WPH

Occupancy Rate ของโรงแรมเฉลี่ยเดือน พ.ค. ถือว่ายังต่ำมากที่ 52.3% เทียบกับก่อนโควิดที่ 68.1% / เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปีที่แล้วที่ 51.4 %

รายได้ก็ยังเป็น K Shape
3 ดาวลงมา
41% ขายได้ราคาเท่าเดิม
33% แพงขึ้น
26% ลดลง

4 ดาวขึ้นไป
29% ขายได้ราคาเท่าเดิม
39% แพงขึ้น
32% ลดลง

ข้อสังเกต
เดือนก่อนเรามี นักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.63 ล้านคน ยังได้ OR ที่ 52.3% แปลว่า

1. นักท่องเที่ยวไปพักที่ไหน? AirBnB ??คอนโด? หรือ Homestay?
2. เรารองรับนักท่องเที่ยวได้ เดือนละ 5 ล้านคน?
3. Hotel over supply ทำให้โรงแรมกลับมาแข่งขันเรื่องลดราคากัน ในขณะที่ต้นทุนขึ้น?

Luckin Coffee

ถ้าใครตามข่าววงการร้านกาแฟจีนช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในแบรนด์ที่มาแรงที่สุดคือ Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟสัญชาติจีน ที่เป็นมวยรองน้องใหม่ แต่สู้กับพี่ใหญ่อย่าง Starbucks ได้ดุเดือดมากๆ
.
จนกระทั่งปี 2020 Luckin Coffee ก็สะดุดขาตัวเองล้ม เพราะโกหกตัวเลขยอดขาย ตกแต่งบัญชี แหกตานักลงทุน หุ้นร่วงไปถึง 70%
.
จนนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่า ไม่รอดแน่ๆ ยังไงก็เจ๊ง
.
แต่มาวันนี้ปี 2024 Luckin Coffee ยังไม่ล่มสลาย ยอดขายยังคงพุ่งขึ้น ส่วนจำนวนสาขาก็แซงหน้า Starbucks คู่แข่งคนสำคัญในจีนไปแล้ว
.
คำถามคือ อะไรที่ทำให้ Luckin Coffee กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหลังข่าวฉาว
.
Brand Inside สรุปให้ในบทความนี้
.
🔵 รอดมาได้ เพราะคอนเนคชั่นดี มีนายแบก
Zang Zhongtang อดีตรองประธานอาวุโสของ Luckin Coffee ที่ลาออกจากบริษัทหลังมีข่าวการทุจริตของบริษัทในตอนนั้น บอกว่า “ใครๆ ก็คิดว่าไม่น่ารอด เพราะหลักฐานมันชัดว่าทำผิดกฎหมายจริง ตกแต่งบัญชีจริง”
.
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร Luckin Coffee ก็รอดมาได้
.
ปัจจัยหลักๆ มาจากการเปลี่ยนตัวผู้บริหารและทีมบริหาร แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่หนุนหลัง Luckin Coffee ในช่วงเวลาที่ยากลำบากก็คือ Centurium Capital บริษัทลงทุนที่ศัพท์ในวงการเรียกกันว่า Private Equity
.
Centurium Capital ช่วยเหลือ Luckin Coffee เคลียร์ปัญหาด้านกฎหมายที่โยงใยมาจากการทุจริต ด้วยการออกเงินให้ไปสู้คดีและเสียค่าปรับจากคดีโกงตัวเลขยอดขาย รวมๆ แล้วคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 9 พันล้านบาท
.
นี่คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Luckin Coffee ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
.
🔵 เกือบหลับ แต่กลับมาได้ แถมแซงหน้าคู่แข่งด้วย
ข่าวฉาวคดีทุจริตตกแต่งบัญชีทำอะไร Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟสัญชาติจีนไม่ได้จริงๆ
.
ตอนนี้กิจการของ Luckin Coffee ดีวันดีคืน สวนทางกับเศรษฐกิจจีนที่ย่ำแย่ (ผลจากการผสมโรงระหว่างวิกฤตเงินฝืดและวิกฤตอสังหาฯ ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจของจีน)
.
ปัจจุบันยอดขายของ Luckin Coffee แซงหน้า Starbucks ในจีนเป็นที่เรียบร้อย
.
ปี 2023 Luckin Coffee ทำยอดขายไปได้มากถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 1.3 แสนล้านบาท พุ่งขึ้นมาจากปีก่อนถึง 87%
สวนทางกับ Starbucks ที่ยอดขายปี 2023 ลดลง 8% จากปีก่อนหน้า มูลค่ายอดขายรวมอยู่ที่ 3.05 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 1.1 แสนล้านบาท
.
และถ้าไปดูจำนวนสาขาของ Luckin Coffee ก็แซงหน้า Starbucks เป็นที่เรียบร้อย
.
Luckin Coffee มีสาขาในประเทศจีนทั้งหมด 16,218 แห่ง
Starbucks มีสาขาในประเทศจีนทั้งหมด 6,975 แห่ง
คิดง่ายๆ คือ Luckin Coffee มีสาขามากกว่า Starbucks ในจีนเกือบ 3 เท่าตัว (แต่ถ้านับสาขาของ Starbucks ทั่วโลกจะอยู่ที่ 38,586 แห่ง)
.
🔵 Luckin Coffee คัมแบ็ค! นี่คือคู่แข่งที่น่ากลัวของ Starbucks ในจีน
ถ้ามองในมุมตัวเลข ตอนนี้ Luckin Coffee ชนะ Starbucks ในจีน ทั้งตัวเลขยอดขาย และจำนวนสาขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
.
ส่วนด้านของ Starbucks ในจีนก็ดิ้นสู้ทุกทาง เช่น ใช้ระบบสั่งกาแฟผ่านมือถือ แต่ก็ตามหลัง Luckin Coffee อยู่ เพราะด้วยโมเดลธุรกิจที่ Luckin Coffee ใช้เทคโนโลยีในแผนธุรกิจตั้งแต่ Day One เป็นต้นว่า ลูกค้าจะสั่งกาแฟของ Luckin Coffee ผ่านมือถือบนระบบออนไลน์ได้เท่านั้น ไม่มีการจ่ายเงินสดหน้าร้าน
.
ในแง่นี้ Luckin Coffee นำหน้าไปไกลกว่ามาก เพราะถ้าพูดถึงคำว่า ‘เทคโนโลยี’ กับ Luckin Coffee ตอนนี้ไปไกลถึงขั้นนำเอาระบบอัตโนมัติมาดูเลยว่า สาขาไหนวัตถุดิบเหลือน้อย คอมพิวเตอร์จะสั่งให้เติมของทันที ไม่ต้องใช้มนุษย์เข้ามาจัดการระบบหลังบ้าน หรือถ้าใช้ก็น้อยมากๆ
.
และที่สำคัญ  Luckin Coffee ไม่ทำเอาเท่ๆ แต่ทำเพื่อลดต้นทุน และลดการใช้แรงงานคน
.
มากไปกว่านั้น ถ้ามองในมุมสงครามราคา หากเราเทียบกาแฟจีนกันแบบหมัดต่อหมัด ค่ากาแฟเฉลี่ย 1 แก้ว
.
Luckin Coffee 11-12 หยวน คิดเป็นเงินไทย 55-60 บาท
Starbucks 33 หยวน คิดเป็นเงินไทย 170 บาท
นี่คือความได้เปรียบ เพราะ Luckin Coffee ถูกกว่า Starbucks ถึง 3 เท่า!
.
สิ่งที่น่าติดตามหลังจากนี้คือ Starbucks จะแก้เกมในจีนยังไง เพราะแม้จีนจะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ตลาดกาแฟจีนโตขึ้น 15% ในมุมของการบริโภค (coffee consumption)
.
คำถามที่สำคัญจึงเป็น ทำไม Starbucks ถึงไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ แต่กลับกลายเป็น Luckin Coffee ที่ตีกินไปเต็มๆ

#luckincoffee #starbucks #coffee #China #brandinside

นอกจากเรื่องการใช้เทคโนโลยี เรื่องจำนวนสาขา เรื่องราคา ที่เขียนในบทความแล้ว ผมว่าเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ Luckin ทำได้ดีมากๆคือการออกสินค้าใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆที่เป็น top sellers ของ Luckin เช่น กาแฟผสมน้ำมะพร้าว กาแฟผสมเหล้าเหมาไถ Starbucks ก็พยายามเลียนแบบนะ ผมเคยลองเทียบดูโดยการกินกาแฟน้ำมะพร้าวของ Luckin แล้วไปลองกินกาแฟผสมน้ำมะพร้าวที่ Starbucks เลียนแบบ ผมว่าของ Luckin อร่อยกว่า และราคาก็ถูกกว่าเยอะด้วย

Vn

Vietnam VVI Trip 2024 in HCMC & Danang

ทริปลงทุนเวียดนามปีนี้จัดแน่นเต็มอิ่ม 9 วัน ซึ่งถือเป็นทริปที่ไปนานที่สุดเท่าที่เคยไปเวียดนามมา แต่ทำให้ได้เข้าใจประเทศ ผู้คน สังคม และวัฒนธรรมในแบบที่ไม่ได้คิดไว้

รอบนี้ไป Danang ครั้งแรกก็ยิ่งได้เห็นมุมใหม่ๆที่ไม่เคยได้เห็นและทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก ในโพสต์นี้เลยอยากเขียนสรุป Insight สิ่งที่ได้พบเจอ + จดบันทึกข้อความ รูปภาพ ความประทับใจระหว่างทริปไว้ด้วยครับ

ดร. ก้องเกียรติ
ทริป HCMC รอบนี้ผมประทับใจ ดร. ก้องเกียรติ เป็นพิเศษ หลังจากที่ฟัง Talk บนเวที ก็ได้รุมถามและฟังหลังงาน สิ่งนึงที่จำได้แม่น ท่านบอกว่าคนเราบางทีโอกาสดีๆมาครั้งเดียว ถ้ามาแล้วคุณต้องรีบคว้าไว้ พร้อมยกตัวอย่างมากมาย ทั้งคนที่คว้าไว้ และ พลาดมันไป ฟังแล้วก็เหมือนจะได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่ตัวอย่างแต่ละอันนี้เล่าได้สนุกและเห็นภาพมากๆครับ

ท่านเล่าย้อนไปตั้งแต่ทำงานที่ Bearing ทำดีลต่างๆ ทำให้มี Connection มากมาย ทั้งเศรษฐี ทั้งกองทุนใหญ่ๆล้วนสนิทสนมกัน จนไปถึงการทำดีลต่างๆในไทย ปัจจุบันท่านลงทุนทั่วโลก หลายประเทศ และไม่ได้ลงทุนแค่หุ้น แต่รวมถึงที่ดิน และ คอนโด ตามประเทศต่างๆ ท่านเล่าถึง Startup ว่าเวียดนามก็มี จีนก็มี แต่ถ้าท็อปๆต้องที่อิสราเอล พร้อมยกตัวอย่างแต่ละบริษัทที่ไปลง เวียดนามท่านก็ลงแต่อาจจะไม่ได้โฟกัสมากนัก

ดร.นิเวศน์
ช่วงค่ำของวันที่ 2 รอบนี้ ดร.นิเวศน์ ยังพูดคล้ายๆเดิมแบบที่ได้ฟังกันอยู่เรื่อยๆ แต่รอบนี้ผมรู้สึกว่า ดร. ให้ความเห็นกับ ACV ชัดกว่าทุกๆครั้งจากทุกๆครั้งที่ผมได้ฟัง ท่านคิดว่า ACV จะต้องใหญ่กว่า AOT ถึงจะมีความเสี่ยงจากรัฐบาล แต่ท่านเชื่อว่ารัฐบาลก็ยังต้องการรายได้จากสนามบินไปพัฒนาเพิ่ม จึงคิดว่ารัฐบาลน่าจะยังอยากปล่อยให้สิ่งนี้เติบโต รวมถึงยังบอกว่า FPT มีสิทธิ์ที่ Market Cap จะใหญ่ที่สุดในช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกันกับที่ท่านคิดสำหรับ CPALL ว่าตอนนี้ยังไม่ใหญ่ที่สุด แต่ก็มีสิทธิ์ที่วันนึง ซักช่วงเวลานึงอาจจะใหญ่ที่สุด

พี่เอก VP Bangkok Bank VN
Key Takeaway คือตอนนี้ ความเป็น Labor Intensive เริ่มหายไป ลูกค้าที่มา ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวแล้ว ถ้า labor intensive จะไปลงอินโดแทน และค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้น 6-7% ทุกปี
พี่เอกเชื่อว่าถ้า US ยังไม่ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ดี ถ้า Export จะยังชะลอ โดยรวมตอนนี้ถือว่ายังไม่ค่อยดีมากนัก

พี่แจ็ค วิศวกร ปันยารชุน
ถ้าเวียดนามย้ายไปเป็น Emerging Market สำเร็จพี่แจ็คคาดการว่าเงินจะเข้ามาอีก 20 เท่า (ผมจำไม่ได้ว่า 20 เท่าของอะไร ถ้าใครจำได้เม้นบอกหน่อยนะครับ)
(ความเห็นส่วนตัว: ผมว่าเกมส์นี้น่าสนุกสุดๆ 555)

การท่องเที่ยวเวียดนาม
-HCMC ผมว่าพัฒนาและดูมีสีสันมากขึ้นเทียบกับรอบก่อนที่มาตอน Oct 2023 แต่ที่น่าประหลาดใจคือ Danang
-ดานัง เป็นเมืองที่ผังเมืองดีที่สุดในเวียดนาม การคิดมาอย่างดีทำให้เมืองนี้จะยังเติบโตได้อีกเยอะ โดยรวมร้านและ รร ราคาไม่แพง ค่อนข้างสงบ ค่าครองชีพถูกกว่า HCMC เยอะมากพอสมควร
-แต่สิ่งที่ผม wow คือ Banahill ไม่คิดว่าเค้าจะทำได้ดีขนาดนี้ ทำ product ออกมาได้ดีมากๆ โดยที่ price ยังถือว่าไม่แพงเลย ตอนนี้กำลังขยาย phase ใหม่ๆ รวมถึงเริ่มมีแพลนจะสร้าง รร 5 ดาวเพิ่มแล้วด้วย
-โดยรวมผมรู้สึกว่าไทยมีดี แต่ถ้าไม่ปรับตัว จะโดนแย่ง share แน่ๆครับ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะสู้ยากเพราะความเป็น Thai มันขายได้และไม่ได้คิดว่าเค้าจะ focus แต่ที่นี่สำหรับมือใหม่ ผมว่าทำได้ไม่เลว และจากการลงทุนต่างๆที่ส่งเสริมเรื่องนี้ การเติบโตมาแน่ๆ อยู่แล้ว แต่พอได้ไป คิดว่าน่าจะโตได้มากกว่าที่คิด
-ไปเวียดนามได้สำรวจ Club/Bar ตามเคย ผมคิดว่าโดยรวมไม่ได้ห่างจากไทยมากเลย DJ และ เพลงดี Service บางร้านก็เหมือนไปทองหล่อ และที่สำคัญคืออยู่ ตจว. ก็มีที่ดีๆเหมือนกันด้วย ไม่ได้มีแค่ใน HCMC

พี่ป๊อป
รอบนี้ไป 8 คืน หารค่าห้องนอนกับพี่ป๊อปไป 5 คืนพร้อมดูดความรู้มาจนแน่น
-พี่ป๊อปบอกว่าคนไทยชอบมองคนเวียดนามด้วย lens ของคนไทย ว่าทำไมมันทำแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆเราต้องมาเข้าใจเค้า และมองในมุมมองของเค้า จะทำให้เราเข้าใจเค้ามากขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยได้
-Emerging Market เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายตัวแต่ bank ปล่อยให้ไม่ทัน เงินจากนักลงทุนเลยต้องเกิด
-เวลาดูการท่องเที่ยวเวียดนาม เปรียบเทียบแค่ประเทศโซนอาเซียนก็พอ เพราะมันคือ target ใกล้เคียงกัน เช่น ไทย เวียดนาม อินโด มาเล (ก่อนหน้านี้ชอบไปบอกพี่ป๊อปว่าที่อื่นสวยกว่าเยอะ แต่มันไม่ใช่ไทย และไม่ใช่โซนนี้)
-คนเวียดนามยังอยู่ักันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกบ้านพร้อมใจทำงานช่วยกัน หลายคนมากๆและเก็บเป็น 10 20 30 ปี เพื่อที่จะซื้อบ้าน แม้แต่พวกเวียดกิว ไปทำงาน ตปท ก็ยังส่งเงินกลับมา
-คนเวียดนามสามัคคีมาก เค้าผ่านสงครามมา เค้ารู้ว่าถ้าเค้าไม่สามัคคีกัน เค้าจะไม่รอด

ไกด์ท้องถิ่น
-ตอนนี้ถึงค่าแรงอาจจะยังไม่เยอะ แต่เป็นช่วงที่ดีที่สุดของเวียดนามแล้ว เมื่อก่อนพ่อไกด์บอกว่า คนเวียดนามไม่มีงานให้ทำ ไม่มีข้าวให้กิน ไม่มีบ้านให้อยู่ ไม่มีเงินให้เก็บ
-หลายๆคนมีหลายงาน บางทีร้อนกลับบ้าน ดึกๆค่อยออกมาอีกที
-คนที่นี่ต้องมีลูกกันอย่างน้อย 3 คน และอยากมีลูกผชด้วย ช่วงโควิด คนเกิดเพิ่ม 4 ล้านคน
-เด็กเวียดนามตั้งใจเรียนเพราะต้องจ่ายค่าเทอมเอง
-ทุกคนขยันกันหมดจริงๆ (อันนี้เติมเอง)

หมอนวดที่ รร ที่ Danang
-จีน ไต้หวัน จะมาทำธุรกิจ
-เกาหลี ตอนนี้มาอันดับ 1
-ต่างชาติก็เยอะ (ถามคนนึงเจอที่ร้านอาหารบอกทำงานอะไร เค้าบอก Crypto)

Strategy Masan
-ตอนนี้สินค้า Masan คิดเป็นประมาณ 18% ของสินค้าใน WinMart
-WinMart ใช้ strategy แยก ประเภทของ store เพื่อ cater different target groups (Urban, sub-urban, rural) การลงทุน 30k, 40k, 50k USD approx./store
-คิดว่าการขายเหมืองจะพยายามทำในปีนี้ แต่ไม่ง่าย ฟังแล้วอาจจะปลายปีอย่างเร็วครับ
-ทุกปี MCH จะออกสินค้า 50-100 ชิ้น เพื่อมาลอง (ผมคุ้นๆว่าเค้าไปซื้อสูตรมาเลย เค้าบอกว่าไม่อยากเสียเวลาลองผิดลองถูก)
-บริษัท focus การสร้างแบรนด์ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่บริษัทเชี่ยวชาญ
-ถามว่าจะสู้กับ Back Hao Xanh ยังไง เค้าบอกว่าสินค้าใน WinMart จะมีพวก WinEco, Meat Deli ซึ่งถ้าอยากซื้อก็จะมีขายแค่ที่นี่ ซึ่งเป็น Synergy เพราะตัวสินค้าเองก็จะมี Distribution Channel ของตัวเอง และสินค้าจะไม่ได้ถูกเหมือน Bach Hao Xanh
-ถามว่า strength/weakness ของ Bach Hao Xanh คืออะไร เค้าบอกว่า MWG กล้า bet กล้ามาลงทุนกับ BHX ส่วน Weakness คือตอนนี้ขายได้ SSSG โต แต่ Margin ลดเยอะ
-ผมถามว่าใส่ของสดเพราะของอื่นๆขายไม่ได้รึเปล่า เค้าบอกว่า Rural ยังปลูกผักกินเอง ใส่ไม่เยอะ กลัวของเน่า … จำคำตอบที่เหลือไม่ได้
-เค้ามอง WinMart Premium กว่า และ BHX Mass กว่า
-เค้าบอกว่าเค้าเชื่อว่าตลาดใหญ่พอจะมี 2 players ได้

-ไปลองเดิม WinMart ก็เห็นสินค้า MCH จะอยู่ตาม Location ดีๆ
-พี่ป๊อปบอกว่า WinMart จะขายสินค้า MCH เช่นซอสถูกกว่าที่อื่นๆประมาณ 5%
-Meat Deli ราคาไม่ถูก มีทั้งปกติ และ Premium

ความเห็นส่วนตัว
-ทริปนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นในเวียดนามมากกว่าทุกๆครั้ง เข้าใจวิถีชีวิตของคนมากขึ้น และมั่นใจในหลายๆมุมของประเทศนี้
-เวียดนามจะไม่ได้โตตามไทยแล้วแซงไป แต่จะไปคนละทางแต่เป็นทางที่ใกล้กว่าและระยะทางไกลกว่า เพราะเค้า focus semi-conductor ไทยไม่สามารถทำได้
-ปี 2030 GDP แซงไทย (Analyst) แล้วผมคิดว่าอีกซักพัก GDP/Capita ก็มีสิทธิ์แซงได้ไม่ยาก
-ผมเริ่มมองว่าเค้าจะเป็นแบบเกาหลี พูดว่าเวียดนามแล้วจะมีความรู้สึกถึงประเทศพัฒนาเกิดขึ้น
-อนาคตถึงไทยจะสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังต้องพัฒนาเพราะตอนนี้ผมรู้สึกกลัวแทนมากๆ ถ้าเรายังอยู่กันแบบนี้

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Speaker ทุกท่านที่มาให้ความรู้ VVI ที่จัดสัมนา และ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านที่ได้เจอครับ ทริปนี้ได้รู้จักคนใหม่ๆมากมาย และได้ insight จากหลายๆ industry ที่แต่ละท่านทำงานอยู่ เป็นอีกทริปที่ได้ความรู้ ความสนุก และ ความมั่งคั่ง (ในอนาคต) ไปพร้อมๆกันครับ

***ทั้งหมดนี้ ผมพึ่งมานั่งนึก เพราะฉะนั้นข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน ถ้าจะใช้ข้อมูลขอให้ไปตรวจสอบอีกรอบนะครับ

กวี

SET in the city 2024
ปรับพอร์ตลงทุน คัดหุ้น – ครึ่งปีหลัง : พี่กวี 🐥
1200 or 1500

สิ่งที่ตลาดหุ้นไทยต้องยอมรับ :
– ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ดังนั้นตลาดหุ้นไทยก็มีข้อจำกัดที่จะปรับตัวให้สูงมากขึ้น
– หนี้สินภาคครัวเรือนสูง ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ยาก อยู่ที่ระดับ 90% ดังนั้นภาคครัวเรือนจึงขยายตัวเพิ่มไม่ค่อยได้ ตอนนี้ธนาคารให้ปล่อยกู้ 80% ของรายได้แล้วก็เสี่ยงๆ อยู่ เศรษฐกิจไทยจะโตดีๆ คงยาก อย่าคาดหวังจนมากเกินไป
– ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ปรับตัวลดลง ROE กับ PBV ลดลง ก็มาพร้อมกับ ราคาหุ้นที่ลดลงเรื่อยๆ
– การศึกษาของเด็กไทยก็มีปัญหา
– ปี 2022 SET ได้ Perform อันดับ 1 ของโลก แต่ปี 2023 เรารองโหล่ ปีนี้เราโหล่สุด -15.76%

คำถามคือตลาดหุ้นไทยจะดีขนาดนั้นไหม
– มีสิ่งที่ผิดปกติจากต่างชาติ คือ Net Sell และ Volume จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจะออกนโยบาย LTF
– เศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.5% แต่เป็นเพราะภาครัฐบาลไม่ยอมลงทุน งบลงทุนภาครัฐหายไป
– นักท่องเที่ยวกลับมา 40 ล้านคนปีหน้า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ไทยน่าจะดีขึ้น
– กำไร Q1 ที่ติดลบ : Automotive, Construction, Property พวกนี้ไปผูกติดกับการลงทุนสนับสนุนของรัฐบาล
– กำไร Q1 เป็นบวก : Commerce, Food&Beverage, Information, Tourism
– ยอดขายสาขาเดิมของกลุ่มค้าปลีกเริ่มดีขึ้นหรือทรงตัว
– นักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีโอกาสโตได้อีกมาก มีเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก ประเทศไทยยังมีเสน่ห์ในการมาท่องเที่ยว ซึ่งจะมาเติบโตในสิ่งที่ไทยจะเป็น Aging Society
– คนญี่ปุ่นอยากที่จะมาเกษียณบ้านเรา ซึ่งเรามี Soft Power แบบไม่ได้ตั้งใจ
– ธปท. คาดเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง-ปีหน้า Q2 เป็นต้นไป จะดีขึ้น Q4/2024 ประมาณการณ์ GDP ที่ 4%
– การลงทุนภาคเอกชนจะดีขึ้นในเรื่อง โรงไฟฟ้าแบเตอรี และ โรงงานผลิต EV
– เศรษฐกิจ US อาจหดตัวแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ 3 Month -10Y Spread ติดลบ หากเกิดวิกฤตใน US ตัวดอลลาร์จะอ่อน เงินบาทจะแข็ง ซึ่งต่างชาติจะไม่มีอะไรมาขายแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ เค้า Short Sell แล้วก็ซื้อคืน
– การที่เศรษฐกิจ US แย่ เศรษฐกิจไทย ไม่จำเป็นต้องตกต่ำตาม บางทีหุ้นไทยอาจจะขึ้นสวนก็ได้ และอสังหาริมทรัพย์จีนเริ่มปรับตัวดีขึ้นทีละนิด
– เยอรมัน เริ่มทวงทองคืน โดยที่เลขที่ประทับบนทอง คนละหมายเลขที่ US คืนมา อินเดียก็เริ่มทวงแล้ว
– US อยากให้จีนบุกไต้หวัน เพราะว่า จีนเป็นเจ้าหนี้อันดับต้นๆ ของ US ถ้าจีนบุกไต้หวัน US ก็จะขอยึดตราสารหนี้ของจีนทั้งหมดไว้
– อุตสาหกรรมจีน เริ่มซื้อทองแดงมากขึ้น เศรษญกิจจีนเริ่มฟื้นตัว
– จีนเอาเงินมาพัฒนาแบตเตอรี่
– จีนเลือกไทย เพราะว่าแหล่งแร่หายากต่างๆ สามารถส่งมาที่ไทยได้ง่ายๆ ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของแหล่งแร่หายาก (Green Energy ถึงมาที่ไทย)
– กำไรสุทธิของ SET คาดว่าจะกลับเข้าสู่ช่วงก่อน Covid-19 ในปี 2025 โดยที่ 2024F ได้ EPS = 93.54 และ 2025F ได้ EPS = 103.78
– ตลาดหุ้นไทยหา New High ไม่ง่าย อย่าไล่ราคา มัรไม่เหมือนตลาดหุ้น US
– ให้ PE = 14 ปี 2024F SET = 1309.56 และ ปี 2025F SET = 1352.92
– ประเทศอาร์เจนตินา มีปัญหาคือ รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลาง ด้วยความเป็นหนี้เยอะ รัฐบาลสั่งให้พิมพ์เงิน ค่าเงินอ่อน เพื่อเอาไปจ่ายหนี้
– ประเทศไทยก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดในระยะยาว ตำแหน่งประเทศไทย อยู่ศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว (เหนือชอบบุกใต้ เพราะว่าจะเข้ามาหาแหล่งอาหาร)
– เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง ถึง 40%
– ประเทศไทยผ่านมาหลาย S-Curve ซึ่งกำลังจะเข้า Thailand 4.0 คือ Logistic Hub, Green Energy Hub, Data Cloud Hub, Tourism Hub, Medical Hub, Kitchen of the World
– พลังงานจากแสงอาทิตย์ ที่ดึง Data Clould เข้ามาในประเทศไทย Data Clould ต้องใช้ไฟฟ้าแบบ Green Energy ซึ่งพวกนี้ต้องใช้พื้นที่เยอะ
– ระบบที่จะทำกำไรต่อจาก ระบบ AI คือ Cooling System และ ถ้า Quantum เกิด ต้องทำงานที่ -70 องศา ประเทศไทยมี น้ำเยอะ สามารถนำมาใช้ใน Cooling System ได้

หุ้นที่แนะนำ
Green Energy and EV : BGRIM KCE
Logistic Hub : WHA ADVANC
[หากมาดูจากกราฟ ตัวที่ได้เปรียบ คือ
BGRIM หากอนาคตบริษัทยังดำเนินต่อไปได้ด้วยดี
KCE ก็อยู่ในช่วงราคาที่โอเคอยู่]
ADVANCE : รอก่อน (พวกนี้ต้องเป็นหุ้นที่ดี)
Tourism : CENTEL MINT CPALL CPN AOT
Property : AP SPALI HMPRO
Food : TU
***ต้องดูโซนราคาที่เราได้เปรียบ***

#ไก่อึน
#KFC
#ลงทุนอย่างมีความรู้และความสุข
#BeKind

SNP

Company visit SNP by Thaivi CV

Q1: Bakery studio ผู้บริหารคาดหวังขนาดไหน กำไร margin จะเยอะหรือน้อยกว่าของเดิม ถ้ามันดีอนาคตจะมี ซัก กี่ สาขา?
A1 : ภายใน q3 แพลนจะมีซัก 100สาขา ระหว่างนี้ก็ learning ไปด้วย เรา launch ออกมาได้ดี แต่ คู่แข่งก็เยอะ คนที่ทำอยู่แล้วก็เยอะ ก็มีการแข่งขันกัน / เราขาย fresh bakery แต่มุมมองของลูกค้ามองว่าเราขายเป็น package bakery เราพยายาม เราอยากปรับ perception ของลูกค้า / margin ตัว bakery ไม่ได้ดีกว่า package bakery แต่ sale per store จะดีขึ้น จะช่วย labour & rent cost ของเรา

Q2 : S&P เทียบกับ nsl ตอนนี้ marketcap แซง s&p ไปแล้ว เค้าใช้ play book ทำ bakery ขายใน 7-11 เราเรียนรู้อะไรจากเค้าได้ม้ัย เช่นอาจจะหาบาง SKU ที่จะไป ร่วมกับ chain ที่มีสาขาหลายสาขาในประเทศ?
A2 : เจ้าใหญ่ที่เข้า 7-11 ก็จะมี NSL นอกนั้นก็จะเป็นเจ้าเล็ก ๆ / เรามีขายบางอย่างเช่น ขนมไหว้พระจันทร์ ที่ 7-11 บอกว่าไม่ทำแน่นอน snp มีเสนอ product ให้ 7-11 เป็น 100 แต่เค้าไม่เอา คือ ต้องเอาอะไรที่ไม่มีในตลาด และขายดี ก็เป็นโจทย์ที่ยาก

ถามต่อ
Q2.1 : เห็นด้วยว่า CP แกร่งเรื่องอาหารไปแข่งเค้าน่าจะยาก แต่ CJ เค้าไม่ได้แกร่งเรื่องอาหาร เรามีคุยด้วยมั้ย?
A2.1 : มีคุยกับ CJ มาบ้างเหมือนกัน แต่เดี๋ยวขอกลับไป รีวิว เป็นไอเดียที่ดี เข้าใจว่าตอนนี้ก็มีการร่วมกันเรื่อง อาหาร พวก frozen

Q3 : มีแผนเปิดตาม bts mrt มั้ย?
A3 : เคยไปเปิดตามพวกสถานีใน แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่ จะมี challenge ว่า จะมี 2peak คือ ตอนไปทำงาน ตอนกลับบ้าน การ operation จะค่อนข้างยาก เราต้องดูว่าคนเดินทางแล้วจะมีโอกาสซื้อสินค้าเรามั้ย / ตอนนี้ location ที่เรามี จะเป็น shopping mall , hyper market , hospital , office , airport และมีสาขา standalone ตอนนี้จะ focus ในห้างเยอะ ซึ่งก็ยาก เพราะคู่แข่งเข้ามาเยอะ ยากขึ้นเรื่อยๆ พวก office และที่ทำงานเรายังน้อยมาก / ต้องดูว่ามีโอกาสตรงไหนบ้าง s&p จะเข้าไปอยู่ในชีวิตของเค้า

Q4 : สอบถาม Bakery studio มีโอกาสไป the mall บางแค ร้านมันจะคล้ายๆกับที่มีอยู่แล้ว เช่น Yamazaki ซึ่งคนเข้า Yamazaki ค่อนข้างเยอะ ถ้าเราจะเปิดเยอะๆใน q3 100สาขา และที่แจ้งว่า margin จะไม่ต่างจาก package bakery เท่าไหร่ เลยไม่แน่ใจว่า การเปิด Bakery studio จะ impact selling & admin เท่าไหร่?
A4 : sssg จะเพิ่มขึ้นชัดเจนมาก ในแต่ละที่ จำนวนคนต้องใช้เพิ่มเพราะจะมีคนผลิตด้วย แต่ว่า sale ที่เพิ่มขึ้นจะ cover ตัวคนที่เพิ่มขึ้น investment ก็มี เตา กับ ตู้โชว์ ถ้า success แล้ว จะ payback เร็ว ภายใน 1 ปี / bakery studio จะ ช่วยเพิ่ม topline และช่วย leverage fix cost มองว่ามันเป็น untapped demand ที่มีอยู่แล้ว แล้วเราไม่ได้ทำ แต่คนอื่นมีมานาน ซึ่งตอนนี้เราพยายามให้มันมี repeat customer เราพยายามที่จะทำให้พอดี bakery studio แล้วของเก่าไม่ตก มองว่าพอเพิ่มเข้าไปแล้วยอดขายควรเพิ่ม 10000บาท/วัน ขั้นต่ำ

ถามต่อ
Q4.1 : เป้าทั้งปีที่มองว่าจะโต 7% q2 สถาณการณ์เราเป็นยังไง?
Q4.2 : q2 จะดีขึ้น แต่ยังไม่ได้ ถึง 7% ที่มองไว้

Q5 : Demographic ของลุกค้า?
A5 : กลุ่มครอบครัว / คนทำงานเป็นกลุ่มหลัก จะมียอดที่ เยอะจะเป็น take away คนซื้อ 70% จะเป็นผู้หญิง (แม่บ้านอายุ 30กว่า – 50กว่า)

Q6 : S&P อยู่มานานแล้ว กลยุทธ์เรา ใช้ Single brand ไม่แน่ใจว่า Brand ใหม่ๆอยู่ใน discuss ของ management บ้างมั้ย เหมือนที่ผ่านมา S&P มี brand ใหม่ แต่มัน scale ไม่ได้?
A6 : อาจจะต้องมีเรื่อง m&a แต่ ยากมาก S&P เคยซื้อ มาแค่ brand เดียวคือมังกรทอง / Brand ใหม่ ก็มีคุย น่าจะเป็นไปได้ เป็น brand ของโลกที่พิสูจน์มาแล้ว / ส่วน brand ที่เรามี Maisen เป็นเรื่อง price point ที่ทำให้โตยาก

บทความ

หุ้นไทยร่วงต่ำสุดในรอบ 4 ปี จะกลายเป็นทศวรรษที่สาบสูญ หรือ “โอกาสลงทุน” ที่ดีที่สุด? (กวี ชูกิจเกษม)
สรุปโดยเพจ #นิยมลงทุน

🙏 ทักทายแขกรับเชิญและยังศรัทธาหุ้นไทยอยู่ไหม และประสบการณ์กับหุ้นไทย

  • อยู่ในตลาดตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้ง เข้ามาวันแรกก็สูญเสียศรัทธาในตลาดหุ้น เหมือนกับที่คนเป็นกันในวันนี้ ตอนนั้นดูหนักกว่าในตอนนี้ด้วยซ้ำ
  • ตอนดัชนี 1800 ไป 200 หลายบริษัทล้มละลาย
  • ตอนเช้าตลาดใหม่ๆ เงินหายไป 70% ทำงานมา 3 ปี ในอุตสาหกรรมพลังงาน ไปเรียนไฟแนนซ์ ทั้งๆที่บริษัทปิดไปเรื่อยๆ ใครชวนลงทุนก็เชื่อ
  • เอาเงินที่ได้จากโบนัส มาลงทุนด้วย สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย
  • ใช้เวลา 2 ปี ทำงานไปเรื่อยๆ ในวงการการเงิน ไม่ตกงานก็ดีแล้ว
  • การเรียกศรัทธาใช้เวลานาน กลับมาดีช่วงปี 2000
  • ถ้าการลงทุนเป็นเจ้าของกิจการ ก็จะเชื่อมากขึ้น
  • เราลงทุนแล้วคิดว่าเป็นเจ้าของ ตราบใดที่กิจการยังดำเนินปกติ ก็ไม่ได้สนใจ
  • เคยใช้ราคานำ แล้วล้มเหลว
  • ถ้าธุรกิจดี มีการจ่ายปันผลเรื่อยๆ ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยั่งยืน
  • แม้ในประเทศที่มีปัญหา ก็ยังมีบริษัทดีๆที่โตได้อยู่ ถ้าคิดแบบนั้นศรัทธาจะไม่ยึดติดกับตลาดหุ้น เศรษฐกิจ ความผิดพลาด มากจนเกินไป เราจะอยู่กับบริษัทที่มีอนาคต ถ้าหุ้นลงมาก็ถือเป็นโอกาสดี มีโอกาสซื้อเพิ่ม
  • ผ่านวิกฤตตลาดมาหลายรอบ ตลาดหุ้นไม่ไปไหน แต่ก็ได้ปันผลทุกปี
  • สิ่งที่เราซื้อทุกวันนี้ ราคาก็ลดลง และไม่มีเงินปันผลให้คุณ แต่ถ้าซื้อหุ้น แม้มูลค่าลดลงก็ไม่ต้องกลัว

🇹🇭 การลงทุนหุ้นไทยก็เหมือนการซื้อสินค้าและทำไมไทยถึงยังน่าลงทุนธุรกิจ

  • ในตลาดมีบริษัท 600-700 บริษัท ต้องมีซัก 10-20 บริษัท ที่ยั่งยืนได้
  • เศรษฐกิจไทยมีข้อจำกัด แต่อย่าสูญเสียศรัทธา
  • Aging Society เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ได้ แต่รัฐบาลสามารถแก้เรื่องอื่นได้
  • ถ้าการใช้ชีวิตปกติยังยาก คนก็จะไม่คิดเรื่องมีลูก
  • ประเทศไทยต้องหาสเน่ห์ของตัวเอง
  • ทุกอย่างต้องใช้เวลา
  • ไทยอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้ เพราะภูมิศาสตร์ที่ดีมาก
  • เราอยู่ตรงกลางระหว่างคน 4 พันล้าน กว่าครึ่งโลก ยังไงก็หนีไทยไม่พ้น สร้างในประเทศไทย จะออกทะเลได้ทั้งซ้ายและขวา
  • ไทยไม่มีแร่ธาตุที่หายาก แต่รอบเรามีแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน มาประกอบเป็นแบตเตอรี่
  • ประวัติศาสตร์บอกว่าเราเป็นศูนย์กลางระหว่างซ้ายและขวา ในสงครามญี่ปุ่นสร้างทางรถไฟที่กาญจนบุรีเพื่อบุกไปทางตะวันตก เนื่องจากสะดวกกว่าการอ้อมไปทางสิงคโปร์ ถ้านั่งเรือจากแอฟริกามา ก็จะเจอไทยได้ทันทีเช่นกัน
  • EV มาลงทุนที่ไทย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางที่แร่จะวิ่งเข้ามา และสามารถส่งออกได้ทุกทางเช่นกัน
  • Data Center จะมาลงทุนที่ไทย เนื่องจากเรามีพลังงานไฟฟ้าจนล้น
  • ช่วงนึง ไทยเปิดประมูลโรงไฟฟ้าให้เจ้านึง จนตอนนี้ใหญ่คับประเทศ
  • ไทยมีพลังงานสะอาดเยอะ เป็นแหล่งพลังงานสำรอง ไว้ใช้เมื่อไฟตก ไฟดับ สำหรับ Data Center ได้
  • เวียดนามจะมีการเข้าไปลงทุนในโซนที่ไฟฟ้านิ่ง แต่ไม่ได้นิ่งทั้งประเทศ
  • ประเทศไทย เด็กที่เรียนดีที่สุด จะเรียนสายการแพทย์ เป็นอันดับ 3 ของโลก เรื่องศัลยกรรม เป็นรองแค่ อเมริกาและเกาหลี สามารถทำได้ตั้งแต่หัวยันเท้า
  • คนอเมริกา เด็กที่เรียนที่สุดจะเรียนกฏหมาย แต่ในไทยเอาคนเรียนกฏหมายไปเล่นการเมือง
  • ในอีก 10 ปี อาจคาดหวังให้ตลาดหุ้นไป 2000 พอลุ้นได้ แต่ถ้า 3000-4000 น่าจะยากมาก

📉🇹🇭 ไทยจะอยู่ในทศวรรษที่สาบสูญไหม

  • เราอาจเจอทศวรรษที่สาบสูญ เนื่องจาก เราเจอทั้ง Aging Society และภาวะหนี้ภาคครัวเรือน ต้องหวังเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจโลก โตด้วยตัวเองลำบาก
  • เราเลือกลงทุนได้ในบางอุตสาหกรรม
  • เราหวังได้ว่า ถ้าลงไปต่ำกว่า 1000 จุด จะสามารถกลับมาได้ที่ 1500-1700 จุด เนื่องจากตลาดมีระดับที่เหมาะสม
  • อย่าคาดหวังการบริโภคในประเทศ คิดว่าดัชนีที่เหมาะสมอยู่ที่ 1200-1600
  • ควรมองหาประเทศที่มีการเติบโตที่ดีกว่า เพื่อการลงทุน
  • อาเจนติน่าขาดดุลงบประมาณ ทำให้ต้องใช้เงินจากการกู้ โดยถ้ากู้ IMF คือการกู้ที่สุดท้ายแล้ว มีการแก้ปัญหาโดยการบังคับให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพื่อไปจ่ายหนี้ จึงเกิดเงินเฟ้อ ซึ่งผู้นำคนใหม่กำลังพยายามแก้ปัญหา
  • ประชานิยมกับประชาธิปไตยไม่เหมือนกัน โดยประชาธิปไตย เน้นการแข่งขันอย่างเสรี แต่ประชานิยมคือ การที่เห็นเอกชนทำอะไรดี ยึดมาแล้วทำเอง เพื่อแจกจ่ายเงินแลกความนิยม
  • ประชานิยม ข้อเสียคือ จ่ายไปแล้ว ดึงคืนลำบาก
  • การกู้เงินของรัฐควรกู้ในประเทศ กระแสเงินสดในประเทศยังดีอยู่
  • หากกู้หนี้จากต่างประเทศแล้วมีปัญหา เจ้าหนี้จะเข้ามาจัดการทันที ไม่เหมือนการกู้ในประเทศ ที่ยังพอพูดคุยกันได้
  • ธปท. ค่อนข้างอิสระ มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงมาก แต่อย่าให้รัฐบาลมาก้าวก่าย
  • เงินจะไม่มีค่า ถ้าขาดความเชื่อมั่น แบบประเทศ เอกวาดอร์ อาร์เจนติน่า
  • มีการแบ่งพอร์ทเป็นไทย 50% และลงทุนในต่างประเทศอีก 50%

🕵️‍♂️ หุ้นไทยหมดอนาคตหรือไม่ และไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันภาคธุรกิจหลายๆ ด้านแล้วจริงหรือ ?

  • ตั้งแต่ปี 2000 ที่ตลาดหุ้นขึ้นมาได้ จากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
  • ตอนต้มยำกุ้ง แม้เงินบาทจะอ่อน แต่ก็ทำให้การส่งออกดี จนกลายเป็น 80% ของ GDP
  • ฝั่งยุโรปปัจจุบันมีปัญหา จนต้องลดดอกเบี้ย
  • จีนยังไม่ฟื้นเต็มที่ อเมริกาเติบโตเล็กน้อย
  • โจทย์ของรัฐบาลคือ อีก 20 ปีข้างหน้า ไทยจะพึ่งพาตัวเองได้อย่างไร เหมือนที่ซาอุพึ่งพาตัวเองได้ในวันนี้
  • เราต้องเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเราบ้าง
  • ชลประทานบ้านเราต้องพัฒนา ไม่ใช่รอให้แล้งหรือน้ำท่วม แล้วเอาเงินไปช่วย
  • การศึกษา ชลประทาน เทคโนโลยี โลจิสติก คือฐานที่เราต้องพัฒนา เพื่ออนาคตที่ดีในอีก 20 ปีข้างหน้า
  • ถ้าเราเข้า BRICS จะได้ประโยชน์ เนื่องจากแร่หายากอยู่ในประเทศเหล่านี้ เราอยู่ตรงกลาง ถ้าย้ายฐานการผลิตมาจะสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันจีนเริ่มมองหาที่เปิดโรงงานใหม่ๆ เหมือนตอนที่ญี่ปุ่นหาฐานการผลิต ซึ่งเราจะมีโอกาสอีกรอบ
  • อาร์เจนติน่าเคยไล่ทุนต่างประเทศออกแล้วยึดมาเป็นของตัวเอง ส่วนมาเลย์เซียเคยสกัดทุนออกจากต่างประเทศตอนต้มยำกุ้ง ทำให้ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน
  • ประเทศไทยเป็นมิตรต่อนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากแม้ตอนติดหนี้ IMF ยังประกาศว่าจะคืนหนี้จนครบและทำได้
  • เชื่อว่า ตลาดหุ้นบ้านเรา EPS ของตลาดจะอยู่ที่ราว 100 บาท ถ้าตลาดอยู่ที่ 1200 ถือว่าถูก ช่วง 1400 ถือว่าสมเหตุสมผล
  • ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะลงไปถึงไหนแต่ถ้าคิดว่าถูกแล้วก็สามารถซื้อได้
  • ถ้าตอบในฐานะนักวิเคราะห์ ตลาดควรจะ bottom ได้แล้ว

💵 พี่กวีกลัวดอกเบี้ยหรือเปล่า

  • ดอกเบี้ยไม่น่ากลัว การเมืองน่ากลัวกว่า
  • ดอกเบี้ยไทยต่ำมาก ลงได้ไม่เยอะแล้ว
  • เงินในตลาดเงินอเมริกาเยอะมาก ถ้าดอกเบี้ยลง ต้องเอาเงินออกมาหาโอกาสเพิ่ม
  • ในไทยมีหุ้น Defensive ที่มี yield เยอะ เหมาะสำหรับการลงทุน
  • วันนี้หุ้น Tech เท่านั้นที่ขึ้น หุ้นที่เป็น Defensive ลง ซึ่งบ้านเราก็เหมือนกัน
  • มองว่า NVIDIA ขึ้นมาเยอะในอเมริกา เหมือนตอน DELTA ขึ้นเยอะในตลาดไทย
  • ถ้ามองในมุมมองนักลงทุนคือ ราคานี้เหมาะสม ซื้อแล้วได้เงินปันผลเพิ่มได้เรื่อยๆ ถ้าราคายิ่งลงก็ยิ่งดีใจ
  • ความเสี่ยงที่มากที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกาคือ ความเสี่ยงที่ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร พูดโดย Warren Buffet

🚀 การลงทุนในหุ้นไทยยังเป็นโอกาสที่ดีไหม และการใช้จ่าย

  • โอกาสยังมีอีกมาก แต่ต้องหาความรู้
  • ต้องยอมอดทนและสูญเสียอะไรบางอย่างในช่วงแรก
  • ถ้าเชื่อว่ามีชีวิตใช้ซะ มีเงินก็ใช้ไป โอกาสมีอิสรภาพทางการเงินก็น้อย
  • ถ้าเริ่มด้วยการเป็นหนี้ ไม่ยอมอดทนบ้าง แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปสะสมสินทรัพย์
  • อาจต้องคิดถึงความคุ้มค่าของการใช้เงินมากขึ้น
  • อาจเข้าศูนย์อาหารแทนร้านอาหาร เพื่อที่จะได้มีเงินเก็บมากขึ้นเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
  • อิสรภาพทางการเงิน เริ่มจากประหยัด ไม่จำเป็นต้องลงทุน อาจจะฝากเงินแล้วมีอิสรภาพทางการเงินได้
  • ไม่มีความรู้ ไปลงทุนที่ไหนก็แพ้
  • การทำเหมือนเดิม ผลลัพท์ก็จะออกมาเหมือนเดิม การทำสิ่งใหม่ เพื่อให้ได้ผลลัพท์ใหม่ๆ

สมาคม

ไลน์สมาคมนักลงทุนไทย วันที่ 14/06/2567 มีดังนี้

  • ตลาดหุ้นไทย
    • ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนี SET Index ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี
    • นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ซบเซา ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และสถานการณ์ทางการเมือง
    • มีการคาดการณ์ว่า SET Index อาจจะลงไปถึง 1,200 หรือ 1,100 จุด
    • มีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการ Uptick Rule เพื่อลดความผันผวนของตลาด
  • หุ้น
    • ANAN: ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องจากข่าวการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนเพื่อจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้
    • BGRIM, GPSC, GULF: หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงเนื่องจากความผิดหวังในแผน PDP ใหม่ และความกังวลเกี่ยวกับราคา LNG ที่เพิ่มขึ้น
    • BVG: มีการพูดถึงประเด็น BVTPA ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BVG ที่ประสบปัญหาขาดทุนจากการยกเลิกสัญญากับลูกค้ารายใหญ่
    • DITTO: มี backlog เกือบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดตลอดกาล (ATH) แม้ว่างบประมาณภาครัฐจะยังไม่ออก
    • IMPACT: ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจสถานที่จัดงาน
    • JMART, JMT, SINGER, EA, BTS: หุ้นกลุ่มเจมาร์ทร่วงลงอย่างรุนแรง อาจเป็นเพราะแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ และข่าวลือว่ากลุ่ม BTS อาจจะไม่สนับสนุนกลุ่มเจมาร์ทต่อไป
    • KCG: มีการพูดคุยถึงประเด็นต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชีส ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากบริษัทแม่ และการส่งออกไปยังต่างประเทศ
    • M: มีการอภิปรายเกี่ยวกับการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น และความเป็นไปได้ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม Lifestyle
    • MAGURO: มีการเปิดเผยข้อมูลว่าผู้บริหารขายหุ้นในราคา IPO ในวันแรก
    • NEO: มีการอภิปรายเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนาม
    • OR: มีการพูดถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง และความเป็นไปได้ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม Lifestyle
    • PINGAN80: มีการพูดถึงการจ่ายปันผลของ DR ตัวนี้ และวิธีการดูข้อมูลปันผล
    • SABUY: มีการพูดถึงประเด็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ และการที่ผู้บริหารขายหุ้นออกมาบางส่วน
    • SIS: มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจคลาวด์ และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในกลุ่ม Security
    • TKN: มีการพูดถึงแนวโน้มต้นทุนสาหร่ายในครึ่งปีหลัง และผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท
    • TISCO, SCB: หุ้นกลุ่มธนาคารที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อรับปันผล

อื่นๆ:

  • มีการพูดถึงประเด็นการเก็บภาษีหุ้นต่างประเทศ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในอนาคต
  • มีการอภิปรายเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
  • มีการพูดถึงการใช้ AI ในการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล
  • มีการพูดถึงประเด็นการเมืองในประเทศไทย และผลกระทบต่อตลาดหุ้น

โรงไฟฟ้า

“ถอดความเสี่ยงและโอกาสของ PDP 2024”

“Adding PDP salt to regulatory risk injury”

“ผีซ้ำด้ามพลอย หุ้นไฟฟ้าถูกสอยร่วงระนาว”

วันนี้ราคาหุ้นไฟฟ้าไทยร่วงหนักมาก นำโดย BGRIM (-7.5%) GPSC (-5.9%) GULF (-3.1%) EGCO (-1.5%) RATCH (-0.9%) เพราะเกิดอาการหวาดผวาของนักลงทุนจากการที่ภาครัฐเปิดเผยผลสรุปแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP 2024) ที่มีสาระสำคัญคือ

1. โอกาสเติบโตของโรงไฟฟ้า SPP และ IPP มีน้อยมากตามแผน PDP 2024

ตามแผน มีเพียง 6,900MW กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จากฟอสซิล ที่จะเพิ่มเข้ามาในช่วงปี 2024-2037 เทียบกับ 39,700MW กำลังผลิตใหม่จากพลังงานทดแทน และ 13,000MW จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำและแบตเตอรี่

นั่นหมายถึง โรงไฟฟ้าก๊าซ เช่น Small Power Producer (SPP) ที่เน้นการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูงป้อนให้โรงงานภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมมากมายในไทย เช่นมาบตาพุด จะไม่มีการต่ออายุหรือเพิ่มกำลังผลิตอีกต่อไป

อีกทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ Independent Power Producer (IPP) ที่มีขนาดเกิน 150MW ขึ้นไป แทบจะไม่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามาในระบบเลยอีก 13 ปีข้างหน้า

2. ค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำลงมาก โดยมีค่าไฟเฉลี่ยเพียง 3.87บาท/kWh ตลอด 13 ปี ข้างหน้า (2024-37) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่าไฟ 3.95บาท/kWh ในแผน PDP 2018 ฉบับแก้ไขครั้งที่ 1

แม้ราคาค่าไฟที่ต่ำ จะดีต่อภาคประชาชน หากแต่ราคาค่าไฟที่ 3.87บาท/kWh เป็นราคาค่าไฟที่ต่ำมาก เพราะปัจจุบัน แม้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะต่ำเพียง 2.0-2.5บาท/kWh และจากพลังงานลม เพียง 3.0บาท/kWh เทียบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ ชีวมวลและชีวภาพ  (3.5-4.0บาท/kWh)

หากแต่ความมีเสถียรภาพของการผลิตจากทั้งสองแหล่งนี้ต่ำ (แดด ลม) ทำให้ยังไม่สามารถนับเป็นไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ (reliable power)

3. ในแผน PDP 2024 มีการคาดการณ์ว่า กำลังผลิตจากพลังงานทดแทนจะพุ่งสูงขึ้นจาก 15,760MW ในปี 2024 เป็น 81,938MW ในปี 2037 หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.2 เท่าจากปัจจุบัน โดยมีการเติบโตของ

Winner: พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพิ่มขึ้น 24,412MW เป็น 33,269MW (+10.4 เท่า) คิดเป็น 29.6% ของกำลังไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2037

Winner: พลังงานลมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากราว 1,200MW ปัจจุบัน เป็น 9,339MW ในปี 2037 (+7.8 เท่า) (8.3% ของกำลังไฟทั้งหมดในปี 2037)

Loser: พลังงานก๊าซลดลงจาก 33,128MW ในปี 2024 เหลือ 27,780MW ในปี 2037

Winner: พลังงานน้ำจากเขื่อนที่นำเข้า เพิ่มขึ้นจาก 4,462MW ในปี 2024 เป็น 10,295MW ในปี 2037

Loser: พลังงานถ่านหิน จะสูญพันธ์ไปจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าไทย โดยลดลงจาก 2,000MW ในปี 2024 เป็นศูนย์ในปี 2037

Winner: พลังงานทดแทนอื่น ๆ (ชีวมวล, ชีวภาพ, ขยะ) จะเพิ่มจาก 2,847MW ในปี 2014 เป็น 6,027MW ในปี 2037

Winner: พลังงานไฟฟ้าสูบกลับ (pumped storage hydropower PSGH) เพิ่มจาก 1,000W ในปี 2024 เป็น 3,473MW ในปี 2037

แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก คือการเพิ่มขึ้นมากมายของกำลังผลิตไฟฟ้าจาก แบตเตอรี่และการกลับมาของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์

Winner: พลังงานแบตเตอรี่จากศูนย์ไม่มีเลยในปี 2024 เพิ่มเป็น 10,485MW ตั้งแต่ปี 2035-37 โดยเริ่มเข้ามาในระบบราว 5,000MW ตั้งแต่ปี 2035 นี่หมายความว่า ไทยเราจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ถึง 9.3% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งระบบที่ 112,391MW ในปี 2037!!!

Winner?: พลังงานนิวเคลียร์ 600MW จะเข้าระบบในปี 2037 ในปลายแผน PDP 2024

Q: ข้อคิดจากแผน PDP 2024

ข้อคิด 1: ดีมานแบตเตอรี่และพลังงานแดดและลมจะเติบโตอีกมาก และจะกลายเป็นพลังงานไฟฟ้าที่พึ่งพาได้และถูกกว่าพลังงานจากฟอสซิล??

ในปี 2037 ประเทศไทยจะสามารถพึ่งพาไฟฟ้าที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ที่จะถูกเปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าที่พึ่งพาไม่ได้ มาเป็นพลังงานที่สามารถพึ่งพาได้ เนื่องจากการมีพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 10,485MW หรือคิดเป็นถึง 24.3% ของกำลังไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (33,269MW+ 9,339MW)

โดยพลังงานทดแทนทั้งสองชนิด (แสงอาทิตย์ ลม) นี้เป็นเพียงสองพลังงานไฟฟ้าที่ไม่แน่นอน จึงต้องทำงานพึ่งพาร่วมกับพลังงานจากแบตเตอรี่ ที่จะถูกชาร์ทจากกำลังผลิตส่วนเกินในช่วงที่แสงแดดจ้าและลมแรงนั่นเอง

ข้อคิด 2: “กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจะไม่มีเลย” หากไม่นับไฟฟ้าจากแดด ลม น้ำ แบตเตอรี่ และจะเหลือ ราว 50% อิงจาก 56,133MW peak demand หรือการใช้ไฟฟ้าสูงสุดคาดการณ์ในปี 2037 เทียบกับกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 112,391MW ตามแผน PDP 2024

หากเราหักกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (9.3%) ที่คาดว่าจะใช้เป็น backup กำลังไฟฟ้าจากแสงแดดและลม และหักพลังงานไฟฟ้าจากน้ำทั้งจากการนำเข้าและผลิตในประเทศ (12.1%) ที่ถือว่าเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สามารถพึ่งพาได้เช่นกันจากฤดูกาลน้ำแล้ง น้ำท่วม และการนับว่า พลังงานแบตเตอรี่ถือเป็นพลังงานเสริม แทนที่จะใช้เป็นกำลังไฟฟ้าหลัก (base)

คาดว่าไทยจะมีกำลังไฟสำรอง เหลือเพียง 28.4% (50%-9.3%-12.1%) แต่หากเราหักพลังงานจากแสงแดด (29.6%) และพลังงานลม (8.3%) โดยสมมติว่าหักไป 80% ของพลังงานแดด (-23.4%) จากค่าเฉลี่ยการผลิตต่อวันที่ 20% และ 65% ของพลังงานลม (-5.4%) จากค่าเฉลี่ยต่อวันที่ 35% จะทำให้ไม่เหลือกำลังไฟสำรองเลย!!!!!!!!!

50%-9.3%-12.1%-23.4%-5.4% = -0.4%

นั่นหมายความว่า ตามแผน PDP 2024 ประเทศไทยไม่ได้มีกำลังไฟฟ้าสำรองที่พึ่งพาได้แน่นอน 100% เลย หากประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าของพลังงานแดดและลม ไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยยะในอีก 13 ปีข้างหน้า

3. การมีกำลังไฟฟ้าจากฟอสซิลเพียง 24.7% ของกำลังไฟฟ้าทั้งระบบ และมีพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินชนิดลิกไนต์ (แม่เมาะ) เพียง 2,673MW (2.4%)

ทำให้ AI คิดต่างอย่างพี่หมู – Art of Investment คิดว่าโอกาสที่แผน PDP 2024 จะบรรลุเป้าหมาย 50% พลังงานทดแทนโดยมีแบตเตอรี่เพียง 9.3% มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากประเทศไทย ต้องมีกำลังไฟฟ้าที่พึ่งพาได้สูง (high reliability) จาก SPPs ที่ปัจจุบันป้อนให้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคม

สิ่งนี้อาจนำไปสู่การถดถอยของความสามารถในการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของอุตสาหกรรมในอนาคต เช่น AI, Data Center, Semiconductor, PCB, EV, battery, Solid State Drive (SSD) เป็นต้น

4. ดีมานไฟฟ้าจาก รถไฟความเร็วสูง (High Speed Train HST) EV EEC ทั้งหมดนี้ต้องการไฟฟ้าที่มีความแน่นอนพึ่งพาได้สูง หากภาครัฐมีการบริหารจัดการไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบการทำงานของ HST EV chargers และโรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ใน EEC

บทสรุป: ไทยเราควรมีแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าที่มีความแน่นอนสูง (high reliability) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต

SPPs ควรมีมากขึ้น??!

โดยเฉพาะจาก SPPs หากมีการยกเลิกไป และทดแทนด้วยไฟฟ้าจากแดด ลม และน้ำ แม้จะพ่วงด้วยแบตเตอรี่ แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูงมากต่อการประสบไฟดับ ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยและการดึงดูดการลงทุน FDI เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้นมากของอุตสาหกรรมส่งออกไทย ที่ปัจจุบันประสบปัญหาการแข่งขันต่อตลาดส่งออกโลก

5. ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ต่ำที่ 3.87บาท/kWh ตลอดช่วงปี 2024-37 ตามแผน PDP 2024 อาจทำให้ภาคเอกชนทั้ง SPPs และ IPPs หรือแม้แต่ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแดดและลม ประสบปัญหาในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีคุณภาพและแน่นอน เพื่อป้อนให้อุตสาหกรรม ไฮเทคต่าง ๆ ที่ไทยกำลังพยายามแข่งขันกับมาเลเซีย เวียดนามเพื่อดึงดูด FDI มาสู่ไทย

หุ้นไหนได้ หุ้นไหนเสีย?

(-) BGRIM, GPSC, WHAUP: SPP
EGCO, RATCH, BPP: IPP โรงไฟฟ้าจากฟอสซิลเหล่านี้ โดยเฉพาะก๊าซจะมีกำลังผลิตใหม่น้อยมาก และจะลดลงเรื่อย ๆ ในปี 2024-37 ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะสูญพันธ์จากประเทศไทย!!

(+) GULF, GUNKUL, EA, CKP โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จะมีกำลังผลิตเติบโตมากทั้งแดด ลม น้ำ

(+) ACE TPCH (ชีวมวล ชีวภาพ) ETC BWG GULF (โรงไฟฟ้าขยะ) จะเห็นการเติบโตของกำลังผลิตได้

(+) EA GPSC BPP (แบตเตอรี่) จะมีดีมาน Energy Storage System (ESS) ถึง 10,485MW ในปี 2037

ทุกท่านคิดว่า แผน PDP 2024 ฉบับนี้เหมาะสมหรือไม่ครับ ?

#aiคิดต่างอย่างพี่หมู #PDP2024

หุ้นไหนได้ หุ้นไหนเสีย?
(-) BGRIM, GPSC, WHAUP: SPP
EGCO, RATCH, BPP: IPP โรงไฟฟ้าจากฟอสซิลเหล่านี้ โดยเฉพาะก๊าซจะมีกำลังผลิตใหม่น้อยมาก และจะลดลงเรื่อย ๆ ในปี 2024-37 ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินจะสูญพันธ์จากประเทศไทย!!
(+) GULF, GUNKUL, EA, CKP โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จะมีกำลังผลิตเติบโตมากทั้งแดด ลม น้ำ
(+) ACE TPCH (ชีวมวล ชีวภาพ) ETC BWG GULF (โรงไฟฟ้าขยะ) จะเห็นการเติบโตของกำลังผลิตได้
(+) EA GPSC BPP (แบตเตอรี่) จะมีดีมาน Energy Storage System (ESS) ถึง 10,485MW ในปี 2037
ทุกท่านคิดว่า แผน PDP 2024 ฉบับนี้เหมาะสมหรือไม่ครับ ?
#aiคิดต่างอย่างพี่หมู #PDP2024

ILM

Oppday Q1/2024 ILM บมจ. อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์
สรุปโดยเพจ #นิยมลงทุน

📊 Financial Highlight

– รายได้ 2449.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% yoy
– กำไรขั้นต้น 1042.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% yoy
– กำไรสุทธิ 208.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% yoy

🕵️ แผนการลงทุน

– ปีนี้มีแผนขยาย 3 สาขา
– ขยายสาขา รัตนาธิเบต พื้่นที่ 12 ไร่ มีพื้นที่ขาย 6000 ตารางเมตร ทดแทนสาขาเซ็นทรัลรัตนาธิเบต
– ขยายสาขา สระบุรี พื้นที่ 10 ไร่ พื้นที่ขาย 5000 ตารางเมตร คาดเปิดไตรมาส 4 ปีนี้ ใช้ Eco Store Concept
– ขยาย Decor Scape ทองหล่อ เป็น BoConcept Flagship Store สาขาที่ 3 คาดหวังยอดขายค่อนข้างเยอะ เนื่องจากมีกำลังซื้อสูง พื้นที่ขาย 3000 ตารางเมตร
– มีกิจกรรมกับลูกค้าให้ทุกเดือน ทุกสาขา เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

🙋‍♂️ Q&A

– สาขาทองหล่อ ทำเพื่อกำไร คาดลงทุน 120 ล้่านบาท ค่าเสื่อมตามสัญญาเช่าที่กำหนดไว้ คาดคืนทุนใน 7 ปี
– FurInBoX ขยายได้เกือบครบทุกสาขาแล้ว มีการผลักดันไปยังออนไลน์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะติ๊กต่อก
– ผลงานไตรมาส 2 คาดดีกว่าปีก่อน เนื่องจาก SSSG เป็นบวก
– สาขาบางใหญ่มีปัญหาระดับนึงเนื่องจากเป็นพื้นที่โซนตลาด มีกำลังซื้อน้อย ทำให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผู้เช่าบ่อย จะพยายามหารายใหญ่มาเช่า
– สาขานอกโซนท่องเที่ยว SSSG เป็นบวกหลักเดียว แต่โซนท่องเที่ยวสองหลัก
– ร่วมทุนกับ FLASH ยังทำอยู่โฟกัสกับ Corporate Deal มากกว่า
– Index Living Mall จุดคืนทุนตั้งไว้ 7 ปี แต่ถ้ามีพื้นที่เช่าจะคืนทุนเร็วขึ้น
– Little Walk รามคำแหง กำลังออกแบบคาดเปิดไตรมาส 1 ปีหน้า
– ทองหล่อมีแบรนด์ Hi End ครบทุกแบรนด์แล้ว BoConcept ไม่ได้สูงระดับนั้น จะเป็นตัวสอดแทรก มีระดับราคาจับต้องได้ รูปทรงสวยงาม ถูกกว่า 3-4 เท่า จะแย่งลูกค้าจากระดับบนได้พอสมควร
– สินค้าไม่มีวันหมดอายุ ถ้าขายไม่ดี จะเคลียร์แล้วเปลี่ยนเป็นสินค้าใหม่ จะพยายามคุม SKU ปัจจุบันมีการลดสต๊อคลงไปเยอะมาก
– การปรับค่าเช่า มีทุกๆ 3 ปี หรือแล้วแต่ตกลงกัน
– Little Walk ค่าเช่าแล้วแต่ทำเล โดยมีหลักเกณฑ์ว่าค่าเช่าไม่ควรเกินเท่าไหร่ จุดคืนทุนอยู่ที่ 6-7 ปี ขึ้นอยู่กับทำเล
– รายได้จากต่างประเทศในไตรมาส 2 มีแนวโน้มคงที่ แต่จะมีแฟรนไชส์เปิดใหม่ในอินเดียและเวียดนามในไตรมาส 3
– แนวโน้ม SSSG ดีขึ้นในเดือนพฤษภาคม ช่วงเมษาเหนื่อยมาก
– อัตราการเช่าดี Occupancy Rate รวมทุกสาขา 90%
– แนวโน้มปีนี้เติบโตผ่าน SSSG และมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มด้วย
– Index Mall มี Internal Charge มีหลักการคิดต้นทุนชัดเจน ไม่มีการช่วยเหลือกัน
– Occupancy Rate สามารถขอได้จาก IR ไม่มีนโยบายเผยแพร่ผ่าน Public
– สาขาต่างจังหวัดดูจากหลายๆปัจจัย ทั้งจากขนาดเมือง ประชากร นักท่องเที่ยว
– เพิ่ม SSSG ผ่านการออกสินค้าใหม่ ปรับปรุงการบริการ ใช้ AI ใช้ทุกรายละเอียดเล็กน้อย
– แนวโน้มปีนี้อยากโต 2 หลัก ยอดขายในต่างประเทศไม่ได้โฟกัสมาก อาจโตหลักเดียว
– ต้นทุนไม้ทรงตัว ไม่ได้ปรับขึ้นเหมือนปีที่ผ่านมา ถ้าโชคดีก็จะเห็นต้นทุนลดลง
– พยายามควบคุมต้นทุนค่าไฟผ่านการติด Solar roof เปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
– มองว่าเฟอร์นิเจอร์เป็นปัจจัย 4 แต่ยอดขายจะไม่ได้หวือหวาเหมือนของกิน สามารถเติบโตได้เรื่อยๆ แต่ไม่เยอะมาก การโตในต่างประเทศยาก ต้องรอมีความพร้อมมากกว่านี้ จะไปรุกอีกรอบ ตอนนี้ใช้แฟรนไชส์และดีลเลอร์ไปก่อน
– มีลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี และมีการซื้อซ้ำเพิ่มปีละ 1-2 ครั้ง จะพยายามทำให้ลูกค้าคิดถึงเป็นที่แรก
– กำลังการผลิตปัจจุบัน 60% มีการลงทุนเครื่องจักรเรื่อยๆ ทำให้มีกำลังการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
– สาขาเอกมัยมีผลกระทบจาก IKEA มาเปิด แต่ไม่ได้เยอะมาก
– ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว มีการกังวลเล็กน้อย
– ยอดขายมาจากบ้านใหม่ 50% และมาจากบ้านเก่า 50% โดยยอดขายของบ้านใหม่มาจากแนวสูง 25% แนวราบ 75% มองว่าเป็นเรื่องของแนวสูงเนื่องจากแนวราบพอไหว
– นโยบายปันผลจะจ่ายที่มากกว่า 50% แต่อยากเอาเงินไปลงทุนสาขาใหม่ที่ให้ผลดีต่อบริษัทมากกว่า อาจจะจ่ายใกล้เคียงเดิม
– ไม่มีการปรับราคาสินค้าในช่วงนี้

ThaiVI part 4 5 6

🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 5)🔥
…………………………………………………..
✴️การลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) : ทิวา ชินธาดาพงศ์
…………………..

การลงทุนในหุ้นที่ผลิต จำหน่าย หรือให้บริการซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน ยางพารา ทองคำ เดินเรือ ฯลฯ) Demand & Supply สำคัญที่สุด (ความต้องการซื้อและขายในตลาด) สำคัญมากกว่าเรื่องราวหรือผลกระทบระยะสั้นต่างๆ หากตลาดสินค้านั้นๆ มีความต้องการซื้อมาก (Demand) ราคาหุ้นก็ขึ้น มีแค่นั้น การลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ต้องเล่นรอบ มีทั้งรอบเล็ก (1-2 เด้ง) และรอบใหญ่ (10 เด้ง+)
………………………

🪙ตลาดไม่สนใจอัตราส่วนทางการเงิน เช่น P/E, P/B หรือเงินปันผล

🪙จบรอบการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นต้องขายทิ้ง อย่าคิดจะถือเพื่อกินเงินปันผล (ขาดทุนแน่นอน)

🪙มองหาดัชนีชี้วัดอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง หากดัชนีทำจุดสูงสุด ราคาหุ้นก็มีสิทธิ์พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นเดียวกัน (All time high)

🪙ตรวจดูสินค้าทดแทนว่ามีอะไรบ้าง? และราคาเท่าไหร่?

🪙ทุกคนในตลาดหุ้นจะพยายามคิดตลอดทางว่าถึงจุดจบของรอบแล้วหรือยัง? (ส่วนใหญ่แต่ละรอบใช้เวลา 1-2 ปี)

🪙ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะจบรอบเมื่อไหร่? แต่ผู้บริหารจะได้รับรู้สัญญาณนั้นก่อนคนส่วนใหญ่

🪙เข้าซื้อหุ้นในราคาต่ำก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนมหาศาล ผลตอบแทนสูงที่สุดจะอยู่ในช่วงที่มีข่าวร้ายปกคลุม เพราะราคามักต่ำกว่ามูลค่า ไม่ว่าจะถึงรอบของมันหรือไม่ก็ตาม (กลยุทธ์แบบดันโด : โยนเหรียญ ออกหัวได้เงิน ถ้าออกก้อยเสียนิดหน่อย)

🪙ต้องเกาะติดดัชนีอ้างอิง และศึกษาว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ผลักดันให้ดัชนีขึ้นหรือลง

🪙สังเกต Free float (ปริมาณหุ้น) และจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทนั้นๆ อาจบอกเป็นนัยได้ว่ามีนักลงทุนติดดอยหุ้นนี้อยู่มากน้อยเพียงใด หากมีคนติดหุ้นเยอะ ราคาหุ้นก็อาจขึ้นยาก เพราะมีคนรอขายจำนวนมาก

🪙เตรียมตัวหาข้อมูล ‘Demand & Supply’ เก็บไว้ สินค้าที่ใช้เวลาเติมนานหากเกิดภาวะขาดแคลน หุ้นที่นักลงทุนไม่อยากถือครอง P/B ต่ำ จำนวนผู้ถือหุ้นน้อย

🪙หุ้นโภคภัณฑ์หากคิดเข้าไปแตะ คุณต้องทนทานต่อความผันผวนของราคาหุ้น ต้องบริหารความเครียดให้เป็น ต้องตัดสินใจซื้อขายอย่างรวดเร็ว

🪙ใช้บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ แต่การประเมินและคาดการณ์ตัวเลขต่างๆต้องนำมาวิเคราะห์คำนวณด้วยตนเองเท่านั้น

🪙ขายหุ้นทิ้งทันทีเมื่อ ‘Upside’ เหลือน้อย หรือได้เงินตามเป้าหมายที่ต้องการ อย่าคิดจะถือต่อไปเรื่อยๆ

🪙ขายหุ้นทิ้งทันทีที่ผู้บริหารขายเช่นกัน เพราะเป็นสัญญาณที่ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามันกำลังจะจบรอบแล้ว

📌ผมมีความเชื่อว่าตลาดหุ้นนั้นใช้ทักษะ (Skill) : 80% และโชคชะตา (Luck) : 20% คุณต้องมีความรู้ ความรวดเร็ว ความกล้า และความเชื่อ หากคิดอยากจะลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ ลองนึกคิดตรึกตรองดูให้ดีก่อนว่ามันคุ้มค่าและถูกจริตกับตัวคุณเองหรือเปล่า?
……………………………………………..

🖋️มี่ : ทิวา ชินธาดาพงศ์

นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย : IAT
กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) : THAI VI

🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 6)🔥
……………………………………..

✴️“นักเก็งกำไรคือผู้ทำเงินอย่างมหาศาลให้โบรกเกอร์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาดูแคลนนักลงทุน และป่าวร้องความน่าสนใจของการเก็งกำไรเสมอมา”

“ผมมีหมวกสองใบ หน้าที่การงานคือนักวิเคราะห์ หากแต่วิถีชีวิตคือนักลงทุน” : กวี ชูกิจเกษม
……………………………………..

ผมแบ่งปันแนวคิดและกระบวนการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investing) มานับสิบปี แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เหตุเพราะทฤษฎีดังกล่าวนั้นได้พิสูจน์ตนเองผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ว่าสามารถหยิบนำไปประยุกต์ใช้และประสบความสำเร็จในวิถีทางของปัจเจกบุคคลได้อย่างแท้จริง หากแต่ผมจะไม่ปรามาสหรอกว่าแนวทางอื่นอันนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปนั้นไม่สมควรดำรงอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความรู้จักตนเอง ตรวจทานความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ทั้งนี้ก็เพื่อก่อรูปก่อร่างสู่แนวทางการลงทุนอันมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง
……………………………………..

🟢นักลงทุน
……………..
➡️‘Value investor’ : มุ่งเน้นเข้าลงทุนในบริษัทพื้นฐานดี มีแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโต ราคาหุ้นไม่แพง และมีแนวคิดการลงทุนระยะยาว

➡️‘Yield investor’ : มุ่งเน้นเข้าลงทุนในบริษัทพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสูง ถือครองหุ้นระยะยาวเพื่อรับเงินปันผลไปเรื่อยๆจนกว่าพื้นฐานบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลง
……………………………………..

🟠นักเก็งกำไร
…………………
➡️‘Momentum investor’ : มุ่งเน้นซื้อขายหุ้นตามปัจจัยและวัฏจักรทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือสถานการณ์พิเศษต่างๆ

➡️ ‘Speculate investor’ : มุ่งเน้นการเก็งกำไรเป็นสำคัญ ไม่สนใจปัจจัยเชิงพื้นฐาน มักใช้ทฤษฎีการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical analysis)
……………………………………..

❎ผมไม่เคยปฏิเสธแนวทางแบบการเก็งกำไร ทุกวิถีทางสามารถใช้ได้หากมันสามารถทำเงินและถูกจริตกับตัวคุณเอง สิ่งสำคัญก็คือ “อย่าเก็งกำไร โดยคิดว่าตนเองกำลังลงทุนอยู่” เก็งกำไรในสิ่งที่รู้ดีเท่านั้น อย่าเก็งกำไรอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าใช้เงินกู้ (Margin) และอย่าขาดวินัย

❎“นักเก็งกำไรคือผู้ทำเงินอย่างมหาศาลให้โบรกเกอร์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาดูแคลนนักลงทุน และป่าวร้องความน่าสนใจของการเก็งกำไรเสมอมา”
……………………………………..

☑️รู้ตัวเสมอว่าเราเป็นใคร รู้ว่าจะลงทุนอย่างไร ยึดมั่นในแนวทาง และเรียนรู้จากความผิดพลาด สิ่งเหล่านี้คือหนทางสู่ความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุนอันแสนอลหม่านวุ่นวาย
……………………………………..

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็เคยทำผิดพลาดมามากมาย แต่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ มีความอดทนสูง มีวินัย มั่นใจในสิ่งที่คิด หากสิ่งใดไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง และลงทุนระยะยาว จากเงินลงทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาท และตกงานช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เข้าซื้อหุ้น ‘มาม่า’ ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น จนมูลค่าวิ่งขึ้นไปถึง 1,000 บาทต่อหุ้น (ก่อนแตกพาร์) พลิกมูลค่าพอร์ตเป็น 1,000 ล้านบาท หลังจากนั้นขายมาม่า ไปเข้าซื้อหุ้น ‘7-11’ ที่ราคา 2-3 บาทต่อหุ้น ภายหลังราคาวิ่งขึ้นไปจนถึง 120 บาทต่อหุ้น (ก่อนแตกพาร์) พลิกพอร์ตอีกครั้งเป็นหลัก 10,000 ล้านบาท
……………………………………..

แนวทางการลงทุนส่วนตัวของผมคือ “ลดความเสี่ยง เพิ่มผลตอบแทน” กระจายความเสี่ยงให้เพียงพอ การซื้อหุ้นราคาถูกไม่สำคัญเท่าซื้อหุ้นดี และผมให้ความสำคัญกับเงินปันผลในฐานะเจ้าของกิจการมากกว่าราคาหุ้น เงินปันผลคือของจริง เราสะสมมันไปเรื่อยๆ จนเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเรียกอย่างสวยหรูว่า “มีอิสรภาพทางการเงิน” ทำงานต่อไปอย่างมีความสุขมากขึ้น มีอิสระ ไม่กลัวตกงาน

1️⃣ เลือกลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี

2️⃣ ซื้อหุ้นราคาถูกกว่ามูลค่าที่ประเมินได้

3️⃣ ถือครองหุ้นระยะยาว

4️⃣ กระจายความเสี่ยงอย่างเพียงพอ

5️⃣ ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
……………………………………..

⭐“ความสำเร็จในตลาดหุ้น ขึ้นอยู่กับความทุ่มเทหาความรู้ของนักลงทุน”
……………………………………..

🔥‘MOAT’ คุณสมบัติของบริษัทพื้นฐานดี

1️⃣ กำไรบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว

2️⃣ มีอำนาจในการต่อรองลูกค้าสูง

3️⃣ เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

4️⃣ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมายในอนาคตเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม

5️⃣ มีความสามารถในการทำกำไรสูง
……………………………………..

📈“งบการเงินคือลายแทงสมบัติของนักลงทุนหุ้น” คุณจำเป็นต้องมองหาความสัมพันธ์รวมถึงความผิดปกติในตัวเลขต่างๆ หาเหตุผล และอธิบายมันออกมาให้ได้ การอ่านรายงานประจำปีและการวิเคราะห์งบการเงินคือ “การค้นหาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว” จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ หมั่นลงมือทำ ดูกรณีศึกษาในอดีตเยอะๆ จะเข้าใจมากขึ้น
……………………………………..

💸“คุณต้องเข้าใจบัญชี เข้าใจความแตกต่างเล็กๆน้อยๆ บัญชีคือภาษาธุรกิจ แต่เป็นภาษาที่ไม่สมบูรณ์ ตราบใดที่คุณไม่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้และเข้าใจมัน จงอย่าเลือกหุ้นด้วยตนเอง : Warren Buffett
……………………………………..

คำถามสุดท้ายที่คุณจำเป็นต้องตอบตนเองก่อนซื้อหุ้นก็คือ “หากเกิดวิกฤตในอนาคต บริษัทที่เราลงทุนจะยังอยู่ไหม? และอีก 10-20 ปีข้างหน้า บริษัทเราจะเป็นอย่างไร?” ผมชอบบริษัทที่มีประวัติยาวนานให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ (Track record) ธุรกิจที่มีความยั่งยืน รอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นร่วงลงมาลึกๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อไม่ทัน วิกฤตมีมาอีกแน่ ใจเย็นๆ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เข้าซื้อหุ้น ‘Apple’ ในวันที่ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) เสียชีวิต นักลงทุนหลายคนเลือกหุ้นเก่ง แต่รอซื้อไม่เป็น ทนถือเงินสดนานๆไม่ได้
……………………………………..

ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการลงทุน มีชีวิตที่เรียบง่าย ความสุขของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
………………………………………..

🖋️กวี ชูกิจเกษม

ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และคอนเทนต์ : บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)

🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 7)🔥
……………………………………………

✴️“ช่วงเริ่มต้นศึกษาการลงทุน มักออกเรี่ยวแรงมาก แต่ได้ผลลัพธ์น้อย ขออย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ พยายามหน่อย สักวันหนึ่งผลลัพธ์มันจะก้าวกระโดดแบบไม่ทันรู้ตัว อย่าท้อ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าจะสุดทางเมื่อไหร่” : ศรุติ โชติเสรีวิทย์
………………………………

Dopamine (โดพามีน : สารสื่อประสาทที่ทำงานร่วมกับสมอง) ส่งผลต่อสภาพจิตใจ เกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อคาดหวังแล้วได้รับรางวัลคืนกลับมา ทำให้เกิดความสุข ความรัก โลภ โกรธ หลงใหล ก่อตัวภายในจิตใจ หากคุณเป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นนั้น ‘Dopamine’ ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อหรือขายหุ้นในตลาด
………………………………

💸เหตุใดจึงมีเพียงคนส่วนน้อยที่เป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น?

🟢ผู้คนส่วนใหญ่กว่า 80% ลงทุนในตลาดหุ้นแล้วขาดทุน สำหรับผมแล้วการลงทุนมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 อย่าง

1️⃣ มีเงิน (ออมเพื่อนำมาลงทุน)

2️⃣ มีทัศนคติที่ดี นั่นคือมีกระบวนการคิด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจและพฤติกรรมทางการลงทุน

3️⃣ มีระบบที่ดี นั่นคือกระบวนการลงทุน เป้าหมายการลงทุนคืออะไร? จะลงทุนในสิ่งใด? จึงจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้น
………………………………

❎คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมักคิดว่าหุ้นที่ดีคือ “หุ้นที่ราคากำลังพุ่งสูงขึ้น” พวกเขามักแห่ทำตามคนอื่น โดยไร้เหตุผลและปราศจากความรู้ความเข้าใจ ชอบหาข้อมูลแบบ ‘Public information’ ทั่วๆไปที่คนอื่นก็รู้อยู่แล้ว แบบนี้ไม่มีประโยชน์
………………………………

☑️คนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จมัก “พิจารณาอารมณ์ของคนส่วนใหญ่” วิเคราะห์ความคาดหวังของผู้อื่น และเฝ้ามองหาบางสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ รู้ลึกและคิดลึก รวมทั้งการค้นหาข้อมูลมารองรับความคิด (Insight not Inside) มุ่งเน้นที่ “กระบวนการ” มากกว่าผลลัพธ์
………………………………

👍‘Black Swan’ ซึ่งสำคัญที่สุดในตลาดหุ้นก็คือ “เราไม่รู้ ว่าเราไม่รู้อะไร?”
………………………………

👍“ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ในจังหวะเวลาที่ใช่”

หุ้นพื้นฐานดี ราคาไม่แพง จังหวะเวลาดี สามส่วนนี้คือสิ่งที่ควรต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้น คุณอาจได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอันเหนือกว่าค่าเฉลี่ย “ราคาที่ถูกต้อง ในเวลาที่ใช่” คือการลงทุนที่ดี แม้กับบริษัทดาษดื่นธรรรมดาๆก็ตาม นี่คือปัจจัยสำคัญเลยทีเดียว
………………………………

หลักการก็คือ เราจำเป็นต้องรู้ “ความจริงที่เป็นประโยชน์” หยิบฉวยนำมาใช้งานได้ นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นของบริษัทที่เราสนใจลงทุนนั้น “ปัจจัยที่ทำให้หุ้นราคาขึ้นคืออะไร?” และ “ความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาหุ้นร่วงลงคืออะไร?” ค้นหาความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย หรือมีเพียงคนส่วนน้อยที่มองเห็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากรับข้อมูลข่าวสารมากเกินไปยิ่งตัดสินใจยาก ข้อมูลน้อยๆแต่คัดสรรมาแล้วย่อมดีกว่า
………………………………

🧨“อยากรวยเร็วให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งแข่ง 100 เมตร อยากรวยนานๆให้เล่นหุ้นเหมือนวิ่งมาราธอน”

🧨ความผันผวนคือต้นทุนระยะสั้น เพื่อผลตอบแทนอันงดงามในระยะยาว วินัยจึงสำคัญมาก

🥇“History Doesn’t Repeat Itself, but It Often Rhymes” : Mark Twain
………………………………

🟢“ริอาจผจญภัยในตลาดหุ้น ต้องพิสูจน์ตนเองอย่างน้อย 9 ปี” (ทฤษฎี 3+3+3)

1️⃣ 3 ปีแรกคือ ‘Survival Mode’ : การเอาตัวรอดในตลาดหุ้นคืออย่าคิดรวยเร็ว หมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชา เก็บเกี่ยวความรู้ ร่ำเรียนและทดลองกระบวนการให้หลากหลายแนวทาง นั่นก็เพื่อ “ค้นหาจริตส่วนตัวทางการลงทุน” เลือกอาจารย์ให้ถูกคน เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อรอวันเติบโต

2️⃣ 3 ปีต่อมาคือ ‘Knowledge’ : การต่อยอดองค์ความรู้ กลั่นกรองสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากคนอื่น ประยุกต์ ปรับเปลี่ยน กลายร่างไปสู่ “องค์ความรู้ในแบบฉบับของตนเอง” ใกล้ชิดกับผู้คนที่ส่งเสริมให้เราเดินหน้าต่อไปอย่างถูกทิศทาง วางแผนการเงินและวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างเหมาะสม จัดพอร์ตได้อย่างกระชับชัดเจนตามเป้าหมายการลงทุนของตนเอง

3️⃣ 3 ปีสุดท้ายคือ ‘Financial freedom’ : มีอิสรภาพทางการเงินอย่างยั่งยืน กระบวนการทำซ้ำ ทบทวน ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม มีทัศนคติทางการลงทุนที่ถูกต้อง มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ปรับความเร็วให้สมดุลกับจริตส่วนตัว แบ่งปัน ส่งต่อ และทำเพื่อสังคมทั้งทรัพย์สินและองค์ความรู้
………………………………

⭐คนส่วนใหญ่มี 2 แบบ

🔹คิดเร็ว ใช้อารมณ์และสัญชาตญาณ
🔹คิดช้า ใช้ข้อมูล ตรรกะและเหตุผล
………………………………

🌿จังหวะอารมณ์นักลงทุน

1️⃣ ตกหลุมรัก (Fear of missing out) : ไม่ได้โลภแต่กลัวพลาดตกรถ และขาดความรู้ หากต้องการซื้อหุ้นก็ควรซื้อก่อนคนส่วนใหญ่จะตกหลุมรักมัน ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า กระจายความเสี่ยงให้เพียงพอ ลงทุนในธุรกิจพื้นฐานดีและผู้บริหารต้องดีด้วยเช่นกัน

2️⃣ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ (Confirmation Bias) : เฝ้ามองหาเหตุผลเพื่อมายืนยันความเชื่อของตนเอง อะไรๆก็ดูดีไปเสียหมดทุกอย่าง หาข้อมูลและหลักฐานเพียงเพื่อเป็นเครื่องยืนยันต่อสิ่งที่ตนเองคิดเท่านั้น

3️⃣ มั่นใจเกินไป (Overconfidence) : ประเมินความสามารถของตนเองสูงมากเกินไป คิดว่าตนเองเก่งกว่าค่าเฉลี่ยคนส่วนใหญ่ มีความเชื่อผิดๆที่ว่าตนเองมีความรู้ (แต่อันที่จริงแล้วไม่มีเลย)

4️⃣ ความผูกพัน (Sunk Cost) : อยู่ด้วยกันมานานเลยตัดใจทิ้งไม่ลง ขาดทุนหุ้นแต่เสียดายต้นทุนที่ซื้อมา เสียดายเวลาที่เฝ้าศึกษาเรียนรู้กิจการ ทางออกคือ “ลืมต้นทุนที่ซื้อมาให้หมด แล้วประเมินมูลค่าใหม่” ลองชั่งน้ำหนักดูว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้ถือหุ้นอยู่จะทำอย่างไร? ก็จงทำเช่นนั้น ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) สำคัญมากที่สุด

5️⃣ บอบช้ำ (Loss Aversion) : จากงานวิจัย ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน ความทุกข์จากการขาดทุน จะมากกว่า ความสุขจากการได้กำไร “ถึง 2 เท่า” หุ้นที่ขาดทุนไม่ยอมขาย หุ้นที่กำไรนิดเดียวก็รีบขายทันที สุดท้ายมูลค่าพอร์ตก็ย่ำอยู่กับที่

6️⃣ ยอมรับ เข้าใจ และเรียนรู้ (Survivorship Bias) : ท้อได้ แต่อย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ อย่าถอย พยายามนำจิตใจตนเองกลับสู่เส้นทางเดินให้ได้ รู้ว่ามีโอกาสตายที่ไหนก็อย่าไปที่นั่น เรียนรู้จากคนที่รอดชีวิต และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองจะทำให้เรามองเห็นเส้นทางเดินที่ถูกที่ควรในอนาคต
………………………………

✅ลงทุนสไตล์ ‘Stock Vitamins – วิตามินหุ้น’✅

ส่วนตัวจะมีกระบวนการหาหุ้นแบบ ‘Bottom up’ ขุดหุ้นที่น่าสนใจเป็นรายบริษัท วิเคราะห์งบการเงิน แยกหุ้นที่ดีออกมาทำการบ้านต่อ ส่วนที่เหลือก็แยกเก็บไว้ใน ‘Watchlist’ คอยติดตามความน่าสนใจอยู่เสมอ ซื้อหุ้น ‘โซนล่าง’ ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นมาเยอะ อุตสาหกรรมรวมมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต ธุรกิจมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ และจดบันทึกการซื้อขายหุ้นทุกครั้งว่าเราซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ด้วยเหตุผลอะไร? จัดพอร์ตโดยลงน้ำหนักมากกว่าในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ต้องมั่นใจแบบกลยุทธ์ดันโด (Dhandho Investor) เช่น

🟨เสี่ยงต่ำ : ผลตอบแทนสูง (25% : 25%)
🟨เสี่ยงปานกลาง : ผลตอบแทนสูง (15% : 15%)
🟨เสี่ยงสูง : ผลตอบแทนสูง (10% : 10%)
………………………………

⭕“ราคาหุ้น = ความจริง + จินตนาการ”

⭕ความจริงคือ งบการเงิน ผลการดำเนินงาน และการประเมินมูลค่า

⭕จินตนาการคือ ความคาดหวังในอนาคต

ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าในแต่ละครั้งส่วนใดควรให้น้ำหนักมากกว่ากัน

⭕“มูลค่า = คุณภาพ” คุณภาพเกิดจากการบริหารจัดการ การเงิน วิสัยทัศน์ อนาคต (ของบริษัท) เราต้องหาเหตุผลมาประกอบการให้มูลค่าในแต่ละส่วน
………………………………

🗣️สิ่งที่เราควรเรียนรู้ในบทความนี้คือ หลายครั้งเรามีอคติในการตัดสินใจ ต้องสำรวจตนเองให้ถ่องแท้ มีสติให้มากขึ้น อย่าทำตามคนอื่น ครุ่นคิดให้ช้าลง คิดด้วยเหตุผล เพราะการสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นคือ “การวิ่งมาราธอน” ผลตอบแทนจะดีและมีความสุข
………………………………

Dopamine (โดพามีน) กระตุ้นอารมณ์ให้เราเกิดการตัดสินใจ นอกเหนือจากนั้นเราควรมี ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ ด้วย นี่คือ “ความสุขที่แท้จริง” ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จุดหมายปลายทางจะมีความสุขในระยะยาวมากขึ้น
………………………………………….

🖋️จิม : ศรุติ โชติเสรีวิทย์

Stock Vitamins – วิตามินหุ้น

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น