MAGURO

MAGURO น่าลงทุนป่าวน้า (แก้ไข)

ยอมรับเลยว่าผมก็เพิ่งรู้จัก #MAGURO, #HITORI และ #SSAMTHING เมื่อไม่นานมานี้

แล้วก็ได้ไปลองมา 2 ครั้งแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าคุณภาพวัตถุุดิบเค้าดีจริงๆนะ
ทีมบริหารก็อายุไม่มากยังรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันได้

ไปคุยกับเพื่อน มันก็รู้จักกัน และบอกว่าชอบมาก อืมม… แต่พอมาเป็นการลงทุนในหุ้นมันมีมิติอื่นๆ อย่างราคาหุ้นที่จะมองแค่ร้านดีอาหารดีไม่ได้ไง ตลาดมันเดือดเอาเรื่องเลยนะร้านอาหารญี่ปุ่นเนี่ย 🔥

มาลอง Valuation เล่นๆลวกๆกันดูว่าพอน่าลงลึกไหมนะครับ

ภาพตัวเลขคร่าวๆอุตสาหกรรมร้านอาหารตลาดหุ้นไทย
PE ร้านอาหารอยู่ราวๆ 15-30 เท่า
PBV ร้านอาหารอยู่ราวๆ 2-5 เท่า
ROE ร้านอาหารอยู่ราวๆอยู่ราวๆ 12%-20%

MAGURO เข้ามาที่ราคา Market Cap. 2000 ลบ.(ตีกลมๆ) ปัจจุบันรวมทุกแบรนด์มี 27 สาขา และใน pipeline ปีนี้อีกร่วม 10 สาขา+- จบปีน่าจะมี 35 สาขาได้

IPO 34 ล้านหุ้น บริษัทได้เงินทุนราวๆ 540 ลบ+-

  • PE ราวๆ 28 เท่า — ก็ถือว่า Premium ใช้ได้นะ แต่ก็เติบโตอะจะเป็นไรไป
  • PBV หลัง IPO จะอยู่ประมาณ 3.26 เท่า คืนกองทุน 200 ลบ. เงินเข้าบริษัท 340 ลบ.

— ถ้าไปดูร้านอาหารที่อยู่ในตลาดไทยที่เคย Hypeๆ ในอดีต ก็อยู่ประมาณนี้ หรือสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ (ตลาดก็มีส่วนช่วยเรื่องValuationตรงนี้พอสมควร) —

ถ้าดูคร่าวๆก็ไม่ได้ถูกไม่ได้แพง หรือไม่รู้ว่าถูกหรือแพงด้วยซ้ำ มันได้อารมณ์ประมาณนั้นนะครับ ไม่ได้รู้สึก ว๊าว!!ฉันได้ของดีราคาถูกก

พูดถึงว่าจะเปิด 35 สาขา เป็นไปได้สบายๆนะ เพราะเงินพร้อม + ตัวบริษัทก็ทำกระแสเงินสดได้ดีอยู่แล้ว เปิดเพิ่ม 11 สาขา ใช้เงินราวๆ 250 ลบ. ไม่มีปัญหา

กำไรคาดหวังในปี 2567 คือ 80-100 ลบ.

สิ้นปี 2566 #MAGURO มี 25 สาขา ทำกำไรได้ทั้งหมด 72 ลบ. คิดง่ายๆลวกมากๆ กำไร 2.88 ลบ.ต่อสาขา ถ้าปีนี้ เปิด 35 สาขา ก็ 35*2.88 = กำไร 100 ลบ. (จริงๆคิดแบบนี้ก็ bullshit ไปหน่อยนะครับ เพราะอาจจะมีสาขาที่เปิดปลายปีหรือเปิดไม่พร้อมกันระหว่างปีมันทำให้รายได้กำไรมันสวิงแน่นอน แต่จุดประสงค์คืออยากให้เห็นภาพว่า ถ้าทำกำไรได้ 100 ลบ.ในปีนี้ ภาพ Valuation น่าจะประมาณไหน ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด) จัดไป..เอาขอบบนไปเลยกำไร 100+ หรือ YOY% = 39%

หรืออีกภาพ

ลองมาคำนวนแบบเชื่อผู้บริหารไปเลยว่ารายได้โต 30% — ในปี 2567 รายได้จะเป็น 1300 ลบ. กำไร 100 ลบ. NPM 7.7% (ถ้า Squeeze ดีดีก็พอเป็นไปได้ หรือ อาจจะดีกว่า)

—————————————————————

Please NOTE: Net Profit Margin 4ปีย้อนหลัง ตัดรายได้อื่นออก –

2563 NPM 4.8%
2564 NPM 1.8%
2565 NPM 4.6%
2566 NPM 6.7%

เป็นไปได้ไหมว่าเติบโตขึ้นมาจากฐานต่ำ ช่วง COVID มาอยู่ที่ 6.7%
แล้วเค้าจะ Improve margin ไปได้สุดทางที่ตรงไหน แต่หวังว่าจะไม่ใช่ 6.7% คือดีมากแล้วนะ 😎

—————————————————————

เอาเป็นว่า สมมุติว่าเราไปขุดคุ้ยมาแล้ว และพอมั่นใจว่ากำไรน่าจะทำได้ 100 ลบ. ในปีนี้

— กำไร 100 ลบ. —
FWPE = 20 เท่า, Implied yield รวมปันผลก็ 7%
FWPBV = 2.3 เท่า

หรือ

จะมองว่าวันนี้ Mkt.Cap อยู่ที่ 2000 ลบ. มอง PEไม่ด๊ายยยย บริษัทยังต้องเติบโตอีกมากก Mkt.Cap 2000 มันเล็กเกินไป ธุรกิจนี้มันไปได้ถึง 5,000-10,000 ลบ.นู้น อันนี้ก็สุดแท้แต่นะครับ (ช่วงที่ ZEN/M/SNP/AU/MUD ดีๆก็เอาเรื่องอยู่นะครับ)

เท่านี้ถูกพอยังหรือยังแพงอยู่อีก??

ทีนี้ถ้าลองมามองมุมที่เป็น Total Shareholder Return บ้างหละ ภาษาบ้านๆคือเราลงทุนไปจะคุ้มค่าไหมกับเงินลงทุนวันนี้ (ผลตอบแทนที่คาดหวังคือเท่าไหร่กับธุรกิจแบบนี้?) ก็ลองคิดดูเอานะครับว่าบริษัททำ ROE ได้ 12% จากฐานทุนใหม่ และในอุตสาหกรรมอาหารช่วงกำลังบูมๆ มันสามารถไต่ ROE ได้ระดับ 15-20% เลยทีเดียว ด้วยความที่สาขายังกระจายไม่เยอะยังมีพื้นที่ให้เค้าเจาะไปได้อีกมากโดยที่ช่วงแรกของการเปิดในพื้นที่ใหม่ๆคาดว่าจะทำให้ยอดขายมาดีกว่าปกติก็เป็นแรงส่งการเติบโตในช่วงม้าตีนต้น
ผลตอบแทนคาดหวังได้ระดับ 10-13% ก็ไม่เลวนะ (incase ว่าเป็นไปในแนวทางที่ดีนะ)

โมเดลขยายสาขาสร้าง EOS+Network effect บลาๆๆ.. (อาจารย์ผมจะบอกว่าตำรา555+)

นโยบายจ่ายปันผลที่ 40% ถ้าตีเป็น Yileds% ก็ประมาณ 2% จากราคา IPO และหากเติบโต ปันผลก็ไต่ไปถึง4-5%เลย (กรณีไม่มีปันผลพิเศษ แต่คิดว่าบริษัทไม่น่าปันมากกว่านี้ เงินยังต้องใช้ขยายสาขาอีกมาก)

— แน่นอนว่าปันผลไม่ดึงดูดใจตามสไตล์หุ้นgrowth แต่ถ้ากำไรมาแน่ใน 2-3 ปี Capgain ยังไงก็มา —

แล้วอะไรจะทำให้มันไม่เป็นไปตามคาดบ้างหล่ะ?? อันนี้เป็นโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ

แต่ความเสี่ยงสำหรับเงินลงทุนเรา ไม่ใช่Business Risks คือถ้ากำไรไม่ได้เป็นไปตามที่คิดหล่ะ? เช่น กำไรปีนี้ออกมาใกล้เคียงเท่าปีที่ผ่านมา หรือ แย่กว่าปีที่ผ่านมาหล่ะ Capgain ก็เป็นแค่ภาพลวงตาได้เลยนะ เราสั่งใครไม่ได้ + สั่งPEให้เป็นเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้ + สั่งเศรษฐกิจให้คนออกมากินร้าน maguro ไม่ได้ + สั่งบริษัทลด SG&A แอบค่าเสื่อมไปให้หมดไม่ได้.. เราก็ต้องยอมรับความโลภของเราเอง (นั้นทำไม MOS ที่มีวินัยมันถึงสำคัญมาก)

เพราะฉะนั้น หากเรา conservativeมาก ชอบแบบชัวๆไม่หวัง Capgain เกินไป ได้ Yields 2% + ราคาหุ้นไม่แน่นอน เอาเงินลงทุนไปลงกองทุนหรือหุ้นกู้เกรดดีดี ดีกว่าไหมน้า??

แต่บางครั้งความ Conservative มากไปหรือกลัวความเสี่ยงเกิน ก็พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีดีได้เช่นกัน 🥲

สรุปคือ..

ถ้าเชื่อ…แล้วหาข้อมูลมาดีแล้วว่าปีนี้กำไรไป 100 ลบ++ แน่ๆ ทำไมต้องไม่ลุยอ่ะ??

ด้านบนนี้มันเป็นแค่ตัวเลขที่เราหาได้จากแค่ตัวหนังสือ Filing ให้เราจินตนาการตามเท่านั้นนะครับ ในกรณีแบบนี้ถ้าหุ้นถูกชัดเจนก็พอลงทุนได้ แต่ถ้าหุ้นที่ราคากลางๆและก้ำกึ่งค่อนไปทางแพง มันจำเป็นต้องเข้าใจคุณภาพธุรกิจกับทีมบริหารมากๆๆๆ

**ถ้าจะลงน้ำหนักกับการลงทุนครั้งนี้ก็ต้องเข้าใจเนื้อหาธุรกิจ เข้าใจ insight จริงๆ ไม่มีทางลัดครับ

ปล.
“จงมองโลกด้วยสายตา Risk Adjusted Return เสมอๆ” เป็นอะไรที่ผมตระหนักมันอยู่ตลอดๆโดยเฉพาะในการลงทุน

ลงทุนโดยการมองที่ความพร้อมตัวเองเป็นหลัก อาชีพ การงาน กระแสเงินสดส่วนตัว

ผมสังเกตว่าคนที่มีพอรท์ในแต่ละระดับ 0-100 ลบ. 100-1000 ลบ. และ 1000-10000 ลบ. มองธุรกิจสั้น-ยาว ไม่เหมือนกัน เพราะมันเริ่มเกี่ยวข้องกับการวาง Position ที่มีนัยยะที่ต่างกัน ผลตอบแทนคาดหวังและความเสี่ยงที่รับได้ก็ย่อมต่างกันครับ

**PE และ Discount rate เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ตามคุณภาพของธุรกิจ เพราะงั้นผมไม่ค่อยสนใจ Industry มากเท่าไหร่ แค่ดูเป็นกรอบคร่าวๆมากกว่า

**สุดท้ายการที่ไปควานหาข้อมูลมากมาย ก็เพื่อที่จะทำให้เรามั่นใจในตัวเลขที่เรา Valuation อย่างสมเหตุสมผลเท่านั้นเอง

หากข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับเพื่อนๆนักลงทุนนะครับ ❤️

กระทิงUSA กับ #กระทิงพี่มี่ ตัวไหนมันจะดุกว่ากัน 😅

Adobe

Adobe 2Q24FY: หุ้นบวก 15% รายได้เติบโต 11% YoY พร้อมปรับ Guidance ทั้งปีเพิ่ม
(ปิดงบ 31 พ.ค)

บทความนี้เป็นบทความตัวอย่างจาก “กลุ่มBottomLiner Exclusive”

⭐️เรายังคงมองว่า Adobe เป็นผู้นำในตลาด Digital Media เพราะเป็น Industry Standard ในฝั่ง Enterprise ส่วนฝั่ง AI ก็มีจุดแข็งเรื่องการใช้ Asset ถูกลิขสิทธิ์ในการเทรน และมี Value ที่สำคัญคือการผนวกรวม AI เข้ากับ Core Service หลักที่เปิดให้ User ทำได้ทั้ง Gen และ Edit ไปพร้อมกันในตัว

⭐️(ณ เทคโนโลยี AI ตอนนี้ เรายังเชื่อว่าการที่ Gen AI ได้แต่แก้งานต่อไม่ได้นั้นแทบไม่มี Value เพราะผลลัพธ์จาก AI อย่างเดียวนั้นคุณภาพยังไม่ดีพอ)

⭐️ไฮไลท์งบ

📍รายได้รวมอยู่ที่ $5.31 bn เติบโต 11% YoY ดันโดยการเติบโตในทุกธุรกิจทั้ง Creative Cloud, Document Cloud และ Experience Cloud หลังนำ AI เพิ่ม Value ใน Product/Service ให้ลูกค้า
.
📍Non-GAAP EPS อยู่ที่ $4.48 โต 15% YoY สูงกว่าตลาดคาด
.
📍รายได้ Digital Media อยู่ที่ $3.91 bn เติบโต 12% YoY (รายได้เฉพาะส่วน Creative Cloud อยู่ที่ $3.13 bn เติบโต 11% YoY) โดยมี New Net ARR อยู่ที่ $487 mn ซึ่งเกินกว่าที่ตลาด
.
📍การเติบโตใน Digital Media นี้ได้แรงหนุนจากการเปิดตัวฟีเจอร์ AI เช่น Firefly ใส่ใน Core Product อย่าง Photoshop, Illustrator, Lightroom และการเปิดตัว Adobe Express ที่ช่วยให้ User สามารถทำ Content ได้ง่าย (แข่งกับ Canva)
.
📍หลัง Adobe นำ AI ใส่ใน Express และเปิดตัว Express สำหรับเว็บและมือถือ ก็ช่วยเพิ่ม Engagement ลูกค้าได้ โดย MAU ของ Express บนมือถือเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
.
📍Document Cloud มีรายได้ $782 mn เติบโต 19% YoY และมี Net New ARR อยู่ที่ $165 mn ซึ่งสูงเป็นสถิติสำหรับ Q2 ในทุกปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการเปิดตัว Acrobat AI Assistant ที่ช่วยให้ User สามารถสรุปข้อมูลในเอกสารและดึงข้อมูลออกได้อย่างรวดเร็ว
.
📍Experience Cloud มีรายได้ $1.33 bn เติบโต 9% YoY หลังเปิดตัว AEP AI Assistant ที่ช่วยให้ User สามารถจัดการ Workflow ข้อมูลลูกค้าได้สะดวกขึ้น
.
📍บริษัทมองผู้ใช้ใหม่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่ม SMB และ Enterprise
.
📍Adoption ในฟีเจอร์ AI กำลังเพิ่มขึ้น เช่นมีการใช้งาน Generative Fill และ Generative Expand ใน Photoshop มากขึ้น มีการใช้งาน Firefly เพื่อสร้าง AI Content มากกว่า 9 พันล้านครั้งตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2023 เป็นต้น
.
📍Adobe กำลังพัฒนา Text-to-Video AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้อย่างง่ายดาย โดยคาดว่าจะมีแผนการกำหนดราคาที่แตกต่างกันตาม Demand ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอด Subscription และ AI Adoption
.
📍และยังมองว่าการนำเสนอฟีเจอร์ AI ใหม่ๆจะช่วยเพิ่ม GPM และ OPM เพราะการนำ AI มาใช้ใน Acrobat และ Creative Cloud จะทำให้สามารถขึ้นราคาตามมูลค่า Service ที่สูงขึ้น ไปพร้อมกับการรักษาฐานลูกค้า
.
📍Adobe คาดว่า Guidance รายได้ 3Q24FY ระหว่าง $5.33 – $5.38 bn และ Non-GAAP EPS ระหว่าง $4.50 – $4.55 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่ตลาดมอง
.
📍นอกจากนี้ยังปรับ Guidance ทั้งปี 2024FY เพิ่ม โดย Non-GAAP EPS คาดที่ $18.00 – $18.20 และรายได้รวมที่ $21.40 – $21.50 bn ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน พาหุ้น Adobe บวกขึ้น 15% After-hour หลังจากประกาศงบดีกว่าคาด

BottomLiner

BYD

ทำไม BYD ถึงลดราคาแบตลงได้มากถึง 30-50% เป็นเพราะอะไร ?

จากโพสเมื่อวานที่เขียนถึงบริษัทนำเข้ารถ BYD ในไทยประกาศลดราคาแบตเตอรี่ของรถ EV ลดลงมาราวๆ 30-40% มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง สิ่งนึงที่ไม่ได้เขียนในโพสนั้นคือสาเหตุที่ BYD สามารถลดราคาได้มากขนาดนั้นมาจากอะไรกันแน่

คำตอบของเรื่องนี้คือ

ราคาแร่ลิเธียมดิบมีราคาลดลงต่อเนื่องมาตลอด ในช่วง 2 ปีนี้ราคาลดลงมากถึง 80%

พย 2022 ตันละ 600,000 หยวน
มค 2023 ตันละ 495,000 หยวน
ตค 2023 ตันละ 158,000 หยวน
มค 2024 ตันละ 98,000 หยวน
มิ.ย. 2024 ตันละ 105,000 หยวน

โดยแร่ลิเธียมดิบก่อนรถ EV ในจีนจะบูมและมีการผลิตรถ EV เยอะขนาดนี้ แร่ลิเธียมเคยมีราคาตันละ 75,000 หยวนเมื่อ กค 2019 และถูกสุดในรอบ 5 ปีอยู่ที่ตันละ 35,000 หยวนเมื่อ กย 2020 ซึ่งราคาแร่ลิเธียมเริ่มไต่ขึ้นเมื่อไตรมาส 3/2021 หลังมีการผลิต EV ในจีนเพิ่มมากเป็นทวีคูณและราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ปลายปี 2022

ปัจจุบันราคาแร่ลิเธียมที่เคยราคาสูงเสียดฟ้า กลับมาสู่ราคาที่ควรจะเป็นแล้วในเวลา 2 ปีเท่านั้น

===============

ทำไมราคาขึ้นมาก และลงมาก ?

ความต้องการใช้แร่ลิเธียมก่อนหน้าการมาถึงรถ EV จีนในแวดวงรถ EV มีแค่ Tesla เท่านั้นตั้งแต่ 2008-2019 เทสล่าแทบไม่มีคู่แข่งด้าน EV ฉะนั้นการใช้แร่ลิเธียมปริมาณมากทั่วโลกยังอยู่ในสภาวะนิ่งๆ อุตสาหกรรมที่ต้องการแร่ลิเธียมเพิ่มต่อเนื่องคือโทรศัพท์และอุปกร์อิเล็กทรอนิกส์ แต่การใช้แร่ลิเธียมในอุปกร์อิเล็กทรอนิกส์ต่อให้มีการใช้เพิ่มยังไง ก็ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบปริมาณแร่ที่อยู่ในแบตเตอรี่ของรถ EV เมื่อปริมาณความต้องการไม่เยอะก็ขุดไม่เยอะราคาก็ตามข้างต้นที่บอกไป

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นรถไฮบริดของญี่ปุ่นที่ขายดิบขายดีไม่ได้ใช้แบตลิเธียม แบตในรถไฮบริดอย่าง Prius และ Camry ยังเป็นแบตนิกเกิลเมทัลไฮดราย (Ni-MH) ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าอยู่เลย ทำให้รถไฮบริดญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลอะไรกับเรื่องราคาแร่ลิเธียม ปัจจุบัน Toyota ก็ยังใช้แบต Ni-MH เป็นแบตรถไฮบริดหลายรุ่นเพราะต้นทุนถูกกว่าลิเธียม ในไทยหลายรุ่นก็แบต Ni-MH

และราคาเฉลี่ยต่อ kWh แบรนด์รถญี่ปุ่นขายแบต Ni-MH ของรถไฮบริดราคาสูงไม่น้อย

กลับมาที่ราคาแร่ลิเธียมค่อยๆมีราคาสูงขึ้นที่จีนเริ่มมีรถ EV หลายยี่ห้อ ผลิตออกมาเดือนๆนึงรวมกันเป็นแสนคัน ก็เลยมีความต้องการเพิ่มแบบฉับพลันสุดโต่ง เหมืองก็ขุดไม่ทันทีนี้พอขุดไม่ทันมีของไม่พอให้กับทุกคนราคาก็ถูกดันขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวเหมืองเองในระหว่างนั้นก็ขยายกำลังการขุดมาเรื่อยๆพอถึงจุดที่กำลังการขุดแร่เพิ่มมากขึ้นราคาก็ค่อยๆลดลงและลดลงมาอย่างที่เห็น

อีกส่วนนึงที่ราคาแร่ลิเธียมลดลงมาเยอะ ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะความต้องการรถ EV ในตลาดโลกปัจจุบันนี้เริ่มชะลอตัวด้วย พอการแข่งขันน้อยลงมีการผลิตน้อยลง ทำให้ความต้องการใช้แร่ลดลง ทีนี้เหมืองยังขุดอยู่ก็ต้องขายราคาที่ถูกลงเพราะปริมาณเริ่มเกินความต้องการ

===============

ราคาแร่ลิเธียมจะกลับไปอยู่ตันละ 30,000-50,000 หยวนได้หรือไม่ ?

ถ้าราคาแร่ลิเธียมกลับไปแตะราคาตันละ 50,000 หยวนได้ แบตในรถ BYD ที่ตอนนี้ 3-4 แสน อาจจะเหลือแค่ 1-2 แสนก็เป็นได้ลองคิดดูแบต 60kWh ราคา 200,000 บาท ราคาเร้าใจเว่อ

ในความเป็นจริงราคาแร่ดิบอาจไม่ได้กลับลงไปที่จุดต่ำสุดที่ 35,000 หยวนแล้ว เพราะราคาต่ำสุดเป็นช่วงที่ทั้งโลกหยุดชะงักไม่มีการผลิตอะไรใดๆ ทุกประเทศล็อคดาวน์ (ถ้าจำราคาน้ำมันหน้าปั๊มได้ก็ประมาณนั้นแหละ ถูกมาก)

ปัจจุบันถ้าเหมืองแร่ลิเธียมมีการจัดการการขุดในปริมาณที่ไม่เยอะจนล้นตลาด ราคาก็อาจไม่ลงจาก 100,000 หยวนไปมากนัก

ในทางกลับกันถ้าความต้องการใช้ลิเธียมไม่ได้พุ่งสูงแบบฉับพลันจนกำลังการผลิตไม่พอราคาก็คงไม่ทะยานสูงมากแบบปี 2022 แล้ว

ส่วนตัวมองที่ราคาขาลงมากกว่า ว่าจะมีดั๊มพ์ราคาลงกว่านี้อีกมั้ยอาจจะลงได้อีก ถ้าจะกดให้ราคาถูกๆไปเลยก็คงแถวๆราคาปี 2019 ที่ 75,000 หยวน ตรงนี้อยู่ที่เจ้าของเหมืองเค้าจะสั่งขุดเยอะกว่านี้มั้ย ถ้าขุดเยอะจนเริ่มล้นยังไงราคาก็ลดลงได้อีก

แต่ใครอยากจะขายของราคาถูกมากกันละ ?

(เอ๊ะ…หรือจริงๆแล้วตอนนี้การขุด Oversupply ไปแล้ว ???)

===============

แล้วใครเป็นเจ้าของเหมืองแร่ลิเธียม ?

ตอบแบบรวบรัด บริษัทจีนเป็นเจ้าของเหมืองแร่หรือได้รับสัมปทานเหมืองแร่ลิเธียมรวมๆกันราว 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งโลก ในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ที่มีแร่ลิเธียมมากเป็นอันดับ 1 ของโลกก็เป็นสัมปทานของบริษัทจีนอย่าง CATL ที่เข้าไปร่วมลงทุน เหมืองในแอฟริกาก็จีน ถ้าจะมียกเว้นก็คงออสเตรเลียที่มีแร่ลิเธียมมากที่สุดประเทศนึงที่ไม่มีบริษัทจีนเข้าไปถือครองเหมือง

(14/06/24 10.00am ข้อมูลที่เจอเพิ่มเติม สรุปว่าในออสเตรเลียบริษัท Tianqi Lithium จากจีนก็เข้าไปร่วมลงทุนกับ Greenbushes บริษัทเหมืองลิเธียมขนาดใหญ่ในออสเตรเลียด้วย ปัจจุบันมีกำลังการผลิตระดับ 1.3 ล้านตัน/ปี)

ฉะนั้นก็ประมาทไม่ได้ว่าแร่ลิเธียมจะไม่ถูกดั๊มราคาลงไปอีก เพราะต้นทางเหมืองก็จีนมีเอี่ยว ส่งกลับผลิตจีน แพคเสร็จก็มาอยู่ในรถที่ผลิตในจีน เป็นสาเหตุที่ทำให้โดยรวมราคารถ EV จีนทำไมถึงแข่งกันราคาถูกได้ และทำไมยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นถึงกลัวราคารถ EV แบรนด์จีน

(โอเค มีปัจจัยเรื่องรัฐจีนช่วยเรื่องการเงินกับบริษัทรถ เรื่องค่าแรงต่างๆที่ถูกกว่าประเทศอื่น และอื่นๆเข้ามาประกอบด้วย แต่เมื่อชิ้นส่วนหลักใน EV ราคาถูกก็เป็นเหตุผลที่ราคารถ EV จีนในจีนราคาถูกมากแบบที่เห็น)

===============

มาถึงตรงนี้พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับว่าทำไมยุโรปถึงกีดกันรถแบรนด์จีนเพราะยุโรปไม่มีทางมีต้นทุนแร่ลิเธียมถูกกว่าจีนได้เลย ส่วนญี่ปุ่นยิ่งกว่านั้นเพราะญี่ปุ่นไม่มีเอี่ยวในเหมืองแร่ลิเธียมเลย และลูกพี่ใหญ่อย่างโตโยต้าทางแยกระหว่างทำรถ EV กับลองทำรถไฮโดรเจนเมื่อปี 2010 พี่โตเลือกไฮโดนเจนเพราะมีเครื่องยนต์ ส่วนอีวีไม่มีอะไรต้องซ่อมบำรุงมากชิ้นส่วนน้อย ก็เลยออกมาเป็น Mirai ที่ขายดิบขายดีระดับไม่กี่หมื่นคันในระยะเวลา 10 ปี เทียบกับ tesla ขายรถ EV ปีละหลายแสนคันจนปัจจุบันเทสล่าขาย EV ปีละเกือบ 2 ล้านคัน ยิ่งพอมีรถ EV จีนมาร่วมตลาดด้วยรถ EV อย่างของ BYD ก็เป็นล้านคันต่อปี

(แต่พี่โตขายรถทุกแบบปีนึง 10 ล้านคันทั่วโลกนาจาาา)

เป็นเหตุผลนึงที่ toyota ก็พยายามยื้อตลาดไว้และพัฒนาเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นไปอีกเพื่อให้ทัดเทียมความประหยัดของ EV ซึ่งการหนีของโตโยต้าด้วยไฮบริด ก็เหมือนจะหนีไม่พ้นจีนอีกแล้ว

เพราะ BYD กำลังจะปล่อยรถ PHEV ที่มีสมรรถนะทำระยะทางได้เกิน 1000km มาขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นฐานลูกค้าใหญ่กลุ่มนึงของรถไฮบริดญี่ปุ่น ไม่รวมที่ BYD ทดสอบเครื่อง PHEV ใหม่ๆได้ถึง 2000km ต่อ 1 ถังน้ำมันและ 1 ชาร์จไฟ

ยังไม่นับรถ EREV (Extended-range electric vehicle) ที่รถแบรนด์จีนเริ่มทำแล้ว ซึ่ง EREV น่าจะเป็นจุดสูงสุดของลูกผสมเครื่องยนต์กับแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะการทำงานของ EREV มันคือรถ EV นี่แหละรถมีแบตขนาดใหญ่มากเหมือนที่เห็นในรถ EV ใช้พลังงานจากแบตในการขับเคลื่อนมอเตอร์ให้รถวิ่ง และใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟอย่างเดียวส่งกลับไปแบตเตอรี่ ถ้าแบตหมดเลือกเสียบชาร์จไฟก็ได้ หรือเติมน้ำมันเพื่อนำมาให้เครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าแบตก็ได้ แต่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตของ EREV มีราคาสูงเลยยังไม่แมสมากนัก ถ้าวันไหนที่บริษัทจีนกดต้นทุน EREV ได้ต่ำพอ เราอาจจะได้เห็น EREV ออกมาขายนอกจีนก็เป็นได้

ถ้าสังเกตรถไฮบริดญี่ปุ่น มักเป็นไฮบริด HEV ที่แบตขนาดเล็กที่ตัวรถชาร์จไฟไม่ได้ เรียกว่าญี่ปุ่นแทบไม่มี PHEV ก็ว่าได้ ซึ่งปัจจุบันโตโยต้าเพิ่งเริ่มทำรถ PHEV บ้างแล้วกับ Alphard และ Prius ราคาขายในญี่ปุ่นก็สูงกว่ารุ่นไฮบริดปกติ

ส่วนตัวคิดว่าพี่โตไม่น่าจะขยายการผลิตรถ PHEV อย่าง Prius มานอกญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ และไม่น่าทำ Camry และอื่นๆที่เป็นไฮบริดแบบดั้งเดิมขึ้นเป็น PHEV รวมถึง Honda ก็ไม่น่าทำ Accord PHEV ขายในเร็วๆนี้ เพราะต้นทุนผลิต PHEV มีราคาสูงกว่าไฮบริดแบบดั้งเดิมพอสมควร สู้ลากยาวไฮบริดดั้งเดิมแล้วพัฒนาเครื่องยนต์ให้ประหยัดดีกว่า

สรุป…ในอุตสาหกรรมรถยุคใหม่ ถือว่าจีนมีบทบาทสำคัญมาก จากประเทศที่ก็อปหน้าตารถโตโยต้าอัลติส ก็อปหน้ารถเบนซ์ไปทำเป็นรถแบรนด์ตัวเองในจีนเมื่อ 15-20 ปีก่อน มาวันนี้แบตเตอรี่ทำให้จีนพลิกจากอดีตความห่วยกลายมาเป็นผู้ผลิตที่ทั่วโลกก็ต้องยำเกรง กับราคาแบตเตอรี่เองก็เหมือนอยู่ในกำมือของบริษัทจีนที่สามารถกำหนดทิศทางราคาตลาดได้ อุตสาหกรรมรถยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากมายถือว่าสู้กันดุเดือดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอด 100 ปี

TRT

สรุป Oppday #TRT
1Q2024 12/6/2567
.
📌📌Business Highlight📌📌
-ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าทุกรูปแบบ

-TRT มีบริษัทลูกในเครือ 3 บริษัท
1.Thaifin
2.Tirathai E&S
3.L.D.S Metal work

-สินค้าและบริการหลักๆที่เป็นหม้อแปลง (Transformer) แบ่งประเภทเป็น
1.distribution transformer
2.Power transfomer
3.Transformer service
4.Transformer Repair
-สินค้าและบริการ Non- Transformer

-ลูกค้าหลักๆ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1. Utilities มี 3 เจ้า คือ การไฟฟ้าภูมิภาค(PEA),การไฟฟ้านครหลวง(MEA),การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(EGAT)
มีสัดส่วนรายได้ 33.3% ของทั้งหมด
2.บริษัทเอกชน(Private) หรือโรงงานขนาดใหญ่ มีสัดส่วนรายได้ 33.3% ของทั้งหมด
3.การส่งออก(Export) ไปใน Asia และ SE.Asia มีสัดส่วนรายได่ 33.3% ของทั้งหมด

-ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายในอุตสาหกรรมมามากกว่า 40 ปีและเป็น หนึ่งใน 2 รายของประเทศไทยที่สามารถผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ 333.33 MVA 525 kV
.
.
📌📌FINANCIAL HIGHLIGHT📌📌
-รายได้รวม Q1/2024 800.12 ลบ. เติบโต 103.4% YoY

-กำไรขั้นต้น(GP) Q1/2024 247.23 ลบ. เติบโต 364% YoY ส่วน GPM Q1/2024 อยู่ที่ 30.99% และQ1/2023 อยู่ที่ 13.65%

-สัดส่วนรายได้ทั้งหมดแบ่งเป็น Transformer (96%) และ Non-Transformer( 4% )

-ลูกค้าหลักๆใน q1 เป็นในประเทศ ที่ 86.5% และส่งออก(Export) ที่ 13.5% ของรายได้ส่วน Transformer
.
.
📌📌Business Outloook Q2/2024📌📌

-ภาพรวมของปีนีั มีการรับรู้รายได้ในแต่ละ Q ไม่ต่ำกว่า 600 ลบ. เป้าทั้งปีไม่ต่ำกว่า 2,400 ลบ. ตาม Forecast คือ 2,130 ลบ. เป็น Gov+ local , 340 ลบ. เป็น Export ,120 ลบ. (MA Trans) และในส่วน Non-Trans 193 ลบ.

-มี Backlog ทั้งหมด 1,770 ลบ.ส่งปีนี้ 1,530 ลบ.และ ปีหน้า 2025–> 240 ลบ. ปีนี้เป็นงานส่งมอบ หม้อแปลงใหญ่ Power ให้ EGAT 14 units รับรู้รายได้ 1,000 ลบ.ในปีนี้

-Bidding เจรจาเสนอราคาในตลาดหม้อแปลงที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่มีมูลค่า 13,050 ลบ. โดยสัดส่วน Export อยู่ที่ 2,400 ลบ. และ Success rate ของ TRT อยู่ที่ 20-25% ของมูลค่าที่เสนอมาเป็นใบสั่งซื้อ(order)
.
.
🔥🔥 Q&A 🔥🔥

Q : เทรนต์การขาดแคลนหม้อแปลงที่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป จากการใช้ Data center ,AI สอดคล้อง ว่า TRT จะส่งออก 50% ในตลาดใหม่ความคืบหน้าเป็นอย่างไร?
A : เป็นเทรนด์ในปีหน้า 2025 จะใช้นโยบาย ส่งออก 50% ส่วนในปีนี้ยังเป็นในประเทศอยู่ เกินครึ่งจะอยู่ในงานของ EGAT แนวโน้มการใช้หม้อแปลงในระดับโลกมีสูงขึ้น และทางยุโรป ก็ค่อนข้างจะเต็มกำลังการผลิต คาดการณ์ว่ารายได้ส่วนนี้จะเข้ามาในช่วง 2025

Q : GP ของ non-transformer เท่าไหร่?
A : 20% แต่บางงานอาจจะไม่เหมือนกัน Avg. อยู่ประมาณนี้ คล้าย Transformer

Q : Gp ในอดีตของเราเหวี่ยงมากแต่ 2 ไตรมาส ที่ผ่านมา Gp เราดีขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร?
A: เราบริหารยอดขายของเราอย่างเหมาะสม เริ่มจาก ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เราพยายามกระจายการับรู้รายได้ Q ละไม่ต่ำกว่า 600 ลบ. ตาม forecast ที่วางไว้ ทำให้ Gp เริ่มดีขึ้น

Q : งาน EGAT เราส่งมอบไปแล้วทั้งหมดกี่เครื่อง?
A : ปัจจุบันส่งมอบไปแล้ว 7 เครื่อง และวางแผนส่งมอบทั้งหมดภายในเดือน สิงหาคม 2567

Q : ราคาทองแดงที่สูงขึ้นมีผลกระทบกับเรามั้ยและสามารถเพิ่มราคากับลูกค้าได้หรือไม่?
A : มีผลพอสมควร แต่เราคิดว่าอยู่ในระดับที่เราควบคุมได้เพราะเรามีงาน EGAT ทองแดงจะไม่มีผล แต่ที่เหลือบางส่วน 10-20% ของรายได้รวม ทองแดงอาจจะส่งผลกระทบ สามารถเพิ่มราคากับลูกค้าได้ในระดับนึง ขึ้นอยู่กับตลาด

Q : ปี 2024 จะมีรายได้ส่วนไหนสามารถเพิ่มมากกว่าที่ Forecast ไว้บ้างมั้ย?
A : ในระหว่าง Q3 จะมีการประมูลงานเพิ่มขึ้น ในประเทศก็มี Project Solar farm ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับปีนี้ ภาพรวม Backlog ที่เรามีไม่น่ามีปัญหาอะไร

Q : หม้อแปลง Power กับ Distribution มี Margin แตกต่างกันอย่างไร?
A : Gp ในอุตสาหกรรมหม้อแปลง 18-20% ตามนโยบายตอบไม่ได้ว่า อันไหน Margin ดีกว่าเพราะขึ้นอยู่กับแต่ละ โปรเจ็ค

Q : หม้อแปลงไฟฟ้าแต่ละประเภทใช้ระยะเวลาผลิตนานเท่าไหร่?
A : ขนาดเล็ก 1-3 เดือน ขนาดใหญ่ 1 ปีถึงปีครึ่ง

Q : ความต้องการ Power transformer ในไทยมีมากขนาดไหน มีทุกปีหรือไม่?
A : ลักษณะของการประมูลหม้อแปลงใหญ่ Cycle จะอยู่ที่ 2 ปีครั้ง

Q : การส่งออกไปอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างไร?
A : กำลังเตรียมการในปีนี้ และปีหน้าจะได้เห็นในรายได้ส่วนนี้

Q : U-rate ของเราอยู่ที่เท่าไหร่?
A : 600 ลบ. จะอยู่ที่ 80%

Q : ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร?
A : working cap ที่ใช้ในหม้อแปลง EGAT สูง ทำให้เรามีเจ้าหนี้การค้า เพิ่ม และตัว Inventory ด้วย
อัตตราดบ.อยู่ที่ 5-6%

Q : การแข่งขันตลาดในประเทศเป็นอย่างไร?
A : มีหลาย Segments เล็ก กลาง ใหญ่ แข่งขันไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจ็ค

Q : ตลาดที่ส่งออก ตปท. มีประเทศอะไรบ้าง?
A : ปัจจุบันมี มาเลเซีย สิงค์โปร์ ศรีลังกา และเรามีแผนจะส่งออกไปในยุโรปในปีหน้า

Q : ความสามารถในการแข่งขันเทียบคู่แข่งจากจีน เป็นอย่างไรบ้าง?
A : ตลาดแถวนี้คู่แข่งเราก็คือจีน และสถานการณ์ปัจจุบันอเมริกากีดกันทางการค้าจากจีนก็จะเป็นโอกาสของเรา

Link: https://www.youtube.com/live/g6Aib8C3_bM?si=pgwbaydLgpVAQ_2h

Vietnam

Vietnam VVI Trip 2024 in HCMC & Danang

ทริปลงทุนเวียดนามปีนี้จัดแน่นเต็มอิ่ม 9 วัน ซึ่งถือเป็นทริปที่ไปนานที่สุดเท่าที่เคยไปเวียดนามมา แต่ทำให้ได้เข้าใจประเทศ ผู้คน สังคม และวัฒนธรรมในแบบที่ไม่ได้คิดไว้

รอบนี้ไป Danang ครั้งแรกก็ยิ่งได้เห็นมุมใหม่ๆที่ไม่เคยได้เห็นและทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก ในโพสต์นี้เลยอยากเขียนสรุป Insight สิ่งที่ได้พบเจอ + จดบันทึกข้อความ รูปภาพ ความประทับใจระหว่างทริปไว้ด้วยครับ

ดร. ก้องเกียรติ
ทริป HCMC รอบนี้ผมประทับใจ ดร. ก้องเกียรติ เป็นพิเศษ หลังจากที่ฟัง Talk บนเวที ก็ได้รุมถามและฟังหลังงาน สิ่งนึงที่จำได้แม่น ท่านบอกว่าคนเราบางทีโอกาสดีๆมาครั้งเดียว ถ้ามาแล้วคุณต้องรีบคว้าไว้ พร้อมยกตัวอย่างมากมาย ทั้งคนที่คว้าไว้ และ พลาดมันไป ฟังแล้วก็เหมือนจะได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่ตัวอย่างแต่ละอันนี้เล่าได้สนุกและเห็นภาพมากๆครับ

ท่านเล่าย้อนไปตั้งแต่ทำงานที่ Bearing ทำดีลต่างๆ ทำให้มี Connection มากมาย ทั้งเศรษฐี ทั้งกองทุนใหญ่ๆล้วนสนิทสนมกัน จนไปถึงการทำดีลต่างๆในไทย ปัจจุบันท่านลงทุนทั่วโลก หลายประเทศ และไม่ได้ลงทุนแค่หุ้น แต่รวมถึงที่ดิน และ คอนโด ตามประเทศต่างๆ ท่านเล่าถึง Startup ว่าเวียดนามก็มี จีนก็มี แต่ถ้าท็อปๆต้องที่อิสราเอล พร้อมยกตัวอย่างแต่ละบริษัทที่ไปลง เวียดนามท่านก็ลงแต่อาจจะไม่ได้โฟกัสมากนัก

ดร.นิเวศน์
ช่วงค่ำของวันที่ 2 รอบนี้ ดร.นิเวศน์ ยังพูดคล้ายๆเดิมแบบที่ได้ฟังกันอยู่เรื่อยๆ แต่รอบนี้ผมรู้สึกว่า ดร. ให้ความเห็นกับ ACV ชัดกว่าทุกๆครั้งจากทุกๆครั้งที่ผมได้ฟัง ท่านคิดว่า ACV จะต้องใหญ่กว่า AOT ถึงจะมีความเสี่ยงจากรัฐบาล แต่ท่านเชื่อว่ารัฐบาลก็ยังต้องการรายได้จากสนามบินไปพัฒนาเพิ่ม จึงคิดว่ารัฐบาลน่าจะยังอยากปล่อยให้สิ่งนี้เติบโต รวมถึงยังบอกว่า FPT มีสิทธิ์ที่ Market Cap จะใหญ่ที่สุดในช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกันกับที่ท่านคิดสำหรับ CPALL ว่าตอนนี้ยังไม่ใหญ่ที่สุด แต่ก็มีสิทธิ์ที่วันนึง ซักช่วงเวลานึงอาจจะใหญ่ที่สุด

พี่เอก VP Bangkok Bank VN
Key Takeaway คือตอนนี้ ความเป็น Labor Intensive เริ่มหายไป ลูกค้าที่มา ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวแล้ว ถ้า labor intensive จะไปลงอินโดแทน และค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้น 6-7% ทุกปี
พี่เอกเชื่อว่าถ้า US ยังไม่ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ดี ถ้า Export จะยังชะลอ โดยรวมตอนนี้ถือว่ายังไม่ค่อยดีมากนัก

พี่แจ็ค วิศวกร ปันยารชุน
ถ้าเวียดนามย้ายไปเป็น Emerging Market สำเร็จพี่แจ็คคาดการว่าเงินจะเข้ามาอีก 20 เท่า (ผมจำไม่ได้ว่า 20 เท่าของอะไร ถ้าใครจำได้เม้นบอกหน่อยนะครับ)
(ความเห็นส่วนตัว: ผมว่าเกมส์นี้น่าสนุกสุดๆ 555)

การท่องเที่ยวเวียดนาม
-HCMC ผมว่าพัฒนาและดูมีสีสันมากขึ้นเทียบกับรอบก่อนที่มาตอน Oct 2023 แต่ที่น่าประหลาดใจคือ Danang
-ดานัง เป็นเมืองที่ผังเมืองดีที่สุดในเวียดนาม การคิดมาอย่างดีทำให้เมืองนี้จะยังเติบโตได้อีกเยอะ โดยรวมร้านและ รร ราคาไม่แพง ค่อนข้างสงบ ค่าครองชีพถูกกว่า HCMC เยอะมากพอสมควร
-แต่สิ่งที่ผม wow คือ Banahill ไม่คิดว่าเค้าจะทำได้ดีขนาดนี้ ทำ product ออกมาได้ดีมากๆ โดยที่ price ยังถือว่าไม่แพงเลย ตอนนี้กำลังขยาย phase ใหม่ๆ รวมถึงเริ่มมีแพลนจะสร้าง รร 5 ดาวเพิ่มแล้วด้วย
-โดยรวมผมรู้สึกว่าไทยมีดี แต่ถ้าไม่ปรับตัว จะโดนแย่ง share แน่ๆครับ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะสู้ยากเพราะความเป็น Thai มันขายได้และไม่ได้คิดว่าเค้าจะ focus แต่ที่นี่สำหรับมือใหม่ ผมว่าทำได้ไม่เลว และจากการลงทุนต่างๆที่ส่งเสริมเรื่องนี้ การเติบโตมาแน่ๆ อยู่แล้ว แต่พอได้ไป คิดว่าน่าจะโตได้มากกว่าที่คิด
-ไปเวียดนามได้สำรวจ Club/Bar ตามเคย ผมคิดว่าโดยรวมไม่ได้ห่างจากไทยมากเลย DJ และ เพลงดี Service บางร้านก็เหมือนไปทองหล่อ และที่สำคัญคืออยู่ ตจว. ก็มีที่ดีๆเหมือนกันด้วย ไม่ได้มีแค่ใน HCMC

พี่ป๊อป
รอบนี้ไป 8 คืน หารค่าห้องนอนกับพี่ป๊อปไป 5 คืนพร้อมดูดความรู้มาจนแน่น
-พี่ป๊อปบอกว่าคนไทยชอบมองคนเวียดนามด้วย lens ของคนไทย ว่าทำไมมันทำแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆเราต้องมาเข้าใจเค้า และมองในมุมมองของเค้า จะทำให้เราเข้าใจเค้ามากขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยได้
-Emerging Market เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายตัวแต่ bank ปล่อยให้ไม่ทัน เงินจากนักลงทุนเลยต้องเกิด
-เวลาดูการท่องเที่ยวเวียดนาม เปรียบเทียบแค่ประเทศโซนอาเซียนก็พอ เพราะมันคือ target ใกล้เคียงกัน เช่น ไทย เวียดนาม อินโด มาเล (ก่อนหน้านี้ชอบไปบอกพี่ป๊อปว่าที่อื่นสวยกว่าเยอะ แต่มันไม่ใช่ไทย และไม่ใช่โซนนี้)
-คนเวียดนามยังอยู่ักันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกบ้านพร้อมใจทำงานช่วยกัน หลายคนมากๆและเก็บเป็น 10 20 30 ปี เพื่อที่จะซื้อบ้าน แม้แต่พวกเวียดกิว ไปทำงาน ตปท ก็ยังส่งเงินกลับมา
-คนเวียดนามสามัคคีมาก เค้าผ่านสงครามมา เค้ารู้ว่าถ้าเค้าไม่สามัคคีกัน เค้าจะไม่รอด

ไกด์ท้องถิ่น
-ตอนนี้ถึงค่าแรงอาจจะยังไม่เยอะ แต่เป็นช่วงที่ดีที่สุดของเวียดนามแล้ว เมื่อก่อนพ่อไกด์บอกว่า คนเวียดนามไม่มีงานให้ทำ ไม่มีข้าวให้กิน ไม่มีบ้านให้อยู่ ไม่มีเงินให้เก็บ
-หลายๆคนมีหลายงาน บางทีร้อนกลับบ้าน ดึกๆค่อยออกมาอีกที
-คนที่นี่ต้องมีลูกกันอย่างน้อย 3 คน และอยากมีลูกผชด้วย ช่วงโควิด คนเกิดเพิ่ม 4 ล้านคน
-เด็กเวียดนามตั้งใจเรียนเพราะต้องจ่ายค่าเทอมเอง
-ทุกคนขยันกันหมดจริงๆ (อันนี้เติมเอง)

หมอนวดที่ รร ที่ Danang
-จีน ไต้หวัน จะมาทำธุรกิจ
-เกาหลี ตอนนี้มาอันดับ 1
-ต่างชาติก็เยอะ (ถามคนนึงเจอที่ร้านอาหารบอกทำงานอะไร เค้าบอก Crypto)

Strategy Masan
-ตอนนี้สินค้า Masan คิดเป็นประมาณ 18% ของสินค้าใน WinMart
-WinMart ใช้ strategy แยก ประเภทของ store เพื่อ cater different target groups (Urban, sub-urban, rural) การลงทุน 30k, 40k, 50k USD approx./store
-คิดว่าการขายเหมืองจะพยายามทำในปีนี้ แต่ไม่ง่าย ฟังแล้วอาจจะปลายปีอย่างเร็วครับ
-ทุกปี MCH จะออกสินค้า 50-100 ชิ้น เพื่อมาลอง (ผมคุ้นๆว่าเค้าไปซื้อสูตรมาเลย เค้าบอกว่าไม่อยากเสียเวลาลองผิดลองถูก)
-บริษัท focus การสร้างแบรนด์ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่บริษัทเชี่ยวชาญ
-ถามว่าจะสู้กับ Back Hao Xanh ยังไง เค้าบอกว่าสินค้าใน WinMart จะมีพวก WinEco, Meat Deli ซึ่งถ้าอยากซื้อก็จะมีขายแค่ที่นี่ ซึ่งเป็น Synergy เพราะตัวสินค้าเองก็จะมี Distribution Channel ของตัวเอง และสินค้าจะไม่ได้ถูกเหมือน Bach Hao Xanh
-ถามว่า strength/weakness ของ Bach Hao Xanh คืออะไร เค้าบอกว่า MWG กล้า bet กล้ามาลงทุนกับ BHX ส่วน Weakness คือตอนนี้ขายได้ SSSG โต แต่ Margin ลดเยอะ
-ผมถามว่าใส่ของสดเพราะของอื่นๆขายไม่ได้รึเปล่า เค้าบอกว่า Rural ยังปลูกผักกินเอง ใส่ไม่เยอะ กลัวของเน่า … จำคำตอบที่เหลือไม่ได้
-เค้ามอง WinMart Premium กว่า และ BHX Mass กว่า
-เค้าบอกว่าเค้าเชื่อว่าตลาดใหญ่พอจะมี 2 players ได้

-ไปลองเดิม WinMart ก็เห็นสินค้า MCH จะอยู่ตาม Location ดีๆ
-พี่ป๊อปบอกว่า WinMart จะขายสินค้า MCH เช่นซอสถูกกว่าที่อื่นๆประมาณ 5%
-Meat Deli ราคาไม่ถูก มีทั้งปกติ และ Premium

ความเห็นส่วนตัว
-ทริปนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นในเวียดนามมากกว่าทุกๆครั้ง เข้าใจวิถีชีวิตของคนมากขึ้น และมั่นใจในหลายๆมุมของประเทศนี้
-เวียดนามจะไม่ได้โตตามไทยแล้วแซงไป แต่จะไปคนละทางแต่เป็นทางที่ใกล้กว่าและระยะทางไกลกว่า เพราะเค้า focus semi-conductor ไทยไม่สามารถทำได้
-ปี 2030 GDP แซงไทย (Analyst) แล้วผมคิดว่าอีกซักพัก GDP/Capita ก็มีสิทธิ์แซงได้ไม่ยาก
-ผมเริ่มมองว่าเค้าจะเป็นแบบเกาหลี พูดว่าเวียดนามแล้วจะมีความรู้สึกถึงประเทศพัฒนาเกิดขึ้น
-อนาคตถึงไทยจะสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังต้องพัฒนาเพราะตอนนี้ผมรู้สึกกลัวแทนมากๆ ถ้าเรายังอยู่กันแบบนี้

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Speaker ทุกท่านที่มาให้ความรู้ VVI ที่จัดสัมนา และ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านที่ได้เจอครับ ทริปนี้ได้รู้จักคนใหม่ๆมากมาย และได้ insight จากหลายๆ industry ที่แต่ละท่านทำงานอยู่ เป็นอีกทริปที่ได้ความรู้ ความสนุก และ ความมั่งคั่ง (ในอนาคต) ไปพร้อมๆกันครับ

***ทั้งหมดนี้ ผมพึ่งมานั่งนึก เพราะฉะนั้นข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน ถ้าจะใช้ข้อมูลขอให้ไปตรวจสอบอีกรอบนะครับ

NEO

NEO ดูแล้วบริษัทเติบโตด้าน Market Share แรงที่สุดในประเทศไทยนะ กิน share คู่แข่งได้ทุก category ที่ลงแข่งเลย เหมือนทำสงคราม 10ทิศ ชนะเกือบหมดเลย Research 2022 คนยังไม่รุ้จัก neo รุ้จักแต่ be nice ยัง กินแชร์ คู่แข่งขนาดนั้น ในปีนี้ที่ตราสินค้า Neo ทั่วประเทศ น่าจะได้ Awareness เพิ่มอีกมาก

Oppotunity ยังมี ตลาด hair care และ sun screen ที่ตลาดใหญ่และ NEO ยังไม่ร่วมลงไปเล่น

ยัง เหลือ market Share อีกเยอะเลยให้กินสำหรับตลาด Liquid detergent และ ครีมอาบน้ำ Liquid detergent จากข้อมูล ปี 2022

Valuation บริษัทที่มีโอกาสจะ Dominating ตลาด FMCG ทั้งประเทศไทยเป็นที่ 1 น่าจะได้ Premium หน่อย และ ก็มีทิศทางการทำตลาดที่ เวียดนาม ไปในทางที่ดี

ข้อมูลเสริมจากThaivi ตลาด Vietnam

  • D-nee มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ในเวียดนาม มียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 50% การส่งออกไปยังต่างประเทศของ NEO คุณภาพดี พรีเมียม ปากต่อปาก ราคาขายแพงกว่า Global brand (ส่วนมากจะอยู่ในร้านค้าดั้งเดิม ร้านใหญ่ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย)
    ที่เวียดนามมีผู้จัดจำหน่าย 2 ราย แบ่งเป็นโซนเหนือกับใต้

ขออนุญาตแชร์ Marketshare ของเวียดนามสำหรับสินค้ากลุ่มพวกนี้ cr พี่ฝน

ขนาดตลาดของใช้ในครัวเรือน การดูแลส่วนตัว และผลิตภัณฑ์สําหรับทารก & เด็กในเวียดนาม

ตลาดสําหรับครัวเรือน การดูแลส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์สําหรับทารกและเด็กในเวียดนามกําลังประสบการเติบโตอย่างมีนัยสําคัญ ขับเคลื่อนโดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น การเป็นเมือง และการตระหนักถึงผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

ด้านล่างนี้คือภาพรวมของขนาดและแนวโน้มของตลาดสําหรับแต่ละเซกเมนต์ในเครื่องสําอางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของเวียดนาม:

  1. ตลาดการดูแลส่วนบุคคลในเวียดนาม

ขนาดตลาดและการเติบโต

  • ตลาดการดูแลส่วนบุคคลในเวียดนามมีมูลค่าประมาณ 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022
  • คาดว่าจะเติบโตที่ CAGR ประมาณ 8.5% จากปี 2023 ถึง 2028
  • การเจริญเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยการเพิ่มความต้องการสําหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เส้นผม และช่องปาก

ไดรเวอร์กุญแจ :

  • ประชากรชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น : รายได้ใช้แล้วทิ้งที่สูงขึ้นนําไปสู่การใช้จ่ายในการเสริมสวยและสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น
  • อิทธิพลของแนวโน้มทั่วโลก :
    มีอิทธิพลต่อแนวโน้มความงามระดับโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นซึ่งเป็นผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่มีนวัตกรรมและคุณภาพสูง
  • ขยาย E-commerce :
    การเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์คือการทําให้ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น

เซกเมนต์ยอดนิยม

  • ผลิตภัณฑ์บํารุงผิว :
    รวมถึงครีมบํารุง ป้องกันแสงแดด และผลิตภัณฑ์ชะลอวัย ยังคงเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด
  • การดูแลเส้นผม :
    รวมถึงแชมพู ครีมนวด และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม
  • การดูแลช่องปาก :
    เพิ่มความตระหนักถึงสุขภาพฟันช่วยเพิ่มความต้องการยาสีฟันและน้ํายาบ้วนปาก
  1. ตลาดดูแลครัวเรือนในเวียดนาม

ขนาดตลาดและการเติบโต

  • ตลาดการดูแลครัวเรือนในเวียดนามมีมูลค่าประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022
  • คาดว่าตลาดจะเติบโตที่ CAGR ประมาณ 7% จากปี 2023 ถึง 2028
  • ส่วนนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด น้ํายาซักผ้า และน้ํายาปรับอากาศ

ไดรเวอร์กุญแจ

  • Urbanization :
    การเมืองอย่างรวดเร็วและการเพิ่มขึ้นของครอบครัวนิวเคลียร์เพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลครัวเรือนที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ
  • ความตระหนักด้านสุขภาพและสุขอนามัย :
    เน้นความสะอาดและสุขอนามัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังโควิด-19 ช่วยกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดในครัวเรือน
  • ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม :
    เพิ่มความสนใจในผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอเนกประสงค์ช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาด

เซกเมนต์ยอดนิยม

  • ตัวแทนทําความสะอาด :
    รวมถึงน้ํายาทําความสะอาดพื้นผิว น้ํายาฆ่าเชื้อ และน้ํายาทําความสะอาดห้องครัว
  • การดูแลซักรีด :
    ผงซักฟอก น้ํายาปรับผ้านุ่ม และขจัดคราบ
  • การดูแลอากาศ :
    ผลิตภัณฑ์ เช่น น้ําหอมปรับอากาศและกําจัดกลิ่น กําลังได้รับความนิยม
  1. ตลาดดูแลทารก & เด็กในเวียดนาม

ขนาดตลาดและการเติบโต

  • ตลาดดูแลทารกและเด็กในเวียดนามคาดการณ์ไว้ที่ $1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022
  • คาดว่าจะเติบโตที่ CAGR ประมาณ 9% จากปี 2023 ถึง 2028
  • ตลาดนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็ก ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและสุขอนามัย

ไดรเวอร์กุญแจ

  • อัตราการเกิดที่เพิ่มขึ้น :
    แม้ว่าจะมีแนวโน้มโดยรวมของการลดอัตราการเกิด แต่ก็ยังคงมีทารกแรกเกิดเป็นจํานวนมากต่อปี สร้างความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลทารกอย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่มการรับรู้ของผู้ปกครอง :
    ผู้ปกครองเริ่มมีสติมากขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สําหรับบุตรหลาน ต้องการผลักดันผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมและออร์แกนิก
  • ความภักดีของแบรนด์ :
    แบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นมีแนวโน้มที่จะสร้างความภักดีที่แข็งแกร่งในหมู่พ่อแม่ซึ่งชอบชื่อที่เชื่อถือได้สําหรับความต้องการของลูก ๆ ของตน

เซกเมนต์ยอดนิยม

  • สกินแคร์เด็ก :
    รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โลชั่น ครีม และน้ํามันที่เหมาะสําหรับผิวแพ้ง่าย
  • สุขอนามัยของทารก :
    ครอบคลุมผ้าอ้อม ผ้าเช็ดตัว และแป้งเด็ก
  • โภชนาการและการให้อาหารทารก :
    ผลิตภัณฑ์ เช่น อาหารทารกและอุปกรณ์ให้อาหารยังเห็นความต้องการที่แข็งแกร่ง

Cr. จากสไล คุณ Fon MeeMee Thanida

หุ้นไทยตกมาพอสมควร ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ผมได้เข้าไปศึกษาเพื่อหาหุ้นลงทุน ส่วนหุ้น HK ส่วนที่ผันผวนของพอร์ตก็คือ sector ที่อยู่ในวิกฤติคือ property management แต่หุ้นกลุ่มที่เป็น utility เดินหน้าบวกต่อเนื่อง หุ้นบางตัวผมที่ถือไว้ในกลุ่มนี้ทำ 52WH ต่อไป และหุ้นการเงินก็มีราคาทรงตัวในระดับที่ไม่ลงและบางตัวก็ 52WH เช่นกัน
ผมยังรอว่าผมจะกลับเข้าไปลงในหุ้นสิ่งแวดล้อมเพิ่มหรือไม่ มีแนวโน้มว่าต้องซื้อ เพราะหุ้นกลุ่มนี้เดินหน้าบวกกันต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นไทยผมได้อ่านหุ้น auct ใน thaivi เพื่อประเมินมุมมองของตลาดแต่พบว่าบางท่านที่เป็นนักลงทุนไม่เข้าใจความสัมพัธ์ของกิจการในห่วงโซ่พวกนี้ นั้นเพราะไม่เข้าใจขบวนการด้านกฎหมาย
ตัวละครในนี้ประกอบด้วย
ธนาคาร กับ ลูกค้า กับ auct กับ AMC
และความสัมพันธ์ สัญญาขายอสังหา(บ้าน) และสัญญาเช่าซื้อ(รถยนต์)
พอไม่เข้าใจก็อาจจะมีประเด็นสำคัญที่วิเคราะห์ผิด
ผมจะอธิบายระหว่าง ขายบ้าน และขายรถยนต์ดังนี้

บ้าน(และที่ดิน)ขายขาด เป็นการขายตั้งแต่วันแรกที่ทำสัญญา กรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว แต่บ้าน+ที่ดินจะติดจำนองกับธนาคาร ธนาคารอยู่ในฐานะเจ้าหนี้(ธนาคารอยู่ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ หรือเราเรียกว่าจำนอง) เมื่อต่อมาเป็น NPL มูลหนี้จะถูกขายให้ AMC ผ่านการประมูลหรือตกลงราคายังไงก็ได้เพื่อให้ AMC ไปดำเนินการฟ้อง(บังคับตามสัญญา)ลูกหนี้แทนธนาคร เราจะเรียกว่าเป็นการโอนสิทธิในมูลหนี้ หรือธนาคารจะทำการดำเนินการบังคับสัญญาเองก็ได้ จะเห็นว่า AMC ได้ไปทั้งมูลหนี้และสิทธิเหนือสินทรัพย์(ก็คือการจำนองนั้นเอง) และหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้ก็นำทรัพย์ไปขายทอดตลาด ได้เงินเท่าไหร่ก็มาหักหนี้ และค่าดำเนินการ ถ้าเหลือก็คืนให้ลูกหนี้ ถ้าไม่พอก็ฟ้องกันต่อไป

ในขณะการผ่อนรถยนต์นั้นคือการเช่าซื้อ หมายความว่า ธนาคารปล่อยเช่าและหากผู้เช่าชำระเงินครบตามสัญญาก็มีสิทธิในการซื้อ(ในราคาที่กำหนด อาจจะเป็น 0 บาท) นั้นแปลว่า รถยนต์ไม่ใช่ของผู้เช่าซื้อแต่เป็นของธนาคาร  เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหรือ NPL ธนาคารก็ไปยึดของที่เป็นของธนาคารคืนมา  ธนาคารก็จะทำการสร้างสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานความเสียหายเพื่อนำความเสียหายไปฟ้องผู้เช่า แต่โดยหลักของกฎหมายแล้วผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะนำรถยนต์มาคืนได้(แต่ต้องเป็นการคืนในขณะที่ยังไม่ผิดสัญญาเช่า ก็คือไม่ค้างเช่าซักงวดเลย)แต่คนส่วนใหญ่ไม่เศึกษาตรงนี้ เมื่อไปยึดรถมาแล้วก็ทำการขายทอดตลาด ขายเองไม่ได้ใช่ไหม คำตอบคือใช่ จำเป็นต้องขายทอดตลาดเพราะเป็นการประมูลทางสาธารณะ เพื่อที่จะยืนยันว่ามูลค่ารถยนต์นั้นเป็นเท่าไหร่ เมื่อได้เงินหักค่าดำเนินการทั้งหลายหากไม่พอชำระความเสียหาย ธนาคารก็จะฟ้องลูกหนี้ต่อไป และอาจจะขายต่อไปยัง AMC จะเห็นว่า AMC ไม่ได้สิทธิในรถยนต์ไปด้วยเพราะไม่ใช่ของผุ้เช่าซื้อ เป็นการโอนสิทธิในมูลหนี้ที่ ‘ขาดไป’ไปยัง AMC ให้ดำเนินการทวงหนี้ต่อเท่านั้น

กระบวนการพวกนี้เป็นกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าจะทำกันโดยอำเภอใจ เมื่อเข้าใจขบวนการทางกฎหมายเราก็เข้าใจธุรกิจ แต่เราก็ไม่ถึงกับไปเรียนกฎหมายแล้วถึงจะเข้าใจ

ธุรกิจ AUCT จึงเป็นผู้ดำเนินการให้ปรากฎราคาตลาดของทรัพย์นั้น มันมีความเป็น cycle ระดับหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจฟื้นความต้องการก็ลด เมื่อเศรฐกิจตกต่ำความต้องการก็สูงขึ้น สินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานของ AUCT นั้นไม่มีอะไรเลย มีคน มีพื้นที่ประมูลและเก็บรถ และการดำเนินงานตามขั้นตอบของกฎหมายให้เคร่งครัด
เราจึงไม่สามารถไปประเมินกิจการด้วย P/BV หรือ แม้แต่ P/E ได้หากเราจะลงทุนกับมัน ถ้าโดยทั่วไปก็คือซื้อตอนเศรษฐกิจดีขายตอนเศรฐกิจแย่ แต่ cycle นี้อาจจะยาวระดับหนึ่งเลยครับ ไม่ได้สั้นเหมือนบาง commodity ตัว auct ยังคงมีงานเยอะต่อไปอีกซักพัก และเราต้องติดตามคือยอดขายรถยนต์ลดแค่ไหน เพราะส่วนนี้จะไปเป็น NPL หรือสินค้าของบริษัทต่อไป ถ้ารถยนต์ขายไม่ได้วันนี้ วันหน้าสินค้าของ auct ก็ไม่มีให้ขาย
auct กำลังอยู่ในช่วงที่ enjoy ที่สุดแล้วครับ ถ้าหุ้นวิ่งแรงๆสิ่งที่จะทำคือ take profit ครับ

สมาคม

สรุป Live Talk กับพี่มี่ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย
ตื่นเต้น ได้ live กับพี่มี่ครั้งแรก 😁😅
มีผู้เข้าฟังทะลุ 600 คน ดีใจมากๆ 😁❤️

สรุป
ต้องรู้ว่าหุ้นที่ถูก ถูกยังไง และอะไรเป็น Key Driver ที่จะทำให้หุ้นตัวนั้นกลับตัวได้เร็วและมากกว่าตัวอื่นๆ

ตลาดเป็น cycle มีขึ้นมีลงเป็นธรรมชาติ
ตลาดมี 70 ตลาด ทั่วโลก ทั่วโลก ปีที่แล้ว + 20% จนถึงตอนนี้ +5%
ส่วนตลาดไทย -20%
ไปกลับถ้าตลาดกลับมาเราอาจะได้ผลตอบแทน 10-50%
ถ้าเศรษฐกิจกลับมา จะได้ผลตอบแทนสูงๆ
คนที่สำเร็จเวลาหาข้อมูลจนครบแล้วจะไม่สงสัย จะซื้อแล้วถือรอ มีความเชื่อมั่น
ถ้าคนที่ยังไม่หาข้อมูลครบพอ จะไม่กล้าถือได้นานหรือมีความหวั่นไหวถ้าตลาดลงหนักๆ
ศัตรูที่แท้จริงของนักลงทุน คือตัวนักลงทุนเอง
หุ้นไทยตอนนี้ถือว่าไม่แพง
Key Driver นึงคือเม็ดเงินภาครัฐเข้ามาแล้ว
อย่างเช่น GDP ตอนนี้ Q1 1.5% / Q2 2% / Q3 2.5% / Q4 3%  ถ้าเป็นไปตามนี้ หุ้นก็ควรจะปรับตัวขึ้นตามผลประกิบการ
เราต้อง หาโอกาสในวิกฤต หาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาด

Q การลงทุน ไปที่ไหนก็หมดหวัง  เราถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุนมั้ย / ช่วงไหน
A Warren Buffet บอกว่าให้ซื้อหุ้นตอนคนอื่นกลัว ขายตอนที่คนอื่นโลภ
จริงๆ Wording คือต้องซื้อของดีด้วย > ถ้าซื้อโดยไม่เข้าใจ ก็จะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดี
การเลือกหุ้นให้ถูกตัว ตอนนี้สำคัญมาก
ตลาด Bottom ประมาณนึงแล้ว ไม่ต้องห่วง / ให้ Focus ที่ตัวเลข ถ้า GDP ขึ้นจริงๆไปที่ 3.5-4 ตลาดก็ต้องกลับตัวแน่นอน
จาก ภาครัฐ ภาคเอกชนที่ยังชะลอตัวรุนแรง ภาวะแบบนี้เป็นเรื่องชั่วคราว เช่นรอราคารถมือ2นิ่ง
ถ้าเศรษฐกิจพลิกกลับ ก็จะดีขึ้รออย่างรวดเร็ว
หุ้นที่ลงแรง มีโอกาสขึ้นมาก
อย่าไปดูที่ราคา ให้ดูที่ story เช่นงบภาครัฐไม่มา ถ้ากลับมาเค้าจะได้เท่าไหร่
ที่พลาดหุ้นคือเรามัวแต่ไปดูที่ราคา

Q มุมมองภาเศรษฐกิจการเมือง จะวางตัว เรื่องการลงทุนยังไงดี
A จะตอบแทนทุกกลยุทธ์ไม่ได้ เรามองกรอบการลงทุน 1-2 ปี ดูเรื่อง Discount / ถ้าคนลงทุนระยะสั้น ก็ต้องมองเรื่อง Momentum
ถ้ามอง 1-2 ปี ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่ได้มีบ่อยๆ
พี่มี่ยังเชื่อว่าตลาดไทยโดนขายมากเกินไป
ต้องดูที่ตัวเราว่ารูปแบบการลงทุนเป็นแบบไหน
พี่มี่คิดว่าหุ้นยิ่งลง หุ้นตัวที่ดีๆ ก็จะยิ่งมีผลตอบแทนที่สูง
ตลาดเป็นธรรมชาติของมัน ยิ่งหุ้นลงยิ่งมีข่าวร้าย
เวลาหุ้นเป็นขาขึ้น คุณภาจะต่ำลงเรื่อยๆ เพราะเราขายไปแล้ว ต้องไปเลือกหุ้นที่คุณภาพต่ำลง
อย่างบางตัวเช่น NSL ก็ยัง Perform ได้ดีมาก แม้ตลาดจะไม่ดี
CPALL กำไรจาก 4,000 ไป 6,000 แต่ราคายังไม่ไป เราก็ต้องหาเหตุผลว่าเพราะอะไร ก็ถือเป็นโอกาสการลงทุน
ถ้าเราไม่ทำการบ้านก็เป็น Loop เดิมคือเราก็จะซื้อไม่ทัน
อย่าง S&P ขึ้นจาก 1000 เป็น 6000 คนก็ยังขาดทุน 60%

กลุ่มที่พี่มี่สนใจ
SI กลุ่มเงินภาครัฐ ตอนนี้ถูกเกินไป
AI กลุ่ม Electronic ได้ประโยชน์
Chip TSMC NVDIA
เป็นเหมือน application ที่ไปเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ หรือ PC > ต่อไปจะ Adoption มากๆ
Software AI / Hardware AI > การ adoption เป็น Digital ต้องลงทุนเพิ่ม ทั้งภาพรัฐเอกชน
Hardware AI > เช่น Apple
AI มาไม่มีคนบอกว่าใช้ยังไง ถ้าเราทดลองใช้เราจะเห็นศักยภาพ > Apple เก่งตรงนี้มาก จะทำให้เกิด Adoption มากและเร็ว

Q&A
Q สนามบินปักกิ่งเป็นยังไง
A ภาคการท่องเที่ยวจีนฟื้นชัดๆ ฟรี VISA 6 ประเทศจะเพิ่มอีกมาก
เมื่อก่อนคนขี้เกียจไปเพราะ VISA ตอนนี้ง่ายขึ้นมาก คนเลยไปจีนเยอะ
สนามบินที่น่าสนใจคือ ปักกิ่ง ไหหลำ
ปักกิ่ง CAP 70000 ล้าน ถูกกว่า AOT 10 เท่า
ความเสี่ยงคือรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งความยาวของจีนตอนนี้มากกว่าทั้งโลกรวมกัน
ปักกิ่งอยู่ทางเหนือ คนเหนือขึ้นไปมีน้อย ตอนกลางคนเยอะ
ปีนี้ไม่ขาดทุนแล้ว
สนามบินมีเพิ่มเหมือนจะเป็นความเสี่ยง แต่ปักกิ่งใหญ่กว่ากรุงเทพ 11 เท่า การมี 2 สนามบินไม่แปลกเลย ไม่ได้กินกัน
ราคาลงจาก 15 เหรียญ ตอนนี้ 2 เหรียญ

Q มุมมองพี่มี่ หุ้นไทยยังพอมีอนาคตอยู่ไหมครับ
A ต้นทุนนึงที่อยากให้คำนวณคือภาษี การไปตปท คุณต้องมีผลตอบแทน 31%+ ถึงจะคุ้ม ยิ่งใน Return ระยะยาวจะยิ่งยาก
การทบต้นยิ่งมาก หุ้นไทยยิ่งน่าสนใจ

Q หุ้นจีนที่ควรมีติดพอร์ตไว้ในวันนี้ที่ถือไปได้แบบไม่ต้องเปิดดูบ่อยๆค่ะพี่มี่
A ต้องแข่งแกร่งและเติบโตได้ PingAN เจ้าสัวซื้อที่ 59 ตอนนี้ 30 เหรียญ PE 5 เท่า
บริษัทโตปีละ 20% ถูกที่สุดในโลก ปันผล 5-7%

Q พี่มี่มองว่าถ้าหุ้นไทยกลับมา sector ไหนจะมาก่อน-หลัง ครับ
A เงินมาตรงไหนก่อน หุ้นจะไปก่อน Digital Transformation / Consumer Electronic / ค้าปลีก ส่งอุปกรณ์ไอที
ให้ไปดู clip Present Co-Pilot จะเห็นภาพมาก
Nonbank น่าสนใจ ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

Q กรณีสงคราม ความถือสินทรัพย์อะไร หรือลงทุนยังไง โดยเฉพาะสงครามใหญ่ ที่อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้น
A ถืออะไรก็แพ้ สิ่งเดียวที่ถือได้คือทองคำ

Q พี่มี่ช่วยอธิบายตัวเลขการคาดการณ์ในอนาคต
A ตอบยากมาก ต้องดูหลายองค์ประกอบ Project Pitching Alpha จะช่วยสอนเราได้

การจัด Productive CV
มีการหาผู้เชี่ยวชาญในบริษัทนั้นๆ มาให้ความรู้

กิจกรรม Pitching Alpha สร้างระบบให้เราวิเคราะห์หุ้นเป็น
ทำความเข้าใจกิจการให้ลึกซึ้งขึ้น

HUMAN

Human หุ้นที่มี value ซ่อนอยู่ รอการปลดล็อก 🚀

  • เป็นหุ้นที่มี software เป็นของตัวเอง พัตนาเอง ไม่จำเป็นต้องแบ่ง GP ให้ใคร
  • เป็นหุ้นที่มี operating leverage สูง หลังจากพัตนา software เสร็จแล้ว ก็นำไปขายได้ในรูปแบบ SaaS เพราะเป็น plateform มีรายได้แบบ Subscription เป็น Recurring
  • มี Swiching Cost ที่สูง เพราะลูกค้าเปลี่ยนยากหลังจากใช้งานแล้ว เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงในการเปลี่ยน ส่วนใหญ่จะใช้จนกว่า software จะเริ่มมีปัญหา ซึ่งก็กินเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี
  • ลูกค้าใช้แล้ว ก็อยากเพิ่มเติม Requirement ไปเรื่อยๆ ตามการเติบโตขององค์กร ทำให้มีรายได้ต่อยอดขึ้นไป
  • มีฐานข้อมูลพนักงานของลูกค้าในระบบ ถ้าหาทางแก้เรื่องกฏหมาย PADA ได้ จะสามารถนำข้อมูลนี่ไปต่อยอดได้อีกเยอะ เช่นระบบกู้เงิน ระบบประกันสุขภาพ
  • ไม่ใช่แค่ระบบ HR แต่กำลังเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆเข้าไปเพื่อขยาย ecosystem
  • เป็นบริษัทไทยเพียงไม่กี่เจ้าที่นึกออก ที่สามารถนำ software ออกไปขายยัง ตปท ได้ เป็นการขยาย TAM ได้อีกมาก
  • มี Localized ของตัวเอง และประเทศที่ไปทำตลาด ทำให้มีความครบเครื่อง ไม่ต้องไปซื้อ software ตัวอื่นมาเชื่อมต่อ พวก software global จะไม่ทำ localized อย่างเช่น SAP หรือ Workday เป็นต้น ทำให้ workplaze มีจุดเด่นขึ้นมา
  • ส่วนตัวคิดว่าตลาดยังให้ value ต่อ workplaze น้อยไปหน่อย คือไทยเราก็มี new economy ที่พอจะสู้กับ ตปท ได้ เพียงแต่คงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง
  • ปีนี้เป็นปีแห่งการ development and investment หลัง Go-live การบินไทยใน Q3 แล้ว software จะสมบูรณ์ และจะได้องค์กรระดับการบินไทย เป็น Site Reference ส่วนปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว

นับเป็นหุ้นนอกสายตา (ถ้าดูจากราคาที่ลงมากองโซนล่าง) ที่น่าติดตามอีกตัว ต้องขอบคุณน้องจักร ที่สรุปข้อมูลออกมาได้ดีมากๆครับ

CV Human 11/06/24 (หากผิดพลาดประการใด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย)

Core Business คือทำ HR Management จะแบ่งเป็นส่วนต่างๆดังนี้

1.ระบบ S/W HR เป็นระบบที่ไว้ใช้จัดการข้อมูลพนักงานในองค์กร ถึงแม้ว่าส่วนนี้ไม่ได้เป็นส่วนที่ Generate รายได้ให้องค์กร แต่องค์กรจำเป็นต้องมีระบบนี้เพื่อให้ฝ่าย HR จัดการข้อมูลของพนักงานทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี S/W ที่ขายลูกค้าอยู่ 2 ตัวคือ Workplaze (สำหรับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่) และ Tigersoft (สำหรับองค์กรขนาดเล็ก) รายได้จากส่วนนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
o Implement ระบบที่จะรับรู้เป็นก้อนในแต่ละเฟสของโปรเจ็ค เป็น Non-Recurring
o ค่า Subscription License ของโปรแกรม เป็น Recurring ซึ่งคิดค่าบริการตามจำนวน Headcount ต่อเดือน

2.Payroll Outsourcing – บริการรับทำเงินเดือนให้องค์กร ซึ่งองค์กรที่จะใช้บริการส่วนนี้ได้ “จะต้องใช้งาน software HR ของ Human ด้วย” รับรู้รายได้เป็น Recurring ซึ่งคิดค่าบริการตามจำนวน Headcount ต่อเดือน

3.HR Consult – เป็นทีมที่พึ่งตั้งขึ้นมาไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการให้ทาง Human ช่วยวาง Process การทำงานของฝั่ง HR ให้เพื่อที่จะปรับ Process การทำงานจริงให้มีแบบแผนแน่ชัดเพื่อที่จะได้สอดคล้องกับการทำงานของ Software Workplaze รับรู้รายได้เป็น Non-Recurring

4.ERP Solution – บริการ Implement ระบบ ERP ซึ่งจะมี Product 2 ตัวคือ Oracle Netsuite และ SAP B1 โดยรายได้จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ Implement ที่เป็น Non-Recurring และค่า Sub License+MA ที่เป็น Recurring

.

Ecosystem ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับ Workplaze โดยมี Workplaze เป็นศูนย์กลางของข้อมูลเพราะจะลิงก์กับข้อมูลพนักงานในระบบ เป็นสิทธิ์ประโยชน์ต่างๆที่มีไว้บริการพนักงานขององค์กรที่ใช้ Workplaze โดยแต่ละองค์กรสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดหรือปิดในฟีเจอร์ส่วนใด มี 3 ส่วนคือ (ส่วนตัวยังไม่เห็นภาพในฝั่งนี้เท่าไหร่ข้อมูลอาจจะผิดๆถูกๆ)

1.Fin Tech – เตรียมที่จะ Lunch ในช่วงครึ่งปีหลังได้รับ License เรียบร้อยแล้ว บริการปล่อยเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าในตลาด มีนายทุนให้เงินมาลองตลาดเริ่มต้นที่ 100 ล้าน จะรับรู้รายได้เป็นค่าบริการตาม Transaction น่าจะเหมือนกินค่าคอม หากเกิดหนี้เสียไม่ได้รับรู้เข้าที่ Human

2.Health Tech – มี 3 ส่วนคือ
o HLAB เป็นบริษัทที่ไปร่วมลงทุนโดยการถือหุ้นประมาณ 30% ทำซอฟแวร์สำหรับระบบของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เปรียบเสมือนระบบ ERP ของโรงพยาบาล ตามได้ที่ลิงก์นี้ https://www.hlabconsulting.com/ อันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับ Ecosystem ของ Workplaze เผื่อไว้ขายโปรเจ็คให้ฝั่งโรงพยาบาลแล้วสมารถจบได้ที่ Human ที่เดียวเลยทั้งระบบ HR ERP และ HLAB ซึ่งเชื่อมข้อมูลถึงกันหมด

o PHARM Care เป็นสิทธิ์ประโยชน์ไว้บริการให้พนักงานสามารถติดต่อเภสัชของร้านขายยาในเครือข่ายผ่าน Workplaze ได้เลยเพื่อติดต่อขอซื้อยาแล้วไปหักกับสิทธิ์พิเศษส่วนตัวของบริษัทตัวเอง โดยฝั่งนี้ทาง Human จะได้รับค่าคอมเป็นส่วนแบ่งจากร้านขายยาในเครือข่ายที่มีพนักงานไปเบิกใช้สิทธิ์

o Benix เป็น Broker สำหรับขายประกัน โดยจะลิงก์ข้อมูลสุขภาพของพนักงานใน Workplaze เพื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพพนักงานในการเสนอขายประกัน หรือเป็นสิทธิ์ประโยชน์ให้พนักงานสามารถเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับตัวเองได้ในวงเงินที่บริษัทกำหนดไว้

3.Ed Tech – Conicle เป็น App ที่ไว้สำหรับเทรนนิ่งฝึกสกิลต่างๆให้พนักงาน

.

หลังจากที่มีการควบรวมกันของทาง Human และ DataOn ซึ่งนำจุดแข็งของแต่ละฝั่งมาผสมรวมกันมาพัฒนา Software เรือธงตัวใหม่ภายใต้ชื่อ Workplaze ที่พร้อมแข่งกับ Software เจ้าตลาดระดับ Global อย่าง SAP, Workday, Oracle

.

จุดแข็ง

  • มีฟีเจอร์ Localized เพื่อรองรับ Process เฉพาะในแต่ละประเทศในแถบอาเซียน แต่ Global Software ไม่ทำให้ต้องจ้าง 3rd party มาทำเพิ่มเองหรือซื้อโปรแกรมอื่นมาเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลให้
  • ราคาถูกกว่า Global Software แบบมีนัยยะทำให้สามารถแข่งกับ Global Software ได้ ยิ่งองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการจะลด Cost ก็อาจมองหา Software ประเภทนี้ไป Replace ตัวเดิมแทน Global Software

.

จุดอ่อน

  • ยังขาดความน่าเชื่อถือของตัว Software เพราะธุรกิจประเภทนี้โดยปกติทางลูกค้าจะเน้น Site Ref. จากองค์กรรายใหญ่ก่อนจึงจะทำให้ฝ่าย IT องค์กรอื่นตัดสินใจกล้าใช้ตาม (มีหลายองค์กรที่รอเสียงตอบรับจากการ Go-live การบินไทยก่อนว่าติดปัญหาอะไรไหม
    แผนการเติบโต
  • รอการบินไทย Go-live ระบบเพื่อไว้ใช้เป็น Site Ref. เวลาไปเสนองานให้ลูกค้ารายอื่น
  • มีการรับเซลล์และขยายทีมงานเพื่อทำการตลาดและเร่งยอดขายในฝั่งสิงคโปร์ มาเลย์ เวียดนาม
  • เตรียมฐานทุกอย่างให้พร้อมในปีนี้เพื่อไปลุยต่างประเทศอย่างจริงจังในปีถัดไป

.

ความเสี่ยง

  • องค์กรทั่วโลกลดจำนวนพนักงานลงอย่างมีนัยยะแบบสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เพราะรายได้ Recurring จะอิงกับจำนวน Headcount ของพนักงานในระบบ
  • หาก Go-live การบินไทยไม่สำเร็จโดยเกิดจากฝั่งทีมของ Human เองจะทำให้ความน่าเชื่อถือของ Workplazeเสียหายอย่างมาก
  • หางานได้ไม่ถึงยอดขั้นต่ำที่ต้องการทำให้รายได้ฝั่ง Non Recurring Drop

.

Q&A

Q : ช่วยอธิบาย PharmCare
A : เป็น 1 ใน eco system ของ workplaze โดยจะได้ส่วนแบ่งรายได้ค่ายาจากเชน drug store โดยจะเริ่ม lunch ครึ่งปีหลัง

Q : อยากให้เล่าตลาดอินโด
A : ตลาดใหญ่กว่าฝั่งไทยทั้งจำนวนคน จำนวนบริษัท แต่กำลังซื้อจะต่ำกว่าไทย เนื่องจากฝั่ง local จะตัดราคากันทำให้ Software Global ไม่สามารถสู้ได้ กำลังซื้อสูงสุดจะอยู่ที่สิงคโปร์ มาร์จิ้นจากกลุ่มนี้ดีมาก

Q : สถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ที่คาดหวังไว้มั้ย
A : ยังอยู่ในเกณฑ์ที่คาดหวัง ปีนี้มองว่าโตราวๆ 10 กว่า% มาร์จิ้นอาจจะดีขึ้น แต่ปีหน้ามองว่าจะเป็นปีที่ก้าวกระโดดอย่างจริงจัง

Q : มุมมองในอีก 3 ปีข้างหน้า
A : ถ้าเราพร้อมเป็นไปตามแผนในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเห็นการ growth 20-30% up ที่มาร์จิ้นที่สูงด้วย แต่ต้องอยู่ที่ product workplaze จะสามารถเติบโตได้แบบที่ต้องการหรือไม่ เพราะว่าเป็นจุดเริ่มต้นนึงในไทย เมื่อ system พร้อมแล้วจะ rollout ecosystemไปยังประเทศอื่น แต่จะเป็นเรื่องการเตรียมการ เช่น จะเอา benix หรือ pharm care ไปยังประเทศอื่น เราต้องไปคุยกับพาร์ทเนอร์ เช่น ร้านขายยาเพื่อสร้างเน็ตเวิร์คให้ใหญ่พอ เพื่อให้มีความสะดวกต่อพนักงานในการหาร้านขายยาในเน็ตเวิร์คที่ใกล้ที่สุดได้อย่างไรแล้วก็ไปพบเภสัชเพื่อรับยา หรือจะขอนัดเภสัชออนไลน์ก็ได้และเราก็มี option ในการไป visit ที่ร้านขายยาด้วย เพราะฉะนั้นต้องเตรียม network ส่วนนี้ให้พร้อมก่อน อันนี้เป็น business model ส่วนนึง

Q : กลยุทธ์ในการบุกตลาดต่างประเทศเพื่อแข่งขันกับ global และ local Software
A : ต้องสร้างแบรนด์ เรายอมรับว่าแบรนด์ของเรายังไม่เป็นที่รู้จักนอกประเทศไทยและอินโด เพราะไม่เคยทำ marketing เลย สร้าง Ref. ในเรื่องของ Multi Country โดยมี Multi Country คือ Seagate ที่เซอร์วิสในไทย มาเลย์ สิงคโปร์ เราพึ่งได้ Johnson & coใน 4 ประเทศ เมื่อไหร่ที่เมี ref. ถ้าอาเซียนเราจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำให้คนรู้จักคือการสร้างแบรนด์

Q : เหตุผลอะไรที่สามารถไป replace global s/w ได้อย่าง SAP Workday ในไทยได้
A : เพราะ localization ที่ฝั่ง SAP และ Workday พยายามทำแล้วแต่ได้แค่ระดับ simple มาก (เจ้าตลาดจะเน้นทำ localization ให้ลูกค้าในแถบเมกายุโรปมากกว่าเอเชีย) แต่ของเราตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุดมากกว่า อย่างเช่นการคำนวณยอดตามกะเวลาของพนักงาน

Q : ยังโฟกัสในการมองหาดีล M&A หรือไม่ มองหาธุรกิจประเภทใด หากมีดีลใหญ่จะมีการเพิ่มทุนอีกหรือไม่
A : มีคุยอยู่ ถ้ามองหาจะเป็นพวก Strategic Partner มากกว่า และคิดว่าจะไม่มีการเพิ่มทุน

Q : มีแผนจะขยายฝั่ง HR Consult ไหม
A : ไม่มีแผนในการขยาย แต่ที่สร้างทีม consult ขึ้นมาเพื่อนำมาต่อยอดในการขาย workplaze เพื่อไว้เซ็ตอัพ process กับฝั่งลูกค้าให้เข้าที่เข้าทาง

Q : BOI จะได้คำตอบช่วงไหน
A : BOI ฝั่งไทยเงื่อนไขดูไม่น่าสนใจ เลยมองว่าจะเอา product ไปอยู่ที่สิงคโปร์ เพราะภาษีที่สิงคโปร์ต่ำกว่า คาดว่าประมาณ 10 กว่า%

Q : แนวโน้มค่า SG&A เป็นอย่างไร
A : ณ ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว จะเหวี่ยงอยู่ใน range นี้

Q : แผนในการเกษียณ
A : มีแต่จะเป็นเปลี่ยนบทบาทไปเป็น Chairman มากกว่า น่าจะภายใน 3-5 ปี

Q : เห็นว่าต้นปีมีการไปออกบูธในต่างประเทศฝั่ง oversea เป็นอย่างไรบ้าง
A : ฝั่งสิงคโปร์กับมาเลย์พึ่งจะรู้จัก Humanica ในงาน โดยในปีนี้จะเพิ่มคนที่สิงคโปร์กับมาเลย์ โดยจะย้ายฐานการประมวลผลไปที่มาเลย์เพราะต้นทุนต่ำกว่าสิงคโปร์ ปีนี้จะเห็นค่าใช้จ่ายในฝั่งนี้โตขึ้นมา แต่ใน long term จะเห็นการเติบโตของฝั่งนี้อย่างแน่นอน อยากเห็นรายได้จากฝั่งนี้ซัก 20% ถ้ารวมฟิลิปปินส์ด้วยจะอยู่ที่ 20-25% ในไทยตอนนี้ราวๆ 60% DataOn ราวๆ 30% ที่เหลือคือฝั่งนี้ที่จะสามารถโตขึ้นมาได้

Q : มีแผนในการใช้โมเดลตั้ง Reseller หรือไม่
A : ยังไม่มีแผนในเร็วๆนี้เพราะมีค่าใช้จ่าย และต้องเตรียมพร้อมในการถ่ายทอดความรู้ให้พร้อมก่อน และเรายังไม่จำเป็นต้องใช้โมเดลนี้ แต่ในอนาคตถ้าโตจนถึงจุดนึงก็จะนำโมเดลนี้มาพิจารณาใหม่

Q : ทำไมเราถึงได้ลูกค้ารายใหญ่อย่างการบินไทย
A : การบินไทยติดต่อมาเองเนื่องจาก SAP ที่ใช้อยู่เก่ามาก จึงได้ทำการเชิญ vendor ต่างๆมา bid งานแข่งกันแล้วเราชนะในงานนี้

Q : สัดส่วนรายได้ที่มองไว้จะอยู่ที่เท่าไหร่
A : Recurring/Non Recurring จะอยู่ที่ 65/35% หรือ 70/30% กำลังดีเพราะต้องมีฝั่ง Non Recurring ด้วยเพื่อจะไหลเข้า Bottom Line เลยเนื่องจากไม่มี Cost

Q : รายได้ recurring มีโอกาสลดลงไหม
A : มีจากสถานการณ์อย่างโควิดที่ทำให้องค์กรต่างๆลดขนาดองค์กรลง ถ้าเศรษฐกิจโตบริษัทก็มีแนวโน้มในการขยายองค์กรก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอัตโนมัติ และฝั่ง recurring เรามีต้นทุนที่ต่ำ

Q : หากบริษัทลดคนหันมาใช้ AI เรามีแผนอย่างไรบ้าง
A : เราจะลดคนด้วย AI เพื่อลด cost ของเรา กลับกัน AI ก็จะทำให้ productivity ของเราสูงขึ้นด้วยเพราะว่า automate ได้มากขึ้น แต่ AI จะมาทำให้คนไม่ต้องทำงานเลยเป็นไปไม่ได้ อย่างธุรกิจบริการยังไงก็ต้องใช้คนนอกจาก call center ที่ใช้แทนได้

Q : เหตุผลที่เราสามารถ replace SAP การบินไทยได้
A : Workplaze เป็น one stop service มีฟีเจอร์ทุกอย่างสำหรับฝั่ง HR อย่าง SAP จะต้องไปซื้อระบบเสริมเพื่อมา plug in อย่างระบบ payroll , time management มาถึงจุดนี้การบินไทยยังถามว่าหากใช้ outsource payroll ด้วยจะคิดเท่าไหร่ และยังสามารถต่อไปได้เรื่อยๆอย่างระบบบริหารนักบินที่ใช้ระบบเฉพาะของเมืองนอก ได้สอบถามทาง human ให้พัฒนาให้จะคิดเท่าไหร่ โดยประสบการณ์การใช้งานปกติแต่ละระบบจะมี user interface ต่างกันเทียบกับ Workplaze ที่อยู่ในระบบเดียวกันทำให้ user experience ในการใช้งานต่างกัน

Q : กังวลกับการชำระเงินของการบินไทยหรือไม่
A : ไม่กังวล

.

มุมมองส่วนตัว (มีหุ้นอยู่เลยขอ Bias หน่อย)

  • Human เป็นหุ้นในกลุ่มเทคที่มี Software เป็นของตัวเองและสามารถออกไปแข่งขันกับ Software Global จากฝั่งเมกา ยุโรปได้ในต่างประเทศแถบเอเชีย เนื่องจากความได้เปรียบของฟีเจอร์ Localized ที่มีให้ลูกค้าเลย ซึ่ง Software ที่พัฒนาเองถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มูลค่าซ่อนอยู่ ลองเทียบกับกราฟของบ. Software ต่างประเทศอย่าง SAP Workday ดู PE และมาร์จิ้นจะดีกว่าหุ้นเทครายอื่นในตลาดที่เอา Software ของคนอื่นมาขายเพราะต้องแบ่งรายได้ให้ทางเจ้าของ Software ด้วย
  • ในช่วงอดีตที่มีการควบรวมกับ DataOn ทำให้เกิดความคาดหวังกับหุ้นตัวนี้อย่างมากแต่ตัว Software พึ่งจะเริ่มพัฒนาทำให้ราคานำผลประกอบการไปไกล แต่ตอนนี้ตัว Software ได้พัฒนาเสร็จพร้อม Lunch เต็มระบบแล้วทำให้ความคาดหวังที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นกลับมาลุ้นได้อีกครั้ง
  • ธุรกิจ Software ที่พัฒนาเองหลังจากพัฒนาเสร็จแล้วจะไม่มีต้นทุนในการขายเลย จะมีก็แค่ส่วนเงินเดือนพนักงานกับ SG&A รวมถึงฝั่ง Project ที่เป็น Non Recurring ก็เช่นเดียวกัน
  • โครงสร้างงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีรายได้ Recurring ที่มีคุณภาพมากเป็นสัดส่วน 65-70% พร้อมปันผลอีก 50%+ จาก EPS ในทุกๆปี โดยส่วนนี้มีแต่สะสมเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โอกาสที่จะลดลงยากมากนอกจากลูกค้าย้ายไปเจ้าอื่นพร้อมกันหลายเจ้า ต่อให้ไม่โตหวือหวาแต่ยังมีส่วนนี้แบกอยู่ทำให้ขาดทุนยากมาก (อย่างการบินไทยที่รอ Go-live ช่วงกันยาอยู่จะมี Recurring เข้ามาเฉพาะรายนี้รายเดียวประมาณ 7-8 ล้านต่อไตรมาส ที่ออฟฟิศใช้บริการของ Human เลยพอคำนวนค่า license ต่อหัวได้คร่าวๆ)
  • TAM ของธุรกิจซอฟแวร์ HR มีมูลค่ามหาศาล ขอแค่แย่ง Market Share จากเจ้าตลาดอย่าง SAP Workday Oracle ได้สักส่วนนึงในแถบเอเชียก็มีช่องให้เติบโตได้อีกเยอะมาก
  • รายได้ Recurring โตมาใกล้จะ Cover ฝั่ง Cost + SG&A ได้ทั้งหมดแล้วที่เหลือคือหางาน Project เพิ่มเติมให้ได้เพื่อให้ Non Recurring ไหลเข้า Bottom Line เต็มๆจะทำให้อัตรากำไรสุทธิโตขึ้นมากกว่าเดิม
  • มีลูกค้าใหญ่รายใหม่ที่รอ Implement + อยู่ในช่วงที่พูดคุยอยู่ขอไม่เอ่ยชื่อ สามารถติดตามเองได้ใน Oppday

ThaiVI

240602 อ.หลิน วีระพงษ์ ธัม Valuation Error

ThaiVI21

ปิดท้ายวันนี้ ด้วย อาจารย์หลิน มาสอนเกี่ยวกับ
“valuation error “
………………………………………………………………
เราพยายามหา“หุ้นเปลี่ยนชีวิต”
เราต้องการหา winner
แต่เราควรหา error ก่อน ลด error แล้วจึงไปหา winner

error ข้อที่ 0.
“Turn Valuation To Position “

เมื่อเราพรีเซนต์หุ้นกัน แล้วสุดท้ายเราจะซื้อ/ไม่ซื้อ
นี่คือสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคิด .. ทำอย่างไรเราจะมี jigsaw ทุกชิ้นมากพอที่เราจะตัดสินใจ เกี่ยวกับ position ได้

error ข้อที่ 1
MOAT is not 5 forces or SWOT or 7 Powers
(พี่หลินมีคอร์ส 7 Powers online ของสมาคม สนใจไปเรียนได้ รายได้ทั้งหมด บริจาค)

เราต้องดู value chain แล้วดูว่า value มันอยู่ตรงไหนที่ใครอย่างแท้จริง

2.Find Qualitative & Quantitative relationship
Quantitative อาจขอกได้แค่ 1-2 Q ข้างหน้า
แต่ qualitative จะทำให้เข้าใจ และคาดการณ์ได้ในระยะยาว นี่คือสิ่งที่ VI ควรค้นหา

บางทีเหตุผลต่างๆทางคุณภาพ หรือคำตอบของ “Why” อาจสำคัญกว่าตัวเลข

3.Projection timeframe: short, medium, infinity?
The most important: Perspective

เกมหุ้น เหมือนเล่นหมากรุก ที่เรา(หมากขาว)อาจเผลอมองแต่ฝั่งตัวเอง แต่ที่จริง เราควรมองฝั่งตรงข้ามหรือคนอื่นๆ (หมากดำ) บ้าง

Good valuation = Story* + Numbers = Sweet spot of valuation

numbers มาทีหลัง story บางทีกว่า number จะพิสูจน์ให้เราเห็น มันก็ยับไปแล้ว

4.Financial model in “RIGHT” Detail
(Revenue , Cost , Asset , Liability , Equity)

คล้ายกับการที่เราเอางบมาเรียง
เราทำเพื่อทำความเข้าใจ เพื่อ crack หาบางอย่างออกมา
สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่า
ธุรกิจนี้ บรรทัดไหน หรือ ratio ไหนสำคัญ
หมายเหตุประกอบงบ หรือ assumptions นั้นคือสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจก่อน เราอาจรู้จุดโตหรือจุดตาย ของธุรกิจนั้น

5.Lack of “Quality “ in sensitivity analysis
การ valuation คือการคาดการณ์ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ไม่มีใครรู้
การที่เราบอกว่า Best case, Base case , worst case : จะมี pe เท่านั้นเท่านี้อาจไม่ถูกต้อง
เราอาจต้อง รู้ถึง sensitivity ของ สมมติฐาน เช่น
ถ้าเกิด catalyst แบบนี้ๆ จะส่งผลให้ pe เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ทั้งบวกและลบ

“Change Occurs every chance “ (ทั้งบวกและลบ)

นักลงทุนที่สำเร็จทุกตำราจะบอกว่า ห้ามขาดทุน … คือการลด errors

บางทีเราคิดว่าเราไม่ผิด เพราะเรามองผิดที่ เลยไม่เห็นว่าเราผิด

6.Wrong Model (DDM, PE, P/BV, EV/EBITDA, DCF )

การเลือก model ที่ผิด อันตรายมาก

การ valuation ที่ดีที่สุด คือ DCF : Discounted Cash Flow
แต่..ไม่จำเป็นต้องทำในทุกกรณี
เพราะเมื่อเรามีประสบการณ์ เราจะรู้ว่าการ valuation แบบต่างๆ มาจาก DCF แบบย่อทั้งนั้น
ที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจและรู้ที่มา เพื่อเราจะใช้ได้ถูกต้อง
(เช่น ใน classical mechanics เรา ใช้ F=Ma
แต่เราใช้ไม่ได้ในทุกกรณี เช่น ใน Quantum mechanics ใช้ ไม่ได้)

PE ใช้ไม่ได้ในบางกรณี
แต่ DCF ใช้ได้ทุกกรณี ยกเว้นเราแทนค่าผิด

เช่น PE 5 เท่า ความหมายคือต้องทำกำไร ได้เท่านี้ตลอด 5 ปี .. ทำได้จริงหรือไม่?

  1. DCF : Discounted Cash Flow
    RISK : GROWTH : FREE CASH FLOW

DCF เป็น Ultimate Weapon
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องเคยทำ model นี้แบบจริงจัง กับหุ้นสักตัวนึง สักครั้ง เพราะ…
การทำ DCF คือการเอาองค์ประกอบด้านตัวเลข เท่าที่หาได้ ใส่ไปในสมการ แล้วเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆ
สุดท้ายจะออกมาเป็นสามคำนี้ : ความเสี่ยง , การเติบโต , กระแสเงินสด เป็นอย่างไร

ซึ่งถ้าเราจะใช้ PE หรือวิธีอื่นๆ อาจจะเป็นปลายทางเกินไป

ถ้าเราดูอะไรๆตั้งแต่ต้นทางให้ดีเราถึงอาจจะได้ประโยชน์ อาจเจอโอกาสจากความผิดปกติบางอย่าง

แต่การลงทุนคือการหาโอกาส ที่เยอะที่สุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด และแม่นที่สุด
เราจะทำยังไงให้ balance

เช่น ถ้าเราประเมิน แม่นในการประเมินมูลค่า สิ่งเดียว โอกาสคือ 1
แต่ถ้าประเมิน 10 อย่าง เราจะแม่นน้อยกว่า 1

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ประเมินให้ แม่นมากที่สุดในสามอย่าง ความเสี่ยง การเติบโต กระแสเงินสด

ไม่มีอะไร Free
Revenue ไม่เคย Growth ฟรีๆ
SG&A ก็ไม่เคยลด ฟรีๆ
ต้องมีต้นทุนในการลงและขึ้นเสมอ

8.Range of Result for Decision making & Probability
ค่าของผลลัพธ์และความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น
ในอุตสาหกรรมที่เราชำนาญ จะแม่นขึ้นเรื่อยๆ
แต่ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่เราลงทุน
ยิ่ง dynamic อุตสาหกรรมมาก ผลลัพธ์ยิ่งกว้าง

เราต้องคิด Risk Reward Ratio เสมอ
นักลงทุนชอบซื้อ ที่ RRR ติดลบ(Risk มากกว่า Reward) ซื้อเพราะมันขึ้นอยู่
หุ้นบางตัว 5 > 10 > 15 เราอจากซื้อ เพราะ อาจไป 20 แต่โอกาส
15 > 20 (50%)อาจ พอๆกับ โอกาส 15 > 7.5 (50%)
สุดท้ายถ้าเล่นแบบนี้ ได้แล้วก็เสีย สุดท้ายก็จะหมดตัว

แต่ถ้าเรา เล่นเกมแบบ Dhandho ชนะ 1-2 เด้ง แพ้ 10-20% เล่นแบบนี้เราจะชนะ
และเราไม่ได้เล่นทุกครั้งที่ซื้อหุ้นตัวใหม่
การที่เราถือหุ้นตัวเดิม งบออก Q นึง ก็เหมือน เกมใหม่ ทอยเต๋าใหม่
ข้อควรระวัง ยิ่งเรา Overconfidence มากขึ้นเท่าไร Cost of a mistake ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

9.Point of Investment

เราจำเป็นต้องหา “จุดตาย” หรือ point ของการลงทุนหุ้นตัวนั้น
เราต้อง หาไอเดียที่ง่ายๆ แต่ต้องจริงจังกับมัน

“Take a simple idea and take it seriously.” Charlie Munger

แต่ถ้าเราหาจุดตายเจอแล้ว .. เราก็ต้องมองจุดอื่นด้วย ไม่ใช่ว่า เอาชนะจุดตายแล้วจะสำเร็จ

นักลงทุนที่สำเร็จมองภาพครบ
ต้องแม่นทั้งจุดตายและมองภาพครบ

10.Valuation is in the DETAIL
เราต้องดู Detail บางอย่าง ที่มากกว่าแม้แต่ผู้บริหาร แบบนี้เรามีโอกาสชนะ
เราต้องดูให้ถึงรายละเอียด อย่าดูแต่ผิวๆ
เราอาจจะเห็น potential ที่ซ่อนอยู่

การ valuation ผมก็ยังไม่เก่งมากนะ (อ.หลิน ไม่เก่ง แล้วใครจะเก่ง 😅😅😅)
….
วิธีการที่ดีคือ
“นักรบที่ชนะ ชนะก่อนแล้วจึงทำศึก นักรบที่แพ้ ไปทำศึกแล้วจึงหาทางชนะ “ ซุนวู
เช่นเดียวกัน
นักลงทุนที่ดีคือ เราต้อง valuation ให้แม่นก่อนแล้วถึงซื้อ
นักลงทุนที่แพ้ ซื้อก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหา

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ต้องมาจาก passion ถ้าเรามี passion และ สนุกกับมันเราจะมีวันนั้น วันที่เราเป็น winner
แต่ winner จะเกิดจาก เราลด error แล้วสะสม กำลังพลที่เยอะพอ ไปยิงลูก winner
………………………………………………………………
เป็นการบันทึกจากความเข้าใจส่วนตัว ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ ยังไงต้องขออภัยครับ แต่หวังว่าจะมีประโยชน์

ขอบคุณอ.หลิน และสมาคม ThaiVI มากๆครับ 🙏🏻☺️

🏃🏻🏃🏻🏃🏻

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น