🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 5)🔥
…………………………………………………..
✴️การลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) : ทิวา ชินธาดาพงศ์
…………………..
การลงทุนในหุ้นที่ผลิต จำหน่าย หรือให้บริการซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน ยางพารา ทองคำ เดินเรือ ฯลฯ) Demand & Supply สำคัญที่สุด (ความต้องการซื้อและขายในตลาด) สำคัญมากกว่าเรื่องราวหรือผลกระทบระยะสั้นต่างๆ หากตลาดสินค้านั้นๆ มีความต้องการซื้อมาก (Demand) ราคาหุ้นก็ขึ้น มีแค่นั้น การลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ต้องเล่นรอบ มีทั้งรอบเล็ก (1-2 เด้ง) และรอบใหญ่ (10 เด้ง+)
………………………
🪙ตลาดไม่สนใจอัตราส่วนทางการเงิน เช่น P/E, P/B หรือเงินปันผล
…
🪙จบรอบการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นต้องขายทิ้ง อย่าคิดจะถือเพื่อกินเงินปันผล (ขาดทุนแน่นอน)
…
🪙มองหาดัชนีชี้วัดอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง หากดัชนีทำจุดสูงสุด ราคาหุ้นก็มีสิทธิ์พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นเดียวกัน (All time high)
…
🪙ตรวจดูสินค้าทดแทนว่ามีอะไรบ้าง? และราคาเท่าไหร่?
…
🪙ทุกคนในตลาดหุ้นจะพยายามคิดตลอดทางว่าถึงจุดจบของรอบแล้วหรือยัง? (ส่วนใหญ่แต่ละรอบใช้เวลา 1-2 ปี)
…
🪙ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะจบรอบเมื่อไหร่? แต่ผู้บริหารจะได้รับรู้สัญญาณนั้นก่อนคนส่วนใหญ่
…
🪙เข้าซื้อหุ้นในราคาต่ำก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนมหาศาล ผลตอบแทนสูงที่สุดจะอยู่ในช่วงที่มีข่าวร้ายปกคลุม เพราะราคามักต่ำกว่ามูลค่า ไม่ว่าจะถึงรอบของมันหรือไม่ก็ตาม (กลยุทธ์แบบดันโด : โยนเหรียญ ออกหัวได้เงิน ถ้าออกก้อยเสียนิดหน่อย)
…
🪙ต้องเกาะติดดัชนีอ้างอิง และศึกษาว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ผลักดันให้ดัชนีขึ้นหรือลง
…
🪙สังเกต Free float (ปริมาณหุ้น) และจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทนั้นๆ อาจบอกเป็นนัยได้ว่ามีนักลงทุนติดดอยหุ้นนี้อยู่มากน้อยเพียงใด หากมีคนติดหุ้นเยอะ ราคาหุ้นก็อาจขึ้นยาก เพราะมีคนรอขายจำนวนมาก
…
🪙เตรียมตัวหาข้อมูล ‘Demand & Supply’ เก็บไว้ สินค้าที่ใช้เวลาเติมนานหากเกิดภาวะขาดแคลน หุ้นที่นักลงทุนไม่อยากถือครอง P/B ต่ำ จำนวนผู้ถือหุ้นน้อย
…
🪙หุ้นโภคภัณฑ์หากคิดเข้าไปแตะ คุณต้องทนทานต่อความผันผวนของราคาหุ้น ต้องบริหารความเครียดให้เป็น ต้องตัดสินใจซื้อขายอย่างรวดเร็ว
…
🪙ใช้บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ แต่การประเมินและคาดการณ์ตัวเลขต่างๆต้องนำมาวิเคราะห์คำนวณด้วยตนเองเท่านั้น
…
🪙ขายหุ้นทิ้งทันทีเมื่อ ‘Upside’ เหลือน้อย หรือได้เงินตามเป้าหมายที่ต้องการ อย่าคิดจะถือต่อไปเรื่อยๆ
…
🪙ขายหุ้นทิ้งทันทีที่ผู้บริหารขายเช่นกัน เพราะเป็นสัญญาณที่ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามันกำลังจะจบรอบแล้ว
…
📌ผมมีความเชื่อว่าตลาดหุ้นนั้นใช้ทักษะ (Skill) : 80% และโชคชะตา (Luck) : 20% คุณต้องมีความรู้ ความรวดเร็ว ความกล้า และความเชื่อ หากคิดอยากจะลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ ลองนึกคิดตรึกตรองดูให้ดีก่อนว่ามันคุ้มค่าและถูกจริตกับตัวคุณเองหรือเปล่า?
……………………………………………..
🖋️มี่ : ทิวา ชินธาดาพงศ์
…
นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย : IAT
กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) : THAI VI
🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 6)🔥
……………………………………..
✴️“นักเก็งกำไรคือผู้ทำเงินอย่างมหาศาลให้โบรกเกอร์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาดูแคลนนักลงทุน และป่าวร้องความน่าสนใจของการเก็งกำไรเสมอมา”
…
“ผมมีหมวกสองใบ หน้าที่การงานคือนักวิเคราะห์ หากแต่วิถีชีวิตคือนักลงทุน” : กวี ชูกิจเกษม
……………………………………..
ผมแบ่งปันแนวคิดและกระบวนการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investing) มานับสิบปี แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เหตุเพราะทฤษฎีดังกล่าวนั้นได้พิสูจน์ตนเองผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ว่าสามารถหยิบนำไปประยุกต์ใช้และประสบความสำเร็จในวิถีทางของปัจเจกบุคคลได้อย่างแท้จริง หากแต่ผมจะไม่ปรามาสหรอกว่าแนวทางอื่นอันนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปนั้นไม่สมควรดำรงอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความรู้จักตนเอง ตรวจทานความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ทั้งนี้ก็เพื่อก่อรูปก่อร่างสู่แนวทางการลงทุนอันมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง
……………………………………..
🟢นักลงทุน
……………..
➡️‘Value investor’ : มุ่งเน้นเข้าลงทุนในบริษัทพื้นฐานดี มีแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโต ราคาหุ้นไม่แพง และมีแนวคิดการลงทุนระยะยาว
…
➡️‘Yield investor’ : มุ่งเน้นเข้าลงทุนในบริษัทพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสูง ถือครองหุ้นระยะยาวเพื่อรับเงินปันผลไปเรื่อยๆจนกว่าพื้นฐานบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลง
……………………………………..
🟠นักเก็งกำไร
…………………
➡️‘Momentum investor’ : มุ่งเน้นซื้อขายหุ้นตามปัจจัยและวัฏจักรทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือสถานการณ์พิเศษต่างๆ
…
➡️ ‘Speculate investor’ : มุ่งเน้นการเก็งกำไรเป็นสำคัญ ไม่สนใจปัจจัยเชิงพื้นฐาน มักใช้ทฤษฎีการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical analysis)
……………………………………..
❎ผมไม่เคยปฏิเสธแนวทางแบบการเก็งกำไร ทุกวิถีทางสามารถใช้ได้หากมันสามารถทำเงินและถูกจริตกับตัวคุณเอง สิ่งสำคัญก็คือ “อย่าเก็งกำไร โดยคิดว่าตนเองกำลังลงทุนอยู่” เก็งกำไรในสิ่งที่รู้ดีเท่านั้น อย่าเก็งกำไรอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าใช้เงินกู้ (Margin) และอย่าขาดวินัย
…
❎“นักเก็งกำไรคือผู้ทำเงินอย่างมหาศาลให้โบรกเกอร์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาดูแคลนนักลงทุน และป่าวร้องความน่าสนใจของการเก็งกำไรเสมอมา”
……………………………………..
☑️รู้ตัวเสมอว่าเราเป็นใคร รู้ว่าจะลงทุนอย่างไร ยึดมั่นในแนวทาง และเรียนรู้จากความผิดพลาด สิ่งเหล่านี้คือหนทางสู่ความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุนอันแสนอลหม่านวุ่นวาย
……………………………………..
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็เคยทำผิดพลาดมามากมาย แต่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ มีความอดทนสูง มีวินัย มั่นใจในสิ่งที่คิด หากสิ่งใดไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง และลงทุนระยะยาว จากเงินลงทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาท และตกงานช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เข้าซื้อหุ้น ‘มาม่า’ ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น จนมูลค่าวิ่งขึ้นไปถึง 1,000 บาทต่อหุ้น (ก่อนแตกพาร์) พลิกมูลค่าพอร์ตเป็น 1,000 ล้านบาท หลังจากนั้นขายมาม่า ไปเข้าซื้อหุ้น ‘7-11’ ที่ราคา 2-3 บาทต่อหุ้น ภายหลังราคาวิ่งขึ้นไปจนถึง 120 บาทต่อหุ้น (ก่อนแตกพาร์) พลิกพอร์ตอีกครั้งเป็นหลัก 10,000 ล้านบาท
……………………………………..
แนวทางการลงทุนส่วนตัวของผมคือ “ลดความเสี่ยง เพิ่มผลตอบแทน” กระจายความเสี่ยงให้เพียงพอ การซื้อหุ้นราคาถูกไม่สำคัญเท่าซื้อหุ้นดี และผมให้ความสำคัญกับเงินปันผลในฐานะเจ้าของกิจการมากกว่าราคาหุ้น เงินปันผลคือของจริง เราสะสมมันไปเรื่อยๆ จนเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเรียกอย่างสวยหรูว่า “มีอิสรภาพทางการเงิน” ทำงานต่อไปอย่างมีความสุขมากขึ้น มีอิสระ ไม่กลัวตกงาน
…
1️⃣ เลือกลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี
…
2️⃣ ซื้อหุ้นราคาถูกกว่ามูลค่าที่ประเมินได้
…
3️⃣ ถือครองหุ้นระยะยาว
…
4️⃣ กระจายความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
…
5️⃣ ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
……………………………………..
⭐“ความสำเร็จในตลาดหุ้น ขึ้นอยู่กับความทุ่มเทหาความรู้ของนักลงทุน”
……………………………………..
🔥‘MOAT’ คุณสมบัติของบริษัทพื้นฐานดี
…
1️⃣ กำไรบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว
…
2️⃣ มีอำนาจในการต่อรองลูกค้าสูง
…
3️⃣ เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
…
4️⃣ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมายในอนาคตเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม
…
5️⃣ มีความสามารถในการทำกำไรสูง
……………………………………..
📈“งบการเงินคือลายแทงสมบัติของนักลงทุนหุ้น” คุณจำเป็นต้องมองหาความสัมพันธ์รวมถึงความผิดปกติในตัวเลขต่างๆ หาเหตุผล และอธิบายมันออกมาให้ได้ การอ่านรายงานประจำปีและการวิเคราะห์งบการเงินคือ “การค้นหาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว” จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ หมั่นลงมือทำ ดูกรณีศึกษาในอดีตเยอะๆ จะเข้าใจมากขึ้น
……………………………………..
💸“คุณต้องเข้าใจบัญชี เข้าใจความแตกต่างเล็กๆน้อยๆ บัญชีคือภาษาธุรกิจ แต่เป็นภาษาที่ไม่สมบูรณ์ ตราบใดที่คุณไม่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้และเข้าใจมัน จงอย่าเลือกหุ้นด้วยตนเอง : Warren Buffett
……………………………………..
คำถามสุดท้ายที่คุณจำเป็นต้องตอบตนเองก่อนซื้อหุ้นก็คือ “หากเกิดวิกฤตในอนาคต บริษัทที่เราลงทุนจะยังอยู่ไหม? และอีก 10-20 ปีข้างหน้า บริษัทเราจะเป็นอย่างไร?” ผมชอบบริษัทที่มีประวัติยาวนานให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ (Track record) ธุรกิจที่มีความยั่งยืน รอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นร่วงลงมาลึกๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อไม่ทัน วิกฤตมีมาอีกแน่ ใจเย็นๆ
…
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เข้าซื้อหุ้น ‘Apple’ ในวันที่ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) เสียชีวิต นักลงทุนหลายคนเลือกหุ้นเก่ง แต่รอซื้อไม่เป็น ทนถือเงินสดนานๆไม่ได้
……………………………………..
ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการลงทุน มีชีวิตที่เรียบง่าย ความสุขของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
………………………………………..
🖋️กวี ชูกิจเกษม
…
ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และคอนเทนต์ : บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 7)🔥
……………………………………………
✴️“ช่วงเริ่มต้นศึกษาการลงทุน มักออกเรี่ยวแรงมาก แต่ได้ผลลัพธ์น้อย ขออย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ พยายามหน่อย สักวันหนึ่งผลลัพธ์มันจะก้าวกระโดดแบบไม่ทันรู้ตัว อย่าท้อ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าจะสุดทางเมื่อไหร่” : ศรุติ โชติเสรีวิทย์
………………………………
Dopamine (โดพามีน : สารสื่อประสาทที่ทำงานร่วมกับสมอง) ส่งผลต่อสภาพจิตใจ เกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อคาดหวังแล้วได้รับรางวัลคืนกลับมา ทำให้เกิดความสุข ความรัก โลภ โกรธ หลงใหล ก่อตัวภายในจิตใจ หากคุณเป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นนั้น ‘Dopamine’ ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อหรือขายหุ้นในตลาด
………………………………
💸เหตุใดจึงมีเพียงคนส่วนน้อยที่เป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น?
…
🟢ผู้คนส่วนใหญ่กว่า 80% ลงทุนในตลาดหุ้นแล้วขาดทุน สำหรับผมแล้วการลงทุนมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 อย่าง
…
1️⃣ มีเงิน (ออมเพื่อนำมาลงทุน)
…
2️⃣ มีทัศนคติที่ดี นั่นคือมีกระบวนการคิด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจและพฤติกรรมทางการลงทุน
…
3️⃣ มีระบบที่ดี นั่นคือกระบวนการลงทุน เป้าหมายการลงทุนคืออะไร? จะลงทุนในสิ่งใด? จึงจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้น
………………………………
❎คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมักคิดว่าหุ้นที่ดีคือ “หุ้นที่ราคากำลังพุ่งสูงขึ้น” พวกเขามักแห่ทำตามคนอื่น โดยไร้เหตุผลและปราศจากความรู้ความเข้าใจ ชอบหาข้อมูลแบบ ‘Public information’ ทั่วๆไปที่คนอื่นก็รู้อยู่แล้ว แบบนี้ไม่มีประโยชน์
………………………………
☑️คนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จมัก “พิจารณาอารมณ์ของคนส่วนใหญ่” วิเคราะห์ความคาดหวังของผู้อื่น และเฝ้ามองหาบางสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ รู้ลึกและคิดลึก รวมทั้งการค้นหาข้อมูลมารองรับความคิด (Insight not Inside) มุ่งเน้นที่ “กระบวนการ” มากกว่าผลลัพธ์
………………………………
👍‘Black Swan’ ซึ่งสำคัญที่สุดในตลาดหุ้นก็คือ “เราไม่รู้ ว่าเราไม่รู้อะไร?”
………………………………
👍“ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ในจังหวะเวลาที่ใช่”
…
หุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่แพง จังหวะเวลาดี สามส่วนนี้คือสิ่งที่ควรต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้น คุณอาจได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอันเหนือกว่าค่าเฉลี่ย “ราคาที่ถูกต้อง ในเวลาที่ใช่” คือการลงทุนที่ดี แม้กับบริษัทดาษดื่นธรรรมดาๆก็ตาม นี่คือปัจจัยสำคัญเลยทีเดียว
………………………………
หลักการก็คือ เราจำเป็นต้องรู้ “ความจริงที่เป็นประโยชน์” หยิบฉวยนำมาใช้งานได้ นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นของบริษัทที่เราสนใจลงทุนนั้น “ปัจจัยที่ทำให้หุ้นราคาขึ้นคืออะไร?” และ “ความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาหุ้นร่วงลงคืออะไร?” ค้นหาความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย หรือมีเพียงคนส่วนน้อยที่มองเห็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากรับข้อมูลข่าวสารมากเกินไปยิ่งตัดสินใจยาก ข้อมูลน้อยๆแต่คัดสรรมาแล้วย่อมดีกว่า
………………………………
🧨“อยากรวยเร็วให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งแข่ง 100 เมตร อยากรวยนานๆให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งมาราธอน”
…
🧨ความผันผวนคือต้นทุนระยะสั้น เพื่อผลตอบแทนอันงดงามในระยะยาว วินัยจึงสำคัญมาก
…
🥇“History Doesn’t Repeat Itself, but It Often Rhymes” : Mark Twain
………………………………
🟢“ริอาจผจญภัยในตลาดหุ้น ต้องพิสูจน์ตนเองอย่างน้อย 9 ปี” (ทฤษฎี 3+3+3)
…
1️⃣ 3 ปีแรกคือ ‘Survival Mode’ : การเอาตัวรอดในตลาดหุ้นคืออย่าคิดรวยเร็ว หมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชา เก็บเกี่ยวความรู้ ร่ำเรียนและทดลองกระบวนการให้หลากหลายแนวทาง นั่นก็เพื่อ “ค้นหาจริตส่วนตัวทางการลงทุน” เลือกอาจารย์ให้ถูกคน เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อรอวันเติบโต
…
2️⃣ 3 ปีต่อมาคือ ‘Knowledge’ : การต่อยอดองค์ความรู้ กลั่นกรองสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากคนอื่น ประยุกต์ ปรับเปลี่ยน กลายร่างไปสู่ “องค์ความรู้ในแบบฉบับของตนเอง” ใกล้ชิดกับผู้คนที่ส่งเสริมให้เราเดินหน้าต่อไปอย่างถูกทิศทาง วางแผนการเงินและวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างเหมาะสม จัดพอร์ตได้อย่างกระชับชัดเจนตามเป้าหมายการลงทุนของตนเอง
…
3️⃣ 3 ปีสุดท้ายคือ ‘Financial freedom’ : มีอิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืน กระบวนการทำซ้ำ ทบทวน ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม มีทัศนคติทางการลงทุนที่ถูกต้อง มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ปรับความเร็วให้สมดุลกับจริตส่วนตัว แบ่งปัน ส่งต่อ และทำเพื่อสังคมทั้งทรัพย์สินและองค์ความรู้
………………………………
⭐คนส่วนใหญ่มี 2 แบบ
…
🔹คิดเร็ว ใช้อารมณ์และสัญชาตญาณ
🔹คิดช้า ใช้ข้อมูล ตรรกะและเหตุผล
………………………………
🌿จังหวะอารมณ์นักลงทุน
…
1️⃣ ตกหลุมรัก (Fear of missing out) : ไม่ได้โลภแต่กลัวพลาดตกรถ และขาดความรู้ หากต้องการซื้อหุ้นก็ควรซื้อก่อนคนส่วนใหญ่จะตกหลุมรักมัน ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า กระจายความเสี่ยงให้เพียงพอ ลงทุนในธุรกิจพื้นฐานดีและผู้บริหารต้องดีด้วยเช่นกัน
…
2️⃣ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ (Confirmation Bias) : เฝ้ามองหาเหตุผลเพื่อมายืนยันความเชื่อของตนเอง อะไรๆก็ดูดีไปเสียหมดทุกอย่าง หาข้อมูลและหลักฐานเพียงเพื่อเป็นเครื่องยืนยันต่อสิ่งที่ตนเองคิดเท่านั้น
…
3️⃣ มั่นใจเกินไป (Overconfidence) : ประเมินความสามารถของตนเองสูงมากเกินไป คิดว่าตนเองเก่งกว่าค่าเฉลี่ยคนส่วนใหญ่ มีความเชื่อผิดๆที่ว่าตนเองมีความรู้ (แต่อันที่จริงแล้วไม่มีเลย)
…
4️⃣ ความผูกพัน (Sunk Cost) : อยู่ด้วยกันมานานเลยตัดใจทิ้งไม่ลง ขาดทุนหุ้นแต่เสียดายต้นทุนที่ซื้อมา เสียดายเวลาที่เฝ้าศึกษาเรียนรู้กิจการ ทางออกคือ “ลืมต้นทุนที่ซื้อมาให้หมด แล้วประเมินมูลค่าใหม่” ลองชั่งน้ำหนักดูว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้ถือหุ้นอยู่จะทำอย่างไร? ก็จงทำเช่นนั้น ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) สำคัญมากที่สุด
…
5️⃣ บอบช้ำ (Loss Aversion) : จากงานวิจัย ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน ความทุกข์จากการขาดทุน จะมากกว่า ความสุขจากการได้กำไร “ถึง 2 เท่า” หุ้นที่ขาดทุนไม่ยอมขาย หุ้นที่กำไรนิดเดียวก็รีบขายทันที สุดท้ายมูลค่าพอร์ตก็ย่ำอยู่กับที่
…
6️⃣ ยอมรับ เข้าใจ และเรียนรู้ (Survivorship Bias) : ท้อได้ แต่อย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ อย่าถอย พยายามนำจิตใจตนเองกลับสู่เส้นทางเดินให้ได้ รู้ว่ามีโอกาสตายที่ไหนก็อย่าไปที่นั่น เรียนรู้จากคนที่รอดชีวิต และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองจะทำให้เรามองเห็นเส้นทางเดินที่ถูกที่ควรในอนาคต
………………………………
✅ลงทุนสไตล์ ‘Stock Vitamins – วิตามินหุ้น’✅
…
ส่วนตัวจะมีกระบวนการหาหุ้นแบบ ‘Bottom up’ ขุดหุ้นที่น่าสนใจเป็นรายบริษัท วิเคราะห์งบการเงิน แยกหุ้นที่ดีออกมาทำการบ้านต่อ ส่วนที่เหลือก็แยกเก็บไว้ใน ‘Watchlist’ คอยติดตามความน่าสนใจอยู่เสมอ ซื้อหุ้น ‘โซนล่าง’ ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นมาเยอะ อุตสาหกรรมรวมมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต ธุรกิจมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ และจดบันทึกการซื้อขายหุ้นทุกครั้งว่าเราซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ด้วยเหตุผลอะไร? จัดพอร์ตโดยลงน้ำหนักมากกว่าในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ต้องมั่นใจแบบกลยุทธ์ดันโด (Dhandho Investor) เช่น
…
🟨เสี่ยงต่ำ : ผลตอบแทนสูง (25% : 25%)
🟨เสี่ยงปานกลาง : ผลตอบแทนสูง (15% : 15%)
🟨เสี่ยงสูง : ผลตอบแทนสูง (10% : 10%)
………………………………
⭕“ราคาหุ้น = ความจริง + จินตนาการ”
…
⭕ความจริงคือ งบการเงิน ผลการดำเนินงาน และการประเมินมูลค่า
…
⭕จินตนาการคือ ความคาดหวังในอนาคต
…
ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าในแต่ละครั้งส่วนใดควรให้น้ำหนักมากกว่ากัน
…
⭕“มูลค่า = คุณภาพ” คุณภาพเกิดจากการบริหารจัดการ การเงิน วิสัยทัศน์ อนาคต (ของบริษัท) เราต้องหาเหตุผลมาประกอบการให้มูลค่าในแต่ละส่วน
………………………………
🗣️สิ่งที่เราควรเรียนรู้ในบทความนี้คือ หลายครั้งเรามีอคติในการตัดสินใจ ต้องสำรวจตนเองให้ถ่องแท้ มีสติให้มากขึ้น อย่าทำตามคนอื่น ครุ่นคิดให้ช้าลง คิดด้วยเหตุผล เพราะการสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นคือ “การวิ่งมาราธอน” ผลตอบแทนจะดีและมีความสุข
………………………………
Dopamine (โดพามีน) กระตุ้นอารมณ์ให้เราเกิดการตัดสินใจ นอกเหนือจากนั้นเราควรมี ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ ด้วย นี่คือ “ความสุขที่แท้จริง” ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จุดหมายปลายทางจะมีความสุขในระยะยาวมากขึ้น
………………………………………….
🖋️จิม : ศรุติ โชติเสรีวิทย์
…
Stock Vitamins – วิตามินหุ้น