ ทั้ง Aging society หนี้ภาคครัวเรือน การศึกษาของคนโดยรวม Traditional economy
– เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาลงทุนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
– การแพทย์ดี
– ภูมิศาสตร์ไทยดี ซ้ายอินเดีย ด้านบนอินเดีย พบว่า 4000 ล้านคนจาก 8000 ล้านคนมาไทยได้ ใน4-5 ชม.
– WEF มองว่าจะมีคนต่างประเทศมาเที่ยวไทยอีกเยอะ จีน อินเดียยังบินออกมาไม่ได้
– ไทยเหมาะเป็น Green Energy บริษัท Cloud ต้องใช้พลังงานสะอาดของตัวเอง โดยบริษัทเหล่านี้อยากให้ไทยเป็นจุดสำคัญ Data cloud center
– ไทย ผลิตโซลาร์ได้ดี และที่ราคาไม่แพง
– เรื่องการเมืองจะไม่แน่นอนไปเรื่อยๆ แต่นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ไปเพราะเราเป็น Friendly Country
.
– เริ่มศึกษาหุ้นต่างประเทศ มีสหรัฐฯไม่มาก เพราะรอวิกฤต โดยเชื่อความไม่สมดุล
– US ทุกอย่างดีไปหมด ถ้าเมกาเกิดความไม่สมดุล
– 1920-Now พบว่า Financial crisis มีเพียง 2 ครั้งคือ 1930 Great depress และ 2008 GFC ส่วนครั้งอื่นๆเป็นสงครามเรื่องอื่นๆ Dot com Covid
– วันนี้หนี้เมกาสูง แต่มันจะมี Trigger point ให้เกืดวิกฤติ มองว่าถ้าลงมา 30% จะซื้อแน่ๆ โดยเฉพาะหุ้นใหญ่
– จะซื้อGoogle Apple และในพอร์ตมีหุ้นจีนในสหรัฐเพิ่มมาในพอร์ต
– ซื้อหุ้นจีน 10-20 ตัว กระจายๆไปหลายตัว ดูว่า ชอบ Consumer ขนาดใหญ่ มองว่า Manufacturring ของโลก และมีไปทาง เทค + Green energy พวกแบตเตอรี่
– จะเอาปันผลต่างๆมาเก็บเป็นเงินสดมากๆ และไล่ซื้อทุกวันเลย
=======
#Portอาจารย์นิเวศน์
จากไทย 70% เวียดนาม 30% มองว่าจะเป็น ไทย 33% เวียดนาม 33% อื่นๆ 33% (US CN)
– มองเวียดนามโตแบบไทยแบบ CPALL ที่เคยกำไร
– ตอนนี้ตั้งบริษัทตีแตก ลงทุนเวียดนาม ต้อง Longterm 10 ปีทยอยขาย เพราะสั้นๆขาบ จะเสียภาษี 20%
– จึงปรับพอร์ต 6-7 ตัวที่ถือได้ 10 ปี หรือมีหุ้นเปลี่ยนชีวิตในพอร์ตที่ซื้อเรื่อยๆ
– ตอนนี้เวียดนามไม่ได้ขึ้นเยอะ และตกลงมามาก
– ตั้งแต่ปี 40 ไทยจะได้ 2% ถ้าซื้อดัชนี SET ต่างจากเวียดนามที่มีโอกาส โตเร็ว เป็น Superstock
– มองเวียดนามมีอาการคล้ายๆไทย จะเติบโตเหมือนกัน
– อายุมากขึ้น มองภาพใหญ่ขึ้น โดยบริษัทที่ฟังเค้า ไม่ได้เจอผู้บริหารจริงๆ
– มองเวียดนามจะคล้ายๆเกาหลี เริ่มเห็นประวัติศาสตร์เวียดนาม เป็นน้องๆจีนด้วย
– ถ้าเวียดยามเข้าไป มีปัญหาภาษี…ก็ปล่อยให้เงินโตไป
.
– พยายามออกจากไทยให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ที่ไหนดี แต่รู้ที่ไหนไม่ดี …..มองภาพใหญ่ 10 ปีที่ผ่านมา ไทยโตปีละ 1.9% โดน COVID-19 ด้วย อนาคตจะฟื้นไหม จะกลับไป 4-5% ไหม
– GDP จะโตก็ควรมาจากหลายๆด้าน การท่องเที่ยวโตดีก็ใช่ แต่ด้านอื่นๆอาจไม่ได้ฟื้นมาก แถมประชากรไม่เพิ่ม คนลดลง รายได้หาย
– มองว่า P x Q ไม่ไป มองโตยาก แต่ก็ยังมีไทยอยู่ ถ้าเงินในเมืองนอกขายออกมาไม่ได้ แต่ในไทยก็ค่อยๆขายออกมา ขาบออกเร็วไป หุ้นตก XD
– ถ้าไม่เสียภาษีทั้งเมกา และจีนก็ดู DR และกองทุน อาจกระจาย DR หุ้นเทค อย่าง MEGA10 เป็น Semi-active
==========
#Portคุณอัพ
– ปัจจุบัน สหรัฐ 70% ไทย 25% จีน 4.5% อื่นๆ 0.5% อนาคตมอง สหรัฐฯลงมา 50% ไทย 35% จีน 10% อื่นๆ 5% (เวียดนาม ยุโรป)
– เมกาได้กำไรเยอะมาก ทำให้ที่ผ่านมาไม่ลบเลย มีแต่บวกมากน้อยใน 10 ปีที่ผ่านมา
– เลือกหุ้นตัวที่ใช้งานอยู่แล้ว ใกล้ตัว Google Microsoft เวลาวิเคราะห์จะมองว่าหุ้นเหล่านี้ทำรายได้จากทั่วโลกไม่ใช่แค่ US
– จีนมีน้อย ลง Mega10-China ตอนนี้ฟื้นๆมาแล้ว
– เวียดนามผ่านกองทุน Diamond
.
– ในอนาคต มองว่าไทยปรับลงมาถูกมากขึ้น เป็น Cash Flow เป็นผู้ชนะที่แท้จริงในอุตสาหกรรมนั้น แบบ Hells Blue boy เขียนงี้ป่ะ??
– เช่น BH พยายามมองหุ้นไทยที่มีแบรนด์ ทำกำไรได้เรื่อยๆ ราคาต่ำ
– หุ้นจีนขึ้นมาแล้ว ก็จะชะลอลง
.
– การกลับมาหุ้นไทย ต้องเป็นผู้นำมี CF มองว่า ราคาลงมามาก Valuation น่าสนใจ เรามี passion ดูกันนะ คัดเลือกเป็นตัวๆ เลือกอุตสาหกรรมที่ไม่ถดถอยจากประชากรน้อยลง สอดคล้องกับท่องเที่ยว Market Share กินขาด
– เช่น CPALL นำไอเดียนี้ไปหาตัวที่กินขาด
.
พักก่อน รอต่อ Part 3
#FunManager
Morningstar มีทำ Graphic สรุปเรื่อง Moat ของธุรกิจไว้ค่อนข้างละเอียดเลยครับ ผมสรุปเนื้อหาไว้ให้นะครับ มีใส่ความเห็นและประสบการณ์ลงทุนที่ผมเจอไปบ้าง คิดว่าเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆในเพจครับ
Moat คืออะไร? ถ้าเรียกเป็นภาษาไทยคือ “ป้อมประการ” ทางธุรกิจที่เอาไว้ป้องกันคู่แข่งเข้ามาตีตลาดของบริษัท ยิ่งป้อมประการใหญ่และสูงเท่าไหร่ คู่แข่งยิ่งเข้ามาตีตลาดยากขึ้น หรือตีไม่ได้ ทำให้ในธุรกิจของบริษัทปราศจากคู่แข่งมาแข่งขัน หรือมีมาแข่งขันก็ส่งผลกระทบไม่มาก ทำให้ในระยะยาวบริษัทที่ธุรกิจดี และมี Moat สามารถขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้ ส่งผลให้เกิดการเติบโตระยะยาวในเชิงของรายได้และกำไร ส่งผลให้การลงทุนในบริษัท/หุ้น นั้นๆมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องครับ
Morningstar แบ่งบริษัทออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ครับ คือ
1. บริษัทที่ไม่มี Moat เลย เปรียบเหมือนบ้านที่ไม่มีรั้ว โล่งๆ ใครอยากเข้ามาในบริเวณบ้านเมื่อไหร่ก็ได้
2. บริษัทที่มี Moat แต่ไม่แข็งแกร่งมากนัก Narrow Moat (นึกภาพกำแพงสูง 3-6 เมตร แบบกำแพงหมู่บ้านจัดสรร)
3. บริษัทที่มี Moat ที่แข็งแกร่ง Wide Moat (นึกภาพกำแพงสูงๆอารมณ์กำแพงเมืองจีน มีคูน้ำล้อมรอบ ไม่พอมีจระเข้อยู่ในน้ำด้วย)
การที่บริษัทจะมี Narrow Moat หรือ Wide Moat Morningstar เขาจะใช้เกณฑ์อยู่ 2 อย่างเป็นตัวตัดสิน
1. โอกาสที่บริษัทจะทำผลตอบแทนในอนาคตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยวัดด้วย Return on Capital
2. มี Competitive Edge หรือ Unfair Advantage บางอย่างที่ทำให้การทำผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเนี่ยยังคงอยู่ได้ต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้ธุรกิจได้เปรียบมักจะมีหลายอย่างเช่น ผู้บริหารที่ดี, ขนาดของธุรกิจ, การมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูง, เทคโนโลยีบางอย่าง แต่บางครั้งก็ไม่ได้สร้างความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง (Structural Advantage) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้เป็นระยะเวลายาวนาน
เลยทำให้นักลงทุนคิดว่าความได้เปรียบอันนั้นคือ Moat แล้วก็ซื้อธุรกิจนั้นในราคาที่สูงเกินไป จนตอนหลังค่อยมารู้ว่ามันไม่ใช่
แล้วอะไรล่ะคือสิ่งที่สร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน Moat ที่แข็งแกร่ง?
Morningstar เขายกตัวอย่างไว้ 5 อย่างด้วยกัน
1. Intangible Assets เช่นแ บรนด์ อะไรทำให้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง แตกต่างจากสินค้าที่มียี่ห้อแต่ไม่ได้มีแบรนด์?
ยกตัวอย่างเช่น Coke ที่แทบไม่ได้ทำอะไร นอกจากขายน้ำใส่น้ำตาล แต่ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูง ส่งผลให้ Coke สามารถสร้างผลตอบแทนระดับสูงได้ แบบนี้ถือว่ามี Wide Moat
ต่างกับ Dr. Pepper Snapple ที่มีแบรนด์เหมือน แต่สินค้าไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่สูงเท่ากับ Coke และไม่มี Scale ที่สามารถเติบโตไปทั่วโลกได้แบบ Coke แบบนี้ถือว่ามี Narrow Moat
และยิ่งแตกต่างกับ United Continental ที่เป็นสายการบิน ที่มีแบรนด์ที่ทุกคนรู้จัก แต่ไม่สามารถสร้างความแตกต่าง และ Pricing Power ได้
ดังนั้นแบรนด์ที่ถือว่าเป็น Moat ได้ต้องเป็นแบรนด์ที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย สามารถเติบโตได้มาก และลูกค้ายอมจ่าย Premium
ถ้าเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าไม่จ่าย Premium แบบนี้ถือว่ามีแบรนด์ แต่ไม่มี Moat
2. Switching Costs ยิ่งสูงยิ่งดี อันนี้เขายกตัวอย่างเป็น Oracle มี Wide Moat จากการทำธุรกิจ Database Software ซึ่งโดยปกติแล้ว Database Software จะถือเป็น Software กลุ่มที่มี Switching Cost สูงมาก เพราะไม่มีใครเปลี่ยน Database กันบ่อยๆ (10-20 ทีเปลี่ยนครั้งนึง ถ้ามีการเปลี่ยน) การเปลี่ยนครั้งนึงจะใช้ Resource สูงมาก เพราะต้องปรับ Software ที่เหลือใหม่ทั้งระบบ เพราะ Software ทุกตัวมีการเชื่อมต่อกับ Database เกือบหมด
รองลงมาคือ Narrow Moat เช่น Salesforce อันนี้เขาให้เหตุผลว่า Switching cost ต่ำกว่า Oracle เพราะเป็น Sales & Marketing software แต่หลังๆ Salesforce เริ่มหันมาทำ App Ecocsystem เพิ่ม และมีการตีตลาดเข้า Software ประเภทอื่นๆมากขึ้น ทำให้ Moat สูงขึ้นได้ครับ แต่ถ้าเทียบก็ถือว่ายังต่ำกว่า Database Software (แต่ตอนนี้ Database Software เองก็มีการถูก Disrupt จาก Trend ใหม่ๆเช่นกัน)
สุดท้ายเขายกตัวอย่างธุรกิจที่ไม่มี Switching Cost เลยเช่น Macy’s ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า ที่คนจะไปซื้อของที่ไหนก็ได้ ดังนั้นเราจะเห็นว่าห้างสรรพสินค้าแทบทุกที่จะพยายามสร้าง Loyalty program เช่นการสะสม Point เพื่อเพิ่ม Switching cost ให้ลูกค้าครับ
3. Network Effect อันนี้เป็นผลที่ได้รับจากการมี Network ที่แข็งแกร่ง Wide Moat โดย Morningstar ยกตัวอย่างเป็น Ebay (ยุคนี้คงต้อง Amazon สินะ) Ebay ไม่ได้สร้าง Value อะไรให้กับสินค้าและบริการของบริษัท คนสร้าง Value คือคนที่เอาสินค้ามาขายในเว็บ และคนที่มาซื้อสินค้าต่างหาก ยิ่งมีคนขายเยอะ คนซื้อยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น ยิ่งมีคนซื้อเยอะ คนขายยิ่งได้ประโยชน์เพราะขายของได้มากขึ้น Ebay เองก็ได้ประโยชน์เช่นกันจากการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียม
การมี Network Effect จะทำให้คู่แข่งที่ต้องการมาแข่งขันกับ Ebay ต้องหาจำนวนพ่อค้า และคนซื้อให้ได้เยอะๆถึงจะขึ้นมาแข่งกับ Ebay ได้ ปัจจุบันแม้ Ebay จะไม่ได้เป็นผู้นำตลาดแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ตายซะที
United Health บริษัทประกัน ถือว่ามี Moat แต่ไมได้สูงมาก เป็น Narrow Moat จาก Network Effect ที่ได้ประโยชน์จากจำนวนสมาชิก และ Insurance Provider Network สามารถสร้าง Return ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้
สุดท้าย Deutsche Telekom มี Network Effect เหมือนกัน อันนี้ Classic คือจำนวนผู้ใช้มือถือ ที่ยิ่งมีมากยิ่งมี Value สูงขึ้น แต่ต้องบอกว่าในมุมนี้คน Provide Value คือ Deutsche Telekom ที่เป็นคน Provide Network ให้ลูกค้า ตามทฤษฎีก็ต้องถือว่ามี Network Effect แต่ไม่ได้เป็น Full Multiple side Network Effect แบบ New Theory และสินค้าและบริการเป็น Commodity ประมาณนึง
สุดท้ายคล้ายๆกับแบรนด์คือต่อให้มี Network Effect ที่เติบโต แต่ถ้าสินค้าและบริการของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นแบบ Pipeline หรือ Platform ถ้าไม่สามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวได้ก็ไม่ถือเป็น Network Effect ที่แข็งแกร่ง
4. Cost Advantage อันนี้ Morningstar ยกตัวอย่างเป็น UPS ซึ่งมี Cost Advantage สูงสุดในสมัยก่อน มีต้นทุนการขนส่งที่ถูกที่สุด และสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ต่อเนื่อง ตอนนั้นถือว่า UPS มี Wide Moat จาก Cost Advantage ที่แข็งแกร่งมาก แต่อย่างที่เรารู้กัน
ปัจจุบัน Business Model เปลี่ยนไป ธุรกิจ Logistic กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Commerce ภาพการแข่งขันและการดำเนินงานเปลี่ยน ถ้าปรับตัวไม่ทัน ต่อให้มี Moat แข็งแกร่งแค่ไหนก็แตกได้ไม่ยาก (โดยเฉพาะถ้าเจอคู่แข่งที่เก่งๆมากๆ)
รองจาก UPS คือ FedEx ที่ถือว่ามี Cost Advantage ในมุม Air Express แต่ไม่ได้เปรียบในเชิง Last miles delivery ที่ UPS มี Cost Advantage มากกว่า
สุดท้าย No Moat คือ Alcoa บริษัทผลิตอลูมิเนียม ที่ต่อให้มี Cost Advantage แค่ไหน บริษัทก็ไม่สามารถสร้าง Return ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้จากการที่อุตสาหกรรม Oversupply และเป็นสินค้าประเภท Commodity
5. Efficient Scale อันนี้คือการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูง จากการเป็นบริษัทไม่กี่บริษัทในอุตสาหกรรมที่ Dominate การดำเนินงาน (ซึ่ง Cost Advantage ถือเป็นหนึ่งในผลของอันนี้) อารมณ์จะคล้ายๆพวกธุรกิจ Monopoly Duopoly ต่างๆที่มีแค่ไม่กี่เจ้าในตลาด
อันนี้ Wide Moat คือ Canadian National Railway ซึ่งเป็นธุรกิจรางรถไฟที่มี Barrier to Entry สูงมากๆ ถ้าจะเข้าไปแข่งด้วยต้องมีรางรถไฟทั่วประเทศไรงี้ (มีเมืองเดียวหรือสองเมืองไม่มีทางแข่งขันได้)
ตัวที่เป็น Narrow Moat คือ Southern Company เป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เป็นรายใหญ่ในภูมิภาคของตนเอง ข้อเสียของอันนี้คือสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแบบรางรถไฟไม่ได้เพราะถูกรัฐบาลควบคุมค่าไฟ
สุดท้าย Aeroports de Paris หุ้นสนามบิน Paris มี Efficient scale เหมือนกันแต่สร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยไม่ได้เลย เพราะถูกรัฐบาลคุม อันนี้ถือว่ามี Efficient scale แต่ไม่ได้เป็น Moats ครับ ต่างกับ AOT ที่รัฐอาจจะไม่ได้คุมเท่าไหร่ เลยสร้าง Above Average return รัวๆ ธุรกิจเดียวกัน Efficient scale เหมือนกัน แต่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
จะเห็นว่าประเด็นหลักๆคือ ปัจจัยที่สร้าง Moat จะต้องสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว และสามารถเติบโตได้ด้วยถึงจะเรียกว่าเป็น Wide Moat แต่ถ้ามีปัจจัยที่ถูกต้องแต่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ อันนั้นไม่ถือว่าเป็น Moat ครับ
บทความอันนี้ของ Morningstar เขียนขึ้นมาในปี 2014 จริงๆก็ยังไม่ถือว่านานมาก เพราะพึ่ง 10 ปี แต่เราจะเห็นว่าธุรกิจบางตัวในนี้แทบจะ Moat พังพินาศไปแล้ว ดังนั้นนอกจากการทำความเข้าใจประเด็นต่างๆของการเกิด Moat แล้วอย่าลืมดูเรื่องการแข่งขัน พัฒนาการของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแข่งขันและลดผลตอบแทนของธุรกิจจากที่เคยทำได้เหนือค่าเฉลี่ย กลายเป็นเท่ากับค่าเฉลี่ย หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก็ได้ สุดท้าย Moat ที่เราคิดว่าเป็น Moat อาจไม่ได้ยังยืนอย่างที่คิดครับ
#สรุปลงทุนแมน Conference Summer 2024 (Part 1)
เปิดงานโดย ลงทุนแมน คุณอัพ
– หุ้นสหรัฐฯ ตัวใหญ่
– เทคโนโลยีเติบโต Exponential ในช่วง 100 ปี
– เรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่ AI ฉลาดกว่ามนุษย์ และบางจุด AI อาจทำสิ่งท่เราไม่เข้าใจ เรียกว่า Singularity
– 10 อันดับของหุ้นไทยเป็นธุรกิจผูกขาด มีสัมปทาน
==========
Country SWOT analysis
ลงทุนประเทศไหนมีอนาคต
#USA
K.หลิน วีระพงษ์ ธัม
– ถ้าจะ success ในการลงทุนในแต่ละประเทศต้องมี passion นะ
– US ก่อตั้งขึ้นมา เวลามีปัญหาต่างๆ จะมีคนมาแก้ปัญหาเสมอ เพราะเป็นทุนนิยมเสรี
– ความสำคัญคือ ผู้ก่อตั้งสร้างมาแข็งแกร่งแค่ไหน
– ผู้นำอุตสาหกรรมแต่ละยุค finance + real estate / transport / energy material
– ถ้าจะหาอะไรที่ Advance มากๆ ดูเรื่องการสื่อสาร โดยเฉพาะพวกนาโน
– ให้คะแนนเต็มกับ US
.
K.มี่ ทิวา
– US เก่งจริงๆ วาง Structure
– Warren Buffett >> Don’t ber against america
– เมกาวางรากฐานมาดี และเป็นต้นกำเนิดหลายๆอย่าง แอพต่างๆ อินเตอร์เน็ต
– ระยะไกลๆมองว่ายังเป็นผู้นำ มีวิธีกีดกันจีนออกไปได้
– ในภาพตลาดทุน เมกาเก่งในการควบคุม Manipulate และหลายประเทศต้องกันสำรอง USD ด้วย
– สินค้าอันดับ 1 ของ US คือ USD ดังนั้นปัจจัยสำคัญคือค่าเงิน ในอนาคตไม่แน่ ล้มแชมป์ได้
– มองดัชนีตลาดหุ้นเมกา 4/5 หัก 1 แต้มเพราะมีการจัดการความเสี่ยงที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
Valuatiin 2/5 แพงไว้ก่อน
.
K.อัพ ลงทุนแมน
1. USD เป็นทุนสำรองหลายประเทศ ต่างจาก US ที่ไม่ต้องมี มีระบบการเงินระบบอำนาจที่แข็งแกร่ง
2. ประชากร US ยังเพิ่มต่างจากประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว มาจากเกิดโดยธรรมชาติ และ อพยพเข้าไป เช่ย MSFT มี Ceo เป็น india
เปิดโอกาสให้ GDP โดยรวมขยายตัว (ไม่ใช่แค่ GDP/capita)
3. US กำลังขายของให้คนทั่วโลก ดูว่าแต่ละบริษัทขายของให้ใครภูมิภาคไฟนมากกว่ากัน
จาก 3 ข้อนี้มองว่า US ดีสุด แต่หุ้นก็ขึ้นมาแล้ว
คุณภาพ 5/5 แต่ราคาแพง 3/5
===========
#China
K.หลิน
– ทุนนิยมกงสี จีนเก่งด้านการค้า และ
– จีนสร้างเส้นทางสายไหม แลละจีนผลิตเก่ง
– 200 ปีก่อนส่งออก ชา ผ้าไหม และส่งไปอังกฤษ ต้องการเงินเป็นหลัก
– มองคุณภาพ 3/5 ราคา 5/5 ถูกจริง
– ควรเข้าไปอ่าน QQ.com ทุกวันนะ
.
K.มี่
– จีนมีความคิดจะเป็นผู้ประกอบการ คิดใหญ่ไว้ก่อน มีภาพของ Copy and Development มาก
– จีนพยายามแกะว่า สินค้าไหนไม่จดลิขสิทธิ์
– เติ้งเสี่ยวผิงพัฒนาจีนมาไกลมาก
– จีนเคยมีสงครามหลังยากนั้นเร่งมีลูก One Child Policy ทำให้คนเพิ่มช้าลง
– มอง GDP per capita น่าจะเพิ่มได้อีก
– คุณภาพ 3/5 ราคา 5/5 ราคาถูกจริง
.
K.อัพ ลงทุนแมน
– Valuation ถูกมาก CF ดี แต่เราไม่รู้จัก ขี้นกัวบริษัทนั้นๆถูกไหม
– แต่การปครองไม่ยังยืน
– ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มันดี
– จีน CD เก่ง หุ้นบางตัง Cash เยอะมาก จ่ายปันผลไว้ดีเลย
– คุณภาพ 3 เวลา 5
=================
#Vietnam
K.หลิน
– สงครามต่างๆ เวียดนามชนะสหรัฐฯ และมองโกล
– 1986 มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
– เวียดนามแบ่งแยกการดูแล ดีขึ้น
– คุณภาพ 3/5 ราคา 5/5
.
K.มี่
– เวียดนามตามหลังไทย แต่มีการเปิดให้แข่งขันเยอะ
– เวียดนามมีปลาชุม แต่ดูความลึกของน่านน้ำด้วย ระวังเรื่องต่างๆด้วย เช่น Fraud
– แรงหนุนผลักดันตลาดหุ้น Frontier>>EM
– คุณภาพ 4/5 ราคา 3/5
.
K.อัพ
– บริษัท Top คุณภาพสู้เมกาไม่ได้
– เหมือนไทย 30 ปีก่อน และคาดการณ์ผู้ชนะได้ยาก
– ระวังเรื่อง Fraud9
– คุณภาพ 2/5 ราคา 3/5
– เวียดนามยังไม่ผ่านวิกฤต มีหนี้/ทุนมาก รู้ได้ไงว่าอสังหาเวียดนามจะอยู่รอด 30 ปี
– มองเป็นเกมโหมดยาก ให้ผลตอบแทนสูง
========
#Thailand
K.หลิน
– คนไทยเข้าใจภาษาไทยได้ดีที่สุด เป็นจุดอข็ขอนักลงทุนไทย
– จุดแข็งของไทย คือ การอ่อนน้อม ความเป็นคนไทย ประเพณี เรื่องต่างๆ
– ไทยก็ไม่ใช่จะไม่มีอุตสาหกรรมไทยในอนาคต
– คุณภาพ 4/5 ราคา 4/5
– สำคัญที่การหาของเข้าพอร์ต ขึ้นกับว่าเรา Deep แค่ไฟน
.
K.มี่
– ไทยคุณภาพสูง จับต้องยาก
– ปัญหาของไทยไม่เหมือนจีนที่คนลดลง คนไทยคนลดลง แต่มีคนเข้ามาอยู่ ต้อนรับต่างชาติ
– มองว่าโลกต้องการประเทศแบบไทยเรื่อยๆ
– AI โตมา คนตกงาน ฆ่าตัวตาย
– Character ในไทยมัน Balance ชีวิต
– คุณภาพ 3/5 ราคา 3/5
– 10 ปี ไม่ไปไหนเลย อาจจะเพราะผู้นำ ,ต่ตอนนี้รอดูผู้นำใหม่ จะสร้างโอกาสการเติบโตได้มากแค่ไหน
– การเอาของใต้ดินขึ้นมาบนดิน…มองว่า ถ้าประเทศที่ดูไม่ดี พลิกมาดี จะน่าสนใจมาก
.
K.อัพ
– ไทยมีสินค้าในประเทศที่ยังโตได้เรื่อยๆ และอาจจะมองข้ามไป
– เรารู้จักในหุ้นไทยแต่ละตัวอยู่แล้ว เป็นท่าง่ายมากกว่าไปเปิดหุ้นต่างชาติดู
– ไทยไม่ได้แย่ แต่ต้องคัดเลือกด้วยองค์ความรู้ยองตัวเองที่ได้เปรียบ
– คุณภาพ 3/5 ราคา 4/5
========
K.หลิน
– เลือกประเทศที่ Passion แล้วแต่ชอบ
– ถ้าจะลงทุนแล้วเปลี่ยนชีวิต แนะนำประเทศใกล้ๆ จีน อินโด ไม่มีการต่อสู้รุนแรง ไม่สู้เลือดสาดแบบเวียดนาม
– ฟิลิปปินส์เหงาสุดๆ Valuation
– อินเดียลงตรงไม่ได้ต้องกองทุน
.
K.มี่
– ชอบอินโด ลงทุนง่าย กินอิ่ม นอนหลับ
– อินโดเฟรนด์ลี่ มีสถานที่เที่ยวที่ดี สินค้าไทยส่งออกไปขาย
– แต่เวียดนามจีน แป๊บเดียว มีคู่แข่งใหม่
พักก่อนรออ่าน Part 2
#FunManager
ทำการบ้านหุ้น 1 ตัว ควรรู้อะไรบ้าง (In brief)
ผมคิดว่าปัญหาหนึ่งที่นักลงทุนหลายคนเจอ ทั้งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนหรือลงทุนมาแต่ยังไม่นานมากเจอ คือการที่เราไม่มี Checklist ในใจว่าหากศึกษาหุ้นหนึ่งตัวควรรู้อะไรบ้าง ผมจึงลองไล่เรียงหัวข้อสำคัญที่เราควรรู้จากประสบการณ์ส่วนตัว เผื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ครับ
– ทำธุรกิจอะไร ขายสินค้า/บริการแบบไหน
– โครงสร้างต้นทุนเป็นอย่างไร มีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน
– ลูกค้าคือใคร มีจำนวนมากหรือน้อยราย
– การซื้อซ้ำมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
– Market size มีขนาดเท่าไหร่ และมีทิศทางเป็นอย่างไรในอนาคต
– Market share ของบริษัท และคู่แข่งสำคัญอยู่ที่เท่าไหร่
– ลักษณะของผู้บริหารเป็นอย่างไร และมี Track record ที่เชื่อถือได้หรือไม่
– แผนการเติบโตของบริษัทเป็นอย่างไร และความเป็นไปได้มีมากน้อยแค่ไหน
– Key factor และตัวเลขสำคัญคืออะไร มีแหล่งข้อมูลที่สามารถ Track ได้หรือไม่
– อยู่ Stage ไหนของ Business cycle
– วิเคราะห์ภาพการแข่งขัน ตอบให้ได้ว่าบริษัทแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งอย่างไร หรือ ณ ปัจจุบันยังสู้ไม่ได้ แต่กำลังพัฒนาอะไรบางอย่าง แล้วในอนาคตมีเหตุให้เชื่อว่าสามารถแข่งได้ ต้องหาคำตอบให้เจอ
– มี Case study ของบริษัทอื่นในอดีตที่มีท่าทางการเติบโตความคล้ายคลึงกับบริษัทที่เราสนใจอยู่หรือไม่
– งบการเงินมีจุดไหนที่มีความผิดแปลกไปจากปกติหรือไม่ เช่น ลูกหนี้การค้าบวมแต่รายได้กลับไม่เพิ่ม เป็นต้น
– ความเสี่ยงหลักคืออะไร
– Normalized NPM หรืออัตรากำไรสุทธิของธุรกิจประเภทนี้เป็นเท่าไหร่ * ข้อนี้เป็น Trick สำคัญที่ผมสังเกตเองจากการอยู่ในตลาดมาระยะเวลาหนึ่ง เพื่อนๆ ที่ไม่เข้าใจผมอยากชวนให้ลองดูหุ้นในตลาดให้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเดียวกัน ผมคิดว่าจะเห็นภาพมากขึ้นครับ
– Valuation ตรงนี้ตอบรับอะไรไปแล้วบ้าง Upside เมื่อเทียบกับ Downside เป็นอย่างไร
หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
#MoneyChamp
MGI ไม่ใช่ธุรกิจPlatform
ถ้าเทียบให้ใกล้เคียง MGI คือ ธุรกิจ Marketing เป็นรูปแบบ MKT ที่หลากหลาย บ้างเป็น Product MKT บ้างเป็น MEDIA MKT
ถ้าบอกว่ามันเป็น PLATFORM เทียบให้เห็นภาพก็เหมือน ร้านกาแฟที่เน้น Landmark มากกว่าขายกาแฟ แล้วบอกว่าตัวเองเป็นร้าน กาแฟ พอคนมาถ่ายรูปเยอะๆ เจ้าของร้านก็บอกว่า เราจะเป็นพื้นที่ขายของที่มากกว่าแค่กาแฟ ประเด็นคือ ผู้ซื้อไม่สนสิ่งที่MGIขายเลย มันไม่มีความใกล้เคียงที่จะเป็น Platform เลย ตรงนี้สำคัญมาก
ถ้าบอกว่าเป็น Platform มันจะมี Value แบบหนึง
ถ้าบอกว่าเป็น MKT มันจะมีValue อีกแบบ
Platform หัวใจของมันคือ เป็นสถานที่ ให้ คน2ฝ่ายมาเจอกัน แล้วตัวเองบริหารจัดการเรื่องต่างๆ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายการขาย คุณเคยเห็น shopee มาช่วยใครขายของไหม ตลาดนัดพี่ญา ยังมีความเป็นPlatformมากกว่าMGI ด้วยซ้ำ เต็มที่ Platform อาจช่วยให้การขายเกิดได้คล่องตัวขึ้น แต่ไม่มีทางเข้าไปช่วยทำให้การขายเกิดขึ้น
คราวนี้ พอบอกว่ามันคือ Platform มันคือการบอกว่า มูลค่าของมันคือ 20,000-30,000 ล้านแน่ๆในอนาคต แต่ถ้าบอกว่า มันเป็นแค่Mkt มันอาจจะมีมูลค่าแค่2,000-3,000 ล้าน เท่านั้นเอง
ทำไมทุกคนควรได้อ่าน 56-1 สักครั้งในชีวิต…? by Solo Investor
ชีวิตของคนเรา หลายคนมีความฝัน อยากออกมาสร้างธุรกิจ อยากมีกิจการส่วนตัว เพื่อสร้างรายได้ใหม่ก็ดี เพื่อทำตาม Passion ของตัวเองก็ดี หรือเพื่อพัฒนา ต่อยอดกิจการของครอบครัวตัวเองก็ดี
แน่นอนว่าการจะไปประกอบกิจการไม่ว่าจะเป็นกิจการประเภทไหนก็ตาม สิ่งแรกที่เราจะต้องทำเลยคือ “หาองค์ความรู้” เพื่อที่จะไปประกอบธุรกิจได้อย่างราบรื่นเหมาะสม
ซึ่งคนส่วนใหญ่และหนังสือส่วนมาก มักให้ความสนใจอยู่ 1-2 เรื่องหลัก คือ กระบวนการผลิตและการตลาด(งานขาย)
ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และควรทำเพื่อให้ตัวเองเข้าใจธุรกิจของตัวเองได้และสามารถขายสินค้าของตัวเองได้ในอนาคต
แต่มีน้อยคนที่จะทราบว่า
– มีคนที่บอกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นยันจบ
– มีคนบอกแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สัดส่วนของลูกค้าแต่ละประเภท
– มีคนที่รวบรวมภาพของอุตสาหกรรมและคู่แข่งไว้อย่างละเอียด
– มีคนสรุปความเสี่ยงที่มีผลต่อธุรกิจไว้อย่างรอบด้าน
– มีคนที่ทำตัวเลขเป็นมาตรฐาน เพื่อให้เราใช้ชี้วัดธุรกิจประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณการขาย ปริมาณสาขา โครงสร้างต้นทุน โครงสร้างค่าบริหารจัดการ โครงสร้างของทุน
– มีคนบอกโครงสร้างบริษัทในแต่ละตำแหน่งหลัก ที่สามารถคัดลอกมาได้สำหรับสร้างองค์กร
– รายละเอียดอื่นๆอีกมากมายในธุรกิจ ที่บรรยายทั้งกระทู้นี้คงไม่หมด
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นหลายคนคงคิดว่า “เสียเงินแน่นอน” หรือ “อยู่ๆใครจะเสียเวลามาบอกโครงสร้างธุรกิจ จะมาวิเคราะห์ให้เราฟรีๆ”
แต่เชื่อแอด Solo Investor เถอะครับว่าทั้งหมด คือ “ของฟรี” ที่เปิดเผยกันอยู่ทุกเวลา…ที่เราเรียกกันว่า “56-1”
ไล่ตั้งแต่ธุรกิจเล็กสุดไปยังใหญ่สุดในประเทศ
ไม่ว่าคุณจะทำ “ร้านกาแฟ”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ร้านอาหาร”
ไม่ว่าคุณจะทำ “งาน Event”
ไม่ว่าคุณจะทำ “โกดังให้เช่า”
ไม่ว่าคุณจะทำ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ร้านขายปลีกสินค้า IT”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ผลิตรายการโทรทัศน์”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ร้านปล่อยเงินกู้”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ร้านทอง”
ไม่ว่าคุณจะทำ “อาหารสัตว์”
ไม่ว่าคุณจะทำ “บริษัทขนส่ง”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ปั้มน้ำมัน”
ไม่ว่าคุณจะทำ “บริษัท It Solution”
ไม่ว่าคุณจะทำ “โรงงานผลิตเครื่องดื่ม”
ไม่ว่าคุณจะทำ “โรงแรม”
ไม่ว่าคุณจะทำ “รับเหมาก่อสร้าง”
ไม่ว่าคุณจะทำ “รถยนต์ให้เช่า”
ไม่ว่าคุณจะทำ “โรงเรียนานาชาติ”
ไม่ว่าคุณจะทำ “ธุรกิจประกัน”
ไม่ว่าคุณจะทำ “เครื่องสำอางค์”
ไม่ว่าคุณจะทำ “โรงงานผลิตสิค้าทุกรูปแบบ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ ฝาขวด เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์”
…ไล่ไปเกือบ 800 ธุรกิจก็ไม่หมดกระทู้นี้
ทำไม? ทุกคนควรได้อ่าน 56-1 สักครั้งในชีวิต
นอกจากคุณจะได้ไอเดียในการวางโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างต้นทุน หาช่องว่างทางการตลาด การป้องกันความเสี่ยง และอีกหลายอย่างที่จะได้มาแบบฟรีๆแล้ว
และที่สำคัญ บริษัทหลายแห่งเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ของธุรกิจที่คุณกำลังจะเข้าไปร่วมต่อสู้ แย่งชิงตลาด คุณยังสามารถเอา Balance sheet ทุกบรรทัดมาตัวชี้วัดของธุรกิจของคุณเองได้อย่างดี…
– กาแฟต่อสาขาควรได้กี่แก้ว
– ต้นทุนพนักงานต่อสาขาควรเท่าไหร่
– รถพ่วง 30 หัว ต้องสร้างรายได้เท่าไหร่ต่อเดือน
– จำนวนพนักงาน เทียบรายได้ต่อปีเฉลี่ย คุ้มค่าไหม มากน้อยไปหรือไม่
– โครงสร้างต้นทุน ขายของไป 100 กำไรขั้นต้นแค่ 40 เทียบเจ้าตลาดแล้วยังห่างแค่ไหน…
– สัดส่วนเงินกู้ที่เหมาะสมควรต้องเท่าไหร่
– โกดังช่วงนี้ เจ้าตลาดนิยมไปลงทุนสร้างแถวไหน
– ปั้มเรามีปริมาณการขายน้ำมันสูงหรือน้อยกว่าตลาด
– กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้ เป็นยังไง
– โครงสร้างและประเภทสินค้า ซ้ำกับเราหรือไม่
– คู่แข่งในตลาดมีใครบ้าง จะได้ไปหาข้อดีข้อด้อยเพิ่มเติม
– ทำโรงงานผลิตขนาดใกล้กัน ควรมีรายได้ ต้นทุนการผลิต และกำไรแค่ไหน
– Utilization Rate ของโรงงานเรา เทียบเจ้าใหญ่ใกล้เคียงกันไหม
– ทำร้านขายอุปกรณ์ IT มี Stock หมุนเร็วแค่ไหน
– ทำร้านอาหารขนมหวานควรได้ Average Rev./Bill เท่าไหร่
– ทำโกดังให้เช่า อัตราการเช่า ค่าเช่าเฉลี่ยเท่าไหร่
– โครงสร้างผังองค์กรของเรา เทียบกับเจ้าใหญ่ควรวางแบบไหน
– ลูกหนี้การค้า-เจ้าหนี้การค้า ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เหมือนหรือต่างกับเจ้าใหญ่
– ทำรับเหมาก่อสร้าง Scale งานขนาดกลาง เขาใช้คนกี่คน
– ทำร้านอาหาร ควรมีครัวกลางหรือ Outsource
– ยอดจัดเก็บเงินสด เทียบกับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรม เป็นยังไง
– การตั้งสำรองลูกหนี้การค้าที่ค้างนาน 90 วัน++ สอดคล้องกับบริษัทอื่นไหม
– เราอยู่ในธุรกิจ Sunset แต่เบอร์ 1-2-3 ของอุตสาหกรรม เขาแก้เกมส์อย่างไรให้อยู่รอด
และอีกหลายอย่างที่แอดไล่ทั้งวันก็ไม่หมด เรียกได้ว่า “ประโยชน์มีอย่างไม่จำกัด”
ซึ่ง “56-1” ไม่ได้อัพเดทแค่ครั้งเดียว แต่เป็นสิ่งที่ทุกบริษัททำทุกปี และทำให้เราเห็นภาพได้เป็นปัจจุบัน มีพลวัตร ตลอดเวลา
นอกจากประโยชน์ที่ได้ในทางธุรกิจแล้ว ยังมีผลพลอยได้ไปกับการลงทุนที่เราจะเห็นโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างรอบด้านมากกว่าคนทั่วๆไป (ในกรณีที่คุณลงทุนในตลาดหุ้น)
ทุกคนควรได้อ่าน 56-1 สักครั้งในชีวิต…
…เอาเฉพาะบริษัทที่เป็นธุรกิจในฝัน ที่เราอยากเข้าไปทำก็พอ
คุณอาจได้เปิดโลก ได้เห็นมุมต่างๆที่ตัวเราเองในฐานะคนทั่วๆไป หรือในฐานะลูกค้าคาดไม่ถึงครับ :3
ปล.ไว้มีโอกาสแอดจะมายกตัวอย่าง 56-1 ของธุรกิจที่ใกล้กัน มาเทียบกันให้เพื่อนๆ เห็นภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางที่จะนำไปปรับใช้ได้จริงทันทีครับ
#SoloInvestor
เนื่องด้วยวันอาทิตย์ที่ผ่านมาแอดได้มีโอกาสไปงานสัมนาภาคใต้วีไอ
แอดจึงขอสรุปสิ่งที่แอดตกผลึกได้ดังนี้
> การลงทุน เราต้องหาและสร้างกลยุทธ์ของเราขึ้นมาให้เจอ
อย่าเป็นมวยวัด(เพราะมวยวัดมันดังยาก)
> ต้องมีอิสระทางความคิด
> การหาอาจารย์ ต้องหาให้ถูกคน และ เราต้องสามารถทำตามวิธีการของอาจารย์ได้ด้วย อย่าไปเรียนแบบคนเก่งมากๆๆ ให้ลงทุนท่าง่าย บริษัทที่มีรายได้ประจำ มีปันผลรองรับ เอาตัวให้รอดจากตลาดให้ได้ก่อน
> ความอดทน อย่างแรกตอนซื้อหุ้น ต้องมีเหตุผลในการซื้อ
ถ้าผลลัพธ์ไม่ตามเหตุผลที่เราคิดซัก 2-3 ครั้ง เราต้องยอมแพ้ให้เป็น
ยอม cut loss ลดทิฐิ อย่าถั่วหุ้นที่เราคิดผิด
> หุ้นตีแตก(หุ้นดี ราคามีส่วนลด) ลงได้ไม่เกิน 30% ของพอร์ท
> การลงทุนต้องมองไปข้างหน้า จะมีโอกาสได้กำไรเยอะ
และสำคัญมากคือต้องแยกแยะให้ได้ว่าข้อมูลที่ฟังมาจริงหรือไม่จริง จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ปล. เพิ่มเติมเรื่องการเลี้ยงลูก(คำแนะนำจากรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ม.อ.) คือ ภาษาอังกฤษสำคัญ กับ ทักษะการนำเสนอ(ต้องมีเวทีให้ลูกฝึกฝน)
สัมมนาวีไอภาคใต้ ครั้งที่58 โดย อาจารย์โจ และ ทีมงาน
โดย SeminarKnowledge page
สัมมนาคราวนี้ ถือว่าได้แชร์ แบ่งปัน ความรู้กันอย่างแท้จริง เพราะ มีนักลงทุนหลายท่าน
มาร่วมงาน เช่น พี่ตี้ คุณนุช น้องวัตร น้องเบิ้ม น้องเอก น้องเป้ หมอปิง น้องโต เป็นต้น
และแสดงความคิดเห็น ให้ความรู้กับนักลงทุนมือใหม่อย่างแท้จริง เพราะน้องๆ
หลายคน พึ่งเรียนปีหนึ่งของมอ เอง ก็มาฟังสัมมนาคราวนี้แล้ว ก็เลยมีเนื้อหาส่วนนึงสำหรับ
สอนมือใหม่ ประกอบกับ ต้องการแบ่งเบาการพูดของอาจารย์โจด้วย เนื่องจากเส้นเสียงยัง
ไม่กลับมาเหมือนปกติ ก็เลยช่วยกันให้ความรู้กับเพื่อนนักลงทุนในห้องกัน
แนวทางสำหรับการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ
เป็นคำถามจากมือใหม่ ซึ่ง อาจารย์โจให้ความเห็นว่า ก่อนอื่นต้องหาไอดอล(ไม่ใช่เน็ตไอดอลนะครับ)
ของการลงทุนเสียก่อน เพื่อเป็นแบบอย่างที่จะเลียนแบบ
ถ้าเลือกได้แล้ว แค่copyเขาเท่านั้น ตัวอาจารย์โจเอง ก็เลือกดร นิเวศน์เป็น ไอดอล
แต่สไตล์การลงทุน จะเป็นการสร้างขึ้นมามากกว่า สังเกตว่าแตกต่างจาก ดร นิเวศน์ ที่เน้นหุ้นSuperstock
จากการสังเกตหุ้นที่อาจารย์โจเลือกลงทุน จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีใครสนใจ เช่น ในอดีต บริษํทไทยเรยอน
ซึ่งยุคนั้น อุตสาหกรรมสิ่งทอยังไปได้ แอดมินเองก็เคยศึกษาตัวนี้มาเหมือนกัน สังเกตว่านักลงทุนที่โฟกัสจะมี
หุ้นบริษัทด้วย แต่นักลงทุนทั่วไปจะไม่รู้จักกัน เป็นต้น
อาจารย์แทบจะไม่ซื้อหุ้นตามใครเลย แต่ก็รับฟังข้อมูลจากหลายแหล่งข่าวไทย ( จริงๆถ้าฟังจากหลายสัมมนา
ที่อาจารย์ขึ้นไปพูด จะรู้ว่า แหล่งข่าวนี้ที่หาง่ายๆและใช้ได้ ก็มาจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง)
อาจารย์บอกว่าต้องมีปัจเจกค่อนข้างสูง เราจะไม่ซื้อมั่ว
ชอบ ที่อาจารย์เปรียบเทียบ ว่า มวยวัด ไม่มีทางดัง (เอ คือ อะไรหว่า)
อาจารย์เฉลยว่า เนื่องจากการชกแบบมวยวัด ไม่มีรูปแบบ ชกสะเปะสะปะ เหมือนกับซื้อหุ้นมั่วๆ ดังนั้นมีโอกาสแพ้สูง
อาจารย์โจ โฟกัสหุ้นเล็ก และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จ ผลตอบแทนต่อปีสูงมาก
พี่ตี้ ก็เป็นนักลงทุนวีไอหาดใหญ่ที่พอร์ตโตมาก อาจารย์โจพูดถึงอยู่บ่อยๆ พี่ตี้เป็นคนใจเย็น อธิบาย
นักลงทุนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หลายคนถ้านำไปใช้ก็จะประสบความสำเร็จ เพราะเป็นแนวทางที่เรียบง่าย
พี่ตี้บอกว่า คำถามนี้ฮิตมาก คนถามเยอะ
หลักการการลงทุนสำหรับมือใหม่ คือ
1.เลือกหุ้นที่มียอดขายจากRecurring income มาแบบสม่ำเสมอ
(อาจารย์โจยกตัวอย่างเช่น หุ้นค้าปลีก ซึ่งปกติก็จะมีการขยายสาขาต่อเนื่องทุกปี และยังมีการเติบโตของสาขาเดิมซึ่งเรียกว่าSSSG ด้วย) อันนี้ทำให้เราเห็นกำไรมาแบบสม่ำเสมอ ไม่เหมือนบางธุรกิจ ที่ต้องสร้างยอดขายใหม่ทุกปี ที่เห็นชัด
เช่น งานก่อสร้าง รับเหมา หรือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตลาดให้PEกลุ่มนี้ไม่สูง หรือ ธุรกิจเกมส์ ที่บางปีเกมส์ฮิตกำไรก็ดี แต่พอปีต่อมา เกมส์ใหม่ไม่ฮิตก็กำไรหดหาย)
2.เป็นธุรกิจที่เข้าใจง่าย (แม้แต่เด็กๆก็เข้าใจได้)
3.อย่าเลือกหุ้นเลียนแบบคนเก่งๆ เพราะ เขาเก่งแล้ว ใช้ท่ายากได้ ดังนั้นหุ้นที่เขาเลือกจะต้องอาศัยประสบการณ์สูง
จึงเข้าใจได้ ถ้าเราไปลงทุนตาม เวลาออก เราไม่รู้ว่าเขาออกกันตอนไหน เพราะเราไม่เข้าใจในธุรกิจ
4.ผลประกอบการบริษัทไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก (อันนี้ตัดกลุ่ม Commodityออกไปเลย เพราะผลประกอบการ
แกว่งตัวมาก เช่น หุ้นถุงมือยาง)
5.ปันผลได้สม่ำเสมอ (จะช่วยเรื่องจิตใจเราได้ตอนหุ้นตก)
6.ธุรกิจที่อยู่มานานไม่มีใครอยากมาแข่ง อาจมีmarket shareอันดับหนึ่ง และห่างจากอันดับสองมาก มีกำไรเหมาะสม
หลายคนจะแนะนำให้ศึกษาBusiness Model แต่ไม่เข้าใจว่าขั้นตอนต้องดูอะไรบ้าง
อาจารย์โจเลยมาเฉลยว่า คล้ายๆกับขั้นตอนการชงกาแฟ มีขั้นตอน 1,2,3
Business model จะให้ดู
1.ความสามารถในการแข่งขันเป็นอันดับแรก หลายคนจะพูดว่า มี competitive advantage หรือ Moat
2.ดูสินค้าของบริษัทได้รับความนิยมไหม
3.หลังจากพบว่าสินค้ามีความนิยม ก็ดูงบการเงิน ว่าขายดีแล้วกำไรดีไหม
4.สุดท้าย ก็กำไรดี ปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นไหม (บางบริษัทกำไรดี แต่ไปอยู่ในตัวลูกหนี้เยอะ อาจเปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้)
มาขยายเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ที่บอกว่าสำคัญสุด
1.1 สินค้านั้น ต้องโดดเด่นในสายตาของผู้บริโภค ไม่ใช่ว่า จะไปซื้อซอสหรือซีอิ้วอะไรก็ได้
เป็นสินค้าที่ทุกคนซื้อซ้ำ รายได้มั่นคงแน่นอน
1.2 คู่แข่งเข้ามาแข่งด้วยยาก หรือเรียกว่า Barrier to entry สูง แบรนด์เหล่านี้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคเรียบร้อย
เช่น แบรนด์ Apple มือถือ iphone แทบจะครองโลกแล้ว หุ้นAppleบางครั้งมีmarket cap อันดับหนึ่งของโลก
ซึ่งทำให้ Warren Buffett เข้ามาซื้อหุ้นเมื่อ4-5ปีก่อน ตอนนี้ถือเป็นอันดับหนึ่งของพอร์ต
สำหรับหุ้นที่มีrecurring income เราก็ต้องหมั่นตรวจดูทุกไตรมาส จากงบการเงิน ข่าวสารของคู่แข่งด้วยว่าสามารถ
เพิ่มmarket shareมาเท่ากับหรือแซงหน้าเจ้าตลาดได้ไหม ถ้าทำได้ รายได้recurring incomeอาจไม่เหมือนเดิม
ตัวอย่างบริษัทที่เก่ง ตอนนี้หลายท่านสนใจหุ้นส่งออก เพราะตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว
สินค้าที่ขายดีในประเทศ มีประชากร60กว่าล้านคนชอบใช้ ดังนั้นก็มีโอกาสที่จะไปขายในต่างประเทศ
ที่มีคนถึง8,000ล้านคน ซึ่ง distribution เป็นpartnerที่สำคัญทำให้สินค้าติดตลาดในต่างประเทศ
ถ้าขายได้ดีด้วย ก็สามารถขยายTAMโตต่อไปได้อีก
หรือสินค้าจากต่างประเทศ เช่น MS office 365 ซึ่งเป็นธุรกิจแบบ Subscription คือจ่ายค่าใช้โปรแกรมเป็นรายปี
เมื่อก่อนขายขาด ชุดละหมื่นกว่าบาท ขายยาก พอเปลี่ยนรูปแบบเป็นเช่าใช้รายปี ก็มีคนมาใช้เยอะราคาถูกกว่า10เท่า
ส่วนเนื้อหาอื่น หรือ การลงทุนในต่างประเทศ ไว้มาเล่าให้ฟัง หรือ หาอ่านจากน้องเอก ที่เขียนสรุปก็ได้ครับ
Speech ที่ 1 จาก Poor Charlie’s Almanack
Harvard School Commencement Speech
วันที่ 13 เดือนมิถุนายน ปี 1986
.
ชาร์ลี มังเกอร์ได้รับเชิญให้ไปพูดในงานรับปริญญาปีที่ลูกชายของเขาเรียนจบ ซึ่งมังเกอร์ได้ใช้กรอบความคิดของ จอห์นนี่ คาร์สัน ผู้ที่เคยมากล่าวสุนทรพจน์ก่อนหน้านี้ในปีที่ลูกชายของคาร์สันเรียนจบเช่นเดียวกัน
.
เนื้อความของคาร์สันนั้นเกี่ยวกับการออกใบสั่งยาสามชนิดที่รับรองเลยว่าจะทำให้ชีวิตนี้ย่ำแย่ และไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากว่า ตัวคาร์สันเองยังบอกไม่ได้เลยว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ แต่แน่นอนว่าทั้งสามสิ่งนี้จะทำให้ย่ำแย่ได้แน่นอน
.
1. การนำสารต่างๆ เข้าไปในร่างกายเพื่อทำให้รู้สึกดีชั่วครู่ หรือปรับปรุงการรับรู้ (ในที่นี้คือการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้ลืมความเจ็บช้ำ(resentment) จนติด หรือแม้กระทั่งใช้สารเสพติด)
.
2. ฝึกฝนเป็นคนขี้อิจฉา
.
3. ใช้เวลาอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ
.
ทั้งสามประการที่ว่ามา ไม่ว่าใครก็ต่างเคยพบเจออยู่เป็นระยะในชีวิต และมังเกอร์ยังบอกด้วยว่าขนาด ซามูเอล จอห์นสัน ที่หนังสือชีวประวัติของเขาเขียนแต่เรื่องน่าสนใจ มีชีวิตที่ดีจนคนอ่านอิจฉายังเคยพูดไว้เลยว่า
.
ชีวิตนี้มันก็ยากมากพอแล้วที่จะกลืนน้ำลายโดยไม่มีความรู้สึกของความเศร้าโศกเจอปนอยู่เลย อย่าไปเอาความเศร้ามาใส่ตนซะดีกว่า
.
สิ่งเสพติดทั้งหลายอาจเกิดกับเราคนใดคนหนึ่งได้ทุกเมื่อ สายใยที่ทำให้เราติดกับนั้นบางมากเสียจนเราแทบไม่รู้สึก จนกระทัั่งวันหนึ่งมัยสายไปแล้วที่จะเลิกได้ ทั้งสารเสพติดจากภายนอก ความอิจฉาและความโศกภายใน เป็นตัวช่วยอันดีเยี่ยมที่จะทำให้ชีวิตแย่ลง
.
จากนั้นมังเกอร์เองก็ได้เสนอเพิ่มอีกสี่ข้อคือ
.
4. การเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ กลิ้งกลอก
.
แม้คนๆ หนึ่งจะเริ่มชีวิตด้วยความได้เปรียบทุกประการ เกิดมาในครอบครัวที่ดี ฐานะดี การศึกษาดี หากอยากมีชีวิตที่ย่ำแย่ ก็ควรจะฝึกข้อนี้เอาไว้ เพื่อที่ข้อได้เปรียบทั้งหลายในการทะยานไปข้างหน้านั้น จะได้หมดคุณค่าไป
.
5. ให้เรียนรู้ทุกๆ อย่างจากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ต้องไปฟังใคร หรือเรียนรู้จากใครมาก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วระบบการศึกษาสมัยใหม่นี้ก็ล้างสมองให้เด็กๆ โตไปเป็นแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้าที่คนส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งระดับธุรกิจยังล้มเหลวได้เพราะไม่รู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่น
.
หากเราได้รู้จักกับนักพีชคณิตที่ชื่อ คาร์ล เจคอบ จาโคบี ผู้ชอบพูดว่า “ให้คิดย้อนกลับ ย้อนกลับเสมอ” เพื่อแก้ปัญหาที่ดูยุ่งยาก ก็ทำให้มังเกอร์นึกถึงบุคคลสองคนขึ้นมาคือ
.
ไอแซก นิวตัน ผู้ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้สั่งมาเพื่อให้ชีวิตย่ำแย่ นิวตันเรียนรู้จากผลงานนักคณิตศาสตร์และปรัชญารุ่นก่อนๆ แม้ว่าเริ่มแรกนั้นเขาจะไม่ได้เก่งกาจตั้งแต่แรกเริ่ม และมีปัญหากับวิชาเรขาคณิต แต่ด้วยความตั้งใจศึกษาผลงานผู้มาก่อนกาล ผลงานของนิวตันจึงดึงดูดความสนใจของคนส่วนมากได้ในที่สุด “ผมมองออกไปได้ไกลกว่าคนอื่นนิดหน่อย เป็นเพราะว่าผมยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์” และอีกคนคือ
.
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เพราะในขณะที่ใครๆ ก็พยายามแก้ไขกฎคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแม็กซ์เวล (ยุคหลังนิวตัน) ให้เขากับกฏของนิวตัน ตัวไอน์สไตน์เองกลับทำตรงกันข้าม คิดย้อนกลับ 180 องศา ไปพยายามทำให้กฎของนิวตันเข้ากันได้กับกฎคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแม็กซ์เวลแทน จึงเกิดทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษขึ้น
.
6. เมื่อเจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตจนต้องย้อนกลับไปอยู่ในจุดที่เคยผ่านมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือสาม แล้วกลับยอมแพ้ไม่ลุกขึ้นสู้ต่อ
.
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนมากมาย แต่ไม่ใช่กับ อีพิคเททัส นักปราชญ์ที่เกิดมาเป็นทาส ถูกทำร้ายจนพิการ หลังเจ้านายอนุญาตให้ได้รับการศึกษา เขาจึงได้ทำความรู้จักกับปรัชญา ฟิสิกส์ และ ตรรกศาสตร์ เขามีความเชื่อว่าทุกๆ ชีวิตเกิดมามีความเป็นอิสระในการควบคุมชีวิตของตัวเอง และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ในที่สุดเขาก็ถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาสและเป็นอาจารย์สอนปรัชญา
.
7. เรื่องสุดท้ายสำหรับการมีชีวิตที่ย่ำแย่ คือให้คิดวกวนไปมา คิดแต่เรื่องแย่ๆ ไม่มีชุดความคิดที่ชัดเจน หากเทียบความฉลาดแล้ว ชาร์ลส ดาร์วิน อาจเรียนจบชั้นเรียนฮาร์วาร์ดปีนี้แค่ระดับกลางๆ เท่านั้น แต่ผลงานของดาร์วินเกิดจากการมีชุดความคิดชัดเจน ยึดถือแต่หลักฐานประจักษ์ จากนั้นก็พยายามหาหลักฐานมาล้มล้างทฤษฎีอันเป็นที่รักของตัวเองให้ได้ เพื่อพิสูจน์ความมั่นคงของมัน นี่คือสิ่งที่พวกคุณไม่ควรทำถ้าอยากมีชีวิตแย่ๆ ต่อไป
.
ชีวิตของดาร์วินได้ให้ตัวอย่างเปรียบได้กับเต่าที่พยายามเอาชนะเจ้ากระต่ายในการแข่งวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วย “การมีเป้าหมายสุดยอด” และทำตามเป้าหมายนั้นให้จงได้ เพียงเท่านี้ก็เหมือนกับคนเล่นเกมเอาหางไปแปะลา (Pin the Tail on the donkey) โดยไม่ใส่ผ้าปิดตาแล้ว
.
แถมไอน์สไตน์ก็ยังมีแนวคิดคล้ายกับดาร์วินในเรื่องนี้ด้วย เขากล่าวว่าทฤษฎีที่ประสบความสำเร็จของเขามาจาก “ความสงสัย ความตั้งใจ ความอดทน และการวิพากษ์ความสามารถของตัวเอง”
.
เสริม : มังเกอร์ได้กลับมาให้ความเห็นเกี่ยวกับสุนทรพจน์ครั้งนี้ว่า ผมชื่นชม ร้าน McDonald มากสำหรับการฝึกฝนเด็กมาแล้วเป็นล้านคนให้มีหน้าที่เดียว นั่นคือ เป็นคนน่าเชื่อถือว่าจะโผล่มาทำงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ หากมหาวิทยาลัยชั้นนำสามารถสอนเด็กๆ ได้แค่เพียงเท่านี้ ลองคิดดูสิว่าประเทศจะพัฒนาไปขนาดไหน
.
แปลไว้เมื่อปี 2021
สรุปความรู้งาน Meeting VI ภาคใต้ (3 Mar 24)
เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสัมมนา Meeting VI ภาคใต้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนรวมทั้งความรู้ที่ได้จากการทานข้าวร่วมกับพี่ๆนักลงทุนภาคใต้ในวันเสาร์ที่ 2 Mar 24 เผื่อมีประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นครับ
1.วิธีการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
ในช่วงแรกของชีวิตของพี่บางท่านเช่นพี่นุช พี่ๆบางท่านจะใช้วิธีขยันทำงาน เพื่อรวบรวมเก็บออมเงิน โดยพยายามใช้จ่ายเงินให้ต่ำกว่ารายได้ที่หาได้ เพื่อให้สามารถนำเงินที่ได้สะสมไปเรื่อยๆ จากนั้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เงินลงทุนงอกเงย เมื่อได้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ว่าจะเป็น Capital Gain หรือเงินปันผล ก็พยายามนำเงินนั้นไป Re-invest หรือนำไปลงทุนต่อเพื่อให้ขนาดของเงินลงทุนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากระยะเวลาลงทุนที่ยาวนานพอ จนสุดท้ายแล้วผลตอบแทนจากเงินลงทุน เช่นเงินปันผลนั้นมากกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ก็สามารถที่จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินได้
(ในช่วงแรกๆของชีวิตนั้น พี่โจกับพี่นุช ใช้วิธีหาห้องเช่าที่ราคาถูกๆ และอยู่ในบริเวณที่มีรถขนส่งสาธารณะ/รถโรงงานผ่านเพื่อจะประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้นำเงินที่เหลือไปเก็บออมและนำไปลงทุน)
โดยที่พี่โจเน้นย้ำเรื่องนี้ ว่าในกรณีที่เรามีต้นทุนชีวิตเริ่มต้นที่ต่ำนั้น เราอาจะต้องใช้วิธีที่สุดโต่งหน่อยเพื่อให้เราสามารถลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งอันนี้อาจจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะปัจจัยต้นทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน
2.ความลำบาก ไม่เท่ากับความทุกข์ ในความหมายคือ แม้จะมีความยากลำบาก เช่น ตัวเราพักอาศัยในห้องเช่าที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นมีกลิ่นน้ำเหม็นๆ แต่ถ้าใจของเรานั้นมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ว่าเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร ก็จะทำให้ใจเราไม่รู้สึกทุกข์ และวันนึงก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้
3.สาเหตุที่เราควรศึกษาหุ้นต่างประเทศ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนจากประเทศอื่นๆกรณีที่ เศรษฐกิจเราอาจจะเติบโตได้ไม่ดี และปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนหุ้นที่ดีๆในบ้านเราเริ่มลดลง จากการที่มีนักลงทุนรุ่นใหม่ๆที่มีความเก่งมากขึ้น อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นต่างประเทศเราอาจจะต้องมีการพึ่ง Skill ทางภาษาบ้าง เพราะส่วนใหญ่เราอาจจะต้องอ่าน Report ที่เป็นภาษาอังกฤษ , ซึ่งตลาดหุ้นในบางประเทศเช่น จีน/ Hongkong ก็มีความน่าสนใจ เพราะมีบริษัทที่เยอะ แต่จำนวนนักลงทุนยังค่อนข้างน้อยทำให้มีโอกาสตกปลาได้ง่ายกว่าตลาดบ้านเรา
4.กรณีที่เลือกลงทุนที่ต่างประเทศ นั้นเนื่องจากหลายๆบริษัท เราไม่มีโอกาสได้สัมผัสสินค้า/บริการ ทำให้เราอาจจะต้องใช้ข้อมูลอย่างอื่นเข้าช่วยเวลาเลือกลงทุน เช่น พยายามเลือกบริษัทที่มี Business Model ที่ดี/ มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง , มีงบการเงินที่แข็งแรง เป็นหลัก และพยายาม Diversify ความเสี่ยงไปในหลายๆบริษัท /หลายๆอุตสาหกรรม
5.ปัจจัยที่มองว่าหุ้นจีนอาจจะมีความเสี่ยง 1.)มีกรณี Insider Trading เยอะพอสมควร 2.)หุ้นที่ Valuation ดีๆ น่าสนใจในการลงทุนนั้นมีโอกาสถูก Tender Offer ออกจากตลาดในบางครั้ง และกรณีที่ถูก Tender Offer ที่นู่นก็เหมือนเราโดน Force ให้ต้องขายหุ้น 3.)งบการเงินก็มีโอกาสที่จะถูกตบแต่งบัญชีหรือโกงได้ เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตามเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีในการ Diversify การลงทุนให้มากพอ (ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนไปกับหุ้นน้อยตัวเกินไปในตลาดหุ้นที่เราอาจจะไม่มีความคุ้นเคยเท่าตลาดหุ้นเมืองไทย)
6.สิ่งที่สำคัญของการที่จะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน คือจำเป็นต้องหา Idol ต้นแบบในการลงทุนก่อน โดยพยายามเลือก Style ของ Idol การลงทุนให้เหมาะกับตัวเราอย่างพิถีพิถัน จากนั้นใช้วิธีเรียนรู้วิธีการของ Idol ท่านนั้นเพื่อให้เราสามารถเลือกหุ้น/บริษัทที่จะลงทุน จากนั้นค่อยๆพัฒนา Style การลงทุนขึ้นมาให้เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นแนวทางที่ Comfortable หรือเหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละท่าน
7.กรณีที่เราไม่มี Edge ในการลงทุน หรือไม่มีแต้มต่อเช่น ตัวเราไม่ได้มีความเข้าใจหรือไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เราก็ไม่ควรยุ่งกับหุ้นตัวนั้น และไม่ควรซื้อหุ้นตามใครโดยที่เราไม่ได้เข้าใจบริษัทนั้นอย่างถ่องแท้
8. จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราควรจะต้องพยายามหาวิธีอยู่รอดในตลาดให้ได้ในระยะยาว เช่นการพยายามเลือกบริษัทที่มีรายได้/ยอดขาย ที่เป็นลักษณะ Recurring Income สม่ำเสมอ (มีรายได้ประจำและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) และมีกำไรที่สม่ำเสมอ ก่อนในช่วงแรกๆ ที่ยังลงทุนไม่เก่งนัก เพราะถ้ารีบไปเลือกลงทุนหุ้นที่มีความซับซ้อน เช่นเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Commodity เราอาจจะต้องไปหาข้อมูลอย่างอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น Supply/Demand ของสินค้าตั้งแต่แรกๆนั้นเพื่อใช้ในการเลือกลงทุน อาจจะทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย
9.Recurring Income vs ธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน
Recurring Income : มีรายได้ประจำ และมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลาดมักจะให้ Valuation P/E ที่สูงกว่าธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน
ธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน : เปรียบเสมือนบริษัทที่ทำไร่เลื่อนลอย มีโอกาสที่ ดินจะเสื่อมได้ ตัวอย่างเช่นธุรกิจรับงานเป็น Project พอจบ Project เองก็ต้องไปหาเพื่อรับงานใหม่ , หรือบางธุรกิจที่สินค้ามีความนิยมที่สั้น พอสินค้านั้น Success สักพัก ก็ต้องออกสินค้าใหม่ที่มีโอกาส Fail (ประสบความล้มเหลวได้) ทำให้กำไรของบริษัทมักไม่ต่อเนื่อง คาดการณ์กำไรได้ยาก ทำให้ตลาดมักจะให้ Valuation P/E ที่ต่ำกว่าธุรกิจที่มักจะเป็น Recurring Income
10.คำถาม พี่มองว่าอะไรที่เป็น Key หลักที่ควรจะต้องเลือกในการลงทุนหุ้นสัก 1 บริษัท
คำตอบ : ในเรื่องการลงทุนนั้นอาจจะไม่ได้มีเป็นสูตรสำเร็จเหมือนการชงกาแฟ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญเบื้องต้นมีดังนี้ 1.)บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูง 2.)บริษัทมี Business Model ที่ดี 3.)ผู้บริหาร ที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถ ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้นั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิด impact ทำให้บริษัทมีงบการเงินที่ดี และมีโอกาสจะตอบแทนนักลงทุนจากการจ่ายปันผลที่ดีได้ หรือบริษัทมีโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต
11.คำถาม ทำยังไงไม่ให้เราเกิดการ Over information หรือเสพย์ข้อมูลในการลงทุนมากจนเกินไป
คำตอบ พยายามเลือกเน้นอ่านข่าวที่แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือศึกษาข้อมูลเช่น Opp Day ของบริษัทก่อน ส่วนกรณีที่มี Page /Facebook ต่างๆ อาจจะอ่านได้ แต่พยายามอ่านเป็นข้อมูลเฉยๆก่อน กรณีจะลอง Search ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัทก็สามารถทำได้แต่ต้องไม่มีอคติ Bias เพราะอาจจะทำให้ไขว้เขว มีพี่ๆบางท่านเสริมเพิ่มว่าจริงๆแล้วเราก็ควรจะแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นๆในชีวิตด้วย ไม่ใช่เอาแต่ศึกษาการลงทุนเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นการหาเวลาเพื่อไปออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นต้น
12.เวลาลงทุนนั้น ไม่ควรดูแค่เป้าที่ผู้บริหารให้ว่าจะเติบโตเท่าไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรดู Strategy ว่าเขาใช้วิธีการอะไรและดูสมเหตุสมผลไหม รวมถึงควรจะไปดู Track record ด้วยว่าที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้จริงจาก Strategy ที่เขาเคยอธิบายไว้ไหม
13.พึงระวังอคติ เช่นการพยายามถัวหุ้นที่ขาดทุน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ % ติดลบของหุ้นตัวนั้นน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น เราถือหุ้นที่ราคาลงมาแล้ว 30% (-30%) จากนั้นเราก็พยายามซื้อหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดนึงเราอาจจะมีหุ้นนั้นเป็น 80-90% ของ Port เพียงเพื่อจะให้ตัวเลขติดลบของ % ลดลงเป็นต้น คือถ้าธุรกิจนี้ไม่ดี ไม่เติบโตและมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ เราก็ควรจะต้องยอมมอบตัว มากกว่าการที่ไปถัวหุ้นเพิ่ม ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนที่ถัวหุ้นมักมีอัตตามากจนเกินไป
ตัวเราเองก็อาจจะแพ้หรือยอมมอบตัวบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อรักษาเงินลงทุนส่วนใหญ่ไว้ให้สามารถนำเงินลงทุนนั้นไปใช้ในการลงทุนที่ทำให้เงินลงทุนนั้นเติบโตได้ในอนาคต เพื่อให้ชนะในภาพใหญ่
เสริมเพิ่มเติมปัจจุบันพี่ๆ ก็พยายาม control % หุ้น 1 ตัวใน Port ไม่ให้มี % ที่สูงจนเกินไป เช่นแม้จะเป็นหุ้นที่มีโอกาสตีแตกก็จะพยายามถือให้ไม่เกิน 30% ของ Port
14.วิธีการดูหุ้นปั่น By พี่โจ (ขออนุญาตินำจากข้อมูลที่พี่โจเคย Post ใน Thaivi และที่พี่อมรช่วยรวบรวมมา post อีกทีครับ)
“ หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก
– หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
– หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าง ปั่นจนราคาแพงเวอร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ
ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ
แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง
หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร
1.)ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง
หน้าบ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย
2.)โปรดลืมฉัน
หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆชื่อเสียง(เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหญ่” นิสัยกมล…ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว
3.)หากำไรไม่เจอ
หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ”การดูด” ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน “ดูด” นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย
4.)เพิ่มทุนเป็นนิจ
ต่อจากข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่มี rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา
5.)ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่
ต่อเนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์
6.)ฝนตกขี้หมูไหล คน…มาพบกัน
สังเกตไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญ หรือที่จริงเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน
7.)หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ
บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้น 50% ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้
แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย
8.)ลูกรักของ กลต. ตลท.
เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่นไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่
9.)ไม่ครบองค์ประชุม
ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก “ไม่ครบองค์ประชุม” ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม ต้องระวัง
10.)ราคาที่หวือหวา
เป็นหุ้นปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ “แมงเม่า”ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ overconfidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งจะ”หนีทัน” ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากิน จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะ เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันที พร้อมกันห้าช่อง เหลือแต่บิดรายย่อย แล้วโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่า offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่าแรงซื้อจริง อาจเป็นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
11.)เราจะ turnaround
เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม
12.)ขุดผีจากหลุม
บางครั้งลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆอีกแล้ว บังเอิญจิงๆๆ
13.)พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า
เป็นหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์
14.)หุ้นปั่น วีไอ
บริษัทมีโปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ…ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ !! ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)
15.)หุ้นปั่นไอพีโอ
หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุ๋มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆพีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด(ดอยอีกแล้ว )..
ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ
จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน
แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น แต่ถ้ามีลักษณะร่วมกันหลายข้อ เราเตือนแล้วนะ..
ใครจะเสริมข้อไหน หรือแนะนำเพิ่มก็ดีครับ
เกือบลืม ไม่ได้ตั้งกระทู้เพราะอิจฉาที่หุ้นปั่นวิ่งเอาๆ นะครับ หุ้นผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
16.)ปันผลไม่เคยเห็น
จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน(เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น
17.)อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่
จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น
18.)สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง
การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆของการปั่นหุ้น เป็นการ”ดูดเงิน” ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆจะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้างสปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า”
15.คำแนะนำเพิ่มเติมของพี่นุช เกี่ยวกับ Mentality ในการลงทุนเพื่อให้จิตใจไม่แกว่งมากเวลาที่ตลาดหุ้นลงแรงๆ หรือหุ้นที่ถือราคาลงไปเยอะๆ พยายามให้มองว่าแม้จะราคาหุ้นลงไป แต่รายได้/กำไรของบริษัท รวมถึงปันผลของบริษัทที่จ่ายให้เราก็ยังดีอยู่ ซึ่งในบางท่าน เงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ลงทุนก็มากกว่าค่าใช้จ่ายของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกเครียด/กังวลกับราคาหุ้นที่ลดลงแต่อย่างใด และในการลงทุนเราไม่จำเป็นต้องไปสนใจผลตอบแทนการลงทุนของเพื่อนคนอื่นๆ หรือพยายามไปเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนของตัวเองกับคนอื่นๆ เพราะอาจจะทำให้ชีวิตของเราไม่มีความสุขได้แม้ผลการลงทุนของเราจะดีก็ตาม
16.วิธีการเลือกหุ้นแนวหุ้นปันผล
1.)พยายามเลือกบริษัทที่มี Business model ที่ดี ,รายได้อาจจะเป็นแนว Recurring income และกำไรที่ยังแนวโน้มดีอยู่ (ไม่ควรเลือกหุ้นปันผลจากหุ้นที่เป็นวัฎจักร และไม่ควรเลือกหุ้นที่อุตสาหกรรมกำลัง Decline, สูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอื่นๆ)
2.)ทำธุรกิจในระยะเวลาที่ยาวนานพอ เพื่อให้มี Track record ดูในเรื่องทั้งรายได้/กำไร และเงินปันผล
3.)เป็นธุรกิจที่เราสามารถเข้าใจได้
4.)ปันผลที่ได้ มี % ที่สูงในระดับนึง เช่น (5-8%)
17.เวลาลงทุนในบริษัทควรจะลองทำข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งที่คล้ายๆกันในอุตสาหกรรมด้วย เช่นดูข้อมูล GPM, NPM , Inventory Day เพื่อวิเคราะห์ทั้งความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อให้เข้าใจความผิดปรกติของงบการเงิน เพราะในบางครั้งการที่เราเห็นความผิดปรกติอาจจะทำให้เราสามารถที่จะป้องกันการเลือกลงทุนในบริษัทที่น่าสงสัยบางบริษัทได้
18.พึงระวังบริษัทที่อยู่ๆ GPM และ NPM เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆในระดับที่สูงเพราะอาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ ตัวเลข GPM และ NPM นั้นเพิ่มขึ้นชั่วคราว กรณีที่เรานำตัวเลขนั้นไปใช้ในการประเมิน Valuation อาจจะทำให้เราได้ภาพที่ดีเกินความเป็นจริงได้
19.คำถาม คิดยังไงกับหุ้นปั่นที่อาจจะมีโอกาสทำกำไรในระยะสั้น
คำตอบ : พยายามรักษาทัศนคติแบบ VI ไว้ให้ยาวนาน , อย่าปล่อยให้ใจของตัวเองไปยึดติดกับการเน้นทำกำไรในระยะสั้น เพราะอาจจะทำให้เราอาจจะค่อยๆสูญเสียความเชื่อ/ทัศนคติแบบ VI ที่ดีได้ และหรืออาจจะทำให้เราไขว้เขวกับการลงทุนแนว VI (เน้นคุณค่า)ได้ และเราควรจะมีความภาคภูมิใจกับอุดมการณ์ของตัวเรา
20.สุดท้ายฝากทิ้งท้ายจากพี่ๆมือเก๋า
พี่นุช : เน้นจัดทัพหลายๆกองทัพ (จัด Port กระจายประมาณนึง) และอย่าใช้เงินร้อนในการลงทุนเพราะในบางครั้งเราอาจจะต้องถูกบังคับขายหุ้นในจังหวะที่ไม่ดีได้
พี่ตี้ : มือใหม่เน้นลงทุนท่าง่ายๆก่อน อย่าใช้ท่ายาก/พลิกแพลง จนเกินไป เพราะมีโอกาสที่จะขาดทุนได้ง่าย เน้นเลือกบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดี มีความมั่นคง สามารถจ่ายเงินปันผลได้เสมอๆ
พี่โจ : เมื่อผ่านจากวันนี้ไปสักพัก เราเองอาจจะเริ่มเหี่ยว ในความหมายคือเริ่มจะหมดแรงบันดาลใจ หรือเริ่มหลงลืมแก่นแท้ของการลงทุนไป กรุณาอย่าลืมกลับมา Boost Up หรือ Motivate ตัวเอง เช่นกลับมา Join งานสัมมนา VI ภาคใต้ (หรืออาจจะลองหาฟัง Clip VDO ของ Idol ในการลงทุนที่เรานับถือ)
ปล. เนื่องด้วยในวันงานทั้ง 2 วัน ผมอาจจะไม่ค่อยได้จดบันทึกสักเท่าไร ข้อมูลบางส่วนที่สรุปมาจากการนึกย้อนหลังกลับไปและเนื้อหาที่สรุปอาจจะมีการปรับคำพูดบางคำเพื่อให้อธิบายได้เข้าใจง่ายขึ้น กรณีที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางวิทยากรต้องการสื่อสาร รบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปในวันนั้นช่วยแนะนำให้ผมด้วยครับ
โดยส่วนตัวขอขอบคุณ
1.พี่โจ (ลูกอีสาน) และ พี่ตี้ วิทยากรหลัก ที่ช่วยให้ความรู้/คำแนะนำในด้านการลงทุน กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนอยู่เสมอ (ครั้งนี้ที่จัดเป็นครั้งที่ 58 แล้ว) และขออนุญาติสุขสันต์วันเกิดพี่โจ ที่อายุครบ 50 ปีด้วยครับ
พี่นุช, พี่เบิ้ม (Kaiser) , พี่วัฒ (Teerawat) ,พี่อมร ที่เปรียบเสมือนเป็น Special Guest ของงานทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
2.พี่ๆทีมงานที่จัดงาน Meeting ภาคใต้ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ทุกท่าน (พี่แมว, พี่จรัญ, พี่บัวดิน, พี่เปรี้ยว etc.)
3.พี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนที่ช่วยให้ความรู้/ข้อมูลกับเพื่อนๆท่านอื่นในวันงาน (พี่ You, พี่เชน, พี่โต, พี่ต้อม, พี่กอล์ฟ, เป้, หมอปิง, พี่ Big, อู๋ etc.)
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Website Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/4 Mar 24
“Key factor ของแต่ละอุตสาหกรรม”
ปัญหาของนักลงทุนมือใหม่ที่พออ่านงบเป็นคือไม่รู้ว่าจุดสำคัญของแต่ละอุตสาหกรรมคืออะไร โดยหลักเกิดจากการไม่เข้าใจ Nature ของแต่ละธุรกิจ วันนี้ผมเลยอยากขอแชร์จุดสำคัญของแต่ละอุตสาหกรรมทั้งในมุมของรายได้และต้นทุน เพื่อจะได้เห็นภาพและแนวโน้มของผลประกอบการที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตมากขึ้นไม่มากก็น้อย แบ่งเป็นรายอุตสาหกรรมเรียงจากง่ายไปยาก (แบบคร่าวๆ) ดังนี้
🔹 ค้าปลีก (ร้านอาหาร, สินค้า IT, วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ)
– รายได้: จำนวนสาขา การเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนสินค้า/วัตถุดิบ การด้อยค่าของสินค้าคงคลัง ค่าพนักงาน ค่าเช่า ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด และต้นทุนการเงิน
🔸 โรงพยาบาล
– รายได้: รายได้ต่อบิล จำนวนเตียง จำนวนผู้ป่วย อัตราการใช้เตียง (U-rate) และการขยายเตียง/โรงพยาบาล
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าจ้างแพทย์ ค่าจ้างพนักงาน ค่ายา ค่าการตลาด และต้นทุนการเงิน
🔹 โรงเรียน
– รายได้: จำนวนนักเรียน รายได้ต่อหัว และจำนวนโรงเรียน
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าจ้างครู ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค และต้นทุนการเงิน
🔸 โรงแรม
– รายได้: จำนวนโรงแรม จำนวนห้องพัก ค่าบริการต่อห้อง (ADR) อัตราการเข้าพัก (U-rate) และรายได้ต่อห้องพัก (RevPar)
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าสาธารณูปโภค ค่าจ้างพนักงาน ส่วนแบ่งรายได้ (หากไม่ได้ใช้แบรนด์ของตนเอง) และต้นทุนการเงิน
🔹 ห้างสรรพสินค้า และออฟฟิศสำนักงาน
– รายได้: จำนวนสาขา พื้นที่ให้เช่า (ตร.ม.) ค่าเช่าเฉลี่ยต่อ ตร.ม. และอัตราการเช่า (U-rate)
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าสาธารณูปโภค ค่าจ้างพนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔸 สนามบิน
– รายได้: จำนวนผู้โดยสารขาออก จำนวนไฟล์ท ค่าบริการต่อคน/ไฟล์ท U-rate และค่าเช่าสำนักงาน
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค และต้นทุนการเงิน
🔹 สินค้า Consumer เครื่องสำอาง ขนม และเครื่องดื่ม
– รายได้: ปริมาณขาย (ขวด ห่อ ซอง ลัง) ราคาขายต่อหน่วย และการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ต้นทุน Packaging (พลาสติก แก้ว) ค่าเสื่อมโรงงาน ค่าจ้างพนักงาน ค่าการตลาด และต้นทุนการเงิน (สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มมีต้นทุนสินค้าที่เป็น Commodity เช่น น้ำตาล และภาษีความหวาน เพิ่มเติม)
🔸 รถไฟฟ้า/ทางด่วน
– รายได้: จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน ค่าบริการต่อเที่ยว ค่าโฆษณาต่อนาที และจำนวนนาทีให้เช่าเชิงพาณิชย์
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ต้นทุนการเดินรถ ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค และต้นทุนการเงิน
🔹 ลานประมูล
– รายได้: ปริมาณรถยนต์ที่เข้าลาน ค่าบริการต่อการประมูลต่อคัน และจำนวนสาขา (สังเกตแนวโน้มจำนวนรถจาก NPL ของกลุ่มการเงินที่เกี่ยวข้องกับรถเป็นหลัก)
– ค่าใช้จ่าย: คาใช้จ่ายในการเก็บรถ ค่าเช่าพื้นที่ ค่าใช้จ่ายพนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔸 โรงไฟฟ้า
– รายได้: จำนวน MW อัตราค่าไฟที่ทำสัญญากับรัฐ และจำนวนโรงไฟฟ้า (ที่สำคัญต้องดูระยะเวลาของสัญญาด้วย)
– ค่าใช้จ่าย: วัตถุดิบที่ใช้ผลิตไฟ (ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ชีวมวล) ค่าเสื่อมราคา ค่า Maintenance ค่าจ้างพนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔹 สื่อ (Media)
– รายได้: Capacity (นาที) อัตราการใช้สื่อ (U-rate) และค่าบริการยต่อนาที
– ค่าใช้จ่าย: ค่าเสื่อมราคา ค่าจ้างพนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔸 อสังหาฯ (เพื่อขาย)
– รายได้: ยอดขาย (Presales), ปริมาณงานรอรับรู้รายได้ (Backlog), Reject rate, จำนวนโครงการ/ยูนิตที่พร้อมขาย และจำนวนโครงการที่กำลังก่อสร้าง
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง (โดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ) ต้นทุนที่ดิน ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด และต้นทุนการเงิน
🔹 รับเหมาก่อสร้าง
– รายได้: ปริมาณงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการรอประมูล และอัตราความสำเร็จในการประมูลงานได้ (กลุ่มนี้จะรับรู้รายได้จาก Progress ของงาน)
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง (โดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ) ค่าใช้จ่ายหากส่งมอบงานล่าช้า และต้นทุนการเงิน
🔸 บัตรเครดิต
– รายได้: จำนวนบัตร ยอดใช้จ่ายต่อบัตร อัตราดอกเบี้ยหากผิดนัดชำระ และค่าธรรมเนียมรายปี
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนทางการเงิน (Cost of fund) ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง (Credit cost) และค่าจ้างพนักงาน
🔹 การเงิน (ธนาคาร เช่าซื้อ จำนำทะเบียน)
– รายได้: ปริมาณเงินกู้ที่ปล่อย (New loan) พอร์ตลูกหนี้ การเติบโตของพอร์ต (Loan growth) และอัตราดอกเบี้ยรับ (Yield)
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนทางการเงิน (Cost of fund) ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง (Credit cost) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเทียบกับรายได้ (Cost to income) ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม
กลุ่มนี้รายละเอียดค่อนข้างเยอะ ต้องดูแนวโน้มชั้นลูกหนี้และกระแสเงินสดประกอบ
🔸 ปั๊มน้ำมัน
– รายได้: ปริมาณน้ำมันขายต่อวัน ราคาขายปลีกต่อลิตรเฉลี่ย จำนวนปั๊ม ยอดขายต่อสาขา และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG)
– ค่าใช้จ่าย: ค่าการตลาด ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูป ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเสื่อมราคา และต้นทุนการเงิน
🔹 สายการบิน
– รายได้: จำนวนไฟล์ท จำนวนผู้โดยสาร และราคาตั๋วเฉลี่ย
– ค่าใช้จ่าย: น้ำมัน ค่าจ้างพนักงาน ค่า Maintenance ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่าเครื่องบิน ค่าเช่าสำนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔸 Freight forwarder
– รายได้: ส่วนต่างค่าระวาง (ส่วนมากจะล้อตามค่าระวาง แต่ถ้าค่าระวางขึ้นไปสูงมากเกินกว่าปกติ % ส่วนต่างจะลดลง) และจำนวนเที่ยวหรือ Volume ในการขนส่ง
– ค่าใช้จ่าย: ค่าจ้างพนักงาน ค่า Commission ให้เซลล์ และต้นทุนการเงิน
🔹 ชิ้นส่วน Electronics
– รายได้: Capacity ในการผลิต อัตราการใช้โรงงาน (U-rate) และราคาขายต่อหน่วยในแต่ละสินค้า
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนทองแดง ค่าเสื่อมโรงงาน ค่าจ้างพนักงาน และต้นทุนการเงิน
🔸 ชิ้นส่วนยานยนต์
– รายได้: Capacity ในการผลิต อัตราการใช้โรงงาน (U-rate) และราคาขายต่อหน่วยในแต่ละสินค้า
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนการผลิต (โลหะและพลาสติก) ค่าเสื่อมโรงงาน ค่าจ้างพนักงงาน และต้นทุนการเงิน
🔹 ซื้อหนี้เสีย
– รายได้: เงินสดที่เก็บได้ (Cash collection) IRR ของแต่ละก้อนหนี้ และขนาดมูลหนี้ (การเติบโตควรดูแผนการซื้อหนี้ในอนาคต และแนวโน้ม NPL ประกอบ)
– ค่าใช้จ่าย: ต้นทุนในการซื้อก้อนหนี้ ค่าใช้จ่ายทางการเงิน ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม และค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง
แน่นอนว่า Key factor ดังกล่าวเป็นเพียงกรอบคร่าวๆ ในการสังเกตและพิจารณาบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรม และอย่าลืมว่าทุกบริษัทมีรายละเอียดที่ต่างกันเสมอ ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับความแตกต่างของแต่ละบริษัทแม้เพียงเล็กน้อย เพราะการมองอะไรที่หยาบเกินไปอาจเป็นหลุมพรางในการวิเคราะห์ เช่น “กลุ่มจำนำทะเบียน” การที่พอร์ตสินเชื่อเติบโตขึ้นไม่ได้หมายความว่ากำไรจะดี หากคุณภาพของลูกหนี้แย่ลงจน Credit cost เพิ่ม หรืออย่าง “กลุ่มค้าปลีก” การขยายสาขาเยอะก็ไม่ได้หมายความว่ากำไรจะดีขึ้น หากการเปิดสาขาใหม่แล้วทำเลไม่ได้ หรือขายไม่ดีเหมือนสาขาเก่า ก็อาจประสบปัญหาขาดทุนในสาขาใหม่ก็เป็นไปได้
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่เข้ามาอ่าน ไม่มากก็น้อยครับ
#MoneyChamp
รวม 3
ทำไม SISB ถึงประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ?
คำตอบคงมีหลายๆองค์ประกอบ ประกอบกัน แต่ถ้าจะให้ผมเลือกตอบแค่คำตอบเดียว ผมคิดว่าคือ “ทีมผู้บริหาร”
ถ้าพูดถึงระบบการศึกษาไทย เราคงรู้กันอยู่แล้วว่าน่าจะต้องพัฒนาอีกมาก
การมี โรงเรียนเอกชนดีๆ ในระบบ จึงตอบโจทย์ Painpoint ในสังคมผู้ปกครองที่พอมีกำลังจ่าย
มันมีคำพูดนึงที่น่าสนใจว่า “ A good product with great distribution will almost always beat a great production with a poor distribution”
ยกตัวอย่างเช่น McDonald’s ไม่ใช่ร้านขายHamburger ที่อร่อยที่สุดในโลก แต่ McDonald’s มียอดขาย Hamburger มากที่สุดในโลก
ฉันใดก็ฉันนั้น SISB อาจจะไม่ใช่ รร อินเตอร์ที่ดีที่สุดในไทย แต่ รายได้ของ SISB น่าจะมากที่สุดในเครือ รร.อินเตอร์ในไทย
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
ธุรกิจ รร เป็นธุรกิจที่ยากในการ scale ธุรกิจ เพราะปัญหาในการทำรร.นั้นมีเยอะมาก การที่จะทำให้หนึ่ง รร. ให้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้นั้นว่ายากแล้ว แต่การ copy model หรือ การขยายรร.ที่ประสบความสำเร็จให้มีหลายๆสาขานั้นยากยิ่งกว่า เพราะว่า การจะทำ รร.นั้น อาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง(ไม่ใช่แค่สร้าง Infrastructure&facilityต่างๆ ให้ดีอย่างเดียว) และที่สำคัญ รร.นั้นมี stakeholder หลายPartyมาเกี่ยวข้อง ผมยกตัวอย่าง
-ผู้ปกครอง และ นร. การที่มีนร.และ ผปค จำนวนมากขึ้นมาเกี่ยวข้อง ยิ่งมากคนก็มากความ ปัญหาก็ตามมาเยอะแยะ แต่ละคนย่อมมีneed ที่ต่างกัน มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบต่างกัน การที่ รร.จะสามารถทำให้ความพึงพอใจของ ผู้ปกครองและนร.ไปในทางเดียวกันนั้นทำไม่ได้ง่ายๆ
-Regulation รร.เป็นองค์กรที่มีการควบคุมจากภาครัฐ มีมาตรฐานต่างๆเยอะ ดังนั้นการจะกระโดดเข้ามาทำ มันไม่ได้ทำกันได้ง่ายแบบที่คนส่วนใหญ่คิด การจะดีลกับกระทรวง และ ภาครัฐ ต้องอาศัยประสบการณ์ ร่วมทั้งการเข้าใจกลไกการทำงานต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของพื้นที่นั้นๆ
-คุณครู ยิ่งรร ใหญ่ คุณครูก็จะมาก การควบคุมคุณภาพมาตรฐานของครู/บุคลากรในโรงเรียนให้ได้มาตรฐานนั้นไม่ทำได้ง่ายๆ ต้องใช้เวลาในการสร้าง culture ในองค์กร และพัฒนาส่งเสริมครูให้พัฒนาอยู่เสมอ ยิ่งเป็นธุรกิจบริการ การจะ scale ธุรกิจได้จนลูกค้า(ผู้ปกครอง) Trust ได้ ต้องมี Standardize ที่ดีพอ (ต้องมีระบบหลังบ้านที่แข็ง)
-shareholder : รร.ส่วนใหญ่ไม่มีกำไร เช่นรร ของภาครัฐเป็นองค์กร Nonprofit organization หรือ รร เอกชนดังๆ หรือ รร inter หลายๆที่เป็น รร.กึ่งๆมูลนิธิ การสร้างการเติบโต จึงไม่ได้เป็นไปเพื่อผู้ถือหุ้น แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ด้านอื่นๆ การจะทำให้ รร มีกำไร และ ผู้ถือหุ้น Happy จึงมีแค่ไม่กี่ รร.
-คณะกรรมการและ บอร์ดของ รร. การจะมี Board ที่ดี และทีมผบห ที่ดี ที่สามารถ Align ทุกๆ shareholder ให้เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันนั้นทำได้ยาก และที่สำคัญสามารถทำให้ ทุกๆ stakeholder นั้น Happy ยิ่งทำได้ยาก
-บุคลากรในโรงเรียน ที่มี culture องค์กรที่ดีเช่น การ Lean องค์กร การปลูกฝังเรื่อง Cost effectiveness ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ การ Optimize cost ต่างๆ SISB เป็น โรงเรียนที่ถือว่า Lean มากๆ , cost effective มาก โดยที่ยังรักษา Quality ได้
ต่อมาคือ เรื่องการขยายสาขานั้น เป็นอะไรที่ดูเหมือนง่าย แต่การขยายสาขาของรร.แล้วประสบความสำเร็จก็ทำได้ยากเช่นกันเพราะ
1. แบรนโรงเรียน หรือ ชื่อเสียง รร นั้นไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ ต้องอาศัยระยะเวลาที่นานมากพอ สะสมความเชื่อใจ ความเชื่อถือ และยอมรับจากสังคม ต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้างคน สร้างนร.ให้ประสบความสำเร็จ
2. ทำเล การหาทำเลก็เป็นเรื่อง Judgement และ การทำ research ของทีมผบห การจะได้ทำเลที่ถูกต้อง เหมาะสม และคุ้มค่ากับการลงทุนเป็นอะไรที่ไม่ง่าย
3. Recruit คน คนเป็นทรัพยากรที่มีค่า การขยายธุรกิจ รร. สิ่งที่จะให้ประสบความสำเร็จได้ต้องสร้างมาจากคนในองค์กร การจะได้คนที่ทุ่มเท รักองค์กร ยอมรับ culture ขององค์กร เข้าใจองค์กร และพร้อมจะทุ่มเท มีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ และที่สำคัญคือมีความยั่งยืน เรื่องพวกนี้โอเค ส่วนนึงต้องมาจากเรื่อง incentive และ benefit อะไรบางอย่างที่องค์กรนั้นให้ แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ต้องมีคือคนในองค์กรเขาต้องมี passion และ มี Growth mildset ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่สร้างกันได้ยาก
4. การหา Need ในตลาดเจอ : อุตสาหกรรมโรงเรียน จะว่าไปใครๆ ก็อาจจะมองว่าเป็นตะวันตกดินสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคถูกลืมไป SISBสามารถหา Price point ที่เหมาะสมในการดึง Demand ออกมาจากลูกค้าได้ บางครั้งลูกค้ามี Demand อยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสามารถสร้าง Supply ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการกับลูกค้าได้ การที่ sisb สามารถสร้าง price point ที่เหมาะสม ที่สำคัญยังมีกำไร และ ทุกstakeholder ส่วนใหญ่ Happy ได้ เป็นอะไรทำได้ไม่เลวเลย
นอกจากนี้แล้ว เรื่องหลักสูตรที่ตอบโจทย์ ผู้ปกครอง GEN Y และ baby bloomerกล่าวคือ หลักสูตรของ SISB เน้นทั้งภาษาอังกฤษ จีนและ วิชาการที่เข็มข้นกว่า รร นานาชาติระดับบนๆ คือพ่อแม่ที่ส่งลูกเข้าเรียนในsisb เขาสามารถ switch ลูกไปเรียนหลักสูตรอื่นๆได้เมื่อเด็กโตขึ้น เช่น จะส่งต่อนอกก็ทำได้ หรือ ถ้าลูกอยากเรียนสายวิทย์-คณิต เช่นไปเป็นหมอ วิศวะ หรือ นักวิทย์ศาสตร์ ก็สามารถทำได้ เพราะเขาเน้น วิทย์-คณิต ที่เข็มข้นพอสมควร
การที่ รร แต่ละที่มักไม่ค่อยมีกำไรเพราะ เจ้าของมักไม่ได้ลงมาดูรายละเอียดเอง ต่อให้ลงมาดูรายละเอียดเอง ก็มักจะท้อ และถอยออกไป เพราะมันมีอุปสรรค และ ปัญหาต่างๆมากมาย เพราะมัน Involve กับคนจำนวนมาก และ หน่วยงานต่างๆเยอะ ยิ่งมากคนก็มากความ ยิ่งมากคน ยิ่งมากปัญหา ต่อให้เจ้าของจะทุ่มเท ตั้งใจ พร้อมจะลงมาทำ แต่ถ้าไม่มีคนมา support ไม่สามารถสร้างทีมงานที่มีคุณภาพและไว้ใจได้มาช่วยงาน ไม่มีculture ที่ดี ไม่มีแนวทางการบริหารงานที่ถูกต้อง การจะสร้างรร.ที่ตอบโจทย์ทุกๆฝ่ายจึงเกิดได้ยาก
กลับมาที่ SISB ผมคิด เขาสามารถผ่านด่านต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาได้เพราะ ทีมผบห การจะทำสิ่งเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จไปได้ ผบห ต้องมีใจ ทุ่มเท และ ลงรายละเอียดด้วยตัวเองทั้งหมด ร่วมการหาทีมงานที่ดี ไว้ใจได้ ขึ้นมาผลักดันให้องค์กรเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
เขียนไว้นานแล้ว แต่ไม่ค่อยอยากแชร์ เพราะไม่อยากจะมาเชียร์หุ้นหรืออะไร แต่พอดี มีคนส่งข่าวมาว่า มีบริษัทในตลาดกำลังจะทำรร.อินเตอร์ที่เชียงใหม่ SISB น่าจะเจอคู่แข่งแล้ว
คหสต.ผมคิดว่ามันไม่ได้ทำกันได้ง่ายขนาดนั้น
ไม่ได้มีเจตตา ให้ซื้อ ถือ หรือ ขายแต่ประการใดนะคับ
แค่เล่ามุมมองความคิดให้ฟังเฉยๆ โปรดอย่าเอาไปประกอบการตัดสินใจเด็ดขาด เพราะที่เขียนมา เป็นความเห็นผมคนเดียว555 ไม่ได้รับรองว่ามันจะถูกต้องแต่ประการใด
รวม 4
“ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คุณภาพยอดเยี่ยม
เราเลยแทบไม่เห็น ช่วงหุ้นราคาถูกเลย”
SESSION 2 : COUNTRY SWOT ANALYSIS ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
-คุณหลิน
ตั้งแต่ปี 1776 สหรัฐอเมริกา ถูกออกแบบให้เป็นทุนนิยมเสรี
พอเป็นทุนนิยมเสรี ทำให้มีผู้ประกอบการแบบ เช่น สตีฟ จอบส์ อีลอน มัสก์
ตลาดหุ้นอเมริกัน เต็มไปด้วยหุ้นคุณภาพ แข็งแกร่งมากโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี
ช่วงที่ Valuation ราคาถูก จึงสั้นมาก
สหรัฐอเมริกาเป็นเหมือนห้าง CentralWorld ของโลก ของดีมันจะมีความพรีเมียม
หากเราจะสำเร็จในประเทศใด ประเทศหนึ่ง เราต้องมี PASSION
ทุก ๆ 50 ปี สหรัฐอเมริกาจะมีอุตสาหกรรมใหม่ เกิดขึ้นมาแทนอุตสาหกรรมเดิมตลอด
-คุณมี่
สหรัฐอเมริกาเป็นต้นน้ำของสิ่งใหม่ ๆ บนโลก ทั้งเอไอ อินสตราแกรม เฟซบุ๊ก
สหรัฐอเมริกา มีบริษัทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ในระยะไกล ๆ ยังเป็นผู้นำ และมีวิธีกีดกันจีน ที่ค่อนข้างคม
สหรัฐอเมริกา เก่งเรื่องการเงิน สินค้าอันดับหนึ่งของอเมริกาไม่ใช่เอไอ
แต่เป็น “ดอลลาร์สหรัฐ” ถ้าถูกด้อยค่า อาจจะเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมดในตลาดทุน
อนาคตหุ้นอเมริกายังคงไปต่อได้ แต่ราคาอาจจะยังดูสูง ต้อง Valuation หุ้นให้ดี
-ลงทุนแมน
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ทุนสำรองไม่จำเป็นต้องมี
ในขณะที่ประเทศอื่น จำเป็นต้องเก็บเงินทุนสำรอง ในสกุลเงิน ดอลลาร์
เรื่องนี้เป็นข้อได้เปรียบของอเมริกา ทำให้มีหนี้เท่าไรก็ได้
สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่กี่ประเทศ ที่มีคนเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ประเทศพัฒนาอื่น ๆ ประชากรลดลง
สหรัฐอเมริกา มีแต่คนอยากอพยพเข้าไป ตัวอย่างก็เช่น Microsoft, Google มีซีอีโอเป็นอินเดีย
พอประชากรยังเยอะขึ้น มีการผลิตและบริโภคเยอะ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงเติบโต
นอกจากนั้น บริษัทอเมริกัน กำลังขายของให้คนทั่วโลก
ดังนั้นโอกาสของอเมริกา ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศตัวเอง
จากทั้งหมด ดูทำให้มีค่าเฉลี่ยดีกว่าทุกประเทศ
ส่วนเรื่องของ Valuation ยังคงกลาง ๆ ไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่ได้แพงเกินไป จนซื้อไม่ได้..
หมายเหตุ: โพสต์นี้เป็นเพียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากใน งานลงทุนแมนConference2024 ซึ่งในงานยังมีการสนทนา และการถกเถียงที่ครอบคลุมในหลายด้านกว่าเนื้อหาด้านบน ดังนั้นบริบทของการอ่านโพสต์แล้วคอมเมนต์ จะแตกต่างจากการฟังเนื้อหาที่ครบถ้วนจากในงานจริง
TAM SAM SOM ในความเข้าใจของชีพจรลงทุน
=============================
.
เพื่อนๆน่าจะคุ้นหู หรือรู้จักกับคำว่า TAM หรือ Total Addressable Market กันแล้วนะครับ แต่จากที่ส่วนตัวได้อ่านบทความ หรือเข้าฟังการบรรยาย การให้ข้อมูลบริษัท หรือกระทั่งคำถามที่ถาม หลายๆครั้งผมคิดว่ามีประเด็นที่น่าจะชวนคุยเพื่อทำความเข้าใจประเด็นนี้กันให้ละเอียดมากขึ้น เลยอยากจะขอแชร์มุมมองส่วนตัวเรื่องนี้ดังนี้ครับ
.
หลายๆครั้งที่ผมไปฟังข้อมูล มักจะได้ยินการยกเอา TAM มาพูด หรือแม้กระทั่งการพูดถึง TAM ในมุมของนักลงทุนว่า ตลาดมันใหญ่ระดับไหน แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริง เราอาจจะเอาคำนี้มาใช้ตรงๆแบบที่เข้าใจกันตอนนี้ได้ไม่ถูกต้องนัก เช่น ประโยคที่บอกว่า ตลาดใหญ่มาก แค่เราได้ 1% ก็ได้รายได้มหาศาลแล้ว และส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์เคยถามผู้บริหารไป ผมน่าจะอยากได้ SOM มากกว่า แต่ผู้บริหาร รวมถึงคนในห้องก็ช่วยกรุณาตอบเป็น TAM มา เลยอยากชวนคุยเรื่องนี้ในตอนนี้ครับ
.
TAM หรือ Total Addressable Market
————————————–
.
เวลาเราพูดถึง TAM ผมมักจะได้ยินการ estimate แบบ Top Down เช่น ตลาดทั้งหมดมีคนที่มี pain point เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่มุมนี้ ส่วนตัวคิดว่าเป็นการประเมินที่กว้างมากเกินไป ซึ่งมักเป็นการประเมินโดยใช้ problem size ไม่ใช่ market size และที่สำคัญคือ idea อาจจะเป็น disruptive technology ทำให้ยังใช้คำนี้อยู่ได้ว่า สินค้าหรือบริการกำลังจะเข้าไปทดแทน หรือ disrupt อะไรเป็นต้น
.
ดังนั้นเลย ก่อนอื่น ผมคิดว่าคำๆนี้ เริ่มมาจาก Start up เป็นคำที่ใช้บ่อยเอาไว้ pitch idea เพื่อขอ raise fund ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่ต้อง keep in mind อย่างแรกคือ จุดประสงค์ของที่มาของคำๆนี้ เพื่อให้ภาพนักลงทุนถึงสิ่งที่เขากำลังจะลงทุนว่า มีโอกาสร้างผลตอบแทนได้ระดับไหน แต่อีกอย่างที่ผมคิดว่าทุกท่านควรจะทำความเข้าใจไปพร้อมกันคือ Start up ส่วนใหญ่เป็น Tech company
.
ความเป็น Tech company สิ่งนึงที่เป็น unique character คือ scalability หมายถึง มันสามารถ scale ได้ด้วยความเร็วและต้นทุน marginal cost ที่ต่ำมากๆ เพราะการ load app หรือใช้ application บน web มันสามารถ scale ได้อยางรวดเร็ว แทบไม่มีข้อจำกัด ซึ่งตรงนี้ผมบอกว่าเป็น character ที่ธุรกิจที่เป็นการผลิตและบริการหลายอย่างไม่มี
.
ดังนัน TAM ของ Start up จึงมักหมายถึงตลาดที่การเข้าถึง มันแทบไม่มีข้อจำกัดใดๆ โดยเฉพาะในมุมของ scalability (ยกเว้นเงินที่ต้องใช้ ถึงต้องมา raise fund) และเรื่องนี้มีความสำคัญมากเพราะ ถ้าคุณ scale ไม่ทัน ก่อนที่คู่แข่งจะเข้ามา จะส่งผลกับ target market ดังนั้น คำว่า Speed จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคำว่า TAM ในมุมนี้
.
ในการคำนวณหา TAM ส่วนตัวจะชอบแนวคิดแบบ bottom up มากกว่า ว่า target ลูกค้าคือใคร reach คนกลุ่มนี้ได้ไหม และ pricing ทำได้ระดับไหน แล้วถึงค่อยคำนวณออกมาเป็น TAM โดย base assumption ที่สำคัญที่สุดคือ เวลาหา TAM จะยังไม่มีข้อจำกัดเรื่อง resource (สมมติว่า สามารถ raise fund ได้เรื่อยๆ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องทีมงาน etc. )
.
SAM หรือ Serviceable Available Market
——————————————
.
อันนี้ผมคิดว่า เป็น Market ที่เริ่ม Realistic มากขึ้น ผมคิดว่า level นี้ มี factor ที่ผมจะใส่เข้าไปเพิ่มอย่างนึงคือ ข้อจำกัดเรื่องของ resource หรือ reach เช่น เราอาจจะไม่สามารถขายสินค้าหรือบริการให้กับคนที่คนที่อยู่ใน TAM เพราะมีข้อจำกัดด้านปัจจัยการผลิต เช่น capacity การผลิตมีอยู่อย่างจำกัด geography ที่ไม่สามารถ serve ลูกค้าได้ทุกคนเพราะมีข้อจำกัดเรื่อง logistics หรือการ support เราอาจจะไม่สามารถหาทีมงาน customer service ได้อย่างเพียงพอ หรือมีข้อจำกัดด้าน regulation เช่น ห้ามขายในประเทศนั้นๆ พื้นที่นั้นๆ หรือเจอกำแพงภาษีเป็นต้น
.
ดังนั้น SAM ทำให้การประเมิน Market โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุน มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ความแตกต่างระหว่าง TAM กับ SAM ใน level นี้สำหรับผมคือ Resource แต่ยังใช้ assumption ว่า ถ้ายัง”ไม่มีคู่แข่ง”หรือพูดอีกอย่างคือ เราขายอยู่คนเดียว potential market ใหญ่แค่ไหน ถ้าสมมติเป็น winner take all หรือ take most แล้ว potential ที่เป็นไปได้มีระดับไหน หรือเป็นการ assume ว่า บริษัทสามารถ scale ได้เร็วก่อนที่ competition จะเข้ามา
.
Serviceable Obtainable Market
———————————-
.
ในระดับนี้ key คือคำว่า Obtainable นั่นแปลว่า เป็นตลาดที่เราเข้าถึงได้จริง ซึ่ง key assumption ใน level นี้ คือ มี”การแข่งขัน” ทำให้ตลาดที่เราคาดหมาย อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีคู่แข่งที่แย่งตลาดมาได้ก่อน พูดอีกอย่างคือ เรา scale ไปทีหลังคู่แข่ง เพราะข้อจำกัดบางอย่าง หรือมีการแข่งขันด้านราคา เกิด multihoming ทำให้ขนาดตลาดจากการคำนวณ pricing เล็กกว่าที่เคยคาดไว้ เป็นต้น
.
ดังนั้น เวลาผมจะประเมิน market ส่วนตัวผมคิด keep in mind เรื่องเหล่านี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะธุรกิจในไทย ที่หลายๆบริษัทยังไม่ใช่ tech company หรือ disruptive technology ที่ยังมีข้อจำกัด เช่น ข้อจำกัดด้านการผลิต ด้านการเงิน ด้าน human capital หรือต่อให้เป็น tech ก็ยังมีเรื่องของการแข่งขัน ไม่ได้เป็น disruptive technology หรือต่อให้เป็น innovation ก็อาจจะไม่สามารถทดแทน established technology ที่คนส่วนใหญ่ยังใช้อยู่ได้เป็นต้น เพื่อให้การประเมินโอกาสในการลงทุน เราไม่กาวตัวเองมากจนเกินไป
.
เพราะการบอกว่า ขอแค่ 1% ของ TAM จริงๆแล้ว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สำหรับผมครับ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่ tech company ที่สามารถ scale ได้ at near zero marginal cost
.
ไอเดียเรื่อง TAM ผมไปเจอ YouTube ที่อธิบายไว้ค่อนข้างดี ขอแปะลิงค์ไว้ในเม้นท์นะครับ
ผมคิดว่านักลงทุนทั่วไปหยาบในสิ่งที่ควรละเอียดและละเอียดเกินจริงในบางจุดมากๆ ผมอาจจะผิดก็ได้นะแต่ผมคิดว่างบการเงินบางจุดคุณไม่จำเป็นต้องลงลึกขนาดนั้นแต่business modelคือสิ่งที่สำคัญมากๆไม่ได้หมายความว่างบไม่ควรลงลึกนะแต่บางทีคุณลึกในส่วนมันไม่impactกับกิจการอะเช่นไปเจาะงบบริษัทย่อยที่มีผล2%อะไรแบบนี้ หรือยึดติดสิ่งที่เป็นnorm ว่าdeไม่เกินเท่านี้ pe รพ เท่านี้ pe โรงเรียนเท่านี้
สิ่งที่คุณน่าจะเช็คมากกว่าคือบนี้มันแข็งแกร่งเพราะอะไร ตัวอย่างเช่นwphสมุยถ้าคุณรู้ว่าทีมset upรพส่วนใหญ่มาจากbdmsคุณว่าสำเร็จปะ แล้วโครงการคอนโดอันนึงที่โอนหมดแล้วแล้วไอคอนโดข้างๆราคามันปรับขึ้นทุกวันคุณโทรไปถามได้เนี่ยคุณว่ามันโอนหมดปะ ตรงนี้คือสิ่งที่ควรละเอียดแต่ส่วนใหญ่คุณกลับหยาบไปนั่งเช็คค่า pe pbv roe อันนี้ผมแนะนำละกันนะจากการศึกษาของผมเองผมคิดว่าคนเทพๆกว่านี้เขาคงแนะนำไปเยอะแล้วละแต่มันคงไม่อยู่ในเฟสบุค555
ตลาดหุ้นภาค 2
-หลังจากเขียนภาค 1 ไปสามปีก่อน เลยมาเขียนต่อนะครับ
บทความนี้สำหรับกลุ่มคนอ่านมี พื้นฐานหุ้นขั้นกลางขึ้นไปนะครับ
เนื่องจากมีหลายคนปรึกษาผมเรื่องพอตปีนี้เสียหายหนักเลยอยากถามแนวคิด วรรคแรกของบทความเลยสำหรับกลุ่มคนที่ปีนี้เสียหายจากการลงทุน เช่น ล้างพอตเดือนมีนา ,ช็อตหุ้นตอนดัชนี 1000 วรรคนี้เขียนเพื่อให้กำลังใจท่าน
สำหรับคนที่เข้ามาลงทุนหลังเดือนมีนาแล้วกำไรเป็นกอบเป็นกำ แนะนำว่าไม่ต้องอ่านวรรคนี้ครับ ให้ข้ามไปเลย ไปอ่านหลักจากคำว่า จบวรรค 1
วรรคที่ 1 ผมเคยฟัง ลพ ไพศาล บอกว่าที่ต่างประเทศเขาไปทำวิจัยว่าคนหนุ่มสาวกับคนแก่ ใครมีความสุขมากกว่ากัน ตอนแรกที่ผมฟังก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นคนหนุ่มเพราะสุขภาพดีกว่า แต่ปรากฏว่ากลายเป็นคนแก่ เขาให้เหตุผลว่า เพราะคนหนุ่มสาว ยังหวังถึงความสุขในอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง ในขณะที่คนแก่จะมีความสุขกับปัจจุบัน เพราะรู้ว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว อยู่ได้อีกไม่กี่ปี ในขณะที่ความผิดหวังต่างๆจะไม่ได้กระทบจิตใจเขามากเพราะเจอความผิดหวังมาตลอดชีวิตจนเริ่มชินชา ในขณะที่คนหนุ่มสาว การผิดหวังครั้งแรกๆ การอกหัก เปิดบริษัทแรกแล้วล้มเหลว จะกระทบกระเทือนใจเขามากๆๆ เป็นต้น ถามว่าผมได้มุมมองอะไรจากการอ่านเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าคุณเพิ่งผิดหวังหรือเจออะไรไม่ดี ก็ถือซะว่า ครั้งต่อไปมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจคุณน้อยลง เพราะคุณเริ่มเรียนรู้ว่าชีวิตมันก็แบบนี้ ขนาดการ์ตูนยังไม่มีที่ความสำเร็จง่ายๆตลอดเลย ลูฟี่ ยังเคยแพ้ คร็อกโคได เลย และก็ช่วยเอสไว้ไม่ได้ด้วย แต่การเสียเอสไปก็ทำให้ลูฟี่ ฝึกจนเก่งขึ้นมากๆและปกป้องเพื่อนในกลุ่มสุดชีวิตเพราะไม่ต้องการสูญเสียใครไปอีก(ถ้าคุณไม่อ่านวันพีชไม่ต้องสนใจหาคำตอบว่าลูฟี่ กับเอสคือใครนะครับ) การ์ตูนยังแบบนี้แล้วในชีวิตจริงอะไรๆจะราบรื่นตลอดเหรอ ดังนั้นวิธีคิดที่จะทำให้คุณฝ่าฟันช่วงเวลาแย่ๆได้ก็คือ คุณต้องคาดหวังถึงเรื่องดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณเพิ่งขาดทุนหนักแล้วคุณคิดว่าชีวิตคุณจะไม่มีทางกลับไปกำไรได้ ถ้าคิดแบบนั้นชีวิตมันจะมืดมนขนาดไหน แต่ในเวลาแย่ๆก็สร้างภาพอนาคตที่สวยหรูไว้ในใจบ้าง จะได้มีกำลังใจฝ่าฟันช่วงแย่ๆไปได้ ถ้าคุณขาดทุนหุ้นแล้วยังไม่ถึงขนาดติดลบเป็นหนี้ ถือว่าคุณยังโชคดีกว่าคุณตัน เพราะผมเคยอ่านหนังสือคุณตัน สมัยลอยตัวค่าเงินเป็นหนี้ 100 ล้าน แล้วหาเงินไม่พอดอกเบี้ยจ่าย ตอนเดือนมีนาที่หุ้นลงแรงๆผมก็คิดแบบนี้แหละ ว่าเอาว่ะถึงเงินลดแต่เราก็ยังมีเหลืออีกเยอะ คนเป็นหนี้ยังกลับมาได้เลย
มีคำคมว่า การตัดสินใจที่ดีมักจากการตัดสินใจที่ไม่ดีในอดีต และประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต ดังนั้นการตัดสินใจผิดพลาดของคุณควรจะเป็นพื้นฐานให้คุณตัดสินใจได้ดีในอนาคต
เพิ่มเติมคือ- การตัดสินใจที่ดีก็สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่แย่ได้เหมือนกัน เมื่อคนเราตัดสินใจถูกต้องหลายครั้ง คนเราจะเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และคิดว่าโอกาสที่ตัวเองจะตัดสินใจแย่ๆมีน้อย ทำให้สุดท้ายนำไปสู่การตัดสินใจที่แย่ ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอะไรถูกต้อง พยายามระลึกถึงช่วงแย่ๆเอาไว้เพื่อไม่ให้เรามั่นใจเกินไป รักษาความสุขุมรอบคอบเอาไว้
สำหรับทุกคนที่ลงทุนแล้วเพิ่งเสียหายหนักในรอบที่ผ่านมา ผมคิดว่าจริงๆความผิดหวังทุกครั้งควรทำให้คุณรับมือกับมันได้ดีขึ้นในครั้งถัดไป สมัยก่อนผม overconfident มากผมลงทุนจนไม่มีเงินในแบงค์แล้วคิดว่าอีก 2 เดือนหุ้นขึ้นผมจะได้ขายหุ้นได้ราคาดีกว่านี้แล้วค่อยถอนมาใช้ แต่หลังจากที่หุ้นลงหนักผิดคาด ผมเลยรบกวนแม่ให้ช่วงขายทอง 10 บาท หมุนเงินให้ผมหน่อย สองเดือนผมก็คืนเงินแม่แล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้กูไม่เอาแบบนี้ล่ะ หลังจากนั้นผมก็ต้องมีเงินในแบงค์อยู่เยอะพอที่จะใช้ไปได้หลายๆปี บางครั้งผมอยากเอาเงินตรงนี้ไปซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ผมก็ต้องเผื่อไว้ ว่าถ้าอะไรมันแย่กว่าที่คิด การที่หุ้นตกต้องไม่กระทบชีวิตประจำวันของเรา ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือลงทุนเล่มนึง(จำไม่ได้เล่มไหน) ว่า สิ่งที่เราคาดว่าจะเลวร้ายที่สุด มักจะไม่เลวร้ายเหมือนที่เกิด(เราคาดเลวร้ายน้อยไป) เขาเปรียบเทียบกับว่า มีคนเดิมพันม้าแข่ง โดยที่ทั้งสนามมีม้าแค่ตัวเดียว (ไม่น่าเรียกม้าแข่ง) คือยังไงมันก็ต้องถึง ต่อให้มันตะแคงตัวกลิ้งไป เพราะมันไม่มีคู่แข่ง แต่ปรากฏว่าม้าตัวนั้นวิ่งไปแปปนึงมันกระโดดออกนอกลู่แล้ววิ่งหายไปเลยไม่ถึงเส้นชัย แบบนี้คืออะไรที่คุณคิดว่าแย่สุด เช่น ถึงช้ามากๆ แต่จริงๆคือมันไม่ถึงเลย โควิช หรือวิกฤติทุกรอบก็คล้ายๆกับม้าที่กระโดดออกจากลู่วิ่ง คือเกินคาด ดังนั้นการมีเงินสำรองไว้เผื่ออะไรแบบนี้จำเป็น ผมเคยพลาดมาแล้ว ผมเลยจะเหลือเงินไว้นอกตลาดระดับที่ผมต้องไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตเสมอ ครั้งแรกที่ผมโดนหนักๆผมเตรียมตัวไม่ดี แต่พอผมโดนผมก็ปรับตัว ถ้าคุณเพิ่งโดนครั้งแรก คุณก็เรียนรู้จากมันไปว่าเราต้องเผื่อสถานการณ์แบบนี้ไว้เสมอ นี้เป็นเหตุผลว่าผมจะไม่พูดว่า หุ้นจะไม่หลุดดัชนี xxx เพระผมไม่รู้ว่ามันจะมี ปัจจัยอะไรที่ผมคิดไม่ออกปรากฏออกมาบ้าง ดังนั้นคนที่บอกว่าหุ้นจะไม่หลุดเท่านั้นเท่านี้จะเป็นคนที่มีโอกาสพูดผิดสูง เพราะคุณมักพูดโดยอิงสถานการณ์ปกติ ไม่ได้อิงสถานการณ์ หงดำ แต่โลกความเป็นจริงคุณต้องวางแผนการเงินและการลงทุนเผื่อสถานกาณ์พิเศษไว้เสมอ
จบวรรคที่ 1
– ในหนังสือ beating the street ของ peter lych ซึ่งเป็นหนังสือที่นักลงทุนแนวพื้นฐานทุกคนต้องอ่านได้เขียนไว้ว่าสิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความฉลาดแต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ยิ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาหนาว ผมคิดว่าประโยคสั้นๆประโยคนี้แทบจะเป็นหนึ่งใน highlight ของหนังสือการลงทุนระดับตำนานเล่มนี้เลย เพราะถ้าคุณลงทุนแนวพื้นฐานที่ไม่ได้ซื้อๆขายๆบ่อยมากค่อนข้างถือยาว คุณจะต้องเจอกับการปรับตัวแรงของตลาดเป็นระยะๆ แล้วถ้าทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวแรงคุณตกใจจนขายหุ้นออกมา ก็หมายความว่าคุณขายหุ้นได้ราคาต่ำ แล้วถ้าคุณขายได้ราคาต่ำหลายครั้งก็ไม่ต้องคิดเลยว่าคุณจะเละขนาดไหน ผมเองลงทุนก็ผ่านภาวะตลาดตกหนักมาหลายครั้ง สมัยลงทุนใหม่เวลาผมเจอหุ้นตกหนักๆครั้งแรกทำอะไรไม่ค่อยถูกเลย ความกดดันสูงมาก แต่พอเจอบ่อยๆก็เริ่มรู้ว่านี้เป็นส่วนนึงของการลงทุน แต่ก็ยังกลัวว่าครั้งต่อไปที่หุ้นลงแรงๆแล้วจะเผลอขายหุ้นออกไป เพราะไม่แน่ว่าครั้งหน้านายตลาดอาจจะเล่นบทได้ถึงพริกถึงขิงมากกว่าเดิม ผมเลยคิดว่าเราควรเพิ่ม eq ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่แค่เพื่อการลงทุน แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย เรื่องการทำสมาธิ ray dalio ผู้บริหารกองทุนระดับโลกก็พูดว่าเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน และเขาก็ส่งเสริมให้พนักงานของเขาทำสมาธิด้วย ถ้าให้พูดให้เป็นรูปธรรมขึ้นการทำสมาธิเกี่ยวอะไร กับการลงทุนหรือการเพิ่ม eq เพราะเวลาที่คนเราตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มันมักจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่นถ้าหุ้นตกหนักๆ(ถ้าเกิดจากตลาดลงแรงแล้วหุ้นทุกตัวโดนเทไม่ใช่พื้นฐานหุ้นตัวนั้นเปลี่ยน) คุณจะเกิดความเครียด ตอนนั้นเรื่องของเหตุผลพื้นฐานไม่ใช่ประเด็น แต่การขายหุ้นออกจะทำให้หายเครียด(ในความรู้สึกคุณตอนนั้น) พอหายหุ้นเสร็จแล้วมันวิ่งไปไกลคุณก็เครียดกว่าเดิม เหมือนดาราบางคนมี มอไซชนท้ายรถ โมโห อยากให้ตัวเองหายโมโหเลยต่อยหน้ามอไซที่มาชนท้ายรถ ปรากฏว่าต่อยเสร็จเครียดหนักกว่าเดิมเพราะหมดอนาคตเลย ไม่มีคนจ้างเล่นหนังหรือโฆษณาแล้ว ผลของการตัดสินใจด้วยอารมณ์มักทำให้เราแย่กว่าเดิมเสมอ
โดยทั่วไปถ้ามนุษย์ตัดสินใจด้วยเหตุผลยังไงก็ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแน่นอน แต่ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะรู้เท่าทันตัวเองว่ากำลังใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล และระงับการตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบได้ เราก็ต้องฝึกที่จะรู้ทันความคิดและอารมณ์ของเราบ่อยๆ ผมเคยพูดในรายการ wealth me up ว่าการที่เราฝึกสมาธิ ฝึกสติ บ่อยๆเหมือนนั่งรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ เราจะไม่เห็นคุณค่าของเข็มขัดนิรภัย แต่พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มีเข็มขัดนิรภัยหรือไม่มี มันคือ ความเป็นกับความตาย คนส่วนใหญ่ขับรถเลือกที่จะรัดเข็มขัดแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจฝึกฝน eq ให้ตัดสินใจในชีวิตอย่างมีสติเท่าไหร่
– เวลาคนเราอยากเรียนรู้อะไร คนเราจะเรียนรู้ได้จากสามทางเป็นหลัก ทางแรกคือ อ่านตำรา ทางที่สองคือเรียนรู้จากบุคคลอื่น และทางที่สามคือ เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเอง เท่าที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมา 16 ปีและได้เจอผู้คนมากมาย ผมคิดว่า มีความสำคัญมากที่เราจะต้องเรียนรู้จาก สองอย่างแรกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อทำให้เราต้องไปเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองให้น้อยที่สุด แต่ต่อให้เราอ่านมากแค่ไหนเราก็ยังต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเองในตลาดหุ้นต่อและ ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะทำให้คุณได้อะไรจากการอ่านและไม่พลาดแบบผม ช่วงปี 2011 ผมเคยซื้อหุ้น siri-warrant(ไม่ใช่dwตอนนั้นตลาดยังไม่มี dw) ตอนนั้นผมถือเพราะคิดว่าน่าจะได้อย่างน้อย 4 เด้ง แต่ตอนนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกทม และเกิดวิกฤติยุโรป ตอนนั้นหนักๆคือ กรีซจะออกจากยุโร คือหุ้นตกหนักมากกก ตอนนั้นผมขาดทุน siri-w ผมรู้สึกหุ้นมันถูกนะ แต่ผมเลือก cut loss และคิดว่าถ้ากรีซพัง นุ่น นี้นั้น หุ้นจะลงไปต่ำๆแล้วผมจะได้ซื้อถูกกว่านี้ ปรากฏว่าผมขายไปเกือบจะจุดต่ำสุด และในปี 2012 จากจุดที่ผมขาย siri-w วิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดประมาณ 1600% นี้เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ผมเจ็บปวดมาก ตอนนั้นผมเล่นไป ¼ของเงินที่ผมมีทั้งหมด หุ้นขึ้นปีเดียวมากกว่า 1000%ผมสิ่งที่ผมได้คือ ขายขาดทุน หลังจากวันนั้นผมคิดเลยว่า ผมจะไม่ยอมขายหุ้นถูกเพราะคิดว่าตลาดจะลงแล้วจะซื้อได้ถูกกว่าอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้อีก ถ้าจะขายก็คือ คิดผิด พื้นฐานไม่ดีอย่างที่คิด หรือเจอหุ้นตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่า แต่ถ้าเป็นตัวเดิมแล้วขายถูกหวังถูกกว่าไม่เอาแล้ว การทำแบบนี้คือลมๆแล้งๆมาก ถ้าขายราคาเหมาะสมแล้วลงมา undervalue ค่อยซื้อใหม่ยังถือว่าสมเหตุสมผล แต่ขายถูกแล้วหวังถูกกว่าเดิมขอโดนแค่ครั้งเดียวพอ แล้วหลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยทำแบบนั้นอีก โชคดีที่ผมสรุปบทเรียนเลยมีโอกาสทำกำไรจาก jas-w3 และ ivl-w2 อย่างเป็นกอบเป็นกำ (การตัดสินใจที่ดีมักจากการตัดสินใจที่ไม่ดีในอดีต)
– ผมมักจะได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นว่าหุ้นตัวนี้ ควรมีพีอีเท่าไหร่ซึ่งจริงๆแล้ว ผมคิดว่าการตอบว่าหุ้นตัวไหนควรมีพีอีเท่าไหร่ มันตอบทีหลัง คุณต้องเข้าใจธุรกิจของมันก่อน แล้วมูลค่าที่เหมาะสมมันจะตามมา
ผมยกตัวอย่างใน อดีต นะครับ สมัยที่ advance มีอัตราการเข้าถึงต่อ ประชากรต่ำมาก ais เคยมีพีอีสูงกว่าทุกวันนี้มาก แต่คนซื้อ ais ที่ราคาตอนนั้นกำไรจากราคาหุ้นเยอะเพราะคุณอาจจะซื้อตอน คนมีโทรศัพธ์ใช้แค่ 10-15% ของประชากรทั้งหมด แต่พอแทบทุกคนมีโทรศัพธ์หมด pe ของมันก็ต่ำลงมาก ถามว่าคนซื้อตอนไหนรวยครับ พีอีสูงหรือต่ำ
ถ้าคุณดู jas ปี 2009-2010 มีลูกค้า 6 แสน ถึง 8 แสนราย บริษัทมีกำไรไม่เยอะมาก แต่พอลูกค้าเพิ่มจากตรงนั้นสองเท่าตอนลูกค้า 1.6 ล้านราย แจสเคยมีกำไรปีละ 3000 ล ถ้าคุณถามว่าตอนแจสมีลูกค้า 6 แสนควรพีอีเท่าไหร่ กลับตอนลูกค้า 1.6 ล้าน ควรมีพีอีเท่าไหร่ มันคงไม่ใช่ประเด็นแรกที่คุณควรถาม ประเด็นคือ อัตราการเข้าถึง อินเตอร์เน็ตบ้านต่อครัวเรือนเป็นอย่างไร ยังเหลือโอกาสเติบโตเยอะไหม แล้วถ้าถามต่อทำไม jas ตอนลูกค้าสองล้านกว่ากำไรถึงลดลง(ไม่นับกำไรจากการขายเข้ากอง) ก็เพราะโมเดลการขายเข้ากองมันทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงเพื่อแลกกับการได้เงินก้อนมาจ่ายปันผล และอีกสองคำถามสำคัญคือ ais เข้ามาแข่งกระทบราคาขายมากน้อยแค่ไหน และเทคโนโลยีที่ต้องลงทุนให้เน็ตเร็วขึ้นแต่เก็บรายได้เพิ่มไม่ค่อยได้ส่งผลต่อกำไรอย่างไรบ้าง
หรือในอดีต ช่วงปี 2548 (ผมขอยกตัวอย่างไกลๆหน่อยเพื่อให้คนที่เข้าตลาดหุ้นมาไม่กี่ปีรู้สตอรี่เก่าๆ) หุ้น oishi สมัยนั้นคุณตันยังเป็นเจ้าของยังไม่ได้ขายกิจการให้คุณเจริญ ตอนนั้น ช่วงปี 47 mkt share ตลาดชาเขียวของ ยูนิฟ ยังมากกว่า oishi ประมาณ 42% ต่อ 38% แต่หลังจากที่ปี 2548 คุณตันออกโปร 30 ฝา 30 ล้านออกมาทำให้กำไรบริษัทเพิ่มเยอะมาก ตอนช่วงปี 48q2 กำไร 1.4 ต่อหุ้นถ้าย้อนไปปี 47q3 0.84 เอง ถ้าคุณถามว่าตอนประกาสกำไร 1.4 บริษัทควรมีพีอีเท่าไหร่ นั้นจะเป็นคำถามที่ทำให้คุณพลาดได้ เพราะตอนนั้นบริษัทมีกำไรดีผิดปกติจาก การซื้อชาเขียวกักตุน และความต้องการชั่วคราว ถามว่ามันเป็นไง สมมุติถ้าคุณจะซื้อหวยอยู่แล้ว ถ้าคุณโดนหวยกินคุณก็ไม่ได้อะไร ทำไมคุณไม่ซื้อ oishi กินแทนล่ะ เพราะถ้าไม่ได้เงินล้าน ก็ยังได้กินชาเขียว แต่ถ้าคุณกินอยู่แล้ว คุณก็ซื้อมาตุนเลยแล้วเปิดทุกฝาออกมาดูก่อนว่ามีซักฝาไหมที่จะได้เงินล้าน ถ้าไม่มีแล้วก็ปิดฝาขวดแน่นๆเก็บไว้กินต่ออีกหลายเดือนเต็มตู้เย็น ฮ่าๆๆๆ (ผลกระทบอาจเป็นเบาหวาน) ถ้าคุณเอากำไรตอนนั้นมาเป็นฐานคูณจะได้ภาพธุรกิจที่ผิด เพราะไตรมาสต่อมา กำไรจาก 1.4 ต่อหุ้นเหลือ 0.77 ก่อนถามว่าควรพีอีเท่าไหร่ ให้ถามก่อนเสมอ กำไรที่เห็นอยู่ มันดีผิดปกติไหม แย่ผิดปกติไหม อนาคตมีโอกาสเป็นไงบ้าง( ซึ่งการมองให้ขาดว่ากำไรที่เห็นอยู่ปกติไหม ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเองลงทุนมา 16 ปี ก็ยังมีผิดพลาดในการไปซื้อบริษัทที่กำไรบางช่วงดีเกินจริงพอเวลาผ่านมางบออกมาก็ทำให้รู้ว่าเรายังมองหุ้นตัวนั้นไม่ขาด เรื่องพวกนี้การหาความรู้มากๆน่าจะช่วยลด% การผิดพลาดลงได้แต่ไม่มีทางที่จะไม่ผิดพลาดเลย )
ทุกวันนี้ คนถามๆกันว่า หุ้น โรงไฟฟ้าทางเลือกบางตัวควรมีพีอีเท่าไหร่ จริงๆแล้วบางตัว adder ที่ได้มาสิบปีใกล้หมดแล้ว แต่นักลงทุนมือใหม่บางคนก็ดูแต่จำนวน mw ที่จะได้ใหม่ๆจากโครงการต่างประเทศ แต่คนที่ดูมานานหน่อยจะเข้าใจว่าค่าไฟต่อหน่วยของโครงการหลังๆต่ำกว่าสมัย adder 8 บาทมาก และอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หุ้นทุกตัวที่เคยได้ adder 8 บาท โครงการเหล่านั้นค่าไฟต่อหน่วยจะหายไปมีนัยยะมาก(เพราะครบ10ปีตั้งแต่เริ่ม cod) และหลังจากพวกได้ adder 8 บาทหมดอายุก็จะตามมาด้วยกลุ่มที่ได้ adder 6.5 ที่จะทยอยหมดต่อ นักลงทุนก็ต้องดูตรงนี้ จริงๆธุรกิจแบบนี้ถ้าทำ dcf จะเห็นภาพชัดกว่าดูกำไรแล้วคูณพีอี
พอจะเห็นภาพไหครับว่า ทำไมผมถึงบอกธุรกิจมาก่อน valuationผมเคยอ่านเจอนักวิเคราะห์ทำ dcf หุ้นโรงกลั่น เอาจริงๆ แค่ปีหน้าคุณก็คาดกำไรผิดแล้วครับ ไม่ต้องพูดถึงกำไร 5 ปีแล้วคิดมูลค่าซากต่อหรอก แค่ค่าการกลั่นปีหน้าจะเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ถ้าคุณเข้าใจธุรกิจคุณจะพอรู้เองว่าวิธี valuationแบบไหนถึงจะเหมาะกับมัน และอันไหนไม่เหมาะ การที่คุณจะมองธุรกิจขาดเป็นเรื่องยากถึงยากมาก แต่รางวัลของมันก็สุดยอดมากเช่นกัน ผมเชื่อว่าคนมองธุรกิจขาดจะเป็นคนที่สามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆ
-อย่าซีเรียสกับการผิดพลาดบ้าง ให้ดูผลตอบแทนเป็นหลัก ผมคิดว่าคนที่ลงทุนต่อให้เก่งระดับประเทศก็ยังเลือกหุ้นผิดพลาดเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาพอตโตแบบมีนัยยะการเลือกหุ้นผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมยกตัวอย่าง สมมุติผมเลือกหุ้น 10 ตัวแล้วผิด 3-4 ตัว แต่ผลตอบแทนผมดีพอสมควร กลับผมเลือกหุ้น 10 ตัวแล้วผิดแค่ 2 ตัวแต่ผลตอบแทนน้อยกว่า แบบหลังถือว่าแย่กว่า คนอ่านแล้วคงจะนึกว่าผมสับสนกับสิ่งที่เขียนหรือเปล่า ไม่ได้สับสนครับ สมมุติผมรอนานมากๆ จนรู้สึกว่าหุ้นต้องถูกสุดๆของสุดๆแล้วค่อยซื้อ ผมอาจจะพลาดน้อยครั้งมากๆ แต่สิ่งที่ผมต้องแลกก็คือผมก็พลาดโอกาสไปมากเหมือนกัน ทำให้แม้ว่าจะผิดน้อยแต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าแบบที่ ขอราคาถูกหน่อยแต่ไม่ต้องถึงกับถูกแบบสุดๆจนอาจจะแทบไม่มีโอกาสซื้อหุ้น ดังนั้นเราควรจัดพอตให้ รับความเสี่ยงต่ำ ในแต่ละการซื้อควรมี risk น้อยเทียบกับ reward แต่ถ้าเราตกรถแล้วตกรถอีก แสดงว่าเราให้น้ำหนักกับความเสี่ยงมากไปจนพลาดโอกาสทำกำไรหลายครั้งเราควรปรับให้เหมาะสมขึ้น แต่ถ้าเราลงทุนแล้วผิดบ่อยมากเช่นเกิน 50% แสดงว่าเราเน้นเรื่อง รีเทินที่น่าจะเกิดจนประเมิน risk น้อยไป ก็ควรปรับให้ซื้อหุ้นน้อยครั้งลง
-ช่วงที่ผ่านมาผมเจอกับผู้คนหลากหลายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการหุ้น(วงการช็อปปิ้ง) พวกเขาถามผมว่าผมทำอาชีพอะไรทำไมมีเงินมาซื้อของเยอะ พอผมบอกว่าเป็นนักลงทุน เขามักจะบอกว่าผมสบายเนอะ งานไม่หนัก ผมก็ยิ้มๆและไม่พูดอะไรมาก เขาก็ถามผมว่าทำยังไงจะเป็นนักลงทุนแบบผมได้ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนรวยๆพอผมเล่าว่าผมอ่านข้อมูลมหาศาลขนาดไหนจะฟังแล้วถอดใจแล้วถามว่าตัวไหนน่าเล่น ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยอยากคุยเรื่องการลงทุนต่อ ผมหันไปถามเขาเรื่อง ช็อปปิ้งแทนเพื่อเปลี่ยนประเด็น มีคนมาชวนผมไปพูดให้พวกคนกลุ่มมีกำลังเงินมากๆฟังเรื่องการลงทุนผมปฏิเสธไปทุกที่ เพราะผมสัมผัสว่าคนกลุ่มนี้มีชีวิตดีอยู่แล้ว เขาชอบใช้ชีวิต เขาจะไม่อยากมาลำบากหาข้อมูลพยายามอะไร ผมเลยคิดว่าผมไปพูดก็ไม่ได้มีประโยชน์เพราะ คนกลุ่มนี้ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลยไม่ได้คิดจะลงทุนลงแรงอะไร ซึ่งผมคิดว่าในมุมของเขาก็ถูกนะ เพราะกลุ่มนี้รวยจากธุรกิจควรจะเอาเงินไปใช้ชีวิตมากกว่ามานั่งคิดแต่เรื่องหาเงินเพิ่มในสิ่งที่อาจจะไม่ใช่ทางของตัวเอง แต่มีโรงแรมแห่งนึงที่ผมไปใช้บริการบ่อยและสนิทกับผู้จัดการ พนักงานโรงแรมนี้บริการดีทุกคน วันนึงผู้จัดการโรงแรมติดต่อมาว่า ถ้าอยากให้พูดเรื่องการลงทุนให้พนักงานโรงแรมเขาฟังได้ไหมเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิซมากเผื่อจะเป็นรายได้เพิ่มเติม ผมตอบตกลงไป เพราะคนกลุ่มนี้จะมีแรงผลักดันอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จะตั้งใจมุ่งมั่นมากกว่า ผมไปพูดก็เหมือนเอาอาหารไปให้คนหิว คนได้รับก็ตั้งใจกิน ฮ่า เท่าที่ผมสัมผัส ถ้าเป็นคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ถ้าอายุ 30 กว่าขึ้นไป จะรู้สึกเสียดายที่เพิ่งเริ่มสนใจการลงทุน คือเขารู้สึกว่าควรสนใจเร็วกว่านี้หลายปี ผมเจอแบบนี้หลายสิบคนเลย และหลายคนจะจริงจังกับเรื่องการลงทุนมากขึ้นเมื่อมีลูก เพื่อนผมที่ลงทุนจริงจังปีนี้ เปลี่ยนตัวเองจากคนไม่ชอบอ่านหนังสือเลย เป็นอ่านแบบบ้าคลั่งมาก ผมบอกให้ฟังคลิปอะไรแล้วสรุปก็ส่งมาให้ทางไลน์ เยอะจน ผมถามไปว่านี้มึง copy ใครมาส่งให้กูปะเนี้ย มันก็เลยบอกว่ากูพิมพ์เองทุกประโยค แล้วมันก็ส่งที่จดด้วยลายมือก่อนจะพิมมาให้ไม่รู้กี่แผ่นเพื่อตอกหน้าผมว่ามันไม่ได้ copy ใครมามันสรุปเอง บางทีการที่เพื่อนผมทำแบบนี้ก็ทำให้ผมมีไฟในการลงทุนไปด้วยเพราะเราเห็นเขาขยันมาก แล้วพอเราพูดอะไรไปเขาก็พร้อมเรียนรู้มาก เหมือนเขาหิวจัดแล้วเรานำอาหารดีๆมาวางให้เขากิน เพื่อนในกลุ่มหลายคนแซวเขาว่า น่าจะมีลูกตั้งนานแล้วจะได้คิดเป็นแบบนี้ ฮ่า สิ่งที่ผมได้สัมผัสคือ ความรักของแม่ที่มีให้ลูก ไม่น่าเชื่อว่าจากคนที่ไม่ชอบการอ่านอย่างร้ายแรงจะอ่านได้มากมายขนาดนี้ เขาทำทั้งหมดนี้เพราะไม่อยากให้ลูกโตขึ้นลำบาก ความรักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
-วรรคสุดท้าย สำหรับคนกลุ่มที่มาลงทุนหลังเดือนมีนาแล้วกำไรเยอะ ถ้าท่านเพิ่งเปิดพอตลงทุน แล้วกำไรเยอะมาก โดยที่ท่านไม่ได้รู้ว่าหุ้นที่ทำกำไรให้ท่าน มีกำไรโตหรือไม่ พีอีเท่าไหร่ แต่แค่ซื้อเพราะเห็นราคาวิ่งซื้อเพราะเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิซและตกลงมาเยอะแล้วมันเด้งกลับ ท่านไม่ควรไปแนะนำคนอื่นมาลงทุนต่อแล้วบอกว่าการลงทุนง่าย และตัวท่านเองไม่ควรนำเงินมาลงทุนเพิ่ม เพราะเงินก้อนต่อไปของท่านอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่สวยหรูเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเงินก้อนแรก ถ้าท่านจะลงทุนต่อควรศึกษาจริงจังและคิดว่าผลกำไรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนโบนัสพิเศษที่นานๆทีจะได้ที แต่โบนัสพิเศษไม่ได้เป็นเงินเดือนประจำ ถ้าท่านไม่ขยันทำงานนอกจากจะไม่ได้โบนัสบริษัทยังจะถูกไล่ออกจากงาน(เปรียบกับไม่ศึกษาข้อมูลแต่คิดว่าจะกำไรง่ายๆแต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้เพิ่มอาจเสียหาย)
จบก่อนจะยาวเกินไป ฮ่า เพราะบทความนี้ยาวที่สุดตั้งแต่เคยเล่นเฟสบุคล่ะ
ในอนาคตจะมาเขียนภาค 3 ต่อ
สรุปความรู้งานสังสรรค์ VI ครั้งที่ 1 ปี 2567 (30 Mar 24)
เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสังสรรค์ VI ครั้งที่ 1 ปี 2567 เมื่อวันเสาร์ที่ 30 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นครับ
Session : ร่วมพูดคุยกับพี่ๆ รุ่นเก๋า (อ.นิเวศน์, พี่มล, พี่วิบูลย์)
1.หุ้นดีแต่ราคาแพง อาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่ดีก็ได้
2.การลงทุน Style หุ้นก้นบุหรี่
หุ้นที่มีมูลค่าอยู่ พื้นฐานทางธุรกิจพอไปได้ เมื่อราคาหุ้นเริ่มรับรู้ (Realize) ก็ค่อยขายไป ใช้ประโยชน์จากการที่หลายๆคนในตลาดเข้าใจผิด เมื่อหลายคนเริ่มรับรู้มูลค่านั้น ก็จะทำให้ราคาหุ้นเริ่ม Realize และเป็นโอกาสขายหุ้นนั้น Style การลงทุนแบบนี้ คิดว่ายังสามารถคาดหวังผลตอบแทน 15-20%/ปี ในเมืองไทยยังอาจจะเป็นไปได้
(สามารถอ่านศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก แนวทางการลงทุนหุ้นก้นบุหรี่แบบเกรแฮม)
3.การลงทุน Style หุ้น Growth
ซื้อหุ้นที่มีการ Growth ของกำไร โดยมีเกณฑ์ในการลงทุนคือซื้อหุ้นที่ดี มีความสามารถในการแข่งขัน เป็นผู้นำตลาด , คนใช้บริการเยอะ ซื้อเพื่อถือหุ้นนั้นในระยะเวลาที่ยาวนานพอ จนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนถึงมูลค่าของบริษัท ซึ่งตรงจุดนี้นั้น ก็เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจอีกทีเพราะในบางครั้งราคาหุ้นสะท้อนถึงมูลค่าของบริษัทแต่ถ้าบริษัทยังผลประกอบการและกำไรยังดีต่อเนื่องหรือดีขึ้นจากเดิม ก็จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
(ขยายความเพิ่มเติม พี่วิบูลย์ เคยเจอว่าบางครั้งขายหุ้น Growth ที่ราคาหุ้นถึง Valuation ที่เคยประเมิน แล้วรีบขาย ปรากฎว่าหลังจากนั้นพื้นฐานกิจการยังดี กำไรเติบโตดีอยู่ก็ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นยิ่งกว่าขณะที่ขายไป)
4.ถ้าเราเลือกซื้อหุ้นได้ถูกต้องต่อให้มีวิกฤติทำให้ราคาหุ้นลดลงกว่า 50% แต่ถ้าพื้นฐานกิจการดี หลังจากเกิดวิกฤติใช้เวลาสักระยะเวลานึง ราคาหุ้นหลายตัวก็สามารถกลับมา All Time High ได้
5.อ.นิเวศน์ ในระยะยาว ตลาดหุ้นมักจะสะท้อนภาพทางเศรษฐกิจและคนของในประเทศนั้นๆ อย่างบ้านเราที่เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ก็อาจจะทำให้ภาพการเติบโตไม่ได้สูงมาก ทำให้อาจจะต้องเปลี่ยนแนวการลงทุนเป็นลงทุนในบาง Sector ที่ยังได้เปรียบ แต่ถ้าเป็นลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยเกิดโอกาสที่สามารถสร้างบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้
6.พยายามเลือกลงทุนในแหล่งที่มีปลาชุกชุม (แหล่งที่มีหุ้นเติบโตในราคาที่ไม่แพงจำนวนมาก) แม้จะมีโอกาสที่ผิดพลาดบางส่วนก็ยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่ดีในระดับนึงบ้าง เทียบกับการเลือกลงทุนในแหล่งที่ไม่ค่อยมีปลา อาจจะต้องเหนื่อยในการพยายามให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
7.นักลงทุน VI ควรจะลองศึกษาประวัติศาสต์ในอดีตให้มาก ถ้าศึกษาให้ดีจะพบว่าเราควร “อย่าไปคิดว่าทุกอย่างในการลงทุนจะยั่งยืน”
8.พึงใช้ความระมัดระวังการติดตาม Influencer ในการลงทุน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าหลายๆครั้งจะพบว่ามี Influencer ทั้งในและต่างประเทศที่ดังขึ้นมาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็หายไป
(ถ้าเราหลงไปเชื่อโดยไม่ได้มีความระมัดระวังให้ดีก็อาจจะทำให้หลงทางและอาจทำให้ Port การลงทุนเสียหายได้, ปล.แม้จะเป็น Influencer ที่มีประสบการณ์การลงทุนสูงๆ เราก็ควรจะมีวิจารณญาณในการกลั่นกลองสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองให้ดีก่อนที่จะเชื่อ)
9.การลงทุน ถ้าเราเพิ่งเริ่มลงทุนในวันนี้นั้น มันอาจจะไม่ง่ายเหมือน 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน Average return สัก 10-15% ยังพอหาได้ เวลาเลือกลงทุนควรจะไปเลือกดูอนาคตของประเทศในโลกนี้ประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเองเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยแล้วยังมีความรู้การลงทุนที่ไม่แน่นพอ หรือยังไม่มีหลักการลงทุนที่ดีก็อย่าเพิ่งรีบไปลงทุนในต่างประเทศ
10.คำเตือนและคำแนะนำของพี่ๆแต่ละท่าน
10.1 พี่วิบูลย์
สิ่งที่ทำแล้วมีโอกาสทำให้ลงทุนแล้วเสียหาย (เจ๊ง) คือ
1.)ซื้อตามชาวบ้าน โดยที่ไม่รู้ลึกๆจริงๆ ว่าหุ้นนั้นดียังไง
2.)ซื้อหุ้นที่เราไม่เข้าใจ
3.)ซื้อหุ้นที่คนอื่นกำลังเล่นกันอยู่
4.)ซื้อหุ้นแบบเก็งกำไร
5.)ไม่มีกลยุทธ์หรือแผนการลงทุนที่ดี เช่น ราคาหุ้นขึ้นไป ก็ไม่รู้จะขายที่ราคาเท่าไร หรือหุ้นราคาลงก็ไม่มีแผนว่าจะจัดการกับการลงทุนนั้นยังไง อะไรจะเป็นจุดที่เราจำเป็นต้อง exit จากหุ้นตัวนั้น
สิ่งที่ควรทำ
1.)ศึกษาการลงทุนให้ดี เช่นลองเลือกอ่านจากหนังสือของ Warren Buffet, Charlie Munger, Phillip Fisher และพยายามศึกษาประวัติศาสตร์ให้ได้เยอะๆ
2.)ศึกษาหุ้นที่ลงทุน จนสามารถเข้าใจได้อย่างดี
3.)เข้าใจจิตวิทยาการลงทุน และพยายามฝึกตัดสินใจให้เป็นอิสระกับคนอื่น เช่นจงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว เวลาฟังดูเหมือนจะไม่ยาก แต่ถ้าเราไม่มีการฝึกให้ดี ถึงเวลาจริงๆเราก็อาจตัดสินใจเหมือนๆกับคนอื่นๆ
10.2 พี่มนตรี
สิ่งที่ไม่ควรทำ
1.)ซื้อหุ้นตามชาวบ้าน หรือ Influencer ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเยอะ ทำให้ MOS (Magin Of Safety) เหลือนิดเดียว ซึ่งจะเป็นจังหวะที่มีความเสี่ยงสูงมาก
สิ่งที่ควรทำ
1.)บริหารความเสี่ยงให้ดี
2.)กระจายการลงทุนให้เหมาะสม อันนี้ขึ้นกับแต่ละคน ยกตัวอย่าง เช่นกระจายการลงทุน ไม่เกิน 20 ตัว โดยที่เราอาจจะถือหุ้นสัก 10-15 ตัว ซึ่งในกรณีนี้ต่อให้มีหุ้น 1 ตัวใน Port ราคาลดลง 50% ก็อาจจะทำให้ Port โดยรวมไม่ได้เสียหาย
3.)Focus หุ้นที่ซื้อ หาของที่ดีๆในราคาที่ถูก
4.)อดทนรอคอยให้เป็น ถ้ายังไม่ใช่จังหวะเวลาที่ใช่ก็ยังไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้น
10.3 อ.นิเวศน์
1.)กลยุทธ์การลงทุนมองสั้นๆ แบบ Trading มันไม่ยั่งยืน พยายามฝึกมองระยะยาว แบบ Strategic
2.)เลือกแหล่งในการลงทุนให้ดี เช่นเซียนหรือนักลงทุนที่เก่งๆ เวลาลงทุนในตลาดไทยก็ยังอาจจะต้องเหนื่อย ถ้าจะคาดหวัง Return ระดับ 15-20% ในตลาดไทย ในขณะที่ถ้าไปลงทุนในต่างประเทศในบางประเทศ เป็นนักลงทุนธรรมดาทั่วไปก็ยังอาจได้ Return ระดับ 13-20% ซึ่งบางทีการไปซื้อกองทุนรวม หุ้นที่ดีในบางประเทศก็อาจจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
3.)กล้า Take Risk ในจังหวะที่เหมาะสม และให้โอกาสการลงทุนที่นานพอ เช่น 10 ปีขึ้นไป
4.)พยายามตั้งใจทำงานเพื่อสะสมเก็บออม นำมาลงทุนเพื่อต่อยอดให้ได้เยอะๆ
Session : Q& A กับพี่มี่และพี่เชาว์ แบบสบายๆ
1.)Question : ถ้าลงทุนในประเทศไทย ไม่ได้ไปต่างประเทศ จะมี Playbook การลงทุนอย่างไร
Answer :
P’เชาว์ 1.)เน้นหาหุ้น Growth ที่รายได้โต, กำไรโต, ปันผลโต โดยหาจังหวะเข้าซื้อตั้งแต่ยังเป็นตอน early stage ของการเติบโต และพยายามเลือกหุ้นไทยที่ Size Market Cap ที่ไม่ได้ใหญ่มาก เช่น Size ไม่กี่พันล้านบาท
ปัจจุบันผู้ชนะในหลายๆอุตสาหกรรมคือคนที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยสรุปคือเน้น Super stock ที่ Size ไม่ได้ใหญ่มาก
P’มี่ 2.) ยังมองภาพบวกกับประเทศไทยว่ายังมีอนาคต หลังจากมีการเปลี่ยนผู้นำ ก็มีการพยายาม Road show ในต่างประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลข FDI (Foreign Direct Investment) ก็มีตัวเลขที่เยอะสูงขึ้นมาก
ในส่วนของ Playbook ในการลงทุนนั้นพี่มี่ก็มีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์สูงๆในหลายๆท่าน เช่น
– พี่ Yoyo พยายามหาข้อมูลอย่างละเอียดในแต่ละตัวเพื่อนำมา Valuation เมื่อถึง ราคาเป้าหมายก็ Switching เพื่อเปลี่ยนไปเลือกซื้อหุ้นตัวอื่นแทน
– พี่หมอสามัญชน เน้นเลือกลงทุนในหุ้น Commodity
– พี่หมอพงศ์ศักดิ์, พี่ประชา เน้นเลือกลงทุนในหุ้น Growth ที่เติบโตได้ยาวนาน
ซึ่งวิธีการลงทุนอาจจะไม่ได้ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการลงทุนในแนวที่คุณเชื่อและเหมาะกับนักลงทุนแต่ละท่าน
2.การลงทุนนั้นพยายามเลือกหุ้นที่เป็น Good Idea ในจังหวะเวลาที่หลายๆคนในตลาดยังมองภาพเห็นไม่ค่อยชัด ซึ่งบางทีในจังหวะที่เลือกลงทุนอาจจะเป็นแค่เราหรือคนไม่กี่คนในตลาดที่มองเห็น เพราะถ้าทุกคนในตลาดเห็นภาพนั้นเหมือนกันทั้งหมด ณ ระดับนั้น Upside การลงทุนก็อาจจะเหลือไม่มากแล้ว
3.Question : ฝากพี่ทั้ง 2 ท่านช่วย Share ประสบการณ์ที่ได้ตกผลึกจากการลงทุนในปีที่แล้ว (2023)
Answer :
P’เชาว์ ปีที่แล้วเป็นปีที่คนส่วนใหญ่บาดเจ็บขาดทุนจากการลงทุน อย่างไรก็ตามก็มีนักลงทุน VI ส่วนหนึ่งที่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดี เช่นเกิน 30% ซึ่งถ้าไป Ranking performance ของหุ้นทั้งหมดในตลาด ในแต่ละปี 100 ตัวแรกก็มักได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นมากกว่า 30% ซึ่งปรกติจะมีหุ้นแบบนี้แทบทุกปี หน้าที่ของนักลงทุนที่ดีคือพยายามศึกษาเพิ่อหาให้เจอว่าเป็นหุ้นตัวไหนเพราะแค่เจอเพียงแค่ 5-10 ตัว ก็จะทำให้ได้ Return ที่ทำได้เยอะแล้ว
หลังจากจบปีปรกติจะมี Page ที่สรุป 50 ตัวแรกที่ได้ Return ที่ดี พยายามฝึกดูและฝึกคิดประมวลผลเพื่อพยายามเข้าใจว่าทำไมหุ้นถึงได้ Return ที่ดี เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาการลงทุนในปีต่อๆไป
(สรุปคือโอกาสในการลงทุนมีอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องมองให้เห็นโอกาสนั้น)
P’มี่ : ปีที่แล้วทำให้เข้าใจว่าตลาดคาดเดาไม่ได้ แม้ต้นปีจะมองว่าน่าจะดี แต่สุดท้ายแล้วก็มีหุ้นหลายๆตัวที่ราคาลงแรงๆ และบางทีการที่ราคาหุ้นลงแรงๆ เช่นราคาหุ้นลงไปมากกว่า 30-50% ก็อาจจะทำให้แม้กระทั่งคนที่เคยศึกษาหุ้นนั้นอย่างละเอียด ก็อาจจะถูกจิตวิทยาตลาดทำให้เปลี่ยนความเชื่อในหุ้นที่เราเคยศึกษาก็เป็นได้ ซึ่งการจะเป็นนักลงทุนที่ดีก็ไม่ควรไขว้เขวจากเรื่องดังกล่าว เพราะสุดท้ายถ้าธุรกิจที่ดีโอกาสการลงทุนที่ดี อาจจะเป็นจังหวะเวลาดังกล่าว
-พยายามรับฟังทุกข้อมูล อย่างไรก็ตามต้องฝึกที่จะพยายามหาข้อมูลเหตุผลต่างๆมาหักล้างด้วย ว่าเรื่องดังกล่าวจริง/ไม่จริง
-อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ , แม้จะมีเวลาในการลงทุนไม่เยอะ ก็ควรจะต้องหาเจียดเวลาเพื่อมาศึกษา ในกรณีที่เวลาไม่เยอะก็อาจจะฝึกที่ Focus ในการลงทุน และพยายามใช้ Technology อย่างเช่นการใช้ AI เพื่อมาช่วยสรุป รายงานประจำปี ให้เราสามารถอ่านได้ไวขึ้นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง
4.P’เชาว์
-Playbook ในขณะที่ทำงาน IB (Investment Banking) เนื่องจากเวลาที่น้อย จึงพยายามเลือกหุ้นที่มี MOAT สูงๆ ซึ่งมีน้อยมากเช่น ไม่ถึง 3% ของหุ้นทั้งหมดในตลาดที่มีก็ไม่ถึง 30 ตัวทำให้ เลือกดู Opp day หรือติดตามข่าวจำนวนไม่กี่บริษัท
-แนะนำ1.)ให้เลือกอ่านหนังสืออย่างของ Peter Lynch, Warren Buffet
จากนั้น 2.)ศึกษา Case Study หุ้นในอดีตต่างๆ
3.)ทำ Reverse Engineer เพื่อถอดบทเรียนว่าทำไมหุ้นถึงได้รับผลตอบแทนที่ดี เพื่อนำมาเป็น Playbook ในการลงทุนในอนาคตของตัวเอง
5.แนวทางนึงในการศึกษาหุ้นต่างประเทศ คือพยายามฟังสัมภาษณ์ผู้บริหาร เพื่อดู Vision, Story ก่อนว่าเป็นไปได้ไหม ถ้าฟังแล้ว OK ค่อยไปศึกษารายละเอียดอย่างอื่นประกอบ
6.เนื่องจากเราไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้า เน้นการลงทุนในบริษัทที่มี MOAT + Growth Potential + Runway ในการเติบโตที่ยาว แม้ว่าจะมีบางทีที่ราคาหุ้นอาจจะ Sideway แต่ถ้าถือไปยาวนานพอ บริษัทก็จะสะท้อนมูลค่าในที่สุด
7.Re-investment Risk ความเสี่ยงนึงที่หลายๆคนมักไม่นึกถึง คือ การขายหุ้นตัวดีๆใน Port แล้วไปเลือกซื้อหุ้นตัวใหม่ที่คุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าตัวแรก
8.Question : ขอทราบบทเรียนการลงทุนที่ผ่านมาในชีวิตของพี่ทั้ง 2 ท่าน
Answer :
P’มี่ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากพี่ Yoyo หลังจากซื้อหุ้น “ต้องลืมต้นทุน” หุ้นที่ซื้อ ในหลายๆครั้ง ต่อให้ราคาหุ้นหลังจากซื้อลดลงมาพอสมควร แต่ถ้าเราเจอโอกาสการลงทุนหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่ามาก ก็ควรที่จะต้องยอมขายขาดทุนหุ้นตัวแรก เพื่อไปเลือกซื้อหุ้นตัวใหม่ (ต้องพยายามประเมิน Upside/Downside การลงทุนอยู่ตลอด และพยายามเลือกหุ้นจาก Upside การลงทุนที่ดีที่สุด และมีตัวเร่งที่ชัดเจนที่จะสะท้อนมูลค่า โดยมองไปที่ทั้งโอกาสและความเสี่ยง Risk/Reward Ratio)
P’เชาว์ เคยได้อ่านบทความของ Jeff Bezos ว่าพยายามนึกถึงช่วงตัวเองก่อนเสียชีวิต เช่นตอนอายุ 80 ปี ว่าถ้าจะตัดสินใจเรื่องดังกล่าว ตัวเราจะตัดสินใจเช่นไร จะทำให้ตัวเราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
Reflection ตัวเองจากการลงทุน 18 ปีนั้นพบว่า Wealth ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมาจากการเลือกซื้อหุ้นแค่ไม่กี่ตัว ซึ่งสอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ Charlie Munger ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นานที่บอกว่า “ช่วงชีวิตคนคนนึงนั้น จะเจอโอกาสดีๆแค่ 3-4 ครั้ง” เพราะฉะนั้นเราควรที่จะต้องฝึกสมองและฝึกตัวเองให้สามารถ Decision ตัดสินใจให้ดี เวลาเจอโอกาสที่ผ่านเข้ามาเช่น โอกาสที่โยนเหรียญออกหัว ได้ 10-100 เด้ง ในขณะที่โยนเหรียญออกก้อย เสียหายไม่มากเป็นต้น
“พยายามหาโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เจอ และเมื่อโอกาสนั้นผ่านเข้ามาถึง ต้องเฉียบคมในการตัดสินใจ”
ปล. เนื้อหาในบทความอาจจะไม่ตรงกับคำพูดของวิทยากรทั้งหมด เนื่องจากพยายามเรียบเรียงเพื่อให้คนอ่านท่านอื่นเข้าใจได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าท่านใดที่รับฟังในวันนั้นหรือวิทยากรที่แนะนำความรู้ในวันดังกล่าว พบว่าเนื้อหามีความเข้าใจไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนในบางจุด ขอความกรุณาช่วยแนะนำผมเพิ่มเติมมา ณ ที่นี้ด้วย
โดยส่วนตัวขอขอบคุณ
1.วิทยากรในวันดังกล่าว (อ.นิเวศน์, พี่มนตรี, พี่วิบูลย์, พี่เชาว์ , พี่มี่) ที่ช่วยให้ความรู้/คำแนะนำในด้านการลงทุน กับผมและเพื่อนๆนักลงทุน รู้สึกดีใจมากที่ได้พบพี่ๆในบางท่านที่ไม่ได้พบเจอนานแล้วอย่างพี่มนตรี และพี่วิบูลย์ (ที่เป็น 1 ในนักลงทุนระดับตำนานของสมาคม Thaivi) กลับมาในงานเลี้ยงนี้รวมถึงพี่ๆที่มีชื่อเสียงหลายท่านในคืนดังกล่าว
2.พิธีกรรับเชิญ (พี่บอล, พี่โจ ลูกอีสาน, พี่นุช, พี่ Pop, พี่ Aof) เป็นทีมพิธีกรกิตติมศักดิ์ ที่ความรู้การลงทุนของแต่ละท่านแน่นที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในการสัมภาษณ์งาน Meeting ต่างๆ ของสมาคมThaivi
3.พี่ๆน้องๆ ทีมงานที่น่ารัก จากสมาคม Thaivi ทุกท่านที่มาช่วยงานคืนดังกล่าว
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Website Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/31 Mar 24
ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับ Greed & Fear แต่ขึ้นกับ “ความผิดพลาดของความคิดเชิงระบบ” 🧠
.
* เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพบกับได้รับทราบข่าวการสูญเสียไปของ Daniel Kahneman ผมจึงขออนุญาต Repost ผลงานของแกที่ผมเคยสรุปไว้ คิดว่าเป็นประโยชน์กับนักลงทุนมากๆครับ
RIP The great teacher – Daniel
– – – – – – – – – – – – – – – –
ผมมีโอกาสได้อ่าน หนังสือ Thinking Fast and Slow และ Research ชื่อ “Judgment under uncertainty : Heuristics and Bias “
โดย Amos Tversky และ Daniel Kahneman (ผู้ได้รัรางวัล Nobel Memorial Prize สาขา Economic Sciences ปี 2002)
.
📌 ทฤษฏีเดิม เกี่ยวกับสมนุษย์ทางเศรษฐศาสตร์ ;
1️⃣ มนุษย์มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล (Individuals are Rational)
2️⃣ แต่บางครั้งจะมี “ อารมณ์ ” เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ ความคิดเป็นเหตุผลบิดเบือน
# ซึ่งก็เข้าได้กับ แนวคิดทางการลงทุนของเรา คือ ในระยะสั้น ราคาหุ้นนั้นจะขึ้นกับ Emotional (Greed & Fear)
.
📌 แต่ Tversky และ Kahneman กลับเห็นต่าง คือ
ที่จริงแล้วมนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ตัดสินใจแบบมีเหตุผล (Irrationality) หรือ มีเหตุผลในกรอบความคิดที่จำกัด (Bounded Rationality)
.
✍️ จากหนังสือ Thinking Fast and Slow และ Research กล่าวว่า ;
สิ่งที่ทำให้การตัดสินใจของทนุษย์บิดเบือนนั้น คือ “ ความผิดพลาดเชิงระบบ ” (Systematic mistake) ซึ่งเกิดจาก Bias ทางความคิด (Heuristics Bias)
.
📌 ดังนั้น วันนี้เราจะมาทำการสร้าง Awareness ในการรับรู้ Bias กัน
(เพื่อที่เมื่อเจอสถาณการจริง เราจะได้เท่าทันความคิดของตนเอง)
.
🕵️♀️ Heuristics – ความหมาย คือ To discover
กล่าวคือ > การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วโดยใช้ Experience (เดิมที่เราเคยเจอ หรือเคยได้ยินมา) เพื่อลด Complex ของการคิด (ใช้พลังงานลดลง)
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ Thinking fast and slow มันคือ ระบบ 1 คือ ความคิดไว คิดลัด (แต่โอกาสเกิด Bias สูง)
– – – – – – – – – – – – – – – –
” HEURISTICS PRINCIPLE “
(การคิดลัดทางความคิด) มีอะไรบ้าง ?
1️⃣ REPRESENTATIVENESS : การหาตัวแทน
1.1) Insensitivity to prior probability of outcomes :
• การเอาเหตุการที่เคยประสบในอดีตมาเทียบกับ ประสบการณ์ในปัจจุบัน
• เช่น ตอนนั้นเราเจอผู้บริหารพูดไว้ไม่ดี แต่ผลกำไรกลับออกมาดี เราก็คิดในใจว่าผู้บริหารคนนี้ Conservative แน่ ๆ ครั้งหน้าเขาก็พูดแบบนี้อีก เราก็ประเมินให้ดีขึ้นกว่าที่ผู้บริหารพูดไว้ ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ทาง ดังนั้นอีกข้อหนึงที่เราควรประเมินด้วย คือ Sample size (ข้อ 2)
1.2) Insensitivity of sample size :
• การที่มี Sample size (จำนวนครั้งของเหตุการณ์) น้อย ๆ แต่เราก็รีบตัดสินใจ ไปแล้ว
• เช่น เหตุการณ์ข้างบน เราอาจจะฟังผู้บริหารพูดมาแค่ 2-3 ครั้ง แต่ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นอีก 10 ครั้ง ผลก็ออกมาไปในแนวทางเดียวกับที่แกพูดจริง ๆ (เพียงแต่ 2-3 ปีมานี้เศรษฐกิจดีเกินควาเมป็นจริง)
1.3) Insensitivity to predictability :
• การที่คนสนใจเพียงแต่ผลการคาดเดา โดยไม่ได้คำนึงถึง Assumption หรือที่มาที่ไป Reliability ของเนื้อหา
• เช่น หลาย ๆ บทวิเคราะห์ออกมาตั้ง Target price 10 บาท (จากตอนนี้ 5 บาท) เราก็จะรีบเข้าไปซื้อเลย โดยไม่ได้เข้าไปดู สมมติฐาน (Assumption) ของแต่ละบทวิเคราะห์ก่อน ซึ่งสิ่งที่ทุกสำนักเอามา มันอาจจะเป็น Best case เช่นการได้ Deal กลับกัน แล้วถ้าไมไ่ด้ละ ? so เราต้องดู Down side risk ด้วย
1.4) Illusion of validity :
• คือ การที่เราคิดว่าถ้าริษัทมี 1 2 3 แล้ว มันจะเป็นบริษัทที่ดี
• เช่น การที่บริษัทมี Income โตตลอด , Profit โตตลอด , ROE สูง , P/E ต่ำ ต้องเป็นบริษัทที่ดีแน่ ๆ เลยซื้อเข้าไป (โดยไม่ได้ผ่านการ Validity) แต่พอเข้าไปดูจริง ๆ กำไรพิเศษเพียบ
• สำหรับผมการที่เราจะทำแบบตัวอย่างนั้น ใช้ได้เพียงแค่ Screening เท่านั้น เราต้องมีการวิเคราะห์แบบละเอียดเพิ่มเติมด้วย (Analytic protocol)
1.5) Misconception of regression : Regression to the mean
• เราชอบมองว่าบริษัทที่ดีกว่าอุตสาหกรรมมาก ๆ จะดีได้ตลอดได้ (หมายถึงตลาด Oligopoly เพราะ monopoly อาจจะทำได้) แต่ที่จริงแล้วสุดท้ายมันจะ Regression to the mean ดังนั้นการ Valuation ของเราถ้าเป็นระยะยาวมาก ๆ อย่าลืม Discount ส่วนนี้ลงมาด้วย (อย่าให้ Valuation เพลิน ยิ่งถ้าเป็น PER ratio อีก)
– – – – – – – – – – – – – – – –
2️⃣ AVIABILITY : การคิดอย่างง่าย
2.1) Bias due to the retrievability of instance :
• เรื่องที่ถูกลื้อฟื้นง่าย เราจะคิดว่ามันเกิดบ่อย (เกิดความเป็นจริง) ทั้ง ๆ ที่มัน อาจจะ Rare มาก ๆ
• เช่น การที่เราเข้ามาลงทุนใหม่ แล้ววิเคราะห์แบบนี้ ซื้อแบบนี้แล้วหุ้นจะขึ้นเลยทันทีใน 1-3 วันถัดไป ถามว่ามันเกิดได้มั้ยได้ แต่ที่จริงมันมไ่ได้เกิดแบบนี้เสมอไป คนที่ลงทุนมานานจะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้เสมอไป แม้เราจะ Timing Market มากขนาดไหนก็ตาม
2.2) Bias due to effectiveness of research set :
• คนเรามักจะตอบสิ่งที่คิดขึ้นมาง่ายกว่า เมื่อเจอคำถามที่ยาก หรือคนเราจะตอบคำถามที่ง่ายกว่าในการค้นหา
• เช่น ถ้าเราถามว่าบริษัทนี้กำไรโตปีละเท่าไหร่คิด CAGR 10 ปี ย้อนหลัง บางคนก็จะตอบว่ามันโตมาตลอดนะครับ (แต่ ที่ตอบมาคือไม่ตรงคำถาม เขาตอบคำถามที่ง่ายกว่า คือ “ กำไรบริษัทโตไหม ? “ ซึ่งเราไมไ่ด้ถาม !)
• ดังนั้น ถ้าเราจะไปวิเคาะห์ เราต้องเอาสิ่งที่เป็น Objective คือสิ่งที่เราสามารถ Measurement ได้ อย่าหลงไปตาม Subjective ที่เราตอบตัวเองเวลาเจอคำถามยาก ๆ
2.3) Bias of imaginability :
• เรามักจะคิดว่าเราสามารถจินตนาการเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ (+ เราจะสามารถควบคุมมันได้) แต่ที่จริงแล้วมีอีก หลาย Factor ที่เราไม่สามารถนึกถึง ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์
• เช่น เราคิดแล้วว่าเมื่อเกิดวิกฤติเราจะต้อง Cutloss ที่ -15% เนี่ยนะพอหุ้นลงมาถึงตรงนี้เราจะขายหมดพอร์ทเลย
• แต่เมื่อถึงเหตุการณ์ เป็นจังหวะที่เราพึ่งซื้อหุ้นเข้าไป และตอนนี้ถือหุ้นเต็มพอร์ท เห็นเงินที่ติดลบ 1 ล้านบาท (นี้มัน Civic 1 คันเลยนะ) ความคิด Anchoring bias เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา >> สุดท้ายไม่ได้ขาย ลงไป -30% (แล้วกลับมาโทษตัวเองว่าทำไมไม่ขาย)
2.4) Illusory correlation :
• การสร้างความสัมพันธ์ให้กับ 2 สิ่ง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย
• เช่น การที่เราคิดว่า Factor นี้ต้องเป็น Leading indicator ของบริษัทแน่ ๆ เพราะมันขึ้นไปก่อน แล้วรายได้ของบริษัทขึ้นตาม แต่หัลงจากนั้นมามันไม่ได้เป็นไปตาม factor นั้น (พอไปอ่าน Research หลาย ๆ ฉบับก็พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กันในเชิงสถิติเลย)
– – – – – – – – – – – – – – – –
3️⃣ Adjustment and Anchoring :
3.1) Insufficient adjustment :
• การประเมินสถานการณ์เพียงมิติเดียว
• เช่น การที่เราคิดผลตอบแทนที่เราอยากได้เพียงแค่ค่าที่เราอยากได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อ หรือเราคิดกำไรของโรงพาบาลที่เปิดตึกแต่ไม่ได้ใส่ค่าเสื่อมราคาเข้าไป
– – – – – – – – – – – – – – – –
ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็น Bias ที่เราควรจะต้องรู้เท่าทันตัวเอง …
เพราะเมื่อเรารู้เท่าทันตัวเอง มันก็จะไม่ใช่ Bias อีกต่อไป
🙏🙏 ขอบคุณ : Amos Tversky และ Daniel Kahneman ที่ทำผลงานอันทรงคุณค่าออกมาครับ
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ติดต่องาน
E-mail : longtundi@gmail.com
line ID : 0956980374
#ลงทุนดิ
#Fooledbyrandomness
#ลงทุนดิ
#Fooledbyrandomness
สรุปความรู้งาน Chula Investment Forum 2024 (17 Mar 24)
เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสัมมนา Chula Investment Forum 2024 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนท่านอื่นๆครับ
Session : P’เฉลิมเดช และ P’ทิวา
1.Edge ในการลงทุน : ถ้าอยากให้ลงทุนแล้วมีโอกาสประสบความสำเร็จ ควรจะเลือกหาธุรกิจที่เรามี Edge ในการลงทุนเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น เช่นเป็นกิจการที่เรามีความรู้, ความเข้าใจ ในอุตสาหกรรมนั้นเป็นอย่างดี หรือทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ
2.หุ้นที่มีโอกาสจะราคาสูงขึ้นได้เยอะๆนั้น มี 2 ปัจจัยที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง 1.)Pricing Power หมายถึงเป็นธุรกิจที่สามารถปรับราคาได้เรื่อยๆ โดยที่คนยังยอมซื้อสินค้า/บริการ นั้นๆ 2.)Scalable สามารถที่จะขยาย Scale ได้เรื่อยๆ ซึ่งบางธุรกิจอาจจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ แต่อาจจะขายได้แต่แค่ในจำนวนที่จำกัด เช่น Brand รถหรูบางค่ายก็ถือว่าไม่มีในหัวข้อ Scalable
3.Blackswan : ถ้าเราต้องลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลา 10-20 ปี ขึ้นไป ยังไงเราก็จะต้องเจอเหตุการณ์ Market Crash ชั่วคราว เข้ามากระทบเป็นระยะๆ ซึ่งก็มีโอกาสทำให้ Port การลงทุนมีโอกาสลดลงไปได้ค่อนข้างเยอะ สิ่งสำคัญคือ 1.)อย่าไปคิดว่าเราเดาอนาคตได้ 2.)ถ้าเลือกลงทุนหุ้นที่ดีมีคุณภาพ สุดท้ายยังไง Port การลงทุนก็จะกลับมาได้เสมอๆ
4.Question : ถ้าจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแล้ว ออกมาเป็นนักลงทุน Full Time? เลยดีไหม
Answer : ค่อยๆ เรียนรู้ , ค่อยๆลงทุน , พยายามออกไปลองทำงานหาประสบการณ์ดูก่อน โดยเฉพาะถ้าทุนน้อย ควรจะทำงานหาทุนให้ได้เยอะๆ
แก้ว 3 ประการ คือ 1.)จำนวนเงินต้น x 2.) % Return ต่อปี x 3.)Time (จำนวนปีที่ลงทุน)
ซึ่งโดยหลัก 1.)จำนวนเงินต้น สามารถเปลี่ยนได้ง่ายสุด ถ้าเราสามารถขยันหาเงินมาเพิ่มจำนวนเงินต้นในช่วงเริ่มต้น
ในขณะที่ % Return ต่อปี ขนาดนักลงทุนอย่าง Warren Buffet ในระยะยาวก็ยังอาจจะได้ไม่ถึง 30%
และจริงๆแล้วการที่ทำงานไปด้วย และลงทุนไปด้วย ผลตอบแทนก็อาจจะดีกว่าตอนเป็น Full Time Investor ก็เป็นไปได้ เพราะบางทีการเป็น Full Time Investor เวลาที่เยอะขึ้นก็อาจจะทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้นก็เป็นไปได้ โดยข้อสรุปยังคงแนะนำว่าควรจะทำงานก่อนดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่
5.Valuation Method : หลักๆก็ยังคงใช้วิธี P/E เป็นหลัก เพราะมีประสิทธิภาพดีสุด โดยจำเป็นต้องดู Business Model ,ความสามารถในการแข่งขัน, จำนวนหนี้ของบริษัทว่ามีมาก/น้อย , ผู้บริหารและข้อมูลอื่นๆประกอบ ซึ่งสิ่งที่ยากคือการหา Earning ของบริษัท
6.Question : พี่ๆมองช่วงวิกฤติยังไง
Answer : ช่วงจังหวะซบเซาคือดีสำหรับนักลงทุน, ศึกษาและตามข้อมูลไปเรื่อยๆ มองหาโอกาสที่ดีแล้วค่อยลงทุน โดยถ้าไม่รู้ชัดเจน อย่าเพิ่งลงทุน
7.Question : ผู้บริหารที่เก่งและดี ดูยังไง
Answer : เป็นอะไรที่ยากเหมือนกัน บางทีต่อให้ได้คุยก็อาจจะไม่รู้ เพราะถ้าเป็นคนที่หลอกเก่งๆบางทีแค่คุยก็ไม่ทราบ แต่อาจจะต้องลองใช้วิธีอื่นๆ เช่น Scuttlebutt ผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เช่นเพื่อนสมัยเรียน, เพื่อนสมัยทำงาน , Supplier เพื่อให้ได้ข้อมูลมาประเมินข้อเท็จจริงได้ดีขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วผู้บริหารที่เก่ง/ไม่เก่ง ยังไม่สำคัญเท่ากับ ผู้บริหารที่โกง/ไม่โกง
โดยความเก่งของการบริหารนั้น อาจจะดูได้ง่ายกว่าเพราะ เราสามารถ check ข้อมูลอื่นๆ เช่นยอดขาย/กำไร ประกอบได้ พยายามดู/มองหา ผู้บริหารที่ผลประโยชน์ของเขากับเราไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะดูสัดส่วนของการถือหุ้นว่ามาก/น้อย ประกอบด้วย และพยายามมองหาช่วงที่เป็นขาขึ้นของธุรกิจ
8.Question : สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนคืออะไร
Answer : 1.)พยายามซื้อกิจการที่อนาคต 5-10 ปี เติบโตยาวนาน ในราคาที่ไม่แพง พยายามมองไปที่อนาคตของบริ่ษัท โดยพยายาม Focus รู้ในบางเรื่องที่สำคัญ ซึ่ง Return 10-100 เท่า ก็เพียงพอที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนๆนึง
2.)การลงทุน เรารู้สึกชอบและสนุกหรือเปล่า ซึ่งการลงทุนอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตและทำให้คนที่รักมีความสุข จริงๆที่ผ่านมาในชีวิตของพี่ทิวาการลงทุนเป็นวิธีการเดียวที่ง่ายที่สุด เหนื่อยแต่ก็คุ้ม เมื่อเทียบกับนับ 10 นับ100 อาชีพที่ผ่านมา โดยชอบที่จะได้เรียนรู้ Trick ในการทำธุรกิจ จากการได้มีโอกาสศึกษาและซักถามจากผู้บริหารที่เก่งๆ
Session : อ.นิเวศน์ และ อ.ไพบูลย์
1.Question : มีวิธีการในการ Work Life Balance ยังไง
Answer : อ.ไพบูลย์ พยายามหาจุดสมดุลของชีวิต อย่าหักโหมหนักจนเกินไป คือเข้าใจว่าอยากจะ Success มากๆ ก็ต้องทุ่มเทมากๆ เพื่อให้ได้เงินเยอะๆ แต่ก็อาจจะทำให้เราแก่เร็ว ซึ่งถึงวันนึงคนเราก็จะต้องเสียชีวิต ซึ่งเมื่อใกล้ถึงตอนนั้นบางทีเราก็อาจจะลืมไปแล้วว่ามีเงินเท่าไร โดยที่ความสำเร็จหรือเป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไป น้อยกว่า 5% ของคนทั่วไปที่จะประสบความสำเร็จ และแค่ 1-2% ที่อาจจะประสบความสำเร็จสูงๆ ซึ่งเราเองก็ไม่ควรที่จะปรับเป้าความสำเร็จของตัวเราไปเรื่อยๆ เช่น ตอนแรกเราอาจจะตั้งเป้าแค่ 20 Mb พอถึงเป้าหมายก็ปรับเป้าเป็น 50 Mb เป็น 100Mb เป็น 1,000 Mb และเป็น 10,000 Mb ทำให้เหนื่อยไปเรื่อยๆแบบไม่รู้จักจบสิ้น
(ขยายความเพิ่มเติมโดยส่วนตัวมองว่าเป็นเป้าหมายที่ไม่รู้จักจบสิ้นและทำให้อาจจะต้องเหนื่อยๆไปเรื่อย และถึงจุดนึง, จำนวนเงินที่มากถึงจุดนึงต่อให้ได้มากกว่านั้นเราก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินนั้น)
2.Question : มองการลงทุนแล้วตอบโจทย์ภาพใหญ่ยังไง
Answer : ก่อนอื่นเรียนจบแล้วให้ไปลองทำงานหรือเรียนต่อในสายที่เราเรียนมาก่อน ซึ่งนักลงทุนที่เก่งๆหลายท่านก็เคยผ่านการทำงานมาก่อน พอไปทำงานและลงทุนก็จะเริ่มรู้ว่าต้องหาความรู้แบบไหนที่จะเอาไปใช้ในการลงทุน ยิ่งถ้าได้มีโอกาสทำงานในบริษัทเล็กๆ เราอาจจะได้ทำงานแทบจะทุกอย่าง ทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้และได้ลอง ซึ่งลูกศิษย์ อ.ไพบูลย์หลายๆท่าน ที่จบออกมาแล้วรีบลงทุนเลยก็มีพอสมควรที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะออกไปโดยไม่มีประสบการณ์ และวิเคราะห์เองไม่เป็น
Answer : อ.นิเวศน์
1.)ลงทุนเพราะคิดว่าเป็นธุรกิจ (มองความเป็นเจ้าของ) เช่นก่อนหน้าตอนวิกฤติปี 40 ที่มีเงินลงทุน 10Mb ก็ได้พบกับธุรกิจที่มี Brand เป็นสินค้าที่ทุกคนรู้จัก และธุรกิจมีกำไรดีมาก รวมถึงมีเงินปันผลที่ดีมาก เช่น 10% ในขณะที่มี P/E ต่ำมาก ทำให้เฉพาะเงินปันผลที่อาจารย์ได้รับก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูอาจารย์และครอบครัวได้
3.Risk Management : กระจายความเสี่ยงให้ดี ซิ้อหุ้น 5-10 ตัวแทนที่จะ All in เงินลงทุนในหุ้น 1 ตัว เพราะต่อให้เป็นธุรกิจที่ดีก็อาจจะมีวิกฤติบางอย่างที่อาจจะทำให้บริษัทเสียหายได้ การที่กระจายความเสี่ยงให้ดีก็จะลดโอกาสที่ Port ของเราจะเสียหายทั้งหมด
4.พยายามเลือกซื้อธุรกิจที่ดี ,โดดเด่นในราคาที่ไม่แพง โดยที่หลังจากซื้อไปแล้วราคาหุ้นขึ้นสูงๆ เราก็อาจจะใช้วิธีการ Switching port โดยขายหุ้นที่ขึ้นเยอะๆแล้ว upside เหลือน้อย เพื่อไปเลือกซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคาอาจจะไม่ขึ้นซึ่งมี Upside สูงกว่าตัวเดิม
5.เวลาลงทุน พยายามอย่าไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นๆ (ลงทุนโดยไม่ต้องไปแข่งกับใคร) เพราะจะทำให้มีโอกาสที่จิตใจเราวอกแวกได้ ถ้าถึงจุดนึงที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว กรณที่เราสามารถจัด Port ในเชิงตั้งรับ ก็อาจจะทำให้ตัวเราไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป
6.ชีวิตคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนรวยตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งก็ส่งผลให้ข้อจำกัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สามารถดูรายละเอียดได้ในเรื่องตะเกียง 3 ดวง อย่างไรก็ตามการลงทุนก็ทำให้ชีวิตในอนาคตของแต่ละคนดีขึ้นได้
7.Question : พฤติกรรมที่ดีและไม่ดีในการลงทุนคืออะไร
Answer : อ.ไพบูลย์ สิ่งที่ไม่ดีคือการไม่กระจายการลงทุน ถ้า Focus หรือลงทุนแบบกระจุกอาจจะทำให้รวยเร็ว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็อาจจะเสียหายหนัก โดยเฉพาะการใช้ Margin หรือการลงทุนพวก Block-Trade ซึ่งจะทำให้เกิดPressure ความกดดันได้มาก
สิ่งที่ดี คือ กระจายการลงทุนให้เหมาะสม และพยายามคิด Worst Case ความเสี่ยงของการลงทุน โดยเมื่อถึงจุดหนึ่งก็พยายามแบ่งการลงทุนใน Asset ที่อาจจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจทั่วไป โดยที่พยายามสำรองมีให้พอกินทั้งชีวิต
อ.นิเวศน์ พยายามเลือกที่จะลงทุนใน Fair Game เพื่อให้สังคมการลงทุนน่าอยู่ เช่นไม่ใช้ข้อมูลภายใน เพราะอาจจะทำให้บางคนอาจจะได้เปรียบ/เสียเปรียบ
โดยพยายามให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินด้วยวิธีการที่ Clear และ Fair
และพยายามอยู่ในเกณฑ์การลงทุนของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เหมือนนักตกปลาที่ จะเลือกเบ็ด Size ขนาดไหน
8.Question หลักการลงทุน อดีต/ปัจจุบัน
Answer : อ.ไพบูลย์ ยังลงทุนแบบเดิม เน้นกระจาย + Port กองหลังต้องแน่น ถึงเป้าหมายช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเป้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน และ Condition ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเครียดเพราะอยากให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ ก็อาจจะไม่คุ้มค่า
พยายามกินน้อย ใช้น้อย โดยที่เราอาจจะหาความสุขได้ในหลายรูปแบบที่อาจจะไม่ต้องใช้เงินเยอะ เช่นการกินอาหารก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
อ.นิเวศน์ ยังคงใช้แนวทางเหมือนเดิมในอดีต แค่อาจจะเปลี่ยนจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดอื่น โดยใช้วิธีการที่ดีที่สุดที่คนเก่งที่สุด Prove มาแล้ว ซึ่งสบายใจกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่า โดยคนรุ่นใหม่ ใจอาจจะเปลี่ยนไปทำให้อาจจะไม่สามารถรอคอยได้เหมือนคนสมัยก่อน
9.สิ่งที่อยากฝาก
อ.ไพบูลย์ การวางแผนทางการเงินกว้างกว่า (อาจจะสำคัญกว่า)เรื่องหุ้น โดยภาพใหญ่เราควรจะดูและ Control เรื่องรายรับ- รายจ่ายให้ดี ในขณะที่หุ้นอาจจะเป็นภาพแค่ส่วนหนึ่ง
อ.นิเวศน์ หุ้นต่างประเทศที่เริ่มลงมาเยอะ เริ่มน่าสนใจ โดยลงทุนแบบ Semi Active โดยดูประเทศไหน +กลุ่มไหน ที่น่าสนใจ ซื้อแล้วเก็บเช่น 10 ตัวที่เป็นธุรกิจ Megatrend ในส่วนของต่างประเทศที่มีกฏ ยังไม่เอาเงินกลับยังไม่เสียภาษี ถ้าเอากลับมาอาจจะต้องเสียภาษี 35% ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่กำไรอาจจะต้อง Declare ภาษี โดยมองว่าอาจจะมาลงทุนในกองทุน DR กองทุนต่างประเทศ เป็นต้น
พยายามเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต เน้นศึกษาภาพใหญ่ และจำเป็นต้องดูเรื่องวัฒนธรรมและระบบสังคมของประเทศนั้นๆประกอบด้วย
10.วิธีการสร้างตัว
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการสร้าง port ยากกว่าเดิมมาก โดย Robot และ Short Sale ที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ โดยอาจารย์แนะนำให้พยายามเน้นที่การวางแผนทางการเงิน โดยให้เวลา 10-30 ปี ในการลงทุน และพยายามไปทำสิ่งอื่นๆที่เป็นประโยชน์ ใช้ความรู้ที่ได้มีโอกาสเรียนมาเพื่อให้เป็นประโยชน์กับประเทศ
อ.นิเวศน์ ช่วงนั้น Contrarian โชคดีและจังหวะดี ถ้ามาตอนนี้ซื้อหุ้นที่แพงก็อาจจะทำให้ Port เสียหายได้ โดยปัจจุบันเน้นการร่ำรวยจากการทำงาน น่าจะง่ายกว่าถ้าเราตั้งใจทำงาน
ในส่วนการลงทุนนั้นถ้าทุกอย่างบรรยากาศนั้น Cheerly คึกครื้นมากๆก็อาจจะเป็นโอกาสที่มีโอกาสขาดทุน ในขณะที่ช่วงที่บรรยากาศเงียบๆนั้น อาจจะเป็นช่วงที่มีโอกาสลงทุนแล้วร่ำรวยได้ โดยพยายามเลือกประเทศดีๆ ที่มีโอกาสเติบโต และนำเงินมาลงทุนแบบ DCA
11.เป้าหมายของอาจารย์
อ.ไพบูลย์และ อ.นิเวศน์ 1.)อายุยืน 2.)มีสุขภาพที่แข็งแรงจนวาระสุดท้าย 3.)มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำ 4.)หาความสุขจากสิ่งทั่วไป โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากจนเกินกำลัง
12.มีวิธีการ Valuation อย่างไร
อ.ไพบูลย์ แนะนำว่าไปลองศึกษา Security Analysis ดูซึ่งอาจจะไม่ได้ประเมินง่ายอย่างที่เห็นกัน ไม่ใช่แค่ว่าดูว่า P/E ต่ำเท่านั้น จริงๆมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ
อ.นิเวศน์ พยายาม Valuation โดยมองหาธุรกิจที่กำไรสม่ำเสมอ โดยมีกำไรย้อนหลัง 5 ปีต่อเนื่อง เป็น Background ซึ่งบางธุรกิจที่เป็น Commodity เราอาจจะประเมินไม่ได้
13.หนังสือแนะนำของ อาจารย์ทั้ง 2 ท่าน
อ.ไพบูลย์ 1.)คู่มือมนุษย์ (ท่านพุทธทาส) 2.ฤทธิ์มีดสั้น (ลี้คิมฮวง) เป็นบุคคลที่รักเพื่อนและไม่พยายามไขว่คว้าสิ่งต่างๆเป็นของตัวเอง 3.Random Walk Down
อ.นิเวศน์ 1.)Once Upon Wall Street 2.)Homo Sapiens 3.)ข้างหลังภาพ
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ
1.วิทยากรทุกท่าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร, ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา, คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ, คุณทิวา ชินธาดาพงศ์, คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม, คุณเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ที่กรุณาให้ความรู้แก่ผมและเพื่อนๆในงาน
และขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิเวศน์ เป็นอย่างสูงที่กรุณา Share ความรู้และประสบการณ์ชีวิตอันมีค่าให้ผมและเพื่อนๆที่มีโอกาสร่วมโต๊ะ Dinner กับท่านอาจารย์
2.พี่ๆน้องๆทีมงานที่จัดงาน Chula Investment Forum 2024 ทุกท่าน ที่จัดงานดีๆให้เพื่อนๆนักลงทุนและนิสิต,นักศึกษาได้รับความรู้อันมีประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อชีวิต
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณสมาคม Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/26 Mar 24
🔥 สรุป CU investment forum – PART 1
.
” Value investing vs Value Speculating “
.
📍 Value investing และ Value Speculating แตกต่างกันอย่างไร
P’ เชาว์ : Value investing vs Speculating จริงๆ การลงทุนไม่มีอะไรถูกผิด ทั้ง 2 แบบ based on Valuation ส่วนจะ speculate เก็งงบรายไตรมาสก็เป็นทางนึง value investing เป็นการมองในมุมธุรกิจว่าลงไปแล้วคืนทุนภายในกี่ปี IRR เท่าไหร่ ซึ่งโดยส่วนตัวทำทั้ง 2 อย่าง
.
📍 ถ้าระหว่างทางราคาเหวี่ยงจะยัง based on valuation ไหม ?
P’ เชาว์ : เน้นถือยาวกว่าแล้วมองว่าทำได้ดีกว่าแต่ของพี่มี่ทำในระยะสั้นกว่าอาจจะทำได้ดีกว่าอยู่ที่ถนัดแบบไหน
.
📍 Style การลงทุนพี่มี่
P’ มี่ : จริงๆ อยากลงทุนระยะยาวแต่เคยพยายามคาดการณ์ 5-10 ปี แล้วผิดหมด บางทีผู้บริหารเก่งมาก มองว่าต้องเติบโตไปนู้น ไปนี่ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ไม่ได้เป็นงั้น Ex. หุ้น SMC วิ่งจาก 5 บาทไป 30 บาท มองว่าผู้บริหารน่าจะปรับตัวไ้ด้ สุดท้ายก็กลับลงมา 5 บาท มุมมองต่างกันตรงที่ว่า cash flow ที่ได้ระหว่างการลงทุนมันเป็นเท่าไหร่ พอใช้วิธีจับจังหวะก็หาช่วงที่มี exceptional growth มองว่า undervalue และเข้าไปลงทุน จริงๆ อาจจะเปลี่ยนก็ได้ในอนาคต พี่มี่ถือเฉลี่ย 2 ปี วนไปวนมา ถือระยะสั้นก็สนุก พอถอยออกมาหรือขายหุ้นไปก็ต้องหาหุ้นใหม่ๆ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสตลอดเวลา
.
📍 P’ มี่เลือกลงทุนหลากหลายมาก มีอะไรที่ไม่ลงทุน
P’ มี่ : ลงหมด หุ้นปั่นก็เคย จริงๆ มองอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าให้ได้ แรกๆ ที่ลงทุน 3-4 ปีแรก ได้หุ้น turnaround เยอะ และมองว่าได้ผลตอบแทนเยอะ แต่จากวันนี้ไปอีก 10 ปี จะไม่ลง เนื่องจากหุ้นจะ turnaround แปลว่าตอนนั้นมันต้องห่วยกว่าเพื่อนและ GDP ต้องโตแรงๆ ถึงจะมีโอกาสกลับมา แต่ถ้า GDP ไม่โตแรงมันก็ turnaround ยาก จากวันนี้ไม่มีเลย turn ยากมาก เชื่อว่าภาพใหญ่ไม่น่าจะเอื้อให้ใคร turn ได้ทั้งนั้น
.
📍 Asset play / Cyclical ยังสนใจลงทุนไหม
P’มี่ : คำตอบคือลงได้ Covid ก็ลงหุ้นเรือทั้ง US และไทยแต่ US ได้ 20% Thai ได้ 5-6 เด้งกลายเป็นหุ้นเจดีย์เลย แตกต่างกันที่ตลาดมองไม่เหมือนกัน
.
📍 หุ้น Asset play ความยากคือถ้าไม่ liquidate และ business ไม่ ok เปรียบเสมือน “หมามองปลากระป๋อง” รู้ว่าข้างในมีของดีแต่กินไม่ได้
ทุกครั้งที่พี่เชาว์พูดถึงการลงทุน (MOAT) หรือ 7 powers มองว่าอันไหนแข็งแรงสุด
P’เชาว์ : ชอบมากที่สุด 2 อัน 1. Branding 2. Network effect มองว่าธุรกิจเหมือนเป็นสิ่งที่มีทั้งกองหน้าและกองหลัง กองหน้าทำหน้าที่สร้างรายได้และกองหลังทำหน้าที่ลดต้นทุน การมี Economy of scale (EOS) หรือการลดต้นทุนก็ดี แต่ส่วนตัวของหุ้นที่เพิ่ม top line มากกว่า ถ้าคิดลึกๆ แล้ว มันคือเริ่องเดียวกัน GUCCI LVMH Channel ทุกคนอยากโชว์ว่าตัวเองรวย เห็นโลโก้ก็รู้กลายเป็น network effect ประเภทหนึ่ง เหมือนการสร้าง Standard ว่าทุกคน perceived ว่าคนนี้รวยจะมาแข่งให้เปลี่ยนความคิดยาก
.
📍 กว่าจะชัด Branding ตอนที่ธุรกิจเล็กๆ รู้ได้ยังไง
P’เชาว์ : ทุกธุรกิจเบื้องหลังคือคน lead องค์กร คนที่ make decision ต่างชาติจะมีสำนวน “The first get the oyster the second get the shell” ไปดูว่าผู้บริหารเก่งขนาดไหน ถ้าเจอคนเก่งมากๆ ก็โชคดีได้หลาย 10 เด้ง ถ้าคนอายุน้อยยิ่งอ่านยาก เดายากว่าคนนี้เก่งหรือขี้โกง แต่คนรุ่นใหม่ก็มีสิ่งที่คนรุ่นเก่าได้เปรียบคือการอ่าน Network effect บริษัทที่ Market cap. เล็กๆ และ specific ในบางเรื่อง Social platform, insurance, genome frequency platform มองว่าคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ได้เปรียบคนละด้าน
.
📍 เจาะลึก case study ภาคอสังหาริมทรัพย์เคยได้เยอะช่วงแรก ๆ อยากให้เล่าสถานการณ์ตอนนี้หน่อย
P’มี่ : ตอนนี้ไม่มีหุ้นแล้ว เมื่อก่อนเลือกหลายแบบแล้วไปเล่าให้เซียนๆ ฟัง ถ้าทุกคนบอกดีมักจะได้หุ้นขาดทุนแต่ถ้าทุกคนบอกไม่น่า มันนู้นนี่นั่น มักจะได้กำไรดี เราต้องเป็น bad ideas ในสายตาคนอื่น ๆ อสังหาเป็นแบบนั้น ได้เยอะรอบแรกจาก subprime crisis หุ้นลงมา 70-80% ทุกคนเชื่อว่าต้องทิ้ง จนลงมา P/E 1 ท่า ปันผล 20% หุ้นบางตัวขายลงมาเหลือ 1 สตางค์ ทั้งที่กำไรต่อหุ้น 10 กว่าสตางค์ มันไม่อยู่ในภาวะปกติ คอนโดกำลังสร้าง กำลังเติบโตแต่ราคาหุ้นเหมือนล้มละลาย มีคนไปนอนเต๊นท์เพื่อรอจอง หุ้นก็ขึ้นมาง่าย ๆ 8-10 เด้ง เพราะตลาดเริ่มหันมาชอบคอนโด แต่ก็ไม่แน่อีก 10 ปี สมมติ AI เข้ามาทุกคนไปทำงานนอกเมือง ภาพอาจจะกลับ และ ณ ตอนนั้นมีหุ้นตัวนึงไม่ค่อยมา เจ้าของชื่อเศรษฐา ซื้อแล้วก็เจอวิกฤตน้ำท่วม แต่ตอนจบ demand ยังดีอยู่ รอบที่ซื้อเพราะโควิด ลงมาแรงไปแต่อาจจะไม่กลับไปแรง แรงซื้อจากต่างชาติมาจริงแต่แรงซื้อคนไทยไม่มา แต่โชคดีซื้อมาถูก พอจะปรับก็ยังมีช่องว่าง ส่วนตัวชอบมอง business ง่าย ๆ แบบอยู่ในภาวะทำง่าย ๆ ช่วงยาก ๆ ทำอะไรก็ยากไปหมด พี่มี่เคยทำร้านเกมแล้วโดนหลายเรื่อง อาทิ โดนลิขสิทธิ์ โดนจับบ้างแต่ปีนั้น กำไร all time high เพราะ Top line เติบโตดี แต่ปีไหนไม่ดีแม้ห้างจะลดค่าเช่าให้แต่กำไรลดลงครึ่งนึง สำหรับนักลงทุน “ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมให้กำลังใจ” ย้อนไปอสังหาริมทรัพย์มองว่า rejection rate ต้องลดลงแน่ ๆ แต่ก็เห็นว่าตลาดรถยนต์แย่กว่า กู้มา 300k-400k ขายตลาดมือสอง 160k แต่ราคาบ้านไม่ได้ลงเหมือนรถแต่แค่กำลังซื้อไม่มา
.
📍 รบกวนแชร์ consumer behavior ในแต่ละประเทศหน่อยว่าแตกต่างกันไหม
P’ เชาว์ :เดินทางมาแล้ว 77 ประเทศทั่วโลกไปมาแล้วทุกทวีป เชื่อว่าสิ่งที่คนไทยไม่รู้คือสินค้าไทยโคตรดี สินค้าใน 7-11 ทั้งดีทั้งถูกทั้งอร่อย ต่างชาติมารีวิวของใน 7-11 แต่คนไทยมองว่าไม่ค่อยมีค่า มารีวิวบอกว่าโคตรอร่อยและถูกเหลือเชื่อ น้ำดื่มบ้านเรา 7 บาท ยุโรป 1-2 เหรียญ ของเหมือนกันแต่ราคาต่างกัน 10 เท่า ประเทศที่ไม่ได้พัฒนาเท่าไทยหรือแย่กว่าไทย Phillipines, indonesia, brazil จะเท่า ๆ เราหรือแย่กว่าก็จะรู้ของเค้าห่วย ไม่น่ากิน ซื้อมาก็ไม่อร่อย เครื่องสำอางค์ก็ packaging ห่วยๆ เลยมานั่งคิดว่าทำไมไทยทำได้ดีกว่า rest of the world มาจากบ้านเราดวงดีที่ 1980 ญี่ปุ่นโดน plaza accord ญี่ปุ่นรบไปเรื่อยมีแต่ศัตรูแต่ไทยเป็นเพื่อนกับเขา สุดท้ายมาตั้งโรงงานในไทย transfer ความรู้ให้หมดเลย แต่บ้านเราโชคดีกว่าคือค่าแรงถูก ทำให้คุณภาพสูง ราคาถูก
P’ มี่ : เมืองไทยมีจุดเด่นมีสิ่งที่ทำได้ดีกว่า เพราะลึกๆ มีคนจีนมาผสมและคนจีนชอบ R&D ทดลองการปลูก ก็สะสม knowhow มีความเป็นจีนรวมกับญี่ปุ่น ใส่ไปตลอดเวลา ส่วนนึงคือการหลอมรวมชาติพันธ์ุต่าง ๆ รวมกับการที่คนไทยที่ชิว ๆ ชอบใช้จินตนาการเยอะ รวมๆ แม้จะไม่ดีสุดแต่ซื้อมั่ว ๆ ได้เลยและไทยก็ดีกว่าค่าเฉลี่ยโลก อย่างอินเดีย หากใครเคยไปซื้อขนมจะพบว่ามันดูสกปรก แกะออกมาก็สกปรก ไปจีนมาหลายรอบกินมื้อเป็นแสนแต่ไม่อร่อยเท่าที่ไทย ทั้ง ๆ ที่จีนทำรถยนต์ไฟฟ้า ทำเรื่องยาก ๆ ได้ แต่ทำอาหารไม่อร่อย แต่กินในไทย อร่อยหมด ถ้าตัดต้นตำหรับออกเช่น อาหารอิตาลี ถ้าตัดอิตาลี ไทยก็น่าจะอร่อยที่สุด เราจะไปเปิด makro ที่อินเดีย แต่มีกฎว่าของภายในต้องขายสินค้า india กี่ % ก็กลายเป็นโดนกีดกันไป
.
📍 ช่วงนี้เศรษฐกิจโต 2% กว่ามี plan จะไปต่างประเทศไหม?
P’ เชาว์ : ดูหุ้นเมกามาเป็น 10 ปี แล้วเคยไปอยู่ช่วงอายุ 20-30 แต่พอร์ทปัจจุบัน สัดส่วนต่างประเทศ 5% เท่านั้นเอง สาเหตุคือ 1. Port ไม่ใหญ่มาก ถ้าไม่เกิน 500 ล้าน ยังพอได้ ไม่ต้องไปต่างประเทศมากมาย ทำไมเน้นหุ้นไทยเกือบทั้งหมด เนื่องจากมองว่าหุ้นแต่ละตัวมีส่วนที่เหนือกว่าคนอื่น (edge) คล้ายๆ peter lynch “one up on wall street” เชื่อว่าหุ้น 1 ตัว ในไทยรู้เยอะกว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศ ถ้าไม่ได้เหนือกว่าเค้าละคาดหวัง extraordinary return ยากมาก ๆ หุ้นไทยก็เริ่ม efficient แล้วอาจทำให้เราฉกฉวยโอกาสได้น้อยลง
P’ มี่ : ไปจีน 30% เชื่อว่าการลงทุนต้องหาคุณสมบัติ 2 ส่วน
1. Pricing power : ขึ้นราคาทุกปีแล้วคนยอมซื้อ
2. Scalable : ความสามารถในการ scale
Ex. Ferrari : ผลิตปีละ 10,000 คัน ถ้าผลิตปีละล้านคันอาจเสีย pricing power แต่จีนมี character นี้ พยายามศึกษาอยู่ ดูเหมือนทรงจะใช่ แต่ไม่มีใครมากับเรา จีน สนใจหุ้น 2 ตัว คือ miniso กับ Trip.com อาจจะกลับมาเกินโควิดละ P/E 22 เท่า และมองว่าชนะแล้ว C-trip ชนะ Baidu ทุกวันนี้มีคนเข้าไปคุยด้วย 50 ล้านคน เยอะกว่า Chat GPT 10 เท่า เชื่อว่า Trip.com น่าจะได้ประโยชน์จาก AI เพราะขายถูกสุด และ Xi jinping ชอบท่องเที่บว พยายามดันและไม่มีแรงต้าน ถ้ามอง semiconductor US ก็สู้ตาย Xi jinping ปกครองเหมือนพ่อปกครองลูก สนับสนุนให้ IT โต ประชากรเกิดเยอะ ๆ มันลงแบบเยอะมาก ๆ หลาย ๆ เรื่อง อสังหามีไว้เพื่ออยู่อาศัย การศึกษา เดา ๆ ละก็คิดว่าจะมาตรงไหนจะได้ประโยชน์อีก การละเลยความคิดของผู้นำในจีนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมาก ๆ
.
📍 Black swan : เคยเจอไหม
P’ เชาว์ : มาในรูปแบบของ Crash ชั่วคราว Subprime / Covid เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ Port ยุบลงมาเยอะ ๆ มีอีกอยู่แล้วในอีก 10 ปีข้างหน้า ในรูป market crash แรง ๆ อยู่ที่เราทำตัวยังไงเท่านั้น 1. อย่าคิดว่าจะคาดการณ์อนาคตได้ 2. คิดว่าทำยังไงให้วิกฤตเป็นโอกาส หลัง black swan กลับมาเยอะ ๆ
P’ มี่ : เจอครั้งเดียว subprime ตั้งแต่แรก ๆ แต่เจอตลาดขาลงมาเยอะ ละก็คิด พอเกิดด้านร้าย ๆ ขึ้นมา ตลาดลงมาหมด เราชอบเพราะ switch ไปตัวที่ลงเยอะ ๆ บางทีได้ผลตอบแทนเยอะ
– – – – – – – – – – – – – – – –
🔰 Q&A 🔰
📍 ถ้ามีทุนน้อยควร DCA ไหมหรือลงเป็นก้อนเลย
P’ เชาว์ : ถ้าทุนน้อยควรทำงานหาทุนเยอะ ๆ เพราะสมการ wealth คือ เงินต้น*ผลตอบแทน*จำนวนปี เก่งสุดในโลกก็ 30% เปลี่ยนง่ายสุดคือ เงินต้น investor 2 คนเก่งเท่ากันคนนึง Port ไป 100 ล้านอีกคนไปหมื่นล้าน เคยเทียบตัวเองตอนทำงานไปลงทุนไป return เยอะกว่าเป็น full time เพราะ golden period ของ VI
.
📍 Valuation แต่ละกลุ่มต่างกันไหม
P’ มี่ : ใช้ P/E หมดเลยแต่ก็ adjust ตาม หนี้เยอะหนี้น้อย ผู้บริหารเก่งไหม สำหรับตลาดไทย P/E ดีสุด แล้วแต่ที่คนส่วนมากพลาดคือ คำนวนกำไรผิด Sizing กำไร ประมาณออกมาแล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ที่กำไรคือซื้อตอน low expectation ดีกว่าที่ตลาดมอง ไปขายที่ high expectation แต่ตลาดต่างประเทศจะดู market cap.
.
📍 หุ้นจีนที่ PE ถูกมากๆ อย่าง weibo PE 5 เท่า marketcap. เกือบเท่า cash หรือ alibaba ถูกมาก ๆ เป็น value trap ไหม
P’มี่ : Baba ดูละเตรียมซื้อ โดนแย่ง market share ไปได้ประมาณนึงและ low expectation แล้ว มีดาราจีน live วันเดียวรายได้ประมาณ 4,750,000,000 ล้าน ค่า com. 20% live 3 ปี ติดอันดับคนรวยอันดับที่ 9xx Baba เริ่มเห็นจุดเปลี่ยนและพูดถึง e-commerce มากขึ้น จีนทุกคนอยากเป็น AI company ใครสะสม chip Nvidia ได้มากกว่าจะพัฒนาได้ดีกว่า รายเล็กๆ ซื้อไม่ได้
.
📍 จิตวิทยาการลงทุนกับหุ้นจีน
จริงๆ จีนก็มา challenge อเมริกา โดยทั่วไปก็มองหุ้นที่ซบเซา ก็ตามแต่ถึงโอกาสจะซื้อ หลายๆ เรื่องไม่รู้จริง ยังไม่ชัดเจน ถ้าวันนึงมันดีก็เป็นโอกาส Trip.com ต่างจาก Meituan พยายามใช้ online + onsite แต่ถ้าจองตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม เริ่มใช้ trip.com การแข่งขันก็ปรับตัวเร็ว meituan ใช้ online to offline Platform ถ้าตลาดโตระดับนี้ไม่ค่อยน่ากลัว มี room ให้ขยายเยอะๆ ไทยเปิด free visa ให้จีน ทุกคนอยากได้จีนหมด เป็นโอกาสของ trip.com หมด
.
📍 ผู้บริหารที่เก่งและดี ดูยังไง
P’ เชาว์ : Berkshire เขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นยังบอกว่ายากมากเลย แต่มันมีวิธี check คุณไม่มีทางรู้ต่อให้คุยกัน 1 ชั่วโมง ให้ทำ differentiate ถามว่าใครรู้จักนาย A บ้าง คนจะรู้ว่าขี้โกงหรือป่าว scuttlebutt เพียงพอ จะรู้ เก่งไม่เก่งไม่เท่าไหร่ แต่คนโกงจะทำให้เราหายนะ
P’มี่ : ผู้บริหารเก่งให้ดูวิธีการทำไงเรื่องการค้าขาย ดูผลประโยชน์เรากับเขา การถือหุ้นอาจช่วยได้ประมาณนึง ดูเรื่องที่ซุกไว้ใต้พรหม ขาขึ้นคนอาจไม่ค่อยสนใจ แต่ขาลงจะเห็น ให้เช็คพฤติกรรมในงบการเงิน ว่าตรงกันไหม เคยไปดูบริษัทรับเหมาที่บอกว่าเก่งที่สุดในโลก gross margin 9% เราจะเชื่อเค้าได้แค่ไหน สิ่งที่ขายเยอะในตลาดหุ้นคือความฝัน เลือกความฝันดีๆ
.
📍Xiaomi หุ้นจีน
P’มี่ : ช่วงแรก ๆ หวัง IoT โตกว่า smartphone 3-4 เท่า ยังโตอยู่ แต่เชื่อว่าเป็น loop ของการพักตัว smartphone จากที่ไม่โตก็จะกลับมาโตจาก AI ที่เข้ามา มองว่ายังแข็งแรง เคยมองว่า EV xiaomi หลุด concept หรือป่าว ขายแพงหรือปาวแต่เข้ามาไม่ใช่ zero sum game ผู้ใช้ทั่วโลกชอบรถ sport EV แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อรถ sport ได้ เพราะแพง แต่ xiao,i design ออกมาในช่องว่างการตลาด ชอบเพราะปิดใน target market ที่ยังไม่มีใครเล่น
.
📍สิ่งสำคัญสุดในการเป็นนักลงทุน
P’ เชาว์ : เล่นเกม มองว่าซื้อกิจการอะไรก็ได้ที่เติบโต 5-10 ปี และซื้อในกิจการที่ยังไม่แพง อนาคตไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนจะรู้บางเรื่องที่คนส่วนมากไม่รู้ ขอ 1 อย่างที่รู้ดีและมองเห็นอนาคตนี่คือ Principle ของการลงทุน
P’ มี่ : มองว่าชอบและสนุกหรือปาว, ถ้าไม่ชอบ มองว่าเปลี่ยนชีวิตได้หรือป่าว นักลงทุนมันคิดและนอนอยู่บ้านถ้าถูกก็รวย ถ้าชอบธุรกิจก็จะตามไปดูว่าคนเก่ง ๆ ว่าทำธุรกิจยังไง เคยบอกนักลงทุนเหมือนเห็บแต่ไม่ใช่นักลงทุนเหมือนเมีย “ถ้าทำดีเอาส่วนแบ่งมาถ้าทำไม่ดีไปจี้ใน AGM ว่าทำไมไม่โตเกิดอะไรขึ้น”
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าโพสนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ติดต่องาน
E-mail : Longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum
#ลงทุนดิ
🔥 สรุป CU investment forum – PART 2
.
” Thai ETFs, Worldwide DRs “
.
นักลงทุนส่วนมากมองแต่ราคาแต่ไม่มองมูลค่า การลงทุนแบบ value เป็นเรื่องยาก อะไรที่แพงเราก็จะมองว่าดี มองสิ่งที่เราจ่ายคุ้มไหม มองในเรื่อง Growth / Cap gain ถ้ามอง 15 ปีย้อนหลังอาจได้หุ้น 2 แบบ ทั้งเติบโตและปันผล แต่ปัจจุบันเลือกได้อย่างเดียวคือปันผลเยอะก็ไม่ค่อยโต คนที่ศึกษาเยอะก็โอกาสเยอะ โอกาสไปอยู่ในที่ที่ไม่สมเหตุสมผล หุ้นเมกา 7 นางฟ้าก็แพงไม่สมเหตุสมผล ซื้อแล้วยิ่งแพง คนนึงจะถือได้ 10 เด้งยากมาก กว่าจะเห็นช้ากว่าราคาเยอะ มันไม่ได้ based on value มากนัก มองว่าอิสรภาพทางการเงินเกิดจากการถือหุ้นไม่ได้เกิดจากการ trade
.
📍 การร่ำรวยไม่ใช่การที่เราต้องมานั่งซื้อขาย ระหว่างทางทุกคนก็มี action แต่พยายามถือให้นานหน่อย แต่ถ้าอิ่มตัวเต็มที่ก็พิจารณาขายออกได้ หุ้น 1 ตัวที่เริ่มต้นเคยซื้อ delta, hana ไม่ได้มีจุดเด่น กะถือยาว ๆ แต่สุดท้ายมันขึ้นจาก 2 บาทไปถึง 8 บาท P/E สูงละพื้นฐานยังไม่กลับมา support เราขาย ขายเสร็จลงเลยไป 3 บาท ปัญหาคือลงมา 3 บาทจะรับเท่าไหร่ และตรง 2 บาทจะกลับมาซื้อ เด้งไป 5 บาท กลับมา 8 บาท แล้วไป 120 บาท สอนอะไรเรา อย่าขายหมด เพราะมีบางตัวที่ขึ้นเกินเหตุและคนที่อยู่เบื้องหลังหุ้น สำคัญ ฝรั่งอาจจะกล้ากว่าเรา
.
📍 หุ้นต้นรอบต้องเป็นอะไรที่คนไม่เอา ประเทศไทยไม่มีอนาคตแล้วอาจจะเป็นเริ่มต้นรอบใหม่ ปี 2008 ก็สิ้นหวัง, Covid ก็สิ้นหวัง ไปต่างประเทศ ทุกคนไปหมดแปลว่าโอกาสเริ่มน้อยแล้ว ตอนนี้ US, Japan, India all time high ตลอด ส่วนตัวรอซื้อจีน ในรอบล่าสุด ไทยยังไม่ overbought เลย ต้องปรับฐานครึ่งนึงก่อน
📍 ทำความผิดพลาดแล้วเก็บไปเรื่อยๆ จัดการความผิดพลาดอย่างไร
มีหุ้นเยอะมากและ Port โตเรื่อย ๆ แต่ระหว่างทางทุกวิกฤตเราจะขาดทุนเป็นเม็ดเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ เจอเพื่อนหลาย ๆ คน อยากทำรอบ แต่ข้อสังเกตคือ พอคนอยากทำรอบ รอบใหญ่จะมา 20-30 ปีที่แล้วทุกคนเป็นยุคทองของ value investor ทำให้คนที่ตัดสินใจถือยาวไปเลย เริ่มกลับมาแบบว่าฉันไม่ถือแล้ว คนที่ขาดทุนเยอะกว่าเรา บางคนก็ขาดทุนมากกว่า
.
สรุป 3 ข้อจากประสบการณ์
1. ต้องไม่ leverage จน Port ระเบิด
2. เวลาผิดพลาดคุณภาพชีวิตต้องไม่ลดลง ควรค่อย ๆ ปรับคุณภาพชีวิต ถ้ากำไรมันจะกำไรเยอะมากๆ
3. เวลาผิดพลาดต้องมีเงินมาเติม ควรมีรอบ 2 เสมอ ตอนนี้ยังไม่ใช่ต้นรอบของหลาย ๆ ตัว
.
📍 การลงทุนต่างประเทศ โดนภาษีเยอะขึ้น DR น่าจะตอบโจทย์ ไปลงตรงๆ ก็มีแต่มีความยากเรื่องของภาษี DCA ดีมากในส่วนของ ETF
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อย
ติดต่องาน
E-mail : longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum
#ลงทุนดิ
🔥 สรุป CU investment forum – PART 3
.
” Wisdom from the Legends “
.
📍 Work life balance ของการลงทุนมีไหม ?
อาจารย์ไพบูลย์ : ผมเป็นอาจารย์สอนส่วนอาจารย์นิเวศน์ทำงานสายการเงินจะหนักกว่า อาจารย์ที่ NIDA วางไว้ 3 เกณฑ์ 1.สอน 2.งานวิจัย 3.คืนความรู้สู่สังคมผ่านการไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ สอนน้อยมากที่ NIDA อาทิตย์นึงสอน 3 ชม. ค่อนข้างสบายมีเวลาเยอะ การลงทุนก็ไม่เข้มงวด เจ๊งมากกว่าอาจารย์นิเวศน์เยอะ แต่อาจารย์ไพบูลย์มองว่าสิ่งสำคัญคือวันที่ป่วยหนัก ๆ อาจจะมาคิดว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ให้หาจุดสมดุล ถ้าไม่ทำงานหนักพอก็อาจไม่เจอโอกาส แต่ละคนทุ่มเทมาก แต่ถึงจุดๆ นึงก็ต้องตาย ต้องป่วยหนัก ก็ไม่ได้คิดแล้วว่ามีเงินเท่าไหร่ เป้าหมายแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน คนที่ลงทุนจริง ๆ จัง ที่ประสบความสำเร็จอาจจะ 1% ความสำเร็จของเราอยู่ที่อยากได้อะไรแค่ไหน ต้องมีเงินเท่าไหร่ ก่อนตายจะเอาเท่าไหร่ ?
.
ดร.นิเวศน์ : Work life balance ทำงานเหนื่อยมากเป็นวิศวกรโรงงานน้ำตาล คิดว่าเราแน่ ไปช่วยเค้าทำตกลงมานิ้วเกือบขาด นอนรองไห้ไปช่วงนึง เพราะกลัวพิการ ตอนนั้นอยู่ต่างจังหวัดหมอก็ไม่ทำไรเยอะฉีดๆ แล้วก็พันเลย ทำงานหนักมา 6-7 ปีก็พบว่าคงไปได้ไม่ไกล ก็เก็บสะสมเงิน ทำงานเพื่อเก็บเงินก็ทำงานหนัก สุดท้ายคนข้างหน้าเราต่อให้เก่งจริง ๆ ก็เป็นผู้จัดการ เลยตัดสินใจไปเรียนต่อไปที่ NIDA สอบเข้าไปเรียน เรียนจบแล้ว กะว่าจะทำธุรกิจ จบมาเงินเดือนขึ้น เป็นหัวหน้าวิศวกร ทางโรงงานเค้าขอให้เป็นอะไรก็ได้ขอให้ทำงาน ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไปกลับกรุงเทพ – กาญจนบุรี ไม่มี work life balance งาน 24 ชม. นาน ๆ จะมีเข้าไปกินกาแฟนิดหน่อย สุดท้ายก็ทำงานต่อแต่ ไม่รู้จะไปยังไงต่อ มองไม่เห็นอนาคต เพราะโรงงานพวกนี้ อาจารย์ไพบูลย์ก็แนะนำว่าไปเรียนต่อได้เพราะสนิทกับ advisor ที่นั่น ก็เรียนที่อเมริกา ตีตั๋วใบเดียว ขากลับอีก 4 ปี เงินทั้งหมดไม่ได้เอาไป ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไปเรียนด้านการเงิน คล้ายกันมากกับอาจารย์ไพบูลย์ แต่ลงทุนไม่เคยคุยกัน รู้กันว่าจะตัดสินใจแบบไหน ความคิดยังไม่ทันพูดก็รู้แล้ว เรียกว่าใกล้เคียงกันมาก จบปริญญาเอกกลับมาก็ส่งไปเข้าทำงานที่สถาบันการเงิน
.
สุดท้ายตลาดหุ้นมาก็ได้เข้าไปทำ IB พอรู้ตลาดหุ้น วันนึงไปตัดผมอยู่ดี ๆ รู้สึกว่าจะตายหรือป่าว ก็จะช็อค พาไปโรงพยาบาล ตอนนั้นอายุ 33 มีลูกแล้ว กินกาแฟนหนักมาก อยู่บริษัทไม่เก่งทำงานหนัก 10 เท่าก็สู้เค้าไม่ได้ กลายเป็นเริ่มรู้ว่าไม่มีคนปูทางมาก่อน ไม่สำเร็จอะไรหรอก ทำไปถึงปี 2540 ก็เจ๊งเลย เช้ามา เลขาก็ยื่นซองเลย เปิดออกมาคุณถูกไล่ออกแล้ว bank กำลังจะเจ๊ง BOT ก็ยึด โดนให้ออกเดี๋ยวนั้นเลยก็เคว้งคว้างเลย สุดท้ายเพื่อนชวนเป็นที่ปรึกษา ช่วยกัน ไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว ทำไงดี ลูกเรียน inter 1 คน เก็บเงินมา 10 ล้าน สุดท้ายพบว่าตลาดหุ้นเป็นทางออกเพราะถูกมาก เป็นเหมือนเจ้าของบริษัทมีปันผลจ่ายเรา
.
ตอนทำงานเป็นที่ปรึกษาก็เบาแล้ว ไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา มีตำแหน่งมีเงินเดือนจ่าย รอดอยู่ 3 ปี บริษัทถูก take over ไป เอาที่ปรึกษาออก เพื่อนก็มาช่วยขาดคนที่ทำงานเกี่ยวกับความเสี่ยงใน bank ก็เข้าไป งานหนักมาก อยู่ bank ตอนที่กำลังฟื้นตัวและมีรายงานกู้เงินมหาศาลเลย ดูทุก case เครียดหนักเลย ขาดอะไรให้กู้เงินได้ก็พร้อมจะเอามาให้ ต้องการเงิน แต่เรามองธุรกิจไปไม่ไหวหรอก ก็เครียดหนัก แต่ก็ลงทุนมาตลอด ทำงานสถาบันการเงินก็เครียดเพราะความรับผิดชอบมันสูง ครั้งสุดท้ายอนุมัติไม่ไหวแล้ว เครียด เงินอะพอแล้วแต่ยังอยากทำงานอยู่ มันได้ทุกเดือน ๆ เพราะสมัยก่อนนักลงทุนถูกมองไม่ดี สุดท้ายก็เลิกตอนอายุ 51จริง ๆ ยังอยากเอาเงินมาเติมในหุ้น เพราะช่วงนั้นอะดีสุดเงินเดือนมันสูง มันได้เงินเยอะ เงินต้นมันเป็นตะเกียงดวงแรก ถ้ามี้เงินเยอะมันไปง่าย ตอนนั้นปันผลเยอะมากเมื่อเทียบกับเงินเดือนแล้ว พอมาเทียบความเสี่ยงตัวเองกับความเสี่ยงแบงค์ ตัวเองเสี่ยงกว่าเยอะ เสี่ยงติดคุกตลอด ออกมาก็เคว้งคว้าง ไม่มีงานทำเป็นที่ดูแคลนดูหมิ่นของสังคม สมัยก่อนแต่งงานกับแฟนพ่อตาไม่เห็นด้วย ยุคนั้นประเทศไทยเป็นแบบนี้
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 เป็นนักลงทุนเต็มตัว อย่าไป serious มาก work life ดีกว่า แต่การทำงานถ้าไม่มีเงินตั้งต้นมันสำคัญ คำถามต่อมา เมื่อพยายามจัดให้ work life balance อะไรทำให้เรื่องการลงทุนตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราในมุมอื่นที่มากกว่าเรื่องเงิน ?
.
อาจารย์ไพบูลย์ : เรียนจบแล้วไปไงต่อ ก็ไปทำสายที่จบมานั่นแหละ การก้าวจากมหาวิทยาลัยที่เรียนจบจากการลงทุนในสาขาเฉพาะไปสู่ตลาดหุ้นเป็นก้าวที่ใหญ่มาก ลงทุนหุ้นจะประสบความสำเร็จ ทุกคนเคยทำงานมาก่อนและทุกคนไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต การไปบริษัทเล็กได้ทำทุกอย่าง เหนื่อยแต่ได้เรียนรู้ เจ๊งก็ไม่เป็นไรไม่ใช่บริษัทเรา Bank ใหญ่ ๆ อยู่ไม่ได้ทำอะไรมาก หรือไม่ก็ไปเรียนต่อ แล้วจะให้รู้ว่าเราชอบอะไร มีน้อยที่รู้จักหุ้นทุกตัว เอาที่เหมาะว่าเราชอบประมาณไหม แต่ประมาณไหนถึงเข้ากับเรา หาประสบการณ์อย่างอื่นมาเติมเต็ม ลูกศิษย์ที่จบ NIDA อายุ 30 ปี เข้าไปในตลาดหุ้น ปัจจุบันไม่เหลือเลย
.
ดร. นิเวศน์ : ตั้งต้นแบบนี้เลย เขียนหนังสือด้วย ศึกษาพอสมควร ตาม warren buffett ลงทุนเพราะคิดว่าเป็นบริษัท เพราะปี 40 เรามีเงิน 10 ล้าน Apartment 40 ห้อง ก็คำนวนทำอะไรไป ถ้าช่วงนั้นไปดู volume น้อยมาก คนไม่เอาก็มองว่าเหมือนซื้อธุรกิจ ซึ่งปกติมักจะไม่ค่อยได้ถ้าไม่เกิดวิกฤต เช่น MAMA ดูไปแล้วตกใจ กำไรดีมาก ปันผลก็ดีมาก ลงทุน 100 จ่ายผม 10% ต่อปี PE 5 เท่า P/B ต่ำ 1 ทุกคนก็กินมาม่าเพิ่มขึ้นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจทุกคนก็กินเยอะขึ้น 10 ล้าน ปันผล 10% 1 ล้านให้ลูกเรียน 3 แสน ก็พอแล้ว แต่ถ้าไปลงตัวเดียวก็เสี่ยงไป ต้องกระจาย ซื้อ 5-6 ตัวเลย หุ้นที่ซื้อไม่ได้ถูกกระทบ แต่ถูกมาก ไม่ได้คิดจะขายด้วยไม่มีคนซื้อต่อ ปันผลดีอะไรต่าง ๆ ก็เก็บหุ้น พอตลาดเริ่มฟื้นก็มี VI แล้วก็เขียนหนังสือ VI ก็มากันใหญ่เลย คุณธันวามาหาถึงบริษัท ทำงานอยู่ singapore คุยๆ แล้วก็กระจายไป เริ่มมี Program ไว้คุยหุ้นกัน website คนก็มา join ได้ ชมรม VI อะไรประมาณรี้ ตลาดหุ้http://xn--q3c.com/ ชมรมไม่ไกลหรอกก็ตั้งเป็นสมาคม VI มีคนรับเรื่องไปทำ มี technology สำคัญสุดมองหุ้นให้เป็นธุรกิจที่มันดี ๆ โดดเด่น จังหวะแรก ๆ ขายบ้างเปลี่ยนตัวบ้าง รอดูตัวใหม่ ๆ ขึ้นไปแล้วแต่บางตัวดีกว่ายังไม่ขึ้น ขายตัวที่ขึ้นมาเยอะไปซื้อตัวถูก ๆ มี cash น้อยมากเพราะมีของใหม่ตลอดเวลา เหมือนคนที่มาจากทะเลทรายและเจอฮาเรม มีเยอะจนละลานตา Warren buffet พูด oversex ตกเข้าอยู่ในฮาเรม
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 ด้านดีด้านเสียของตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง
.
อาจารย์ไพบูลย์ : พอมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ก็จะผ่อนคลายแล้ว ตั้งรับให้ดี ต่อให้ตลาดวอดวายไป เราก็ยังมีเงิน แต่ในตลาดหุ้นความโลภไม่เคยพอ 1. เทียบกับตัวเอง 2. เปรียบเทียบกับเพื่อน ทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่าน ถือเป็นด้านไม่ดี พระทุกองค์จะบอกถ้าเล่นหุ้นอยู่อย่ามาบวช ให้เลิกก่อน เป็นด้านไม่ดี ส่งผลตอนป่วยหนัก เช่น ถ้าอีก 3 เดือนเสียชีวิต จะเอาไปทำไม
.
ดร.นิเวศน์ : เห็นด้วยกับ อ.ไพบูลย์ ความโลภ เลี่ยงไม่ได้ อยู่ในยีน ปี 42,43 ไม่ค่อยมีนะ เดี๋ยวนี้โชว์กันอุตหลุด มีการคุยกันว่าทำยังไง มีตัวเลขออกมา บางทีเป็น bubble เศรษฐี 1ใน10 ของประเทศ แบบหุ้นอยู่ใน corner สื่ออะไรต่าง ๆ มีเยอะ ไม่ได้สนใจว่าใครมีเท่าไหร่ ทำ ๆ ไปตั้งนานไม่มีความรู้สึกว่ารวยมาก ไม่ได้ตั้งบริษัทเพื่อลุยหุ้นต่อ ไม่ใช่ แต่ตั้งเพื่อแก้ปัญหาภาษีไปหน่อย สุดท้ายบริษัทนี้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ทิ้งไว้ 10 ปี ไม่ได้เครียดว่าต้องแข่งกับใคร ต้องหาความรู้ คนเก่ง ๆ เดี๋ยวจะมีคนเก่งกว่าตลอดเวลา ไม่ต้องไปดูหรอก จริงๆ Port ไม่ใหญ่ขนาดนั้น และมองว่าชีวิตคนบางคนไม่เหมือนกัน ต้องไปดูว่าชีวิตเรามันมีข้อจำกัด พอมีใช้ มีอะไรแล้ว เราจะไม่เครียด อย่าไปอยู่ในโลกมายาเรื่องการแข่งขัน เครียดแล้วจะมาลงทุนทำไม
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 พฤติกรรมในการลงทุนต้องเป็นยังไง ?
.
อาจารย์ไพบูลย์ : ควรทำยังไงให้ดี พฤติกรรมไม่ดีคือไม่กระจายแต่ไม่กระจายความเสี่ยง คนที่ Leverage อาจไปเร็วแต่มันจะไป Pressure ตัวเขาเอง เอาแบบสบายๆ ดีกว่า ด้านบวกก็ให้กระจาย ถ้ามีอะไรที่คิดไม่ถึง (unsystematic risk) มากระทบได้ ถ้าไปในจุดนึงที่สบายแล้ว ก้อนนึงควรอยู่ในจุดที่ไม่กระทบกับของพวกนี้ ที่มีก็พอกินจนตายอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว อย่าไปกระจุกมาก
.
ดร.นิเวศน์ : ในตลาดหุ้นก็มีคนได้เปรียบ ใช้ข้อมูลภายในที่เอาเปรียบหรือไปสร้างราคาเกินไปทั้งที่ไม่ควรเป็นอะไรแบบนี้ บางอย่างอาจจะไม่จริง ก็จะมีพวกนี้อยู่ หลังๆ พอถึงจุดนึงก็เอาแบบ แฟร์ ๆ ที่สุด ก็นึกถึงนักตกปลา จะต้องมีเกณฑ์หรือ Ethic อะไรสักอย่างที่เบ็ดจะใหญ่แค่ไหนก็ได้ มันไม่ใช่ นักตกปลาจริง ๆ จะมีคันเบ็ดที่เหมาะสม ไม่ใช่เอาอวนเอาอะไรไปจับ เราเป็นนักลงทุนเราก็เป็น artist เหมือนกันเล่นกัน fair ๆ ทำไปทำไม ตังก็มีอยู่แล้ว
ทำให้ fair มากขึ้น เช่น ผมรู้ข้อมูลตัวนี้ เราไม่เอา ถ้ามีคนรู้ว่าไปทำ จะมองว่าที่ได้มาเพราะแบบนี้หรือป่าว
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
📍 บริบทการลงทุนมันเปลี่ยน ex. หุ้น MAMA, CPALL เปลี่ยนวิธีการลงทุนหรือป่าว
.
อาจารย์ไพบูลย์ : เหมือนเดิม กองหลังต้องแน่น ยิงประตูไม่ได้ไม่เป็นไร คือชีวิตของคุณ ถ้า save ไป ไปช้าก็ไม่เป็นไร เราไปเรื่อยๆ ขอไปช้าๆ ไปเร็วๆ มันเครียด ไม่ไหว บางคนบอกช้าไม่ไหว เครียด เกินไป
.
ดร.นิเวศน์ : เหมือนเดิมเลย แต่เปลี่ยนตลาด ใช้พลังงานน้อยกว่า และเห็นอยู่ว่าคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเยอะ เพราะต้องการอะไรที่เร็วมาก ดร.นิเวศน์อยู่บริษัทเดียว 7 ปี 10 ปี เลือกของเดิมของเรา โบราณแต่มีโบราณกว่าเราอีกหน่อย ถึงหากินไม่ได้ก็ตายอยู่ดี ของอะไรเดิมๆ เราก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ Old economy ก็ยังมีคนใช้ พอทัน เดี๋ยว EV จะมาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ของบางอย่างยังใช้ของเก่าก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เปลี่ยน เพราะเปลี่ยนไปก็ไม่ได้
– – – – – – – – – – – – – – – – – – –
🔰 Q&A 🔰
.
📍 จัดการกับภาษียังไงกับหุ้นต่างประเทศ ?
ดร.นิเวศน์ : ถ้าไปลงทุนแล้วไม่เอาเงินกลับ ก็ไม่เสีย แต่สรรพากรจะตรวจได้ไหมในอนาคต ทางที่ดีกว่าก็ไปลงทุนใน DR หรือกองทุนรวมต่างประเทศ เพราะอิงกับกงอทุนไทย ถ้าเก็บขึ้นมาก็ตายเลย
.
📍 อาจารย์ไพบูลย์ลงทุนต่างประเทศเท่าไหร่บ้าง?
อาจารย์ไพบูลย์ : เตรียมเงิน 10-20 % แต่ลงไปแล้ว 5%
.
📍 บทความอาจารย์นิเวศน์ที่เขียน action หุ้นจีนหรือยัง ?
ดร.นิเวศน์ : อายุขนาดนี้แล้วก็เปลี่ยนเป็น semi active / semi passive ดูกลุ่มไหนดีซื้อแล้วก็เก็บ megatrend หุ้น 10 ตัวที่เราชอบเป็นหุ้นผู้นำไม่เจ๊งง่ายๆ เจ๊งยาก ใช้กับตลาดจีน ตลาดไทยยังเป็น active อยู่ ตลาดไทยรอมานานแล้วขึ้นมาเดี๋ยวก็ลง ศึกษาภาพใหญ่แต่ไม่ศึกษาภาพเล็ก ดูวัฒนธรรม ดูถึงหลายๆ เรื่อง ระบบประเทศจะเป็นยังไง พร้อมหรือยัง แต่จีนรู้แล้วปัญหาคืออะไร ฝ่าฟันไปยังไง ก็ศึกษาอยู่
.
📍 ถ้าวันนี้ต้องเริ่มสร้างตัวจะให้คำแนะนำยังไง
อาจารย์ไพบูลย์ : ถ้าต้องสร้างใหม่ทุกวันนี้ ไม่เอาแล้ว ลงทุนหุ้นไทยยากกว่าเดิมเยอะมาก ทั้ง robot short sell และอะไรอีกหลายอย่างที่นักลงทุนหุ้นไทยไม่รู้ แต่สมัยก่อนจะเป็นการเอาเปรียบข้อมูล ถ้าต้องสร้างตัวใหม่ก็ไปวางแผนการเงิน ซื้อประกัน หรืออะไรต่างๆ ดีกว่า
ดร.นิเวศน์ : contratrian ตอนเข้าไปไม่มีใครสนใจ ถ้ามาวันนี้ คนแห่มาหุ้นก็แพง เข้ามาก็อาจจะเจ๊งได้ ต้องระวัง กลับไปทำงานน่าจะดีกว่า เข้ามาในยามที่ทุกคนฮือฮา เจ๊ง เข้ามาละตลาดเงียบอาจจะรวย เลือก DCA และเลือกประเทศดีๆ
.
📍 อยากทราบเป้าหมายชีวิต
อาจารย์ไพบูลย์ : ตายช้าหน่อย enjoy ทรัพย์สมบัติ และตายแบบแข็งแรง อยากตายก็ตายเลย
ดร.นิเวศน์ : อายุขนาดนี้ ก็ให้อายุยืนสุขภาพแข็งแรง แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ง่ายหรอก ธรรมชาติ อย่าไปอดอยากหรือวิ่งเยอะเกิน เราก็รู้สึกอยากกินก็กินไป หาความสุขไปก่อน ทำไมต้องไปดิ้นรนด้วย
.
📍 Valuation ในแต่ละหุ้นประเภท
อาจารย์ไพบูลย์ : (CFA) พูดตรงนี้ไม่ควรจะทำ บางครั้งเป็นการดู short term มากๆ PE ต่ำก็ซื้อ PE แพงก็ขาย ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดร.นิเวศน์ : ประเมินได้ไม่กี่ sector ได้แค่สม่ำเสมอมากๆ รู้เบื้องหลังพวกนี้หมดก่อน ถ้าบอกปิโตรเคมี ประเมินไม่ได้ ซื้อได้แต่ต้องถูกมากๆ
.
📍 หนังสือแนะนำ 2 เล่ม
อาจารย์ไพบูลย์
1. คู่มือมนุษย์ ของ พุทธ เล่ม modify อ่านแล้วจะรู้จักคิดในทางที่ควรจะคิดมากขึ้น
2. ริบบิ้นสั้น Li kim huang เพราะ พระเอกเป็นคนรักเพื่อนมากยอมลำบากและมีวิชาสูงสุดในแผ่นดิน
3. Random walk on Wall Street
ดร.นิเวศน์
1. Random walk on Wall Street ทำให้มองว่าไม่ง่ายในการลงทุน
2. Homo sapiens
3. ข้างหลังภาพ (คุณหญิงกีรติ)
.
📍ตัวอย่างนักลงทุนรุ่นใหม่ที่น่าติดตาม
มีหลายคนเลย ไปตามดู money talk ย้อนหลัง 10 ปี
.
📍 เบื่อไหมที่ต้องเป็นนักลงทุนเล่าชีวิตตัวเอง 10 ปี ถ้าเลือกได้อยากเป็นนักลงทุนที่ไม่มีชื่อเสียงไหม ?
เป็นอะไรที่ชอบทำ ถ้าไม่พูดไม่รู้จะออกจากบ้านมาทำอะไร เพราะไม่ CV ถ้าเลือกได้ ไม่มีชื่อเสียงจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ จะมีความสุขคนละแบบ เราชอบความสุขธรรมดา
– – – – – – – – – – – – – – – –
หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยครับ
ตอนสุดท้าย *
ติดต่องาน
E-mail : Longtundi@gmail.com
#chulainvestmentforum#ลงทุนดิ
รวม 6
เร็วๆนี้ คุณ Chal Chalermdej นายกสมาคม Thai VI คนปัจจุบัน ได้มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในสัมมนา Thai VI ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งรวมถึงผม โดยคุณเชาว์บรรยายเรื่องการจัดพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน โดยให้คำแนะนำแบบสรุปง่ายๆว่า ในพอร์ตหุ้นของเรานั้นควรมี
1. จำนวนหุ้น = รู้(จักหุ้น)มากถือมาก รู้น้อยถือน้อย
* รู้น้อย ถือหุ้น 20 ตัว กระจายคามเสี่ยง
* รู้มาก ถือหุ้น 3-5 ตัว
* คุณเชาว์แนะนำให้ถือหุ้นหุ้นแค่ 5-10ตัว
* พอร์ตใหญ่ ถือหุ้นเยอะขึ้น (กระจายความเสี่ยง)
2. ความกระจุกตัว = ถือแบบกระจุกในตัวที่เรามั่นใจ
* ตัวที่ถือตัวแรกอัด 30-50% ของพอร์ต
* ถ้าขึ้น 5เท่า 10 เท่า มันสร้างความแตกต่างกับพอร์ต
นี่เป็นการจัดพอร์ตที่คุณเชาว์แนะนำต่อกลุ่มนักเรียน VI ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่นักลงทุนทั่วไป แต่เป็นนักลงทุนที่อยากจะเก่งกาจเหมือนนักลงทุนไทยหลายท่านที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสี่ยงในตลาดหุ้นไทย
================
แนวคิดการจัดพอร์ตหุ้นแบบนี้จริงๆแล้วถือเป็นการจัดพอร์ตหุ้นแบบเน้นเอาผลตอบแทนแบบชนะตลาด (“alpha”) อันมาจากการมีความรู้เหนือตลาดในตัวหุ้นที่เราถือ
.
.
.
ที่น้อยคนนักจะมี
และอาจจะยังไม่ใช่กลุ่มนักลงทุน 90% ที่ติดตามเพจนี้อยู่
ถึงแม้คนติดตามเพจนี้จะไม่ใช่นักลงทุนแบบ Thai VI ในเมื่อนักลงทุนบางท่านได้ฟังข้อดีของการถือพอร์ตแบบกระจุกไปแล้ว ในวันนี้ผมอยากมาแชร์ข้อเสียของการพอร์ตฯแบบที่ว่ากันบ้าง
====
การยิ่งถือหุ้นแบบกระจุก ยิ่งทำให้เราได้ผลตอบแทนแตกต่างจากตลาดมากขึ้น
ซึ่งความเบี่ยงเบนของผลตอบแทน มักเกิดขึ้นใน 2 ขาเสมอ กล่าวคือ ขาดี และขาร้าย
ถ้าผลตอบแทนตลาดคือ 12% ต่อปี (ผมไม่แน่ใจเขาดูตลาดหุ้นช่วงระยะเวลาไหน)
– การถือหุ้นหลักร้อยตัว (เส้นทึบน้ำตาล) เท่ากับว่าเราได้ผลตอบแทนไม่แตกต่างจากกองทุนดัชนี โดยในรูปผลตอบแทนที่เรามีโอกาสได้มากที่สุด (วัดจากความสูงของเส้น) จะอยู่ที่12% แต่เราก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนเบี่ยงเบนอยู่ที่ 10-13% ซึ่งก็เท่ากับว่าความผันผวนของผลตอบแทนเราน้อยมากๆ
– ยิ่งลดจำนวนหุ้นลงมา เส้นระฆังผลตอบแทนยิ่งถ่างขึ้น
– การถือหุ้นเหลือแค่ 10 ตัว (เส้นทึบสีชมพู) โอกาสได้ผลตอบแทนที่ 12% เราลดน้อยลง แต่โอกาสได้ผลตอบแทนตั้งแต่ 6-18% เราสูงขึ้นมาก
= ความผันผวนของผลตอบแทนสูงตามมาพร้อมความกระจุกตัว
เขียนไปเขียนมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเอาเรื่องง่ายมาอธิบายให้ยาก
สรุปง่ายๆคือยิ่งเลือกหุ้น ยิ่งถือกระจุก ยิ่งรับความเสี่ยงเยอะขึ้นตามไป
แต่ชาร์ตนี้ทำให้เราเห็นความเสี่ยงที่ว่าแบบสถิติในโลกแห่งความจริง
ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่าเป็นการศึกษาแบบสุ่มถือหุ้น มีหุ้นดีหุ้นร้ายปะปนกันไป
แต่ในชีวิตจริงนักลงทุนบางท่าน ซื้อตามเซียน ตามกระแส การอัดหุ้นปั่น 5-10 ตัวเข้าพอร์ตเป็นเรื่องที่เห็นอยู่บ่อยๆ
เพราะฉะนั้นการขาดทุน -50% , -100% จริงมีให้เห็นเต็มเพจคุยหุ้นใน facebook ซึ่งก็เกิดจากการอัดถือหุ้นไม่กี่ตัวแบบที่คุณเชาว์ว่า แม้ว่าจะเกิดจากความขาดความรู้มากกว่าความรู้และความมั่นใจ
=========
ผู้อ่านบางคนอาจจำได้ วันที่ผมเขียนถึงหนทางการเป็นนักลงทุน 90% คือการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตลาด
แต่แทนที่ผมจะแนะนำให้คนลงทุนกับ “ตลาด” 100%
ผมแนะนำการจัดพอร์ตโฟลิโอ ให้ลงทุนกับตลาดหุ้นแบบ (passive) 90% และลงทุนแบบเลือกหุ้น (active) 10% โดยกองเงินส่วน active ถ้าจะลองหันมาเลือกหุ้นดู (แทนที่จะเอาไปซื้อกองทุนรวมแบบ active fund) ก็ไม่เสียหายอะไร
เพราะผมยังเชื่อว่าการจัดสรรเงินลงทุนซัก 10% ในการเลือกหุ้นรายตัว ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการคัดเลือกหุ้น ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถเราติดตัวไปตลอดชีวิต
ความรู้เป็นสิ่งที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ และคงไม่มีหนทางเรียนรู้ใดได้ผลกว่าการเรียนรู้ผ่านการปฎิบัติ
ถ้า Warren Buffett บอกว่าคุณไม่ควรลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ
แต่นักลงทุน 90% คือนักลงทุนมือใหม่ หรือนักลงทุนขาจร
คงไม่มีเวลาศึกษาทำความเข้าใจหุ้นมากมายก่ายกองอะไร
การจัดสรรเงิน “ส่วนมาก” ลงทุนไปกับตลาดหุ้นที่มีการกระจายตัวสูงสุด น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้
ในส่วนของการเลือกหุ้นในสัดส่วน 10% นั้น การเลือกถือหุ้นเฉพาะตัวที่เข้าใจ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
แล้วหุ้นตัวไหนล่ะที่เราเข้าใจ ลองเริ่มจากธุรกิจที่เราเข้าใจก่อนดีไหม ตามความถนัด ความชอบส่วนตัว
ชอบค้าขายลองดูหุ้น CPALL, Walmart, Costco
ชอบเทคโนโลยี ลองดูหุ้น Amazon, Infosys, TSMC
ชอบแฟชัน ลองดูหุ้น LVMH, Hermès, Adidas
ชอบรถลองดูหุ้น Toyota, Ferrari
ความชอบเป็นแค่จุดเริ่มต้นให้เราไปศึกษาต่อไป
เมื่อเลือกหุ้นมาแล้ว จะจัดพอร์ตหุ้นแบบที่คุณเชาว์แนะนำ ถือเฉพาะตัวที่เรามี ถือกระจุกในพอร์ตหุ้น (แต่โดยรวมเป็นแค่สัดส่วนเล็กๆของเงินลงทุน) แล้วค่อยๆให้การเวลาตัดสินว่าเราสามารถเลือกหุ้นได้ชนะตลาดหรือเปล่า ก่อนที่จะค่อยปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
ผมเชื่อว่าน่าจะเหมาะสมและมีประโยชน์ต่อนักลงทุน 90% ทุกท่านครับ
#portfoliomanagement #alphainvesting
#10percent
รวม 5
30 แนวคิดการลงทุนของ คุณหมอพงศ์ศักดิ์ นักลงทุน VI ระดับ 2 หมื่นล้าน
1. จะลงทุนบริษัทให้ดู Cycle ของธุรกิจ
Stage 1 : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ (Startup)
Stage 2 : เริ่มโต แต่ Cashflow ติดลบ
Stage 3 : เริ่มโตขึ้น และ Cashflow เริ่มเป็นบวก
Stage 4 : ช่วงธุรกิจขยายตัว (Scale up)
Stage 5 : ธุรกิจเริ่มอิ่มตัว (Maturity)
Stage 6 : ช่วงธุรกิจเริ่ม Decline
2. นักลงทุนที่เป็น VC จะเลือกลงทุนที่ Stage 1 -2 แต่นักลงทุน VI จะลงทุนช่วง Stage 3 และจะได้ผลตอบแทนดี..ที่ความเสี่ยงไม่เยอะ
3. แต่ส่วนใหญ่ที่เราลงทุนแล้วได้ Returns กลับมาน้อยๆ เพราะ เราดันไปลงทุนธุรกิจ ที่อยู่ใน Stage 4-5 ไปแล้ว
4. ถ้าจะลงทุนบริษัทที่ Stage 1-2 จะวิเคราะห์ 4 อย่าง คือ :
– ตลาดใหญ่มั้ย?
– บริษัทจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้เท่าไหร่?
– แล้วถ้าแย่งชิงตลาดมาได้ จะได้กำไรเท่าไหร่?
– กำไรเท่านี้ Impact กับบริษัทมั้ย?
5. จะลงทุนบริษัทอะไร ให้ศึกษาผู้บริหาร และวิเคราะห์ว่า เขามีความสามารถ 2 ข้อนี้หรือไม่ คือ
– ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ
– ความสามารถในการจัดการเงินลงทุน
6. ผู้บริหารส่วนใหญ่จะเก่งในการบริหารธุรกิจ แต่จะมีจุดอ่อนในเรื่อง การบริหารเงิน
7. เพราะส่วนใหญ่พอได้เงินมา จะเอาไปขยายงาน ที่ได้ Return กลับมาไม่ดี (ถ้า ROE ต่ำๆ จะไม่ค่อยน่าลงทุน)
8. ผู้บริหารที่ดี คือ ผู้บริหารที่ตรงไปตรงมา หมายถึง เป็นคนที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด
9. 4 คุณสมบัติผู้บริหาร ที่น่าลงทุนด้วย คือ
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นนักกลยุทธ์มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ หาโอกาสเก่งมั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่ค่อยๆสร้างธุรกิจให้โตใช่มั้ย?
– ผู้บริหารคนนี้ เป็นคนที่คิดอะไรใหม่ๆเสมอมั้ย?
10. เพราะผู้บริหารบางคนฉวยโอกาสเก่ง แต่ไม่ยั่งยืน หรือ บางคนก็สร้างอะไรใหม่ๆเสมอ แต่ไม่มีกลยุทธ์ระยะยาว ดังนั้น ถ้าไม่ครบเครื่อง 4 ข้อ ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะลงทุนด้วย
11. ในมุมของพี่กระทิง (VC) เวลาจะลงทุน Start Up จะดู 7 ข้อ คือ
– มองทีมผู้ก่อตั้ง (Winning founding team)
– มีตลาดที่ใหญ่เพียงพอ
– มีเทคโนโลยีที่ยากจะลอกเลียนแบบ
– มี Unfair Advantage ที่คู่แข่งไม่มี
– มีความสามารถในการดึงดูด Talent
– มีช่องทางในการทำ Profitibility
– The way to exit
12. ในมุมของนักลงทุน VI จะเลือกลงทุนในธุรกิจ กึ่งๆ Monopoly หมายถึง ธุรกิจที่สามารถ Scale จนเป็น เบอร์ 1 ของตลาด
13. จะดูได้อย่างไรว่าธุรกิจนี้ เป็น กึ่งๆ Monopoly – ให้ดูที่ยอดขาย ว่าต่างจากคู่แข่งในตลาดประมาณ 4-5 เท่า
14. แต่ถ้าเราจะลงทุน ให้ลงทุนช่วงที่ยอดขายมากกว่าคู่แข่งในตลาด 2 เท่า ถ้าเราไปรอว่าธุรกิจนี้จะต้องใหญ่กว่า 3 เท่า….แบบนี้ช้าไปแล้ว
15. แต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะมีผู้ชนะ จนเป็น Monopoly เช่น ธุรกิจสายการบิน คงไม่สามารถปิดน่านฟ้าและบินได้เจ้าเดียว หรือ อสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ใช่มีเจ้าเดียวที่ก่อสร้างได้
16. ดังนั้น อุตสาหกรรมประเภทนี้เราจะลงทุนก็ได้…แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะสั้น หรือ ราคาต้องถูกมากๆ ถึงจะน่าลงทุน และ เมื่อราคาขึ้นมาเหมาะสมก็ค่อยขาย
17. เวลาลงทุนให้เราวิเคราะห์อุตสาหกรรมก่อน ว่าจะมี ผู้ชนะในตลาด เพื่อที่จะมี Monopoly Power หรือไม่ ถ้ามีก็ น่าลงทุนระยะยาวได้
18. การเป็นนักลงทุน VI จะให้ “ความสำคัญกับ ความเสี่ยง มากกว่า Return” เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ Black Swan เราจะเจ็บหนักมาก แต่ถ้าประเมินความเสี่ยงแล้ว เมื่อเทียบกับ Return พอรับได้ ก็จะค่อยๆลงทุน
19. เวลาลงทุน จะไม่ลงทุนไม้เดียว จะค่อยๆลงทุนและเรียนรู้กับบริษัทนี้ (เฉลี่ยประมาณ 3 ปี) เพื่อเข้าใจความเสี่ยง เข้าใจธุรกิจดีพอ แล้วจะค่อยๆ ลงทุนเพิ่ม
20. 4 เหตุผลที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน เป็นเพราะ
– ลงทุน โดยที่ไม่เข้าใจธุรกิจ
– มองความเสี่ยงไม่ขาด
– ศึกษาอุตสาหกรรมไม่ดีพอ
– เราเชื่อคำพูดผู้บริหารมากเกินไป (ให้ระวังผู้บริหารที่สร้างภาพมากเกินไป)
21. ถ้าคนอยากซื้อเราต้องไม่ซื้อ – แต่ถ้าคนไม่อยากซื้อ เราต้องรีบเข้าไปวิเคราะห์
22. ให้เรากล้า ในระหว่างที่คนอื่นกลัว – ทุกครั้งที่ทุกคนบอกว่าบริษัทนี้ไม่ดี และเทขายทิ้ง ให้เรารีบเข้าไปวิเคราะห์ทุกครั้ง ว่าเป็นวิกฤติชั่วคราวหรือ วิกฤติถาวร
23. ถ้าเป็นวิกฤติชั่วคราว แล้วเรามีความกล้ามากพอที่จะลงทุน เราจะได้ผลตอบแทนกลับมาสูง
24. ถ้าจะลงทุนธุรกิจสัปทาน ต้องระวังเรื่องการต่อสัมปทานด้วย และ ธุรกิจสัมปทาน ต้องดูเรื่องการเมืองควบคู่ ถ้าเปลี่ยนขั้วการเมือง หรือ ไม่ได้ต่อสัปทาน จะมีความเสี่ยงสูงมาก
25. เหตุผลที่เราต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนให้ลึกซึ้ง เพราะ เราจะสามารถประเมินอนาคตของธุรกิจนี้ได้ และ ประเมิน “มูลค่า” ได้ ยิ่งถ้าเราถนัดและคุ้นชินกับอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุนด้วย เรายิ่งจะประเมินธุรกิจออกได้ง่าย
26. เราควรทำ Financial model และใส่ตัวเลข คาดการณ์ล่วงหน้า ของธุรกิจที่เราจะลงทุนในทุกๆไตรมาส ว่า “ผลประกอบการเป็นไปตามที่เราคาดการณ์หรือไม่?” ถ้าใช่ก็ให้ค่อยๆลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าไม่ใช่และผิดไปมาก ก็ต้องรีบขายออก ข้อดีของวิธีนี้คือ “เราจะรู้ตัวเร็ว”
27. เมื่อยิ่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงเรายิ่งต้องระวัง – ถ้าธุรกิจมี New S Curve ต้องดูว่า มีความเป็นไปได้มั้ย และ ทำกำไรหรือเปล่า สุดท้ายถ้าเราตีมูลค่าได้ เราจะค่อนข้างลดความเสี่ยงไปได้สูง
28. เราควรขายหุ้นที่เราลงทุนเมื่อไหร่? ให้กลับไปดูที่ Life cycle ของธุรกิจ ถ้าธุรกิจมัน Maturity ไม่โตแล้ว ให้ลองหาธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตเพื่อลงทุน (ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นแล้วถือตลอดชีวิต)
29. ถ้าเราลงทุนแล้วขาดทุน เวลาทำใจให้คิดว่า “เราเหลืออะไร มากกว่าเสียอะไร” อย่าไปยึดติดความผิดพลาด แต่ให้เรียนรู้และหาโอกาสในการลงทุนต่อไป
30. สิ่งที่เราควรฝึกฝน คือ ยิ่งหุ้นตก ทุกคนเทขาย ให้ฝึกนิสัยรีบเข้าไปวิเคราะห์ และตีมูลค่า เพราะ “ทุกวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ”
วันนี้โชคดีมากๆที่ได้ฟัง แนวคิด การลงทุน ทั้ง VC และ VI
ขอบคุณคุณหมอพงศ์ศักดิ์ พี่กระทิง ที่แชร์ Wisdom ให้ฟัง มากๆเลยนะครับ
ขอบคุณทีมงาน Disrupt ที่จัดงานขึ้นมานะครับ🙏😊
#CXO #CXO3
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน : วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
วิทยากร
1.ทิวา ชินธาดาพงศ์
2.ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
3.วีระพงษ์ ธัม
4.กิตติศักดิ์ โควินกวีวัฒน์
5.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
6.วัชระ แก้วสว่าง
7.ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ
8.ภาคภูมิ ศิริหงษ์ทอง
9.Mr.Bin Shi
10.ยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร
11.Mr.Pon Van Compernolle
12.อนุรักษ์ บุญแสวง
Session 1 Take Off : ทำไมคนไทย ต้องออกเดินทางไปลงทุนหุ้นนอก
1.Playbook 1 : Forget Who and Where You Are and Start Hunting For Growth Ex.หุ้น100 เด้ง ฝั่ง America Google, Priceline, Netflix
หุ้น Super Stock ฝั่ง Japan Nintendo, Uniqlo, Softbank
2.Playbook 2 : Runway of Growth (Ex.Case Study ในอดีต Home Depot vs Home pro ต่างก็เป็นหุ้นที่ทำกำไรมหาศาลทั้งคู่
อยู่ที่ Time Frame ที่เราเลือกมาจับมาว่าเป็นช่วง Timing ไหนและระยะเวลานานเท่าไร ซึ่งทั้งคู่)
3. 4 Stage ของการลงทุน 1.The Introduction Stage 2.The Growth Stage 3.The Maturity Stage 4.The Decline Stage ใช้เพื่อแยกแยะว่าบริษัทที่เราลงทุนตอนนี้อยู่ใน Stage ไหน
4.เราจำเป็นที่จะต้อง คิด วิเคราะห์ ความเสี่ยงในการลงทุน เทียบกับโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ
5. เหยี่ยว vs นก Kiwi, โดยหลักเหยี่ยวจะสามารถบินไปมา เพื่อที่จะเลือกพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่นก Kiwi นั้นแม้จะมีปีก แต่ก็บินไม่ได้และพบได้เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น เปรียบเสมือนการลงทุนที่เราควรจะเลือกเป็นเหยี่ยวที่บินไปมาเพื่อหาแหล่งพื้นอาหารที่สมบูรณ์ หรือเราจะเลือกเป็นนกกีวี ที่อยู่แต่เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
6.Playbook 3 : What is Understanding
กลับไปสู่ Back to Basic คือ เข้าใจในสินค้าและบริการ แม้จะลงทุนหุ้นต่างประเทศแต่เราก็สามารถมองหาและเข้าใจในสินค้าและบริการได้เพราะ แม้จะเป็นร้านสะดวกซื้อก็มีสินค้าที่มาจากบริษัทจากต่างประเทศ หรือเวลาไปเดินในห้างสรรพสินค้าหรูๆ ก็มี Shop จากต่างประเทศมากมาย
7.Playbook 4 : What is Risk (Risk vs Opportunity)
8.Hunting การล่า (ตามล่าหาหุ้นเด้ง)
Trapping การขุดหลุมล่อ (โดยดูฤดูกาล)
Farming ปักหลักระยะยาว (Ex.หาหุ้นแบบ Megatrend และปักหลักระยะยาว)
9.What got you here, won’t get you there
อะไรที่อาจจะทำให้พาคุณมาถึงที่นี่ อาจจะไม่สามารถทำให้เราก้าวข้ามต่อไปจนถึงอีกฝั่ง
Session 2 Boarding Time : ถ้ามีงานประจำ แล้วจะติดตามหุ้นนอกอย่างไร?
10.Ex.Criteria บริษัทการลงทุน 1.)มีศักยภาพแข่งขันในระยะยาว 2.)การเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.)ราคาที่เหมาะสม 4.)งบการเงินดี
หุ้นดีๆ อยู่รอบตัวเรา , Mindset คือการมองที่ธุรกิจ
11.Ex.จุดเด่นของบริษัท Apple : 1.)Brand Strong 2.)Innovation 3.)Ecosystem 4.)Profitability
12.เปรียบการลงทุน เสมือนกับการตีเทนนิส ผู้ที่จะชนะในการลงทุนในระยะยาวคือ ผู้ที่พลาดน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม
13.จะ Valuation บริษัทได้นั้นเราต้องมีความเข้าใจในธุรกิจอย่างถ่องแท้
14.Checklist การลงทุนเบื้องต้น
1.)Business Model เป็นอย่างไร รายได้ธุรกิจมาจาก บริษัทอะไรบ้าง
2.)MOAT มีไหมและมาจากอะไรเช่น Brand, Network Effect, Economy of scale
3.)ตัวชี้วัดทางธุรกิจและอัตราส่วนทางการเงิน
4.)ผู้บริหาร
5.)ความเสี่ยงของธุรกิจ
15.Ex.Case การ Screen หุ้น
1.)Top Brand Company
2.)Hard to be disrupted
3.)Market Leader
4.)Durability Company
5.)Growth Consistency
จากนั้นจึงค่อย pick up Stock
Session 3 New York Call : หุ้นสหรัฐ
16.Female Economy : Female Spending power spending significant role than before
ปัจจัยสนับสนุนคือ 1) ตลาดผู้หญิงในกลุ่ม Millennials ที่มีกำลังซื้อสูงและกล้าใช้จ่าย 2) บทบาทของผู้หญิงที่เด่นชัดขึ้นในตลาดแรงงาน ทำให้สามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต 3) ผู้หญิงมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจและกำหนดการจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนมากขึ้น
17.แนวคิดการลงทุนหุ้นเติบโต บางส่วนสามารถศึกษาได้จากหนังสือ
7 Powers: The Foundations of Business Strategy by Hamilton Helmer
Ex.เรื่อง Switching Cost ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้ Platform อื่น
18.แม้บางที Business model จะดี เราเองก็ยังต้องประเมิน Valuation ควบคู่ไปด้วย เพราะแม้ Business model จะดี แต่ถ้าเข้าซื้อในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมเราก็อาจจะทำให้เราไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
19.เวลาวิเคราะห์หุ้น อาจจะต้องประเมินในหลายมิติ เช่น สินค้าประเภทนี้ มีโอกาสที่จะถูกสินค้าประเภทอื่น หรือบริการอย่างอื่นมาทำให้เกิดผลกระทบกับยอดขายของสินค้านี้หรือไม่
20.Theme นึงของการลงทุน คือ ลองมองหา
1.)Underdog
2.)Underowned
3.)Undervalue
เพราะอาจจะเป็นบริษัทที่คนส่วนใหญ่ไม่มีคนมาสนใจ ทำให้ความคาดหวังของราคาหุ้นไม่สูงมาก กรณีที่เกิดมี product ใหม่ หรือ Catalyst เกิดขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดสิ่งดีๆกับหุ้นตัวนั้นได้
21.ปัจจัยนึงที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น คือ โครงสร้างการถือหุ้นและผู้บริหาร บางครั้งการเปลี่ยนผู้บริหารก็อาจจะส่งผลดี/ผลเสีย ต่อกิจการของบริษัท
22.กรณีที่เป็นหุ้นที่ Too hard to be understanding ก็คงเป็นหุ้นที่ไม่เหมาะกับการลงทุนของเรา โดยหลักเราควรจะเลือกหุ้นที่เราสามารถ Predictable รายได้และกำไรได้
Session 4 Turbulence : ช่วงเวลาที่ผันผวนของหุ้นนอก เลวร้ายอย่างไร มีวิธีรับมือแบบไหน?
23.เวลาอ่านข่าว เราควรดูจากหลายแหล่งข่าว เพราะสื่อตะวันตกก็อาจจะมี Bias กับประเทศ Asia บางประเทศ
24.Theme นึงที่เลือกใช้ คือเน้นหุ้นที่บริษัทดี, มีคุณภาพ ที่มีปันผลดี และกระแสเงินสดดี ถือไประยะเวลาที่นานพอ ราคาหุ้นที่ฟื้นตัวกับปันผลที่ได้ ก็อาจจะทำให้เราได้กำไรจากการลงทุนพอสมควรจากการลงทุน (ผลประกอบการที่ดี วันนึงราคาของหุ้นก็ต้องสะท้อน)
25.America ดินแดนแห่งโอกาส ถ้าสามารถเลือกหา ธุรกิจที่เราเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่เติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
26.ลงทุนให้เหมาะกับจริตของเรา เช่นถ้าเราเป็นคนที่ชอบศึกษา Business ของธุรกิจ Technology เราก็อาจจะเหมาะกับการลงทุนประเภทนี้
27.กรณี Farming หรือเลือกปักหลักกับหุ้นในระยะยาว ปัจจัยเชิง Qualitative สำคัญกว่าปัจจัยเชิง Quantitative
28.การที่เราเลือกลงทุนในต่างประเทศ ก็อาจจะมีข้อดีอย่างนึงคือ เราจะมี Option ในการ Switch หุ้นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะขายหุ้นจากประเทศ A เพื่อนำเงินกลับมาซื้อหุ้นที่ประเทศไทย ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยลงหนัก เราก็อาจจะได้ในแง่สามารถช้อนหุ้นในราคาถูก แถมยังได้กำไรจาก Exchange Rate ที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว เวลาแลกเงินกลับมาเป็นเงินไทยก็อาจจะได้เงินบาทมากขึ้น
29.การจัดเก็บภาษีหุ้นนอก เป็นประเด็นที่ควรต้องติดตามต่อ ขณะนี้ กรมสรรพากรอยูระหว่างคุยกับ ธปท. และ กกต. อยู่ เป็นประเด็นที่อาจจะส่งผลกระทบกับนักลงทุนที่ไปลงทุนมนต่างประเทศ
Session 7 Shanghai Terminal : คุยกับผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน
30.อุตสาหกรรมยาที่จีนกำลังเริ่มที่จะ Penetrate อาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่เป็น Wave ถัดไปในอนาคต
31.จุดสำคัญ อย่างนึงของประเทศจีนที่ส่งผลต่อการลงทุน คือเรื่อง Government Regulation อย่างเช่น Case After School Tutor,
Healthcare, Tech Giant เป็นต้น
ซึ่งถ้า Government กลับมา Focus ที่เศรษฐกิจและออกนโยบายที่ผ่อนคลายบางอย่างก็อาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนได้
Session 8 Ho Chi Minh Terminal : คุยกับนักลงทุนไทย ที่รู้จริงในตลาดหุ้น Vietnam
32.อุตสาหกรรม ธนาคาร ที่ผ่านมาสินเชื่อโตปีละ 15% โดย Bank ควรจะต้องดู 1.)NPL 2.)Corporate Ratio 3.)LDR 4.)Valuation โดย Bank ที่ Vietnam มีข้อดี คือ 1.)Loan Growth สูง เช่น 15% 2.)ROE สูง เช่น 20% 3.)P/BV ต่ำ 4.)P/E ต่ำ
33.พึงระวังบริษัทที่หันไปทำธุรกิจที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท
34.Farming Vietnam : โดยมองว่าเศรษฐกิจมีโอกาสขับเคลื่อนเติบโตสูงในระดับหนึ่งใน 5-10 ปีข้างหน้า
35.Mindset การลงทุนที่ Thai อาจจะไม่สามารถนำมาใช้กับการลงทุน Vietnam ได้ 100% อาจจะมีบางบริบทที่ไม่เหมือนกัน
Session 9 Final Call : Pitching 3 บริษัท USA, China, Vietnam
36.Criteria นึงในการเลือกบริษัทคือ TAM ใหญ่, มี Competitive Advantage, เป็นบริษัทที่มี Network Effect , มี Free Cash Flow ที่ดี
37.เวลาเราจะเลือกลงทุนบริษัทนึง อาจจะต้องฝึกตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องใช้บริการบริษัทนั้น เราสามารถเลือกใช้บริการของบริษัทอื่นแทนได้ไหม เพื่อไม่ให้เรามี Bias ในบริษัทนั้นจนเกินไป
38.Theme การลงทุนอย่างนึง บริษัทที่มี DCA แต่อาจจะมีปัญหาชั่วคราวบางอย่าง ซึ่งถ้ารายได้และกำไรกลับไปที่จุดที่ควรจะเป็นและเราซื้อบริษัทนั้นได้ในราคาที่ไม่แพง ก็มีโอกาสที่จะได้กำไรมหาศาลได้
39.เวลาเลือกลงทุน เราอาจจะต้องลองมองหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งหรือหลายๆประเทศ เพื่อเป๋นข้อมูลประกอบให้เราสามารถวิเคราะห์บริษัทนั้นๆ หรือความเป็นไปได้ในการดู TAM ในอนาคตของบริษัทได้ เช่นบริษัทในจีนแต่เราอาจจะลองมองหาบริษัทที่ทำกิจการที่คล้ายๆกันในประเทศอื่นๆเพื่อ Benchmark เปรียบเทียบกัน
40.Dhandho Investing : Downside ต่ำ (โอกาสแพ้น้อย) แต่มีโอกาสได้กำไร/Upside สูงๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพิธีกร และพี่ๆทีมงานที่จัดงาน ลงทุนนอกกับลงทุนแมน ทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 9 Oct 23
(2 Years Promise)
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 พลัง/กลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ
“องค์กรที่ดำเนิน/ปฏิบัติงานได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ดี ถ้าไม่มีกลยุทธ์ที่ดี” CEO Netflix ได้กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ โดยหนังสือ 7 Powers นั้นได้อธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาธุรกิจ/บริษัทชั้นนำ ซึ่งเริ่มแรกหนังสือได้กล่าวนิยามของ กลยุทธ์ ว่าคือ แผนการ/หนทางในการสร้าง/รักษาอำนาจทางธุรกิจในตลาดที่สำคัญ โดยหนังสือได้แบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 2 กลุ่มคือ Strategy Statics ซึ่งมี 7 หัวข้อย่อย และ Strategy Dynamics ซึ่งมี 2 หัวข้อย่อย โดยบทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 โพสต์ ซึ่งโพสต์แรกนี้จะกล่าวถึง Strategy Statics 5 ข้อแรก ดังนี้
Scale Economies คือ ธุรกิจที่ต้นทุนต่อหน่วยลดลง เมื่อปริมาณการผลิตเพิ่ม่ขึ้น โดยหนังสือได้ยกตัวอย่าง Netflix ว่ามีกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale อย่างมาก โดยใช้ยุคเริ่มแรกนั้นธุรกิจ Netflix เริ่มจากการปล่อยเช่าวีดิโอ/DVD โดยผู้นำได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างถูกต้องหลายครั้ง ได้แก่ การมุ่งสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง(Bet on Internet/Streaming) และถัดมาก็ดำเนินกลยุทธ์แบบ Exclusive Right/Original Contents ซึ่งเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ที่มาอย่างถูกจังหวะเวลา ทำให้ Netflix สามารถใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale ได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ การสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นการประหยัดหน้าร้านและค่าใช้จ่ายสนับสนุนสำหรับการเช่าDVDออนไลน์ ส่วนการทำ Original Contents ที่ได้เริ่มช่วง 2012 นั้นเป็นช่วงที่เริ่มมีปริมาณ Subscriber เติบโตเยอะพอสมควรแล้ว การลงทุนสร้างหนัง/ซีรี่(Fixed Cost) แล้วฉายให้ฐานผู้ชมที่กำลังเติบโตสูงนั้นจึงเริ่มคุ้มในเชิงกลยุทธ์
Network Effect คือ ธุรกิจที่มูลค่ามากขึ้น เมื่อมีคนใช้แพลตฟอร์มมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่าง LinkedIn ซึ่งตอบโจทย์และมีคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการสร้าง Network Effect ได้แก่ เป็นตลาดที่ Winner Take All เป็นธุรกิจที่มีขอบเขต/กำแพง(boundary)ชัดเจน มีการใช้งาน(Engagement)สูงตามปริมาณคนใน Network และเป็นบริษัทที่มีสินค้า/Solution ที่ดี/ได้ผลจริง ตั้งแต่ช่วงแรก(Leader มากกว่า Follower) ซึ่งจะเห็นว่า LinkedIn มีข้อดีเหล่านี้ครบ โดยตลาดหางาน(Professional Recruitment) นั้นเป็นเหมือน Winner Take All ธุรกิจมี boundary หรือกำแพงกั้นคู่แข่งอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากความพยายามทำ Service เดียวกันของ Facebook โดยการซื้อ Branchout แต่ไม่สำเร็จ ส่วนนึงเพราะผู้คนอยากแยกชีวิตทำงาน และชีวิตส่วนตัว รวมทั้งเป็น Network ที่คนยิ่งมาก Engagement ก็ยิ่งมากตาม สุดท้าย ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม ธุรกิจที่มี Network Effect โดดเด่น เช่น iOS(Apple), Social Network(Facebook) เป็นต้น
Counter Positioning คือ การสร้างโมเดลธุรกิจที่ตรงข้ามกับตลาดโดยสิ้นเชิง โดยใช้ตัวอย่าง บริษัทบริหารจัดการหลักทรัพย์ Vanguard เทียบกับ Fidelity ซึ่งแต่เดิมช่วงก่อนปี 1975-1990 นั้น Fidelity เป็นบริษัทรายใหญ่ในสาขานี้ และใช้โมเดล Active Fund(เก็บค่าบริหารแพง และเลือกหุ้นดีดี) แต่ Vanguard กลับเสนอโมเดล Passive Fund ซึ่งจะเก็บค่าบริหารถูกมาก และบริหารตาม Index ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า AUM ของ Vanguard ก็เติบโตขึ้นมหาศาล จึงได้พิสูจน์ว่า Counter Positioning ในเรื่องนี้ Vanguard(Passive) นั้นเป็นโมเดลที่เหมาะสมกว่า ทีนี้ลองพิจารณาว่า ทำไม Fidelity ที่เห็น Vanguard ทำโมเดล Passive มานานกว่า 30 ปีแล้วถึงจะมาเริ่มปรับตัว อาจมาจากเหตุผลต่างๆเหล่านี้ เช่น การไม่คิดว่าโอกาส(ตลาด)ของ Passive Fund จะใหญ่พอ กลัวว่ารูปแบบกองทุนแบบ Passive จะมากินส่วนแบ่งรายได้เดิมลง(Cannibalize) มีความยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ ว่า Active Fund เวิร์คในอดีต อนาคตก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน และอาจมีปัญหา Agency Bias คือ ผู้บริหารไม่กล้าเปลี่ยนกลยุทธ์เพราะกลัวผลประโยชน์ของตนหรือของบริษัทระยะสั้นจะลดลง
Switching Cost คือ ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายในการย้าย/เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่น โดยธุรกิจที่มี Switch Cost ยิ่งสูงยิ่งดี ซึ่งหนังสือกล่าวว่ามีปัจจัยที่ช่วยทำให้แพลตฟอร์มมี Switch Cost สูง ได้แก่ สินค้า/บริการมี Learning Curve สูง(เช่น Adobe ที่คนใช้เป็นแล้วไม่อยากไปเรียนรู้โปรแกรมใหม่) มีมาตรฐานอุตสาหกรรม(เช่น Microsoft office File format สำหรับสำนักงาน) มี Bundling Synergy เยอะ(เช่น SAP, Amazon Prime มีบริการหลากหลายที่ตอบโจทย์) มีความผูกพันทางอารมณ์(เช่น Apple) มีข้อมูลลูกค้าอยู่มาก(เช่น Spotify ทำให้ย้ายแพลตฟอร์มยาก) หรือลูกค้ามีโอกาสเสียหายเพิ่มเติม(เช่น เปลี่ยนค่ายมือถือต้องจ่ายเพิ่ม หรือจะเปลี่ยนโปรแกรมองค์กรอาจมี downtime หรือข้อผิดพลาดได้) ซึ่งบริษัทที่สร้าง Switching Cost ได้อย่างดีสำหรับแพลตฟอร์มตนเอง เช่น Microsoft Office ซึ่งเป็นสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาด ใช้อย่างกว้างขวางจนเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีความไม่แน่นอน/เสี่ยง หากองค์กรจะเลือกใช้แพลตฟอร์มอื่น
Branding โดยหนังสือได้ให้คำนิยามว่า แบรนด์คือการนำเสนอสินค้า/บริการที่คุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าสินค้า/บริการจะมีคุณภาพดีกว่า ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น Apple หรือกระเป๋า LVMH ซึ่งพลังงานของแบรนด์ที่เหนือกว่าจะทำให้ธุรกิจมีอัตรากำไรที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หนังสือยังกล่าวถึงหลายปัจจัยที่ทำลายแบรนด์ได้ เช่น สินค้าคุณภาพต่ำ การนำเสนอสินค้าที่ราคาต่ำลง(down market) ทำให้การรับรู้ของผู้บริโภคเปลี่ยน การขยายธุรกิจ/แบรนด์ไปต่างประเทศก็จะเจอแรงต้านที่ทำให้แบรนด์อ่อนแอลง และสินค้าผู้บริโภครายย่อย(B2C)มีโอกาสที่แบรนด์จะเสื่อมลงเร็วกว่าสินค้าองค์กร(B2B)
ติดตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 2 ได้เร็วๆนี้ ทั้งเนื้อหาของ Power 6-7 และสรุปเกี่ยวกับ Power Dynamics ได้ที่เพจ สรุปย่อลงทุนนอก
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
#ลงทุนต่างประเทศ #7Powers #HamiltonHelmer #BusinessStrategy #GrowthInvesting #StrategyStatic #PowerDynamics #หุ้นนอก
Reference :
-Official Site of 7Powers : https://7powers.com/synopsis/
-Podcast The 7 Powers with Hamilton Helmer & Jeff Lawson :https://www.youtube.com/watch?v=U_eQK9UR8ao
-Youtube Chanel of 7 Powers Summary
:https://www.youtube.com/watch?v=1h50lBC0YyQ&t=2s
สรุปย่อแนวคิดการเลือกสุดยอดหุ้นเติบโต/กลยุทธ์ของบริษัทที่แข็งแกร่ง จาก หลักการของหนังสือ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy โดย Hamilton Helmer
Part 1) Strategy Static : Powers 1-5
Part 2) Powers 6-7 และ Dynamics Strategy
·
สรุปย่อ 7 Powers : the Foundations of Business Strategy Part 2 โดย Hamilton Helmer ซึ่งเล่มนี้ให้หลักการ/แนวคิดของการคัดเลือกหุ้นเติบโตที่ดีมาก โดยกล่าวถึง 7 Powers ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ/เป็นบริษัทผู้ชนะ ซึ่งโพสต์ก่อนได้เล่าถึง ส่วนของ Strategy Statics ไป 5 Powers ใครยังไม่ได้อ่าน Part1 สามารถกลับไปตามอ่าน สรุปย่อ 7 Powers by Hamilton Helmer Part 1 ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
และในโพสต์นี้จะมาสรุปย่อต่อในส่วนของ Power ที่ 6 และ 7 รวมทั้งเนื้อหาในส่วนของ Strategy Dynamics ดังนี้ (แนะนำให้อ่านตามคำบรรยายภาพ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น)
Cornered Resource คือ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์มหาศาลของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น่ สิทธิบัตรยา สัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน หรือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ซึ่งหากบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะได้ Cornered Resource ที่ดี ที่สร้างมูลค่าให้องค์กรมหาศาลในราคาที่เหมาะสม ก็จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขอยกตัวอย่าง บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท Pixar ในยุคแรก ได้แก่ Ed Catmull(ประธานบริหาร ที่เชี่ยวชาญ Technical Development), Steve Jobs(ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดึงดูด Talents) และ John Lasseter(ผู้กำกับ/อำนวยการสร้างการ์ตูน Animation ที่ยอดเยี่ยม) ซึ่งทั้ง 3 คนเป็น Cornered Resource ที่สำคัญที่ร่วมสร้าง Pixar กันมา จนทำให้คุณภาพ/รายได้/กำไร Pixar เหนือกว่าค่ายการ์ตูนอื่นอย่างมาก
Process Power คือ กิจกรรมในธุรกิจที่ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงหรือช่วยให้สินค้า/บริการดีขึ้น โดยกิจกรรมดังกล่าวจะลอกเลียนได้ต้องอาศัยเวลาและความพยายามสูงมาก ดังนั้น หากบริษัทใดมี Process Power ที่ดี จะทำให้ได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว โดยขอยกตัวอย่าง Toyota ที่มีกระบวนการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ตั้งแต่ยุค 1950s เป็นต้นมา ที่ Toyota พัฒนาหลักการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการต่างๆ เช่น หลักการ Kanban(มีสินค้าคงคลังน้อย), Just in Time, หลักการ Kaizen(พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และลด waste) หรือหลักการ 7 Muda เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ Toyota ปลูกฝังมากว่าทศวรรษ
ภาพนี้เป็นการสรุป 7 Powers โดยในแกนแนวตั้ง เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ และประโยชน์จากการลดต้นทุน ส่วนแกนแนวนอนเป็นกำแพง(Barrier)สำหรับคู่แข่ง ว่าเกิดจากการที่คู่แข่งไม่อยาก/ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในแต่ละแกนจะมีปัจจัยที่ส่งผลดังนี้
แกนแนวตั้ง(ประโยชน์) จะแบ่งเป็น 7 ปัจจัยย่อย ได้แก่
การลดต้นทุนจาก 1) ต้นทุนinput ที่ลดลง, 2) การประหยัดเชิงขนาด, 3) การประหยัดจากกระบวนการผลิต/กระจายสินค้า,
การเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการ โดย 4) มีสินค้า/บริการที่เหนือกว่าตลาดด้วยตัวมันเอง, 5) สินค้า/บริการให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ลูกค้าชอบกว่า, 6) คุณค่าที่เกิดจากการลดความเสี่ยง/ความไม่แน่นอน, 7) คุณค่า/ประโยชน์จากผู้ใช้สินค้า/แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละ Powers ทั้ง 7 ก็จะมีที่มาของคุณค่า/ประโยชน์ด้วย 7 ปัจจัยย่อย ดังแสดงในภาพ
ส่วนแกนแนวนอน(Barrier) นั้นจะแบ่งเป็น 4 เรื่องย่อย ได้แก่ Barrier ที่มาจาก 1) ผลกระทบจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป(Counter-position) 2)สินค้า/บริการต้นทุนที่ลดลง/ประโยชน์ที่มากขึ้น 3) ความล้าหลังที่ยึดติดกับสถานะ กฏเกณฑ์ กระบวนการในอดีต 4) การขาดความสามารถในการแข่งขันเพราะไม่มี Cornered Resource
สำหรับเรื่อง Power Dynamics – หนทางสู่ Power นั้น หนังสือกล่าวว่า หนทางสู่ความได้เปรียบ/ผู้นำตลาด นั้นมาจากสิ่งสำคัญที่สุด คือ นวัตกรรม(ในหนังสือใช้คำว่า Inventions) โดยแนวทางการสร้างนวัตกรรมนั้น มักเกิดจากการคิดค้นในส่วนของวงกลม 3 วงดังรูป ได้แก่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ(วงขวา) เป็นสิ่งที่บริษัททำได้ดี(วงล่าง) และเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่มี(นอกวงซ้าย) และหนังสือได้เน้นย้ำกว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในตลาด(คู่แข่ง)เป็น 10 เท่า การดีกว่าแค่ 10%-20% นั้นยังไม่ดีพอ
บทสุดท้ายของ Power Dynamics คือ Power Progression คือการเข้าใจวงจรชีวิตของธุรกิจ(Business Life Cycle) และสร้าง Powers ในแบบที่เหมาะสมต่อแต่ละเฟสของธุรกิจ โดยในหนังสือจะกล่าวถึงแค่ 3 เฟส ได้แก่
1)Origination เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Counter-Positioning และ Cornered Resource
2)Take Off เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Network Effect, Scale Economies, Switching Cost
3)Stability เป็นช่วงเฟสที่เหมาะจะใช้/สร้าง Branding และ Process Power
โดยหากธุรกิจเลือกใช้ Powers ไม่เหมาะสมกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ก็จะไม่เกิดผลดี เช่น การมุ่งมั่นสร้างกระบวนการที่ยอดเยี่ยม(Process Power)ตั้งแต่เฟสแรก อาจไม่เหมาะสมเพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์และชะลอสินค้าออกสู่ตลาด โดยขอยกตัวอย่างการใช้/สร้าง 7 powers นี้อย่างเหมาะสมของ Netflix เริ่มจากการมี Counter Position ที่ตรงข้ามกับ Blockbuster โดยเชื่อมั่นในอนาคตของ Streaming/Original Contents ถัดมาในยุคแรกของ Netflix นั้นมี Cornered Resource ที่สำคัญทั้งตัว Reed Hastings และผู้บริหาร/Talents ในยุคแรก ต่อมา Netflix ก็สร้าง/ใช้ประโยชน์จาก Scale Economies ค่อยๆสร้าง Switching Cost ขึ้นมา และได้ประโยชน์จาก Network Effect เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในระยะหลังจึงค่อยๆสร้าง Branding และทำการปรับ/Lean Business Process ต่างๆให้ยอดเยี่ยมขึ้น
Veritas กับการลงทุน
เมื่อวานไปงานลงทุนแมน เห็นคุณหลินพูดถึง Harvard’s Motto ผมว่าน่าสนใจ
1 Veritas เป็นภาษาละตินแปลว่า Truth หรือความจริง เป็นการ imply ว่าการเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกก็คือ การเข้ามาเรียนรู้ค้นหาความจริง
2 มนุษย์เราจริงๆ แล้วยังสับสน คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง ยุคนึงก็เคยเชื่อว่าโลกแบน ปัจจุบันมนุษย์ยังไม่รู้เลยว่าเรามาจากไหน จักรวาลคืออะไร มีขอบเขตขนาดไหน
3 บางสังคมอย่างคนไทย ยังสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรคือ ความจริง ความเห็น ความเชื่อ คนจำนวนมากคิดว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือถูกแต่จริงๆ แล้วผิด เช่น การรู้ข้อมูล inside information ก่อน public ผ่านการ CV หรือ Analyst meeting เป็นต้น
4 ผมเองได้แต่ฝันว่าอยากเรียน Harvard แต่โตมาจึงรู้ว่าค่าเทอมแพงจัด แถมจบตรีวิศวะจุฬาด้วยเกรด 2.52 ฝันสลายเลย 555
5 แต่จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อ่านหนังสือมากมาย ฟัง podcast ฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ผมก็ได้ conclusion เดียวกันว่า สุดท้ายแล้ว ชีวิตคือการเรียนรู้ การค้นหาความจริง เพื่อให้บรรลุ เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นแบบ Harvard’s Motto ว่าไว้จริงๆ
6 ในแง่การลงทุน ผู้ชนะคือคนที่รู้ความจริง คาดเดาอนาคตถูก ไม่เมากาว ไปหลงซื้อตอน bubble และไปขายที่ bottom เพราะหดหู่จนทนไม่ไหว
7 การลงทุนที่ประสบความสำเร็จคือ การตามล่าหาความจริงผ่านการ scuttlebutt จนบางครั้งเราอาจสามารถคาดการณ์อนาคตในบางอุตสาหกรรม หรือบาง theme ได้ เช่น
7.1 สินค้า FMCG ของไทย เช่นที่ขายอยู่ใน 7-11, Watson, EveandBoy เป็นระดับ world class อาจโตได้ระดับโลก
7.2 AI มาแน่ data คือ the new oil
7.3 โลกยุคใหม่ เป็นยุคของ social commerce เป็นยุคของ Kols
7.4 มนุษย์จะอายุยืนยาวขึ้นด้วยความรู้ใหม่ๆ เรื่อง genetics
เป็นต้น
8 เมื่อเราค้นพบความจริงแบบผู้รู้ยุคก่อนหน้าเรา ในศาสนาพุทธ เรียกว่าพระอรหันต์ หรือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง จนบรรลุนิพพาน เป็นความว่าง ประมาณว่ารู้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเกิดแล้ว
9 ในโลกตะวันตกแบบที่ Elon Musk บอก ถ้าเรารู้ความจริงมากๆ เราอาจจะรู้ว่าความจริงแล้วเรากำลังอยู่ใน simulations หรือ ที่ผู้ก่อตั้ง Harvard เรียกว่า come closer to God ก็เป็นได้
บทความรวม 6
ความยากของตลาดหุ้นต่างประเทศ
.
- เรามองเห็นทุกอย่างไม่ครบ
.
ธุรกิจหลายอย่างมีความเสี่ยงเฉพาะตัว การลงทุนต่างประเทศมักจะมีความซับซ้อนที่เรามองไม่เห็น หรือเรามองไม่ออกเลย
.
เนื่องจากธุรกิจในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันสูง รสนิยมผู้บริโภค พัฒนาการของตลาด กฎเกณฑ์ภาครัฐ กฎหมาย รวมไปถึงผู้บริหาร ซึ่งความเข้าใจตรงนี้ก็ต้องอาศัยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นอย่างมาก
. - เราติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ยาก หรือช้ากว่า
.
ข้อมูลในต่างประเทศดี ๆ มักจะเสียเงิน และแพงมาก ๆด้วย
.
รายย่อยยากที่จะมีข้อมูลที่เหนือกว่าได้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือข้อมูลที่เป็นข้อมูล first hand information เราไม่สามารถไปเก็บเองได้
.
การติดต่อ IR แทบจะเป็นไปได้ยากมากในหุ้นต่างประเทศ นอกจากนั้น คำตอบของ IR นั้น เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร ว่าถูกต้อง
.
และอุปสรรคสำคัญอีกอย่างคือ สภาพแวดล้อม ความใกล้ชิดในตลาดแทบเป็นไปไม่ได้ เรามักตามแต่ข่าวในตลาดหุ้น ซึ่งข่าวในตลาดมักจะเป็นข่าวที่ช้าไปแล้ว โอกาสที่เราจะติดตาม ข่าวทั่ว ๆ ไปในหุ้นต่างประเทศนั้น มีน้อยกว่ามาก
. - ตลาดหุ้นมีความผันผวนรุนแรงกว่าไทย
.
หุ้นไทย +/- ได้ระดับหนึ่ง แต่หุ้นต่างประเทศเนื่องจากมีเครื่องมือทางการเงินเช่นการ Future หรือ Options บางครั้งหุ้นลงแต่มีคนทำเงินได้ ต่างจากหุ้นไทยที่ทุกคนจะทำเงินได้ต่อเมื่อหุ้นขึ้น ทำให้มีแรงจูงใจที่ทุกคนจะร่วมมือกัน (ฮั้ว) กันมากกว่า (จนกว่าฮั้วจะแตก)
. - ตลาดหุ้นมีความเฉลียวฉลาดมากกว่า
.
ในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว มักจะมีการคิดสองชั้นสามชั้นเสมอ ท่าไม้ตายง่าย ๆ คือก่อนหุ้นจะลงจะสับขาให้ขึ้นก่อนเพื่อขายของ และก่อนจะขึ้น ต้องทุบให้ตายเรียบก่อน
.
นอกจากนั้น ตลาดยังมีการทำ model ที่ค่อนข้างแม่นยำมาก ดังนั้นผลประกอบการที่ผิดจาก assumption จะส่งผลร้ายแรงกับราคาหุ้นภายในวันเดียว การ +/- ระดับ 50% ในวันเดียวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ อย่างถาวรในหุ้นต่างประเทศ
. - การศึกษา และ ความลึกที่ไม่เพียงพอของนักลงทุนไทย
.
การลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ ๆ ในธุรกิจใหม่ ๆ ยิ่งทำให้มีความยากเป็นทวีคูณ และนอกจากนั้น ยังมีหุ้นให้เลือกจำนวนมาก (หุ้นไทยมี <1,000 ตัว หุ้นนอกมี 630,000 ตัว) นักลงทุนจึงมักจะรู้เพียงแค่ว่า หุ้นนี้ทำธุรกิจอะไร โมเดลเป็นยังไง ความเข้าใจหุ้นแบบหยาบ ๆ มักจะไม่เพียงพอในการทำเงินได้จริงในตลาดหุ้น และยิ่งไม่เพียงพอ ถ้าเราต้องการ Alpha หรือทำผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นในระยะยาว
.
สรุป
สำหรับการเอาตัวรอดในตลาดหุ้นต่างประเทศ ผมคิดว่าต้องอาศัยชั่วโมงบิน ยังไงก็ไม่มีทางลัด และแน่นอนว่าเป็นโหมด Hard กว่าตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนที่คาดหวังได้นั้น ขึ้นกับ
.
ความสามารถเรา x ความสามารถของหุ้น
.
ถ้าเราลงทุนหุ้นไทย เรามีความสามารถ 9 หุ้นอาจจะมีคุณภาพ 5 ผลลัพท์คือ 45 แต่ถ้าเราลงหุ้นต่างประเทศ เรามีความสามารถ 3 หุ้นมีคุณภาพ 10 ผลลัพท์คือ 30 ซึ่งแพ้ตลาดหุ้นไทย
.
แย่ไปกว่านั้น ถ้าหุ้นดี เราอาจจะซื้อแพง ไปขายถูก สุดท้าย อะไร คูณด้วย 0 หรือ คูณค่าติดลบ ผลมันก็จะไม่ดีแน่นอน
.
สำหรับนักลงทุน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการขยาย Circle of Competence หรือขอบเขตความสามารถ ซึ่งทุกวันนี้ คนจะเก่งเร็วขึ้นทุกวัน ยังไม่นับ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น
.
บางครั้งการลงทุนในยุคอนาคตอาจจะไม่ใช่โลกของเป็ด แต่เป็นโลกของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจจะเป็นหนทางเดียวที่เราจะเอาชนะใน Age of AI ได้
.
ผมไปค่อย ๆ โพสต์หุ้นเริ่ม ๆ ไว้ใน http://www.Thaivi.org ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ ก็หวังว่าจะมีนักลงทุนถกกันมากขึ้น เพราะสุภาษิตจีนบอกว่า ช่างรองเท้าสามคนรวมกันนั้น เหนือกว่าขงเบ้ง (三个臭皮匠,顶个诸葛亮)
.
วีไอไทยรวมกัน ก็อาจจะเหนือกว่าวอลสตรีทก็เป็นได้ครับ
TRT
TRT oppday Q1-24
สั้นๆนะครับ
หลายอย่างคล้ายรอบที่แล้วดูในcommentได้เลย
👉งบQ1
-รายได้เพิ่ม 400 ล้าน
-กำไรขั้นต้น13.6%->31% เพิ่ม 190 ล้าน
-NP12% 96ล้าน
.
👉Outlook 24
-เน้นกระจายการรับรู้รายได้แต่ละQ
-เป้ารับรู้รายได้หม้อแปลงรวม 2590ล้าน (ไม่รวมQ1)
กลุ่ม non 193ล้าน
-backlog ในประเทศ1307 ส่งมอบปี24 1091ล้าน
-งานBID 13000ล้าน (อันนี้ว่ากัน)
.
👉👉👉Q&A
-รายได้ส่งออก 50% มองปีหน้า
-การขาดหม้อแปลงไฟฟ้าในระดับโลกมีจริง ทุกคนลงทุน data center
แนวโน้มหม้อแปลงสูงขึ้น เต็มกำลังผลิตบ.ระดับโลกแล้ว เลยมอง2025
-เน้นกระจายรับรู้รายได้แต่ละQ นโยบายนี้เริ่มตั้งแต่กลางปี 23
-order Egat ส่งมอบปีนี้ทั้งหมด ตอนนี้ส่งมอบไป 7 (ครึ่งนึง) เป้าส่งมอบทั้งหมดภายในสิงหา
-ราคาทองแดง มีผลแต่ปีนี้ไม่มีผล ถ้ามีผล10-20%ของรายได้รวมในปีนี้
ตอนนี้ราคาทองแดงลงมา 9000 อาจจะcost plusไม่ง่าย
-Q3ประมูลงานเพิ่ม, ในประเทศมีงานsolar farmในประเทศเพิ่ม
-มองปีนี้ทำได้ตามเป้า
-หม้อแปลงไฟฟ้ากำไรขั้นต้น 18-20% แต่ตัวไหนเท่าไรขึ้นกับหลายปัจจัย
-การผลิตหม้อแลง ขนาดเล็ก1-3เดือน ขนาดใหญ่1-1.30ปี แล้วแต่โปรเจค
-ความต้องการหม้อแปลงใหญ่ในไทย cycleประมูล 2 ปีครั้ง ปีหน้าเลยไปมองตลาดส่งออก
-ถ้ารายได้600ล้าน กำลังผลิตน่าจะ80% ถ้า700ล้าน 90% กำลังผลิตต้องเหลือเพื่อบริหารความแตกต่าง
-ตลาดส่งออกตอนนี้ อาเซียน เอเชียใต้ ระยะยาวมอง EU US
ตลาดเอเชียคู่แข่งคือจีน
-ขอให้เชื่อใจการบริหารวัตถุดิบ ตัวแปรใหญ่ผบห.มองค่าเงิน
-กำลังจัดการมาตรฐานการส่งออกไป US
-รัฐยังลงทุนสม่ำเสม ในหม้อแปลง
-backlog 25 น้อย ผบห.บอกประมูลQ2-Q4 เพิ่ม
-การชาร์จรถ EV ของรัฐอาจจะเห็นความชัดเจนปี25
-หม้อแปลงขนส่งใช่เรือ BULK
-อาเซียน power grid มีอยู่แล้ว อนาคตเป็นโอกาสยังไม่ชัดตอนนี้
ThaiVI 6 7
🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 7)🔥
……………………………………………
✴️“ช่วงเริ่มต้นศึกษาการลงทุน มักออกเรี่ยวแรงมาก แต่ได้ผลลัพธ์น้อย ขออย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ พยายามหน่อย สักวันหนึ่งผลลัพธ์มันจะก้าวกระโดดแบบไม่ทันรู้ตัว อย่าท้อ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าจะสุดทางเมื่อไหร่” : ศรุติ โชติเสรีวิทย์
………………………………
Dopamine (โดพามีน : สารสื่อประสาทที่ทำงานร่วมกับสมอง) ส่งผลต่อสภาพจิตใจ เกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อคาดหวังแล้วได้รับรางวัลคืนกลับมา ทำให้เกิดความสุข ความรัก โลภ โกรธ หลงใหล ก่อตัวภายในจิตใจ หากคุณเป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นนั้น ‘Dopamine’ ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อหรือขายหุ้นในตลาด
………………………………
💸เหตุใดจึงมีเพียงคนส่วนน้อยที่เป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น?
…
🟢ผู้คนส่วนใหญ่กว่า 80% ลงทุนในตลาดหุ้นแล้วขาดทุน สำหรับผมแล้วการลงทุนมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 อย่าง
…
1️⃣ มีเงิน (ออมเพื่อนำมาลงทุน)
…
2️⃣ มีทัศนคติที่ดี นั่นคือมีกระบวนการคิด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจและพฤติกรรมทางการลงทุน
…
3️⃣ มีระบบที่ดี นั่นคือกระบวนการลงทุน เป้าหมายการลงทุนคืออะไร? จะลงทุนในสิ่งใด? จึงจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้น
………………………………
❎คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมักคิดว่าหุ้นที่ดีคือ “หุ้นที่ราคากำลังพุ่งสูงขึ้น” พวกเขามักแห่ทำตามคนอื่น โดยไร้เหตุผลและปราศจากความรู้ความเข้าใจ ชอบหาข้อมูลแบบ ‘Public information’ ทั่วๆไปที่คนอื่นก็รู้อยู่แล้ว แบบนี้ไม่มีประโยชน์
………………………………
☑️คนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จมัก “พิจารณาอารมณ์ของคนส่วนใหญ่” วิเคราะห์ความคาดหวังของผู้อื่น และเฝ้ามองหาบางสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ รู้ลึกและคิดลึก รวมทั้งการค้นหาข้อมูลมารองรับความคิด (Insight not Inside) มุ่งเน้นที่ “กระบวนการ” มากกว่าผลลัพธ์
………………………………
👍‘Black Swan’ ซึ่งสำคัญที่สุดในตลาดหุ้นก็คือ “เราไม่รู้ ว่าเราไม่รู้อะไร?”
………………………………
👍“ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ในจังหวะเวลาที่ใช่”
…
หุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่แพง จังหวะเวลาดี สามส่วนนี้คือสิ่งที่ควรต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้น คุณอาจได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอันเหนือกว่าค่าเฉลี่ย “ราคาที่ถูกต้อง ในเวลาที่ใช่” คือการลงทุนที่ดี แม้กับบริษัทดาษดื่นธรรรมดาๆก็ตาม นี่คือปัจจัยสำคัญเลยทีเดียว
………………………………
หลักการก็คือ เราจำเป็นต้องรู้ “ความจริงที่เป็นประโยชน์” หยิบฉวยนำมาใช้งานได้ นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นของบริษัทที่เราสนใจลงทุนนั้น “ปัจจัยที่ทำให้หุ้นราคาขึ้นคืออะไร?” และ “ความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาหุ้นร่วงลงคืออะไร?” ค้นหาความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย หรือมีเพียงคนส่วนน้อยที่มองเห็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากรับข้อมูลข่าวสารมากเกินไปยิ่งตัดสินใจยาก ข้อมูลน้อยๆแต่คัดสรรมาแล้วย่อมดีกว่า
………………………………
🧨“อยากรวยเร็วให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งแข่ง 100 เมตร อยากรวยนานๆให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งมาราธอน”
…
🧨ความผันผวนคือต้นทุนระยะสั้น เพื่อผลตอบแทนอันงดงามในระยะยาว วินัยจึงสำคัญมาก
…
🥇“History Doesn’t Repeat Itself, but It Often Rhymes” : Mark Twain
………………………………
🟢“ริอาจผจญภัยในตลาดหุ้น ต้องพิสูจน์ตนเองอย่างน้อย 9 ปี” (ทฤษฎี 3+3+3)
…
1️⃣ 3 ปีแรกคือ ‘Survival Mode’ : การเอาตัวรอดในตลาดหุ้นคืออย่าคิดรวยเร็ว หมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชา เก็บเกี่ยวความรู้ ร่ำเรียนและทดลองกระบวนการให้หลากหลายแนวทาง นั่นก็เพื่อ “ค้นหาจริตส่วนตัวทางการลงทุน” เลือกอาจารย์ให้ถูกคน เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อรอวันเติบโต
…
2️⃣ 3 ปีต่อมาคือ ‘Knowledge’ : การต่อยอดองค์ความรู้ กลั่นกรองสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากคนอื่น ประยุกต์ ปรับเปลี่ยน กลายร่างไปสู่ “องค์ความรู้ในแบบฉบับของตนเอง” ใกล้ชิดกับผู้คนที่ส่งเสริมให้เราเดินหน้าต่อไปอย่างถูกทิศทาง วางแผนการเงินและวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างเหมาะสม จัดพอร์ตได้อย่างกระชับชัดเจนตามเป้าหมายการลงทุนของตนเอง
…
3️⃣ 3 ปีสุดท้ายคือ ‘Financial freedom’ : มีอิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืน กระบวนการทำซ้ำ ทบทวน ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม มีทัศนคติทางการลงทุนที่ถูกต้อง มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ปรับความเร็วให้สมดุลกับจริตส่วนตัว แบ่งปัน ส่งต่อ และทำเพื่อสังคมทั้งทรัพย์สินและองค์ความรู้
………………………………
⭐คนส่วนใหญ่มี 2 แบบ
…
🔹คิดเร็ว ใช้อารมณ์และสัญชาตญาณ
🔹คิดช้า ใช้ข้อมูล ตรรกะและเหตุผล
………………………………
🌿จังหวะอารมณ์นักลงทุน
…
1️⃣ ตกหลุมรัก (Fear of missing out) : ไม่ได้โลภแต่กลัวพลาดตกรถ และขาดความรู้ หากต้องการซื้อหุ้นก็ควรซื้อก่อนคนส่วนใหญ่จะตกหลุมรักมัน ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า กระจายความเสี่ยงให้เพียงพอ ลงทุนในธุรกิจพื้นฐานดีและผู้บริหารต้องดีด้วยเช่นกัน
…
2️⃣ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ (Confirmation Bias) : เฝ้ามองหาเหตุผลเพื่อมายืนยันความเชื่อของตนเอง อะไรๆก็ดูดีไปเสียหมดทุกอย่าง หาข้อมูลและหลักฐานเพียงเพื่อเป็นเครื่องยืนยันต่อสิ่งที่ตนเองคิดเท่านั้น
…
3️⃣ มั่นใจเกินไป (Overconfidence) : ประเมินความสามารถของตนเองสูงมากเกินไป คิดว่าตนเองเก่งกว่าค่าเฉลี่ยคนส่วนใหญ่ มีความเชื่อผิดๆที่ว่าตนเองมีความรู้ (แต่อันที่จริงแล้วไม่มีเลย)
…
4️⃣ ความผูกพัน (Sunk Cost) : อยู่ด้วยกันมานานเลยตัดใจทิ้งไม่ลง ขาดทุนหุ้นแต่เสียดายต้นทุนที่ซื้อมา เสียดายเวลาที่เฝ้าศึกษาเรียนรู้กิจการ ทางออกคือ “ลืมต้นทุนที่ซื้อมาให้หมด แล้วประเมินมูลค่าใหม่” ลองชั่งน้ำหนักดูว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้ถือหุ้นอยู่จะทำอย่างไร? ก็จงทำเช่นนั้น ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) สำคัญมากที่สุด
…
5️⃣ บอบช้ำ (Loss Aversion) : จากงานวิจัย ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน ความทุกข์จากการขาดทุน จะมากกว่า ความสุขจากการได้กำไร “ถึง 2 เท่า” หุ้นที่ขาดทุนไม่ยอมขาย หุ้นที่กำไรนิดเดียวก็รีบขายทันที สุดท้ายมูลค่าพอร์ตก็ย่ำอยู่กับที่
…
6️⃣ ยอมรับ เข้าใจ และเรียนรู้ (Survivorship Bias) : ท้อได้ แต่อย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ อย่าถอย พยายามนำจิตใจตนเองกลับสู่เส้นทางเดินให้ได้ รู้ว่ามีโอกาสตายที่ไหนก็อย่าไปที่นั่น เรียนรู้จากคนที่รอดชีวิต และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองจะทำให้เรามองเห็นเส้นทางเดินที่ถูกที่ควรในอนาคต
………………………………
✅ลงทุนสไตล์ ‘Stock Vitamins – วิตามินหุ้น’✅
…
ส่วนตัวจะมีกระบวนการหาหุ้นแบบ ‘Bottom up’ ขุดหุ้นที่น่าสนใจเป็นรายบริษัท วิเคราะห์งบการเงิน แยกหุ้นที่ดีออกมาทำการบ้านต่อ ส่วนที่เหลือก็แยกเก็บไว้ใน ‘Watchlist’ คอยติดตามความน่าสนใจอยู่เสมอ ซื้อหุ้น ‘โซนล่าง’ ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นมาเยอะ อุตสาหกรรมรวมมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต ธุรกิจมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ และจดบันทึกการซื้อขายหุ้นทุกครั้งว่าเราซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ด้วยเหตุผลอะไร? จัดพอร์ตโดยลงน้ำหนักมากกว่าในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ต้องมั่นใจแบบกลยุทธ์ดันโด (Dhandho Investor) เช่น
…
🟨เสี่ยงต่ำ : ผลตอบแทนสูง (25% : 25%)
🟨เสี่ยงปานกลาง : ผลตอบแทนสูง (15% : 15%)
🟨เสี่ยงสูง : ผลตอบแทนสูง (10% : 10%)
………………………………
⭕“ราคาหุ้น = ความจริง + จินตนาการ”
…
⭕ความจริงคือ งบการเงิน ผลการดำเนินงาน และการประเมินมูลค่า
…
⭕จินตนาการคือ ความคาดหวังในอนาคต
…
ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าในแต่ละครั้งส่วนใดควรให้น้ำหนักมากกว่ากัน
…
⭕“มูลค่า = คุณภาพ” คุณภาพเกิดจากการบริหารจัดการ การเงิน วิสัยทัศน์ อนาคต (ของบริษัท) เราต้องหาเหตุผลมาประกอบการให้มูลค่าในแต่ละส่วน
………………………………
🗣️สิ่งที่เราควรเรียนรู้ในบทความนี้คือ หลายครั้งเรามีอคติในการตัดสินใจ ต้องสำรวจตนเองให้ถ่องแท้ มีสติให้มากขึ้น อย่าทำตามคนอื่น ครุ่นคิดให้ช้าลง คิดด้วยเหตุผล เพราะการสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นคือ “การวิ่งมาราธอน” ผลตอบแทนจะดีและมีความสุข
………………………………
Dopamine (โดพามีน) กระตุ้นอารมณ์ให้เราเกิดการตัดสินใจ นอกเหนือจากนั้นเราควรมี ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ ด้วย นี่คือ “ความสุขที่แท้จริง” ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จุดหมายปลายทางจะมีความสุขในระยะยาวมากขึ้น
………………………………………….
🖋️จิม : ศรุติ โชติเสรีวิทย์
…
Stock Vitamins – วิตามินหุ้น
🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 8)🔥
…………………………………………………………..
✴️การลงทุนคือเกมส์แห่งความน่าจะเป็นในระยะยาว : สุธน สิงหสิทธางกูร
………………………………
🟢ศาสตร์ 3 สิ่งที่ต้องมี หากเราโหยหาความสำเร็จในการลงทุน
…
1️⃣ “มือถึง (Knowledge)” : มีความรู้เชิงทฤษฎี การวิเคราะห์ธุรกิจ งบการเงิน ประเมินมูลค่า และการบริหารความเสี่ยง
…
2️⃣ “ใจถึง (Passion)” : มีความรู้เชิงปฏิบัติ มีแรงบันดาลใจ ความหลงใหล ความพยายาม ความกล้า ทัศนคติที่ดี ตกผลึกจิตวิทยาการลงทุน
…
3️⃣ “ดวงถึง (Timing)” : มีความเชื่อในโชคชะตา ว่าจังหวะเวลาที่ดีนั้นส่งผลต่อความสำเร็จ ‘Timing is everything’
………………………………
📈สำหรับตลาดหุ้น เมื่อคุณมือถึงและใจถึง สิ่งที่จะเข้ามาตัดสินชีวิตว่าจะรุ่งโรจน์หรือดิ่งลงเหวคือ “จังหวะเวลา” การลงทุนคือเกมส์แห่งความน่าจะเป็นในระยะยาว เลือกเกมส์ที่มีโอกาสชนะ ความเสี่ยงที่น่ากลัวมากที่สุดคือ “การหนีความเสี่ยง” การลงทุนในบางมุมมองมันคล้ายกับ “โป๊กเกอร์ (Poker)” เพราะเกมส์ระยะยาวต้องใช้ฝีมือ ใช้ทักษะเดิมที่มีมาปรับประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ เกิดกระบวนการทำซ้ำ ส่วนการพนันต้องอาศัยโชคและทำซ้ำไม่ได้
………………………………
💰การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investing) มุ่งเน้นค้นหาสินทรัพย์อันมีราคาต่ำกว่ามูลค่า หากแต่การลงทุนอันชาญฉลาดนั้นวัดผลลัพธ์กันด้วย “Risk reward ratio (RRR)” นั่นคือ “อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” [Expected return = (Reward*%Win) – (Risk*%Loss)]
………………………………
❎การลงทุนอย่างคุ้มค่าและคำนึงถึงความเสี่ยงนั้นเราจะมัวหมกมุ่นอยู่เพียงแค่ผลตอบแทนที่คาดหวังไม่ได้ (Win rate) ต้องวิเคราะห์และพิจารณา “โอกาสแพ้ (Loss rate)” เสมอ นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยืนอยู่ฝั่งผู้พ่ายแพ้ในตลาดหุ้น “ชนะน้อยกว่าแพ้” พอระยะยาวก็หมดตัว ไม่ประสบความสำเร็จ
………………………………
⭕‘Rick Guerin’ บุคคลที่ถูกลืม อดีตผู้ร่วมก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘Berkshire Hathaway’ เคียงข้าง ‘Warren Buffett’ และ ‘Charlie Munger’ สองนักลงทุนในตำนาน เขาเคยใช้เงินกู้มาลงทุน (Margin) อยู่ๆก็เจอวิกฤตและโดนบังคับขาย (Force sell) จนกระทั่งจำเป็นต้องขายหุ้น ‘BRK’ ทั้งหมดในราคาหุ้นละ 40 เหรียญ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ (ปัจจุบันราคาหุ้น BRK.A อยู่ที่ประมาณ 613,860 เหรียญต่อหุ้น)
………………………………
ทฤษฎีทางการลงทุนนั้นมีเยอะมาก เลือกปรับและประยุกต์ใช้ให้ถูกจังหวะเวลา ยุคทองของการลงทุนมันผันแปรไปเรื่อยๆ
…
🔑สำหรับตลาดหุ้นในระยะยาว
…
🔹โชคชะตา : 1%
🔹พรสวรรค์ : 1%
🔹ไม่ยอมแพ้ : 98%
…
✅ทั้งหมดผสมผสานรวมกันเป็นสูตรแห่งความสำเร็จ โอกาสอันงดงามในตลาดหุ้นนั้นมีเสมอ ต้องรอคอยให้เป็น
………………………………
✅“No matter how great the talent or efforts, some things just take time. You can’t produce a baby in one month by getting nine women pregnant.” : Warren Buffett
………………………………………………………..
🖋️เจ๊กกี้ : สุธน สิงหสิทธางกูร
GIFT
PET
การเติบโตของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง
.
วันนี้ขอหยิบชาร์ท Morgan Stanley จากชิ้นที่เพิ่งออกมาไม่นาน ว่าด้วยอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงครับ ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะเป็นจุดที่อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงอยู่ในจุดต่ำสุดและจะผ่านไป ก่อนที่จะกลับมาสดใสในปี 2025 ซึ่งจะเป็นเทรนด์ยาวๆ ครับ
.
จุดที่น่าสนใจคือ 1. สัตว์แพทย์จะเป็นแกนกลางในการเติบโตนี้ 2. บริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงทั้งหมดจะเติบโตขึ้น แซงหน้าพวกผลิตภัณฑ์ต่างๆ และ 3. คนนิยมแมวมากกว่าหมา ซึ่งเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไปจนถึงที่คาดการณ์ไว้คือปี 2030
.
ชาร์ทที่น่าสนใจคือมูลค่าเงินที่ถูกจ่ายสำหรับบริการหรือสิ่งของสำหรับอุตสาหกรรมนี้ภายในปี 2030 ครับ กรณีเลวร้ายที่สุด Morgan Stanley คาดว่าจะเติบโตไปถึง 248 พันล้านดอลลาร์, กรณีฐานคือ 261 พันล้านดอลลาร์ และกรณีที่ดีที่สุดคือ 285 พันล้านดอลลาร์ครับ
.
ลองหาอ่านชิ้นนี้ได้ทาง Morgan Stanley Matrix ครับ
