SABUY

Sabuy
มหากาพย์Sabuy
Mr.LikeStock(คลิปในcommentค่ะ)
part1

💎💎💎เวลาเจอว่าบ.จะไปM&A
ดูว่า
-ซื้อแล้วเกิดประโยชน์แค่ไหน ?
-synergyธุรกิจเดิมไหม?
-ราคาที่ซื้อแพงไปไหม?
-เป็นการซื้อที่เกินตัวไหม(เทียบส่วนของทุน)?
-ทำให้สถานการณ์เงินเสี่ยงเพิ่มมากไหม?

🚩🚩ที่มีประโยชน์จริงๆคือเราต้องพยามมองแรงจูงใจของดีลให้ขาดว่าM&Aเพื่ออะไร🚩🚩
▪️ต่อยอดธุรกิจ?
▪️จำเป็นต้องออกจากธุรกิจเดิมที่แย่?
▪️ปั่นราคาหุ้นให้สูงเพื่อให้เจ้าของexit
▪️การเร่งซื้อเป็นหนึ่งช่องทางในการเอาเงินเข้ากระเป๋าพรรคพวกตัวเอง?

🟨เงินซื้อกิจการ
ดูที่CFI
ปกติเป็นลบเพราะเอาไปลงทุน
ถ้าเป็นบวกแสดงว่าได้เงินจากการขายสินทรัพย์เข้ามา
แล้วดูว่าใช้แหล่งเงินจากไหนมาซื้อ

🟨TKSขายPtechให้Sabuy
การสูญเสียอำนาจควบคุมบริษัทย่อย
จากถือPtech98%เหลือ 25%
ส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้นมาจากราคาพาร์
บันทึกเป็นกำไรพิเศษจากการปรับโครงสร้าง830.96ลบ
เป็นกำไรทางบัญชีไม่ได้รับจริง
caseจอบ่อยๆ⏭️มีกำไรQนึงที่โดดมาจากกำไรพิเศษหลังขายบริษัทลูก

🟨TKSซื้อVDPเวนดิ้งพลัสจากSabuy -1,020ลบ.เป็นการซื้อที่คุ้มค่าหรือไม่?
-หรือมีความคุ้มค่าสำหรับเจ้าของที่ซื้อซ่อนอยู่แต่เราไม่รู้?
◾️IFAประเมิณมูลค่าVDPด้วยDCF
ได้ถึง 1,272ลบ🚀🚀🚀
มากกว่าที่TKSซื้อมาอีก
IFAประเมิณกำไรVDP 155ลบ/66
ของจริงขาดทุน13.5ลบ/66และขาดทุนหลายปีต่อเนื่อง😂😂
◾️ตรวจความคุ้มค่าในการซื้อจากงบดุล
VDPมีE=224ลบ
มีD=808ลบ🚩🚩🚩

🟨ในงบดุลSabuy
มีค่าความนิยม 1,228ลบ
=ค่าที่เกิดจากซื้อPtechมาเกินมูลค่าสินทรัพย์จริง❗️❗️
ซึ่งสัดส่วนจากการบริหารศูนย์อาหารที่สบายทำมีสัดส่วน17%ของสินทรัพย์
แต่ลงทุนซื้อPtechถึง26%ของสินทรัพย์เพื่อมาใช้ในศูนย์อาหาร

…………………….

เพิ่มเติม
💎💎💎การวิเคราะห์ดีลM&A
จะเกิดประโยชน์เมื่อ💎💎💎
🔸️1]การลงทุนในธุรกิจใหม่ให้ผลตอบแทนมากกว่าของเดิม
ธุรกิจใหม่ควรมี ROE NPMไม่น้อยกว่าเดิม
ถ้าการลงทุนใหม่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเดิม
ควรนำเงินกลับไปขยายธุรกิจเดิมหรือ
เอาเงินไปซื้อหุ้นคืนเพื่อเพิ่มROE(ลดE)ดีกว่า
🔸️2]เป็นการลงทุนที่ทำเกิดsynergy
Vertical M&A ขยายไปในsupply chainเดิม
Concentric M&A ,, อุตสาหกรรมเดิม
แล้วช่วย
✔️cross saleเพิ่มรายได้
✔️ใช้ทรัพยากรร่วมกัน การตลาด การผลิต
ลดCOGS ลดSG&A
🔸️3]เป็นการลงทุนที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเดิม
ในระยะยาว
✔️เพิ่มBrand Awareness เพิ่มBrand Royalty
✔️เพิ่มNetwork Effect
✔️เพิ่มSwitching Cost
✔️เพิ่มEOS
🔸️4]เป็นการลงทุนที่วัฒนธรรม2องค์กรเข้ากัน การบริหารจึงเดินหน้าไม่เกิดปัญหา
🔸️5]เป็นการลงทุนที่ยังปล่อยให้พนักงานในธุรกิจใหม่แสดงศักยภาพได้เต็มที่ ไม่ครอบงำ
🔸️6]เป็นการลงทุนซื้อกิจการที่RBV Resource Base Veiw of the firm
ทรัพยากรหลักของธุรกิจนั้นยังคงอยู่
เช่น
ซื้อกิจการสำนักพิมพ์
➡️คอลัมนิสต์เต็มใจที่จะมาเขียนให้ที่ใหม่
ซื้อคลินิก
➡️ทีมแพทย์เต็มใจทำงานให้ผู้บริหารคนใหม่
🔸️7]ซื้อมาในราคาไม่แพง
🔸️8]ไม่เข้าซื้อตอนกำไรพีคชั่วคราว
🔸️9]ไม่เร่งซื้อจนก่อหนี้สูงเกินไป
(เสี่ยงช่วงดอกเบี้ยสูง)
🔸️10](เพิ่มเติมจากน้องแสตมป์ค่ะ)
เวลาถือหุ้นเกิน50%/ มีอำนาจบริหาร
การconsolidate งบการเงินแบบควบรวม สมมติก่อนหน้านี้A ถือหุ้น B น้อยอาจจะรับรู้เป็นกำไรจากปันผล อย่างเดียวเหมือนได้เปล่า แต่พอ A consolidate B ต้องเอาทรัพย์สิน หนี้ จ่ายcapex, working cap ปีต่อๆ ไปอาจจะดึงงบAลงมาได้ด้วยครับ

🟨🟨🟨การ M& A ที่จะเป็น synthetic ให้เกิดPseudogrowth
(หุ้นหายนะ :ดร นิเวศน์)
️เร่งสร้างราคาหุ้นด้วยการเร่งโต
ซึ่งM&Aเป็นการเร่งโตที่มีประสิทธิภาพสุด
เพราะในช่วงแรกจะทำให้ดูเหมือนโตอย่างมีประสิทธิภาพ
คือทั้งรายได้และกำไรโต
แต่เป็นการเข้าซื้อมาในราคาแพง เพราะซื้อในช่วงที่ดูเหมือนธุรกิจใหม่โตดีมากทั้งที่จริง
เป็นการโตแรงชั่วคราว
เมื่อกิจการที่ซื้อมาเติบโตลดลง
ตลาดจะderated PEจนกลายเป็นหายนะของราคาหุ้น

🟨Sabuyซื้อPtechจากTKS 2,005ลบ
โดย
-เพิ่มทุนPPให้TKS 984ลบ
-ขายบ.Vending plusให้TKS 1,020 ลบ.
▪️สรุปดีลนี้
ทั้งSabuy และTKSไม่จ้องจ่ายเงินออกไปจริง
มีเพียงผถห.Sabuyโดนdilutionจากการเพิ่มทุนPP
แต่หน้างานขณะนั้น หุ้นSabuyขึ้นจากIPO 2.5บาทมาเรื่อยๆไม่หยุด
เริ่มจากTKSที่ซื้อคือ8.95บาท
▪️การซื้อPtechซื้อเยอะเทียบส่วนของทุนของSabuyแค่2,×××ลบเช่นกัน
🟨TKS
-ซื้อหุ้นSabuy 984.5ลบ
-ซื้อTKSSMสยามเพลส 1,020ลบ
TKSSMเป็นลูกของSPM
ซึ่งSPMเป็นลูกของPtech

Vietnam

Vietnam VVI Trip 2024 in HCMC & Danang

ทริปลงทุนเวียดนามปีนี้จัดแน่นเต็มอิ่ม 9 วัน ซึ่งถือเป็นทริปที่ไปนานที่สุดเท่าที่เคยไปเวียดนามมา แต่ทำให้ได้เข้าใจประเทศ ผู้คน สังคม และวัฒนธรรมในแบบที่ไม่ได้คิดไว้

รอบนี้ไป Danang ครั้งแรกก็ยิ่งได้เห็นมุมใหม่ๆที่ไม่เคยได้เห็นและทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก ในโพสต์นี้เลยอยากเขียนสรุป Insight สิ่งที่ได้พบเจอ + จดบันทึกข้อความ รูปภาพ ความประทับใจระหว่างทริปไว้ด้วยครับ

ดร. ก้องเกียรติ
ทริป HCMC รอบนี้ผมประทับใจ ดร. ก้องเกียรติ เป็นพิเศษ หลังจากที่ฟัง Talk บนเวที ก็ได้รุมถามและฟังหลังงาน สิ่งนึงที่จำได้แม่น ท่านบอกว่าคนเราบางทีโอกาสดีๆมาครั้งเดียว ถ้ามาแล้วคุณต้องรีบคว้าไว้ พร้อมยกตัวอย่างมากมาย ทั้งคนที่คว้าไว้ และ พลาดมันไป ฟังแล้วก็เหมือนจะได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่ตัวอย่างแต่ละอันนี้เล่าได้สนุกและเห็นภาพมากๆครับ

ท่านเล่าย้อนไปตั้งแต่ทำงานที่ Bearing ทำดีลต่างๆ ทำให้มี Connection มากมาย ทั้งเศรษฐี ทั้งกองทุนใหญ่ๆล้วนสนิทสนมกัน จนไปถึงการทำดีลต่างๆในไทย ปัจจุบันท่านลงทุนทั่วโลก หลายประเทศ และไม่ได้ลงทุนแค่หุ้น แต่รวมถึงที่ดิน และ คอนโด ตามประเทศต่างๆ ท่านเล่าถึง Startup ว่าเวียดนามก็มี จีนก็มี แต่ถ้าท็อปๆต้องที่อิสราเอล พร้อมยกตัวอย่างแต่ละบริษัทที่ไปลง เวียดนามท่านก็ลงแต่อาจจะไม่ได้โฟกัสมากนัก

ดร.นิเวศน์
ช่วงค่ำของวันที่ 2 รอบนี้ ดร.นิเวศน์ ยังพูดคล้ายๆเดิมแบบที่ได้ฟังกันอยู่เรื่อยๆ แต่รอบนี้ผมรู้สึกว่า ดร. ให้ความเห็นกับ ACV ชัดกว่าทุกๆครั้งจากทุกๆครั้งที่ผมได้ฟัง ท่านคิดว่า ACV จะต้องใหญ่กว่า AOT ถึงจะมีความเสี่ยงจากรัฐบาล แต่ท่านเชื่อว่ารัฐบาลก็ยังต้องการรายได้จากสนามบินไปพัฒนาเพิ่ม จึงคิดว่ารัฐบาลน่าจะยังอยากปล่อยให้สิ่งนี้เติบโต รวมถึงยังบอกว่า FPT มีสิทธิ์ที่ Market Cap จะใหญ่ที่สุดในช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกันกับที่ท่านคิดสำหรับ CPALL ว่าตอนนี้ยังไม่ใหญ่ที่สุด แต่ก็มีสิทธิ์ที่วันนึง ซักช่วงเวลานึงอาจจะใหญ่ที่สุด

พี่เอก VP Bangkok Bank VN
Key Takeaway คือตอนนี้ ความเป็น Labor Intensive เริ่มหายไป ลูกค้าที่มา ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวแล้ว ถ้า labor intensive จะไปลงอินโดแทน และค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้น 6-7% ทุกปี
พี่เอกเชื่อว่าถ้า US ยังไม่ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ดี ถ้า Export จะยังชะลอ โดยรวมตอนนี้ถือว่ายังไม่ค่อยดีมากนัก

พี่แจ็ค วิศวกร ปันยารชุน
ถ้าเวียดนามย้ายไปเป็น Emerging Market สำเร็จพี่แจ็คคาดการว่าเงินจะเข้ามาอีก 20 เท่า (ผมจำไม่ได้ว่า 20 เท่าของอะไร ถ้าใครจำได้เม้นบอกหน่อยนะครับ)
(ความเห็นส่วนตัว: ผมว่าเกมส์นี้น่าสนุกสุดๆ 555)

การท่องเที่ยวเวียดนาม
-HCMC ผมว่าพัฒนาและดูมีสีสันมากขึ้นเทียบกับรอบก่อนที่มาตอน Oct 2023 แต่ที่น่าประหลาดใจคือ Danang
-ดานัง เป็นเมืองที่ผังเมืองดีที่สุดในเวียดนาม การคิดมาอย่างดีทำให้เมืองนี้จะยังเติบโตได้อีกเยอะ โดยรวมร้านและ รร ราคาไม่แพง ค่อนข้างสงบ ค่าครองชีพถูกกว่า HCMC เยอะมากพอสมควร
-แต่สิ่งที่ผม wow คือ Banahill ไม่คิดว่าเค้าจะทำได้ดีขนาดนี้ ทำ product ออกมาได้ดีมากๆ โดยที่ price ยังถือว่าไม่แพงเลย ตอนนี้กำลังขยาย phase ใหม่ๆ รวมถึงเริ่มมีแพลนจะสร้าง รร 5 ดาวเพิ่มแล้วด้วย
-โดยรวมผมรู้สึกว่าไทยมีดี แต่ถ้าไม่ปรับตัว จะโดนแย่ง share แน่ๆครับ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะสู้ยากเพราะความเป็น Thai มันขายได้และไม่ได้คิดว่าเค้าจะ focus แต่ที่นี่สำหรับมือใหม่ ผมว่าทำได้ไม่เลว และจากการลงทุนต่างๆที่ส่งเสริมเรื่องนี้ การเติบโตมาแน่ๆ อยู่แล้ว แต่พอได้ไป คิดว่าน่าจะโตได้มากกว่าที่คิด
-ไปเวียดนามได้สำรวจ Club/Bar ตามเคย ผมคิดว่าโดยรวมไม่ได้ห่างจากไทยมากเลย DJ และ เพลงดี Service บางร้านก็เหมือนไปทองหล่อ และที่สำคัญคืออยู่ ตจว. ก็มีที่ดีๆเหมือนกันด้วย ไม่ได้มีแค่ใน HCMC

พี่ป๊อป
รอบนี้ไป 8 คืน หารค่าห้องนอนกับพี่ป๊อปไป 5 คืนพร้อมดูดความรู้มาจนแน่น
-พี่ป๊อปบอกว่าคนไทยชอบมองคนเวียดนามด้วย lens ของคนไทย ว่าทำไมมันทำแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆเราต้องมาเข้าใจเค้า และมองในมุมมองของเค้า จะทำให้เราเข้าใจเค้ามากขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยได้
-Emerging Market เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายตัวแต่ bank ปล่อยให้ไม่ทัน เงินจากนักลงทุนเลยต้องเกิด
-เวลาดูการท่องเที่ยวเวียดนาม เปรียบเทียบแค่ประเทศโซนอาเซียนก็พอ เพราะมันคือ target ใกล้เคียงกัน เช่น ไทย เวียดนาม อินโด มาเล (ก่อนหน้านี้ชอบไปบอกพี่ป๊อปว่าที่อื่นสวยกว่าเยอะ แต่มันไม่ใช่ไทย และไม่ใช่โซนนี้)
-คนเวียดนามยังอยู่ักันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกบ้านพร้อมใจทำงานช่วยกัน หลายคนมากๆและเก็บเป็น 10 20 30 ปี เพื่อที่จะซื้อบ้าน แม้แต่พวกเวียดกิว ไปทำงาน ตปท ก็ยังส่งเงินกลับมา
-คนเวียดนามสามัคคีมาก เค้าผ่านสงครามมา เค้ารู้ว่าถ้าเค้าไม่สามัคคีกัน เค้าจะไม่รอด

ไกด์ท้องถิ่น
-ตอนนี้ถึงค่าแรงอาจจะยังไม่เยอะ แต่เป็นช่วงที่ดีที่สุดของเวียดนามแล้ว เมื่อก่อนพ่อไกด์บอกว่า คนเวียดนามไม่มีงานให้ทำ ไม่มีข้าวให้กิน ไม่มีบ้านให้อยู่ ไม่มีเงินให้เก็บ
-หลายๆคนมีหลายงาน บางทีร้อนกลับบ้าน ดึกๆค่อยออกมาอีกที
-คนที่นี่ต้องมีลูกกันอย่างน้อย 3 คน และอยากมีลูกผชด้วย ช่วงโควิด คนเกิดเพิ่ม 4 ล้านคน
-เด็กเวียดนามตั้งใจเรียนเพราะต้องจ่ายค่าเทอมเอง
-ทุกคนขยันกันหมดจริงๆ (อันนี้เติมเอง)

หมอนวดที่ รร ที่ Danang
-จีน ไต้หวัน จะมาทำธุรกิจ
-เกาหลี ตอนนี้มาอันดับ 1
-ต่างชาติก็เยอะ (ถามคนนึงเจอที่ร้านอาหารบอกทำงานอะไร เค้าบอก Crypto)

Strategy Masan
-ตอนนี้สินค้า Masan คิดเป็นประมาณ 18% ของสินค้าใน WinMart
-WinMart ใช้ strategy แยก ประเภทของ store เพื่อ cater different target groups (Urban, sub-urban, rural) การลงทุน 30k, 40k, 50k USD approx./store
-คิดว่าการขายเหมืองจะพยายามทำในปีนี้ แต่ไม่ง่าย ฟังแล้วอาจจะปลายปีอย่างเร็วครับ
-ทุกปี MCH จะออกสินค้า 50-100 ชิ้น เพื่อมาลอง  (ผมคุ้นๆว่าเค้าไปซื้อสูตรมาเลย เค้าบอกว่าไม่อยากเสียเวลาลองผิดลองถูก)
-บริษัท focus การสร้างแบรนด์ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่บริษัทเชี่ยวชาญ
-ถามว่าจะสู้กับ Back Hao Xanh ยังไง เค้าบอกว่าสินค้าใน WinMart จะมีพวก WinEco, Meat Deli ซึ่งถ้าอยากซื้อก็จะมีขายแค่ที่นี่ ซึ่งเป็น Synergy เพราะตัวสินค้าเองก็จะมี Distribution Channel ของตัวเอง และสินค้าจะไม่ได้ถูกเหมือน Bach Hao Xanh
-ถามว่า strength/weakness ของ Bach Hao Xanh คืออะไร เค้าบอกว่า MWG กล้า bet กล้ามาลงทุนกับ BHX ส่วน Weakness คือตอนนี้ขายได้ SSSG โต แต่ Margin ลดเยอะ
-ผมถามว่าใส่ของสดเพราะของอื่นๆขายไม่ได้รึเปล่า เค้าบอกว่า Rural ยังปลูกผักกินเอง ใส่ไม่เยอะ กลัวของเน่า … จำคำตอบที่เหลือไม่ได้
-เค้ามอง WinMart Premium กว่า และ BHX Mass กว่า
-เค้าบอกว่าเค้าเชื่อว่าตลาดใหญ่พอจะมี 2 players ได้

-ไปลองเดิม WinMart ก็เห็นสินค้า MCH จะอยู่ตาม Location ดีๆ
-พี่ป๊อปบอกว่า WinMart จะขายสินค้า MCH เช่นซอสถูกกว่าที่อื่นๆประมาณ 5%
-Meat Deli ราคาไม่ถูก มีทั้งปกติ และ Premium

ความเห็นส่วนตัว
-ทริปนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นในเวียดนามมากกว่าทุกๆครั้ง เข้าใจวิถีชีวิตของคนมากขึ้น และมั่นใจในหลายๆมุมของประเทศนี้
-เวียดนามจะไม่ได้โตตามไทยแล้วแซงไป แต่จะไปคนละทางแต่เป็นทางที่ใกล้กว่าและระยะทางไกลกว่า เพราะเค้า focus semi-conductor ไทยไม่สามารถทำได้
-ปี 2030 GDP แซงไทย (Analyst) แล้วผมคิดว่าอีกซักพัก GDP/Capita ก็มีสิทธิ์แซงได้ไม่ยาก
-ผมเริ่มมองว่าเค้าจะเป็นแบบเกาหลี พูดว่าเวียดนามแล้วจะมีความรู้สึกถึงประเทศพัฒนาเกิดขึ้น
-อนาคตถึงไทยจะสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังต้องพัฒนาเพราะตอนนี้ผมรู้สึกกลัวแทนมากๆ ถ้าเรายังอยู่กันแบบนี้

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Speaker ทุกท่านที่มาให้ความรู้ VVI ที่จัดสัมนา และ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านที่ได้เจอครับ ทริปนี้ได้รู้จักคนใหม่ๆมากมาย และได้ insight จากหลายๆ industry ที่แต่ละท่านทำงานอยู่ เป็นอีกทริปที่ได้ความรู้ ความสนุก และ ความมั่งคั่ง (ในอนาคต) ไปพร้อมๆกันครับ

***ทั้งหมดนี้ ผมพึ่งมานั่งนึก เพราะฉะนั้นข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน ถ้าจะใช้ข้อมูลขอให้ไปตรวจสอบอีกรอบนะครับ

นักท่องเที่ยว

Occupancy Rate ของโรงแรมเฉลี่ยเดือน พ.ค. ถือว่ายังต่ำมากที่ 52.3% เทียบกับก่อนโควิดที่ 68.1% / เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปีที่แล้วที่ 51.4 %

รายได้ก็ยังเป็น K Shape
3 ดาวลงมา
41% ขายได้ราคาเท่าเดิม
33% แพงขึ้น
26% ลดลง

4 ดาวขึ้นไป
29% ขายได้ราคาเท่าเดิม
39% แพงขึ้น
32% ลดลง

ข้อสังเกต
เดือนก่อนเรามี นักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.63 ล้านคน ยังได้ OR ที่ 52.3% แปลว่า

  1. นักท่องเที่ยวไปพักที่ไหน? AirBnB ??คอนโด? หรือ Homestay?
  2. เรารองรับนักท่องเที่ยวได้ เดือนละ 5 ล้านคน?
  3. Hotel over supply ทำให้โรงแรมกลับมาแข่งขันเรื่องลดราคากัน ในขณะที่ต้นทุนขึ้น?

TRT

สรุป Oppday #TRT
1Q2024 12/6/2567
.
📌📌Business Highlight📌📌
-ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าทุกรูปแบบ

-TRT มีบริษัทลูกในเครือ 3 บริษัท
1.Thaifin
2.Tirathai E&S
3.L.D.S Metal work

-สินค้าและบริการหลักๆที่เป็นหม้อแปลง (Transformer) แบ่งประเภทเป็น
1.distribution transformer
2.Power transfomer
3.Transformer service
4.Transformer Repair
-สินค้าและบริการ Non- Transformer

-ลูกค้าหลักๆ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1. Utilities มี 3 เจ้า คือ การไฟฟ้าภูมิภาค(PEA),การไฟฟ้านครหลวง(MEA),การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(EGAT)
มีสัดส่วนรายได้ 33.3% ของทั้งหมด
2.บริษัทเอกชน(Private) หรือโรงงานขนาดใหญ่ มีสัดส่วนรายได้ 33.3% ของทั้งหมด
3.การส่งออก(Export) ไปใน Asia และ SE.Asia มีสัดส่วนรายได่ 33.3% ของทั้งหมด

-ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายในอุตสาหกรรมมามากกว่า 40 ปีและเป็น หนึ่งใน 2 รายของประเทศไทยที่สามารถผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ 333.33 MVA 525 kV
.
.
📌📌FINANCIAL HIGHLIGHT📌📌
-รายได้รวม Q1/2024 800.12 ลบ. เติบโต 103.4% YoY

-กำไรขั้นต้น(GP) Q1/2024 247.23 ลบ. เติบโต 364% YoY ส่วน GPM Q1/2024 อยู่ที่ 30.99% และQ1/2023 อยู่ที่ 13.65%

-สัดส่วนรายได้ทั้งหมดแบ่งเป็น Transformer (96%) และ Non-Transformer( 4% )

-ลูกค้าหลักๆใน q1 เป็นในประเทศ ที่ 86.5% และส่งออก(Export) ที่ 13.5% ของรายได้ส่วน Transformer
.
.
📌📌Business Outloook Q2/2024📌📌

-ภาพรวมของปีนีั มีการรับรู้รายได้ในแต่ละ Q ไม่ต่ำกว่า 600 ลบ. เป้าทั้งปีไม่ต่ำกว่า 2,400 ลบ. ตาม Forecast คือ 2,130 ลบ. เป็น Gov+ local , 340 ลบ. เป็น Export ,120 ลบ. (MA Trans) และในส่วน Non-Trans 193 ลบ.

-มี Backlog ทั้งหมด 1,770 ลบ.ส่งปีนี้ 1,530 ลบ.และ ปีหน้า 2025–> 240 ลบ. ปีนี้เป็นงานส่งมอบ หม้อแปลงใหญ่ Power ให้ EGAT 14 units รับรู้รายได้ 1,000 ลบ.ในปีนี้

-Bidding เจรจาเสนอราคาในตลาดหม้อแปลงที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่มีมูลค่า 13,050 ลบ. โดยสัดส่วน Export อยู่ที่ 2,400 ลบ. และ Success rate ของ TRT อยู่ที่ 20-25% ของมูลค่าที่เสนอมาเป็นใบสั่งซื้อ(order)
.
.
🔥🔥 Q&A 🔥🔥

Q : เทรนต์การขาดแคลนหม้อแปลงที่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป จากการใช้ Data center ,AI สอดคล้อง ว่า TRT จะส่งออก 50% ในตลาดใหม่ความคืบหน้าเป็นอย่างไร?
A : เป็นเทรนด์ในปีหน้า 2025 จะใช้นโยบาย ส่งออก 50% ส่วนในปีนี้ยังเป็นในประเทศอยู่ เกินครึ่งจะอยู่ในงานของ EGAT แนวโน้มการใช้หม้อแปลงในระดับโลกมีสูงขึ้น และทางยุโรป ก็ค่อนข้างจะเต็มกำลังการผลิต คาดการณ์ว่ารายได้ส่วนนี้จะเข้ามาในช่วง 2025

Q : GP ของ non-transformer เท่าไหร่?
A : 20% แต่บางงานอาจจะไม่เหมือนกัน Avg. อยู่ประมาณนี้ คล้าย Transformer

Q : Gp ในอดีตของเราเหวี่ยงมากแต่ 2 ไตรมาส ที่ผ่านมา Gp เราดีขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร?
A: เราบริหารยอดขายของเราอย่างเหมาะสม เริ่มจาก ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เราพยายามกระจายการับรู้รายได้ Q ละไม่ต่ำกว่า 600 ลบ. ตาม forecast ที่วางไว้ ทำให้ Gp เริ่มดีขึ้น

Q : งาน EGAT เราส่งมอบไปแล้วทั้งหมดกี่เครื่อง?
A : ปัจจุบันส่งมอบไปแล้ว 7 เครื่อง และวางแผนส่งมอบทั้งหมดภายในเดือน สิงหาคม 2567

Q : ราคาทองแดงที่สูงขึ้นมีผลกระทบกับเรามั้ยและสามารถเพิ่มราคากับลูกค้าได้หรือไม่?
A : มีผลพอสมควร แต่เราคิดว่าอยู่ในระดับที่เราควบคุมได้เพราะเรามีงาน EGAT ทองแดงจะไม่มีผล แต่ที่เหลือบางส่วน 10-20% ของรายได้รวม ทองแดงอาจจะส่งผลกระทบ สามารถเพิ่มราคากับลูกค้าได้ในระดับนึง ขึ้นอยู่กับตลาด

Q : ปี 2024 จะมีรายได้ส่วนไหนสามารถเพิ่มมากกว่าที่ Forecast ไว้บ้างมั้ย?
A : ในระหว่าง Q3 จะมีการประมูลงานเพิ่มขึ้น ในประเทศก็มี Project Solar farm ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับปีนี้ ภาพรวม Backlog ที่เรามีไม่น่ามีปัญหาอะไร

Q : หม้อแปลง Power กับ Distribution มี Margin แตกต่างกันอย่างไร?
A : Gp ในอุตสาหกรรมหม้อแปลง 18-20% ตามนโยบายตอบไม่ได้ว่า อันไหน Margin ดีกว่าเพราะขึ้นอยู่กับแต่ละ โปรเจ็ค

Q : หม้อแปลงไฟฟ้าแต่ละประเภทใช้ระยะเวลาผลิตนานเท่าไหร่?
A : ขนาดเล็ก 1-3 เดือน ขนาดใหญ่ 1 ปีถึงปีครึ่ง

Q : ความต้องการ Power transformer ในไทยมีมากขนาดไหน มีทุกปีหรือไม่?
A : ลักษณะของการประมูลหม้อแปลงใหญ่ Cycle จะอยู่ที่ 2 ปีครั้ง

Q : การส่งออกไปอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างไร?
A : กำลังเตรียมการในปีนี้ และปีหน้าจะได้เห็นในรายได้ส่วนนี้

Q : U-rate ของเราอยู่ที่เท่าไหร่?
A : 600 ลบ. จะอยู่ที่ 80%

Q : ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร?
A : working cap ที่ใช้ในหม้อแปลง EGAT สูง ทำให้เรามีเจ้าหนี้การค้า เพิ่ม และตัว Inventory ด้วย
อัตตราดบ.อยู่ที่ 5-6%

Q : การแข่งขันตลาดในประเทศเป็นอย่างไร?
A : มีหลาย Segments เล็ก กลาง ใหญ่ แข่งขันไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจ็ค

Q : ตลาดที่ส่งออก ตปท. มีประเทศอะไรบ้าง?
A : ปัจจุบันมี มาเลเซีย สิงค์โปร์ ศรีลังกา และเรามีแผนจะส่งออกไปในยุโรปในปีหน้า

Q : ความสามารถในการแข่งขันเทียบคู่แข่งจากจีน เป็นอย่างไรบ้าง?
A : ตลาดแถวนี้คู่แข่งเราก็คือจีน และสถานการณ์ปัจจุบันอเมริกากีดกันทางการค้าจากจีนก็จะเป็นโอกาสของเรา

Link: https://www.youtube.com/live/g6Aib8C3_bM?si=pgwbaydLgpVAQ_2h

TRT

Oppday Q1/2024 TRT บมจ. ถิรไทย
สรุปโดยเพจ #นิยมลงทุน

  • ทำธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าแบบครบวงจร และบริการอื่นๆ
  • รายได้หลักมาจากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า
  • ลูกค้าหลักคือ การไฟฟ้า เอกชน และส่งออก โดยมีนโยบายจะแบ่งให้มีรายได้ใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม

📊 Financial Highlight

  • รายได้ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.5% yoy
  • กำไรขั้นต้น 247 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 363.93% yoy
  • กำไรสุทธิ 96.31 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนเมื่อปีก่อน

🕵️ Outlook Q2/24

  • ใช้กำลังการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพทำให้มีกำไรมากขึ้น
  • มีการผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ในปีนี้ จำนวน 14 ยูนิต มูลค่าประมาณพันล้านบาท
  • คาดปีนี้มีรายได้ 2783 ล้านบาท จากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 2590 ล้านบาท และธุรกิจอื่นๆ 193 ล้านบาท
  • Backlog ในมือตอนนี้ 1770 ล้านบาท ส่งมอบในปีนี้ 1530 ล้านบาท
  • มีงานประมูลมูลค่ากว่า 15250 ล้านบาท มีโอกาสเปลี่ยนมาเป็นยอดของ TRT อยู่ที่ 20-25%

🙋‍♂️ Q&A

  • ปีหน้าภาพการส่งออก 50% ในปีหน้า ปีนี้รายได้หลักจะมาจากในประเทศ โดย 40% มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
  • ระดับโลกมีการขาดหม้อแปลงไฟฟ้าจริง เนื่องจาก Data Center เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก แนวโน้มในการใช้หม้อแปลงสูงขึ้นทั้งโลก บริษัทชั้นนำในยุโรปและอเมริกาเต็มกำลังการผลิตกันหมด โอกาสจึงมาถึง TRT รายได้จะบันทึกเข้ามาในปีหน้า
  • กำไรขั้นต้นของ Non Transformer ปกติอยู่ที่ 20% เหมือนหม้อแปลง
  • กำไรขั้นต้นสูงขึ้น เนื่องจากมีการบริหารยอดขายได้เหมาะสม มีการกระจายการรับรู้รายได้ให้เกิน 600 ล้านทุกไตรมาส ซึ่งทำมาตั้งแต่กลางปี 23 จะมีการเร่งรัดบางส่วน เลื่อนบางส่วน เพื่อบาลานซ์ให้เหมาะสม
  • Order จาก EGAT 14 เครื่อง ส่งมอบไปแล้ว 7 เครื่อง จะส่งมอบให้ครบทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม
  • ราคาทองแดงที่เพิ่มขึ้น มีผลกระทบบางส่วน แต่จะเห็นว่าช่วงนี้เริ่มลงมา และมีความพยายาม Cost Plus ให้ลูกค้าระดับนึง แต่อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
  • ในไตรมาส 3 จะมีงานประมูลเพิ่มขึ้น ในประเทศจะมีโซลาร์ฟาร์มเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐ ซึ่งจะเติมความต้องการของตลาดในประเทศ น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่พูดไว้
  • หม้อแปลงไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจ็ค โดยกำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 18-20% อยู่ที่ยอดขายต่อไตรมาสที่ต้องทำให้ได้ด้วย
  • ระยะเวลาการผลิตขึ้นอยู่กับขนาดของหม้อแปลง
  • หม้อแปลงขนาดใหญ่จะมีประมาณ 2 ปีครั้ง ปีนี้มีการบันทึกรายได้แล้ว ปีหน้าจะต้องบันทึกหม้อแปลงรูปแบบอื่น
  • การส่งออก ตอนนี้มีการเตรียมตัวในเรื่องต่างๆ ซึ่งจะดำเนินการในปีนี้ และจะบันทึกรายได้ในปีหน้า
  • กำลังการผลิตอยู่ที่ 80% ณ ปัจจุบัน ถ้าทำยอดขายได้ 700 ล้านจะอยู่ที่ 90% ต้องมีกำลังผลิตเหลือไว้ระดับนึง เพื่อให้บริหารความแตกต่าง
  • เจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับ Inventory เมื่อรับรู้รายได้ ก็จะลดลง อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5-6% แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไม่น่าสูงไปกว่านี้แล้ว
  • การแข่งขันในประเทศ มีบ้าง เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้ามีหลายขนาด ในแต่ลดตลาดก็แตกต่างกันไป คงจะตอบภาพรวมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจ็ค ถ้ามีผู้เล่นมากก็แข่งขันสูงหน่อย
  • ตลาดต่างประเทศ มีปัญหาการขนส่งอยู่แล้ว เพื่อเลี่ยงการผันแปรค่าขนส่ง ผู้ซื้อจะรับผิดชอบค่าขนส่ง ส่งออกใน มาเลย์เซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ในระยะยาวมีแผนส่งออกในยุโรปและอเมริกา
  • กำลังการผลิตในโลกเริ่มเต็ม และอเมริกาไม่ซื้อสินค้าจีน ก็ต้องเข้ามาหาไทยเป็น Supplier
  • ไตรมาส 2 รับรู้รายได้มากกว่า 600 ล้านแน่นอน
  • รัฐยังลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อยู่ในระหว่างดำเนินการ
  • ถ้าตลาดในเอเชีย คู่แข่งคือจีน แต่ถ้าเป็นยุโรปหรืออเมริกา ก็เป็นโอกาสของ TRT
  • Backlog ปีหน้ายังน้อย แต่มีงานที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นใบสั่งซื้อสูงมาก
  • ปัจจัยเติบโตจะมาจากในประเทศในปีนี้ และนอกประเทศในปีหน้า
  • ระบบไฟที่่จะป้อนให้ระบบชาร์จ อยู่ที่ภาครัฐจะขยายขนาดไหน ซึ่งต้องใช้หม้อแปลงเพื่อรองรับ ความชัดเจนจะเห็นในปีหน้า
  • การส่งหม้อแปลง ต้องใช้เรือ BULK ไปยุโรปหรืออเมริกาต้องพึ่งคู่ค้าให้จัดการเรือเอาเอง เพราะต้องเช่าเหมาลำมา
  • ช่วง 2-3 ปีนี้จะเน้นสินค้าหลักก่อน เนื่องจากกำลังขยายตัว

สรุปเหตุการณ์ บริษัทเครื่องสำอางใหญ่สุด ของอเมริกา มูลค่าหายไปกว่า -60% /โดย ลงทุนแมน
ครีม La Mer, น้ำหอม Jo Malone, ลิปสติก M∙A∙C และแชมพู Aveda มีเจ้าของเดียวกันคือ Estée Lauder บริษัทเครื่องสำอางใหญ่สุดของสหรัฐอเมริกา

รู้หรือไม่ว่า ในปี 2022 Estée Lauder เคยมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 4.9 ล้านล้านบาท

แต่มาวันนี้ มูลค่าบริษัทกลับเหลือเพียง 1.8 ล้านล้านบาท หรือหายไป -63% ในเวลาเพียง 2 ปี

เกิดอะไรขึ้นกับ บริษัทเครื่องสำอางใหญ่สุดของสหรัฐฯ ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit – คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของ Estée Lauder คือในปี 1946 หรือเมื่อ 78 ปีที่แล้ว โดยคุณ Estée Lauder และสามีของเธอ

คุณ Lauder นำสกินแคร์ง่าย ๆ ไปขายในร้านทำผม และต่อมาได้มีโอกาสไปวางขายที่ห้างหรูในนิวยอร์ก เลยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการ Luxury

ในปี 1958 ลูกชายของคุณ Lauder เริ่มเข้ามามีบทบาทในบริษัท และพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์

หนึ่งในนั้นคือ Estée Lauder Advanced Night Repair ที่กลายมาเป็นเซรั่มบำรุงผิวหน้าในตำนาน ที่ยังโด่งดังมาถึงทุกวันนี้

นอกจากสินค้าใหม่ ๆ แล้ว ยังมีการแตกแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งแบรนด์น้ำหอมผู้ชาย Aramis รวมถึง แบรนด์สกินแคร์อย่าง Clinique และ Origins

หลังจากนั้น Estée Lauder ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว และจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในปี 1995

ซึ่งเป็นปีที่คุณ Lauder ประกาศวางมือ และส่งไม้ต่อให้กับลูกชายอย่างเป็นทางการ

หลังจากนั้น Estée Lauder ก็ขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการเข้าซื้อกิจการและแบรนด์อื่น ๆ ในตลาด ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

นั่นทำให้ Estée Lauder มีสินค้าที่มีราคาหลายระดับ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม
ตัวอย่างเช่น

  • La Mer แบรนด์สกินแคร์ ที่ขายครีมกระปุกละหมื่น
  • M∙A∙C แบรนด์เครื่องสำอาง ขายลิปสติกราคาหลักพัน
  • Le Labo น้ำหอม Niche แบรนด์ จากฝรั่งเศส
  • TOM FORD แบรนด์เครื่องสำอางและน้ำหอมไฮเอนด์
  • The Ordinary แบรนด์สกินแคร์อังกฤษ ราคาหลักร้อย

ตอนนี้ Estée Lauder มีกว่า 20 แบรนด์ในเครือ และกลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา หรือถ้าระดับโลก ก็เป็นรองเพียงแค่ L’Oréal เท่านั้น

ตั้งแต่ปี 2015 ถึงปี 2019 บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง

  • รายได้เติบโตเฉลี่ย 8.4%
  • กำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.2%

โดยในปี 2019 บริษัทมีรายได้ 540,000 ล้านบาท
และมีกำไรมากถึง 64,800 ล้านบาท

พร้อมกับผลักดันให้มูลค่าของบริษัท Estée Lauder ได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 4.9 ล้านล้านบาท

แต่เรื่องราวที่กำลังไปได้สวยนี้ ก็ถึงจุดพลิกผัน..
เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทหายไปถึง -63%
จาก 4.9 ล้านล้านบาท เหลือเพียง 1.8 ล้านล้านบาท

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?

เรามาเริ่มจาก ดูผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาของ Estée Lauder กันต่อ
(ปีการเงินของบริษัท เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม สิ้นสุดวันที่ 31 มิถุนายน)

ปี 2021
รายได้ 587,600 ล้านบาท กำไร 104,000 ล้านบาท

ปี 2022
รายได้ 642,800 ล้านบาท กำไร 86,600 ล้านบาท

ปี 2023
รายได้ 576,600 ล้านบาท กำไร 36,500 ล้านบาท

9 เดือนแรก ปี 2024
รายได้ 425,300 ล้านบาท กำไร 24,400 ล้านบาท

จะเห็นว่ารายได้และกำไรของบริษัทไม่สม่ำเสมอ

โดยเหตุผลหลัก ๆ ที่บริษัทให้ไว้ก็คือ ผลกระทบต่อเนื่องมาตั้งแต่การล็อกดาวน์ ช่วงปี 2020

ที่ทำให้ยอดขายในจีนแผ่นดินใหญ่ รวมไปถึงร้านค้าดิวตี้ฟรีในภูมิภาคเอเชีย ฟื้นตัวช้า แม้ยอดขายในภูมิภาคอื่น ๆ จะเริ่มกลับมาแล้วก็ตาม

ต้องบอกก่อนว่า สินค้าของ Estée Lauder ที่เป็นที่นิยมในหมู่คนจีน จะเป็นกลุ่มราคาไฮเอนด์

ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า สินค้ากลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้คนหันไปซื้อสินค้ากลุ่มราคาถูกกว่า

แต่ถ้าเราลองมาดูข้อมูลอีกด้าน
อย่างส่วนแบ่งการตลาด เครื่องสำอางกลุ่มไฮเอนด์ รวมถึงสกินแคร์ ในประเทศจีน เทียบกับเครื่องสำอางประเภทอื่น ๆ
จะเห็นว่ามีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

  • ปี 2017 สัดส่วน 22%
  • ปี 2022 สัดส่วน 36%

เราจึงพอสรุปออกมาได้ว่า ตลาดเครื่องสำอางไฮเอนด์ในจีน ยังคงมีการเติบโต

ทีนี้ถ้าเจาะลึกลงไปอีกใน 36% นี้ เพื่อดูส่วนแบ่งการตลาดของแต่ละแบรนด์ จะพบว่า

อันดับ 1 YSL Beauté สัดส่วน 5.7%
อันดับ 2 Dior สัดส่วน 5.6%
อันดับ 3 Lancôme สัดส่วน 3.6%
อันดับ 4 Armani สัดส่วน 3.3%
อันดับ 5 CHANEL สัดส่วน 2.8%
อันดับ 6 Estée Lauder สัดส่วน 2.6%

สะท้อนให้เห็นว่า ในตลาดนี้มีการแข่งขันที่สูงมาก ซึ่งดูได้จากส่วนแบ่งการตลาดของแต่ละแบรนด์ ที่ไม่มีแบรนด์ไหนนำห่าง จนเป็นเจ้าตลาดอย่างเบ็ดเสร็จ

แน่นอนว่า Estée Lauder ในจีน ก็ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงนี้อย่างแน่นอน

นอกจากการแข่งขันที่รุนแรงในแบรนด์ระดับเดียวกันแล้ว ก็ยังมีการเกิดขึ้นของแบรนด์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ของเซเลบริตี

เช่น Fenty Beauty ของ Rihanna ที่ปัจจุบัน LVMH ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง
หรือ Rare Beauty ของ Selena Gomez

โดยแบรนด์ของเซเลบริตีเหล่านี้ มักจะออกสินค้าใหม่ ๆ ในเรนจ์ราคาใกล้เคียงมาแข่ง ซึ่งตัวผู้บริโภค ก็มักอยากลองของใหม่ ๆ และมีการรีวิวบอกต่อกันในโลกออนไลน์

ต่างจากแบรนด์ในเครือ Estée Lauder มักจะเน้นการปรับสูตร หรือพัฒนาสินค้าเดิมที่ขายดีตลอดกาลอยู่แล้ว มากกว่าออกของใหม่ ๆ ทำให้อาจจะไม่มีสินค้าใหม่ที่เป็นที่พูดถึงมากนัก

ด้วยความท้าทายต่าง ๆ ทำให้ Estée Lauder ประกาศปรับโครงสร้างของบริษัท โดยตั้งเป้าลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 18,200-25,400 ล้านบาทต่อปี

ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้ทำการประกาศเลิกจ้างพนักงานถึง 3,000 ตำแหน่ง ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การลดต้นทุนในครั้งนี้ จะช่วยให้การทำกำไร ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน
แล้วบริษัทจะแก้เกมการแข่งขันในจีน รวมถึงในประเทศอื่น ๆ ได้หรือไม่

แต่ที่รู้แน่ ๆ ในตอนนี้คือ มูลค่าของบริษัทเครื่องสำอาง ใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้หายไปแล้ว -63%
หรือตีเป็นตัวเลขมูลค่าบริษัทที่หายไปถึง 3 ล้านล้านบาท..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit – คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website – longtunman.com
Blockdit – blockdit.com/longtunman
Facebook – facebook.com/longtunman
Twitter – twitter.com/longtunman
Instagram – instagram.com/longtunman
YouTube – youtube.com/longtunman
TikTok – tiktok.com/@longtunman
Spotify – open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts – podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud – soundcloud.com/longtunman
References
-https://finance.yahoo.com/quote/EL/financials
-https://companiesmarketcap.com/estee-lauder/marketcap/
-https://www.elcompanies.com/en/investors/earnings-and-financials/annual-reports
-https://www.dailymail.co.uk/yourmoney/consumer/article-13048467/estee-lauder-cuts-jobs.html
-https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2024/02/19/Where-did-it-all-go-wrong-for-MAC-Cosmetics
-https://www.loreal-finance.com/en/annual-report-2023
-บทวิเคราะห์อุตสาหกรรมความงามของ BOCI Securities

SECURE

CV Secure 12-3-24

Revenue เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จาก 634M ในปี2020 -> 1,066M Y2023 จากที่ตั้งเป้า 1000M Y2024

  • Revenur Growth YoY 19.3% CAGR 18.9%
  • โดยแบ่งเป็นรายได้ Non Recurring 66% / Recurring 34% ( Recurring คือค่า Maintenance / Technical Support / Software Update )
  • สัดส่วนรายได้ Network Security 77% / Endpoint Security 16% / Network Performance & Monitoring 2% / อื่นๆ 5% = new Products
  • By Industry BFSI 23% / Enterprise 29% / Government 24% / Telecom & Internet Service Providers 12% / อื่นๆ 12%
  • Enterprise โตดี
  • GPM เพิ่มจาก Y2022 -> Y2023 = 16% -> 20% / GP 145M -> 209M / NPM 6% -> 9% / NP 55M -> 92M
  • Backlog As Feb 2024 : Hardware + Software 126M / Service 18M
  • มีเงินสดอยู่ประมาณ 400+ ล้าน

Outlook 2024
Cloud Environment

  • Could ระดับโลกทุกเจ้ามาเปืดในไทย เช่น Azure Amazin Huawei Tencent
  • Local Cloud จะเหนื่อยเพราะ EOS สู้ไม่ได้ ขนาดของ Investment ที่ต่างกัน
  • Inter Cloud สามารถคุยกับ Vendors เช่น Intel ได้จึงมีคสามได้เปรียบกว่ามาก
  • ค่าจ่ายเรื่อง Cloud ลดลง / คนใช้มากขึ้น / มีปัญหาเรื่อง Security / Cloud Native โดน attack / โดนเรื่อง Cloud native worm attacks / ต้องลงทุน security มากขึ้น

Data & Machine Learning

  • คนมี data มากกว่าได้เปรียบกว่า
  • Hacker ใช้วิธีใส่ Data ที่ปลอมไปใส่ -> ทำให้ AI Learn ผิดๆ

Generative AI

  • Hacker ก็มี AI เมื่อก่อนใช้คนเขียน Code / ใช้ AI หลายๆแสน Code มา Attack พร้อมกัน
  • เราก็ใช้ AI เพื่อเป็น security

Software Supply Chain

  • Application ที่เป็น Supply Chain ถ้าเราทำพวก software ต่างๆ แล้วทำไม่ดี หรือท่อที่มาต่อกับเรามีช่องโหว่ก็จะโดน Hack จากช่องทางนี้ได้
  • Software house ที่ไม่เก่งพอ เขียน code แล้วมีช่องโหว่

Blockchain Technology

  • BlockChain มี 2 อย่างคือ Public กับ Private
  • Attacker ไม่ได้ Hack Blockchain เพราะยากมาก แต่จะ hack ที่ blockchain server ทำให้ส่งข้อมูลไม่ได้
  • อัด traffic เข้าไปทำให้ระบบทำงานไม่ได้

ปัญหาของ Cyber security market ตอนนี้คือคนไม่พอ

  • บุคลากรก็ลดลง / ต้องเรียนเรื่อง Stem หรือ Science
  • มองทั้งเรื่อง Product และ service

เน้นเรื่องการขาย Service มากขึ้น เราจึงคิด Model Software Subscription Model ขึ้นมาเป็นเจ้าแรก

Breach and Attack Simulation

  • Asian Security โลกโต 12% CAGR เราโต 20% ดีกว่าตลาด
  • ทุกองค์กรจะลงระบบ security แต่ัญหาคือไม่รู้ว่าตอนนี้ระบบที่ลงทุนไปสามารถป้องกันได้ดีพอมั้ย
  • ใช้ระบบ AI หรือคน มาลอง Attack simulation โดยจะสรุปให้ดูว่าองค์กรขาดอะไร มีปัญหา ช่องโหว่ตรงไหน
  • รู้วิธีที่จะหลบเลี่ยงหรือป้องกัน
  • ตัวอย่างเช่น Email ที่ hack เข้ามา /
  • Attack Simulation ได้รับการตอบรับดีมากลูกค้าสนใจ
  • เราได้สัญญา agreement กับบริษัทด้าน Attack Simulation อันดับ 1 ของโลก “Cymulate”
  • ได้ลูกค้ามาหลายราย เช่นกลุ่ม Bank / บริษัทขนาดใหญ่
  • ถือเป็นตัวเปิดการขายคือเมื่อลูกค้าทราบแล้วว่ามีปัญหาตรงไหน ก็จะมีการขายเพิ่ม
  • เหมือน Trial Medical Checkup อย่างละเอียด
  • เป็น Security Risk Management -> ต้องรู้จะได้รู้ว่าจะ control Risk ยังไง
  • เป็นการชี้ปัญหาให้ -> ลูกค้าพิจารณาลงระบบเพิ่ม – > พอแก้ปัญหาได้แล้วเราก็จะกลับมาตรวจแก้ให้ใหม่ว่าปัญหาหายมั้ย
  • เป็น subscription model ซึ่งราคาไม่แพง
  • ต้นทุนที่จ่ายให้ต่างประเทศจะเป็นแบบจ่ายเหมา ถ้า break even กำไรก็จะลง bottom Line เลย
  • จุดคุ้มทุนที่ 15+ รายต่อปี

Attack Surface Management

  • ระบบของเรามีการแสดงข้อมูลอะไรออกไป ทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

Digital Risk Protection

  • หาให้ว่ามี facbook ปลอม Logo ปลอม หลอกลงทุน
  • เราเป็นเจ้าเดียวในไทยที่สามารถแจ้งปิด Line ปลอมได้
  • ใช้ Data ดึงข้อมูลมาก ให้เราเลือกว่าจะลบ / block อันไหน
  • องค์กรที่เราเป็น Power ที่สามารถติดต่อให้ลบข้อมูลให้ได้
  • ปีนี้ส่วนนี้จะโตมากๆ ( ปีที่แล้วรายได้ 20+ล้าน )

Incedent Respond
Secure-IR Service
เดิมให้ต่างชาติทำ แต่ตอนนี้ทีมงานเราส่งไปเรียน กลับมาแล้ว เค้ามาเปิด office ที่ภูเก็ต เราไปเป็น partner เค้า

  • มี Expert 3 คน
  • ในไทยเราเป็นเจ้าเดียวที่ทำระบบแบบนี้ได้
  • ต่างประเทศมีปัญหาแบบนี้มาเยอะแล้ว สามารถเอา playbook มาใช้กับในไทยได้

Claroty

  • ระบบ PLC ของเครื่อง machine ต่างๆก็สามารถโดน hack ได้ เพราะตอนนี้ทุกระบบเชื่อมผ่านทาง Online
  • เช่นที่ US โดน Hack ระบบการส่งจ่ายน้ำมันผ่านท่อ ทำให้ระบบ Shutdown

Q&A
Q ทำยังไงให้เราสามารถไป capture ตลาดก่อนคนอื่นได้ การหา vendor โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน security
A พอบริษัทเราโตขึ้นโดยเฉพาะยิ่งพอเราเข้าตลาด การเป็นตัวแทน product ต่างๆก็ง่ายขึ้น

  • เราถือเป็น Strategic Partner ที่พอเค้าจะมาเปิดตลาดที่ไทยก็จะมาคุยกับเราเป็นรายแรกๆ

Q ภาวะตลาด Security ในไทยตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
A อย่างที่เรียน ตลาดโต 13% แต่ปีที่แล้วเราโต 20%

  • ตลาดเองมีการชะลอตัวลง เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว หลายบริษัทเลื่อนหรือ wait and see
  • เราปรับตัวเร็วโดยการเอา Software Service ที่เป็น New Product เข้ามา

Q เรากับ SIS เป็นคู่แข่งกันมั้ย
A ต่างกัน เราเน้นลูกค้า Enterprise / SIS จะเน้น Product IT / Consumer / Household ซึ่งราคาจะถูกกว่า

Q ปีนี้เราปันผล 50% ปีหน้าจะสามารถปันผล 100% ได้มั้ย
A ตอนนี้เรามี deal MA ที่กำลังดูอยู่ อาจจะเก็บเงินไว้เพื่อไปทำดีล

Q เรามีเงินสดอยู่ 400+ล้าน ไม่พอทำ deal เหรอ
A Deal ที่กำลังคุยอยู่มีขนาดใหญ่พอสมควร แต่เราคิดอย่างรอบคอบจะเป็นประโยชน์แน่นอน ( ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป )

Q จำนวนพนักงานปีนี้จะเพิ่มขึ้นมากมั้ย
A ปีที่แล้ว 70+ คน ปีนี้ 80+ Revenue/head ประมาณ 15ล้านบาท / พนักงานกว่าจะรับมาเทรนจนเก่งได้ใช้เวลา กว่า 3 ปี / มี Turnover Rate 10%

Q เป้าหมายในอีก 3 ปี
A จะเพิ่มรายได้ของส่วน software 10-15% ทุกปี

JPARK

CV Jpark 14-3-24
ขอขอบคุณเพจลงทุนกล้วยๆ
https://www.bananasinvestment.com/
ขอขอบคุณหลักทรัพย์ Pi ครับ

ให้บริการการจอดรถ ประสบการณ์ 20 ปี+ มีมากกว่า 64 location 30,000 ช่องจอด
การให้บริการแบ่งเป็น 4 Business Unit
1.Parking Service “PS” สัดส่วนรายได้ 60-65%

  • รับรายได้เป็นส่วนแบ่งรายได้กับเจ้าของพื้นที่แล้วแต่ตกลง ( ไม่ได้เปิดเผย )
  • Model สร้างอาคารจอดรถแล้ว Lease เป็นสัญญาระยะยาว เช่น 30 ปี ( โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า )
    2.Parking Management Service “PMS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
  • ลูกค้าเป็นผู้ลงทุนอาคาร เครื่องมืออุปกรณ์ ( หรือเราเป็นผู้ supply ให้ผ่าน CIPS ) แล้วเราเป็นผู้รับบริหารที่จอดรถ – เก็บเงิน
  • รับรายได้เป็นค่าจ้าง -> เป็น Fix ไม่ขึ้นกับปริมาณการจอดรถ
  • ถ้าเราบริหารต้นทุนได้ถูก ก็จะมีกำไรมาก
    3.Consultant and Installation Parking System “CIPS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
    4.อื่นๆ ( หลักๆคือบริหารให้เช่าพื้นที่บริเวณที่จอดรถ ) สัดส่วนรายได้ 5%

PS Customer Segment : Hospital 24.9% / Local Market 22.4% / CBD Shopping center 17.6% / University 16.1% / Airport 5.1% / others 13.9%
PMS Customer Segment : Park&Ride 74.1% / Convention Center 17.0% / Office Building 7.2% / Hospital 1.6%
*Park&Ride = อาคารจอดแล้วจรของรฟม
จำนวนช่องจอดที่มี
Y2022 – Y2023
:PS 13,458 – 14,487 (+1,029) 7.64% YoY
PMS 15,525 – 15,075 (-450) -2.90% YoY ที่ลดลงเพราะมี 1 เจ้าที่ยกเลิกสัญญาเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติ

Revenue (M)
Y2022 – Y2023
PS : 278.6 – 354.7 27% YoY
PMS : 79.9 – 82.0 3% YoY -> ช่องจอดลดแต่รายได้เพิ่มแปลว่ามีการปรับสัญญาบางส่วน ขึ้นราคาได้
CIPS : 69.9 – 121.3 74% YoY
Other 23.9 – 15.1 -37% YoY
Total 452.3 – 573.1 27% YoY

ถ้าหาสัดส่วนรายได้ต่อช่องจอด
PS : 20,701 – 24,484 บาท +18.27% YoY -> รายได้ต่อช่องจอดเพิ่มขึ้นมาก ผบหให้เหตุผลว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 เป็นช่วงโควิด ทำให้รายได้ต่อช่องจอดน้อยกว่าความเป็นจริงมาก / รายได้ต่อช่องจอดของปี 2023 น่าจะใกล้เคียงฐานมากกว่า

  • การขึ้นราคาค่าจอดต้องเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง Jpark และผู้ให้เช่า

-ภาวะตลาด เติบโตขึ้นตามการขยายของเมือง

  • จำนวนรถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Y2013-2022 +4.3% CAGR / Y2024 +6.0%
  • ในปี 2022-2026 รฟมมีแผนขยายพื้นที่โครงการจอดแล้วจร โดยแบ่งเป็น
  • อาคารจอดรถ MRT สายสีส้ม 1,200 slots
  • อาคารจอดรถ MRT สายเหลืองสีส้ม 3,000 slots
  • อาคารจอดรถ MRT สายม่วง 572+1,370 slots
  • TAM ในระยะยาว จากการสำรวจ ในกทม 3-4แสนช่องจอด / นอกกทม 5-6แสน / รวมประมาณ 1 ล้าน+
  • ตามนโยบายของรัฐ จะมี ช่องจอด Park&Ride เพิ่ม 3แสนช่องภายในปี 2572 (PMS)

Project ระหว่างการก่อสร้าง

  • ตลาดบางกอกน้อย ( ใกล้ศิริราช ) ->PS ลงทุน 16ล้าน สัญญา 3 ปี -> May/24 230 Slots , June/24 พท 200ตารางเมตรเป็น commercial Area
  • อาคารจอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ->PS ลงทุน 300ล้าน สัญญา 30 ปี เป็นพื้นที่เช่าเอกชนด้านข้างโรงพยาบาล แล้วเสร็จ June/24 , July/24 532 Slots , พท 2,000ตารางเมตรเป็น commercial Area -> IRR14%
  • อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนา ->PS ลงทุน 500ล้าน สัญญา 30 ปี เริ่มก่อสร้าง MAY/24 แล้วเสร็จ Sep/25 , Q4/25 1,014 Slots , พท 4,000 ตารางเมตรเป็น commercial Area

ในงบการเงินจะมีจุดที่น่าสนใจคือ ผบห ถอดตัว 1 time ออกให้เราเพื่อให้เราดูแบบ Normailze Form คือ
Y2022 มี Gain on sub-lease = 12.4M ( เกี่ยวกับเรื่องมาตราฐานการบันทึกบัญชี ) -> หาก Normalize แล้ว GP จะลดจาก 111.9 -> 101.9 (GPM 25% -> 23%)
Y2023 มีค่าใช้จ่าย Useful life adjustment 3.9M / อื่นๆ 2.9M หักออกในบรรทัด COGS = 6.8M -> หาก Normalize แล้ว GP จะเพิ่มจาก 129.5 -> 136.3 (GPM 23% -> 24%)
ค่าใช้จ่าย IPO 4.2M / sub-lease modify (อันนี้ปรับออก) 10.2M = 14.4M หักออกในบรรทัด SGA หาก Normalize แล้ว SGA ลดจาก 47.9M -> 33.5M ( 8% -> 6% )
โดยหากตาม asssumption ( อันนี้คำนวณเอง Normalize NP Y2023 = 76.83M -> คิดที่ Tax21% Npm 13.4% / เดิม 52.38M Npm 11.3% )

ใน oppday มีการแยกรายได้ , กำไรแบบ NBT ( เข้าใจว่าคือ EBT ) ของแต่ละ BU ออกมาดังนี้
Y2022 – Y2023 Revenue / NBT
PS Rev 278.6 – 354.7 +27% / NBT 0.9 – 6.5 +622%
PMS Rev 79.9 – 82.0 +3% / NBT 29.1 – 25.8 -11%
CIPS Rev 69.9 – 22.1 +71% / NBT 22.1 – 45.1 +104%

ที่น่าสนใจคือ กำไรจาก CIPS ซึ่งเป็น 1 time เยอะกว่า PS PMS มากเลยครับ แปลว่า กำไรจากส่วน project เยอะเทียบกับ Recurring -> ตลาดไม่ควรให้ PE สูง
กำไร NBT ของ PS ไม่สูง ( Rev 354.7 NBT 6.5 ) เข้าใจว่าเพราะเป็น PS ต้องมีการลงทุนอุปกรณ์ เครื่องมือ Software ลงไปมาก

  • Model PS ลงทุนเยอะ ยิ่งถ้าเป็นอาคาร แต่รับรายได้ต่อเนื่องมั่นคง
  • PMS ลงทุนน้อย รายได้เป็น Fix ( ค่าบริการ ) มี Gp ที่ต่ำกว่า สัญญาระยะสั้น 3-5 ปี
  • Key คือการหา Strategic Location ที่ไปอก้ painpoint ของลูกค้าเช่นโรงพยาบาลรัฐที่ที่จอดรถมีจำกัด เราเข้าไปช่วยแก้ปัญหา เค้าเองก็ไม่อยาก Focus ทีเรื่องนี้เพราะยุ่งยาก อยากไป focus ที่ core business มากกว่า
  • เมื่อเรามี success story แล้วก็สามารถนำไปเสนอ หรือเป็นการบอกต่อกันไป ทำให้สามารถหาลูกค้าใหม่ๆได้มากขึ้น
  • PS ถือเป็น Growth Potential แล้วเป็นรายได้ที่มีคุณภาพ เพราะมีความแน่นอนสูง

Outlook Y2024
ผบหตั้งเป้า Praking slots Y2024 40,000 / Y2025 50,000 ( รวมทั้ง PS PMS )

  • Project ที่ชนะแล้ว : สนามบินขอนแก่น 600 slots 10 yrs = PS / One Bangkok 2,000 Slots = PMS
  • งานใน Pipeline ตลาดบางกอกน้อย 230 slots May2024 / รพพระนั่งเกล้า 532 slots July2024
  • แปลว่า Y2024 มีในมือแล้ว PS = 1,632 Slots PMS 2,000 Slots รวม 3,632 Slots = 36.3%
  • เน้นหาลูกค้า PS กลุ่มโรงพยาบาลรัฐ **

Q&A
Q Urate ของส่วน PS เป็นเท่าไหร่
A เราคิด Business Hour แค่ 6-8 ชั่วโมง จะได้ Urate 70-80% ไม่รวมรถที่จอดซ้อน

  • ที่ Urate 70% เป็น IRR14%

Q พระนั่งเกล้ามี Project Finance ยังไง
A เป็นเงินเรา 100 กู้ 200 cost of fund 6%

Q ทุกปีภาษีที่ดินเพิ่มแต่ถ้าเราขึ้นราคาไม่ได้ แบบนี้ Gp จะ drop มั้ย
A จริงๆภาษีที่ดินตัวอาคารลดลงเรื่อยๆ

Q PS PMS สามารถขึ้นราคาได้มั้ย
A PS เป้นการพูดคุยระหว่างเรากับ Landlord ต้องดูตามความเหมาะสมหลายอย่าง ถ้าค่าจอดรถแพงเกินไป คนก็จะมาที่นั่นน้อยลง / แต่ลักษณะการรับรู้เป็นส่วนแบ่งรายได้ ก็จะ win-win ทั้งคู่
PMS เป็นสัญญา 3-5 ปี ในการต่อสัญญาก็จะมีการเจรจาเรื่องการขึ้นค่าบริการ

  • สัญญาสนามบินเดิม 3-5 ปี จะพยายามต่อให้เป็น 10+ ปี ( เริ่มจากขอนแก่น )

Q เรามีคู่แข่งมั้ย
A โดยปกติหากไปประมูลจะมีข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติ หรือความต่อเนื่องของการรับงาน เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนแค่ไหน

  • ในส่วนอาคารเอกชนจะมีคู่แข่งหลายเจ้า เช่น NPD (Nippon Parking Development) เช่นอาคารเสริมมิตร

Q ห่วงเรื่อง Disruption จาก Unman Parking Sytem มั้ย
A เราเองก็ disrupt ตัวเองด้วย เราก็มีการ deelop parking platform / marketplace ขึ้นมา

  • อย่างลานจอดแล้วจร (PMS) เดิมเราใช้คน 200-300 คน ตอนนี้ลดเหลือ 100 คน ทำให้ต้นทุนเราลดลงไปได้มาก

Q สัญญา CIPS จะเป็นแบบไหน
A เราเข้าไปบริการออกแบบติดตั้ง + MA 1 ปี หลังจากนั้นจะคิดค่าบริการบำรุงรักษาเป็นรายปี

  • Revenue เพิ่มเป็น 40,000 ช่องน่าจะเพิ่ม Rev ได้ 12.5% ( อันนี้คิดเร็วๆไม่ชัวร์ ) / Gp 19-23%

Risk

  • ไฟไหม้ -> ทำประกันแบบ All Risk
  • ทำประกัน Business Interruption Insurrance = ถ้าเกิดเหตุการณ์ใดๆที่รายได้ไม่ได้ตามคาด ประกันจะช่วยจ่าย = อันนี้เหมือนจะเอาไปพิจารณา
  • เหตุการณ์คล้ายๆ Covid
  • ดอกเบี้ยเริ่มทาง และจะเป็นขาลง อันนี้ดี
  • นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย อาจจะทำให้คนเลิกใช้รถมากขึ้น -> แต่จะดีกับระบบจอดแล้วจร
  • Revenue 90% มาจากกทม

Q งบรัฐที่ปีนี้มา 2 รอบ จะได้ประโยชน์มั้ย
A ปกติงบของรับจะไม่มีส่วนของที่เกี่ยวกับระบบจอดรถ

Q CIPS มี backlog เท่าไหร่
A ไม่กี่สิบล้าน / มี 2-3 Project กำลังคุยอยุ่

  • ระบบ Own Parking management จะช่วยลดต้นทุนได้ 20% ปกติเราซื้อระบบเครื่องละ 1-2 แสนบาทต่อปี -> ตอนนี้พัฒนา software ใช้เอง

NETBAY

CV Netbay 18-3-24
ขอขอบคุณลงทุนกล้วยๆที่ให้โอกาส
http://www.bananasinvestment.com

-คุณกอบกาญจนา ( พี่ปุ้ย ) เดิมทำงานอยู่บริษัท Microsoft ประเทศไทย ในตำแหน่ง Enterprise Director ทำงานตั้งแต่เป็น Netbay chapter 1 : ก่อนเข้าตลาด

  • เพราะการวางคนของ Netbay ให้คุณพิชิต ( Ex CEO ) เป็น Spokesperson พี่ปุ้ยจึงอยู่เบื้องหลังมาตลอด
  • นับผ่านจาก Netbay Chapter 2 ที่บริษัทเข้าตลาด จนตอนนี้เข้าสู่ Chapter 3 ที่จะเป็น New Growth พี่ปุ้ยคือคนสำคัญที่ร่วมผลักดันองค์กรมาตลอด ตอนนี้ได้ขึ้นรับตำแหน่ง CEO อย่างเป็นทางการ
  • เดิมธุรกิจเป็น Software As a Service Model (SAAS) ซึ่งรายได้จะเป็น Recurring ถึง 90% แต่เป็น Slow Growth ที่ยังโตไปได้เรื่อยๆอยู่
  • แต่การเข้ามาของกลุ่ม Ditto Somapa Sitem TeamG Ori + Netbay ( ขอเรียกว่า Avenger6 ) ทำให้ภาพของบริษัทเปลี่ยนไปมาก เข้าสู่ New S Curve
  • ก่อนหน้าที่จะตกลงร่วมเดินทางกัน มีหลายบริษัทติดต่อเข้ามามาก สิ้งที่สำคัญคือ Culture Service Team ที่ต้องมี Beat ที่เข้ากัน มีการช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
  • อย่างโสมาภา – คุณศุภประเสิฐเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยอยู่ Microsoft เรียกว่ามีวัฒนธรรมในการทำงานที่เหมือนกันมาก ทำให้สามารถร่วมงานกันได้ทันที
  • โสมาภาเก่งในเรื่องการขนคน ส่วนเราเก่งในเรื่องการขนสินค้า ซึ่งสามารถ Exchange Data กันทั้งฝั่งผู้โดยสาร – Cargo ได้ เป็นการ Synergy ที่มีประสิทธิภาพมาก
  • ส่วนของ Ditto นั้น เดิมเราไม่มี Government Connection ซึ่ง Diito มีความเชี่ยวชาญ จึงเหมือนเป็นการเปิดประตูให้เราเข้าสู่น่านน้ำใหม่
  • หรือการที่เราไม่เคยเข้า Retail มาก่อน ก็นำ i-Box ให้ไปคุยได้หลายโครงการ
  • งานหลายอย่างที่กลุ่ม Avenger6 มีและคิดว่าสามารถเอา i-Box ไปใช้ได้ทันที ก็สามารถให้ทีมเราเข้าไปรับ Cost Sheet และเสนอราคาได้เลย = Low hanging Fruit => รายได้สามารถเริ่มรับรู้ได้ใน 2H เป็นต้นไป
  • โดยเฉพาะธุรกิจของในกลุ่ม Avenger6 เอง = Sales In
  • หลักการของ App i-Box เราคือการ “จัดทำ – นำส่ง – จัดเก็บ – แลกเปลี่ยน” ซึ่ง Ditto เองมีความเชี่ยวชาญในส่วนของการจัดทำ โดยเปลี่ยนเอกสารแบบ Paper เป็นแบบ Paperless ก็สามารถนำ i-Box ไปต่อยอดในส่วนอื่นๆได้ทันที เช่นการจัดเก็ย oCR
  • Sitem เชี่ยวชาญเรื่อง Data Center = Platform เราสามารถเข้าไปรับงานเพื่อสร้าง Ecosystem > ทำเรื่อง manage Service / และสามารถต่อยอดเรื่องเดิมไปทำให้คนอื่นต่อได้
  • งานหลักๆที่ทำจะเป็น Recurring + Hibrid เป็นงาน Project + Manage Service
  • Business Model ร่วมกับกลุ่ม Avennger6 จะเป็น แบบ Hybrid คือถ้างานไหน กลุ่มหามาก็ให้คนเสนอราคาเป็นบริษัทนั้นๆ ส่วนถ้าเราเข้าไป Approach ติดต่อ ก็เป็นของเรา
  • Core Competency ของเราคือการช่วยลูกค้า Design Journey แล้วใช้ระบบเข้าไปจับ ให้การทำงาน Smooth ลดความยุ่งยากซับซ้อน ลดขั้นตอน ไม่ต้องมีการ Double Entry จัดเก็บได้เป็นแบบฟอร์มเดียว
  • ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ต้องไปเข้าใจกระบวนการทำงาน Touch Point ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งผู้ค้า ลูกค้า Supplier ทั้งหมด ทั้งต้นน้ำ- กลางน้ำ – ปลายน้ำ อย่างถ่องแท้ จึงจะสามารถ Design ระบบออกมาได้
  • ตัวอย่างคือการที่เราเป็น Service Provider ของกรมสรรพากร เรามี Edge มากกว่าคนอื่น
  • เราถนัดในการทำ Business Process Platform สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่าอ่าน Flow การทำงานไม่ผิด
  • สมมติเช่นงานด้านศาล เราก็สามารถเข้าไปช่วย Add Value ได้ เรามองการทำงานของ Journey แบบ End to End
  • เช่น Chain ของระบบนี้คือ ศาล – ทนาย – อัยการ – ตำรวจ //ศาลจะมีเอกสารเป็นเลขคดีในศาล , ทนายเองก็มีเลขคดีในการทำสำนวน หน้าที่เราคือทำให้เชื่อมกันแบบ Seamless
  • หรืออย่างงานกรมศุล การท่าเรือมีเลขตู้ ก็ต้องเอามาเชื่อมกับระบบใบขน ของกรมศุล
  • เราจะเป็นคน Design Workflow ให้ทั้งระบบ
  • ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Logistic สถาบันการเงิน
  • เมื่อ Ecommerce โตมาก ระบบการ Logistic โดยเฉพาะระบบผ่านพิธีสำหรับของเร่งด่วน (e-Express) ก็โตมากตามไปด้วย >> ส่วนใหญ่อิงลูกค้าจีน >> แต่ก็จะมี Seasonal บ้างเช่นช่วงหลังตรุษจีนจะน้อย

ตัวอย่างลูกค้า Luxury Brand เจ้านึง โตมาจากการเริ่มใช้ Product ShippineNet ของเรา

  • เราเข้าใจใน Painpoint ของเค้า วันนีงเค้าอยากให้เราทำใยกำกับภาษีอย่างเต็ม แทนที่จะเป็นอย่างย่อแบบเดิม เราก็ไปเช็คข้อมูลทั้งหมดว่าทำได้มั้ย ต้องผ่านขั้นตอนยังไง จนสำเร็จลูกค้าพอใจมาก
  • การจัดเก็บ นำส่งใบเสร็จ สามารถขอ และส่ง Link ให้ลูกค้าโหลดไฟล์ได้เลย
  • พอเราได้ความต้องการลูกค้า และเรา Design ได้แล้ว เราก็เอาไปใส่เพิ่มเป็น Module ใน i-BOX ทำให้มี Feature ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ลูกค้าก็มีความพอใจมากขึ้น มี Stikiness มากขึ้น

เราพยายามพัฒนาให้พนักงานทุกคนเขียน Flow เป็น >> เป็น Design Thinking

Q&A
Q เรามี MOAT แค่ไหน คู่แข่งสามารถเข้ามาได้มั้ย
A ส่วนใหญ่จะเป็นพันธมิตรกัน ความถนัดไม่เหมือนกัน มีการส่งงานให้กัน
ยกตัวอย่างเช่น งาน Consotium ของไปรษณีย์ไทย ที่เป็นการร่วมมือของ เรา ( ในนาม Cloud Creation ) BE8 และ Skyhigh

  • เราหาบริษัทที่เก่งมนแต่ละเรื่องเอามาส่งเสริมกัน เช่นงานด้าน Front End
  • ในยุคนี้การเดินคนเดียวยาก ต้องมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน

Q ที่คุณพิชิตเคยพูดถึงเป้าหมาย Revenue 1000 ล้าน ยังคงเป้าหมายอยู่มั้ย
A เป็น 1 ใน Passion การทำงานของเรา

Q การที่พิชิตขึ้นไปนั่งเป็นกรรมการของ Ditto ดูเรื่อง Carbon Credit จะได้งานอะไรจากส่วนนี้
A ส่วนที่เราถนัดคือ Platform ซื้อขาย / Exchange Carbon ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ( กฏหมายออกมาว่าภาครัฐทุกหน่วยงานต้องมีการจัดเก็บข้อมูลว่าสร้าง Carbon ปีละเท่าไหร่ )

Q ตอนนี้เรามีพนักงานกี่คน ปีนี้มีแผนการขยายงานเยอะมาก ต้องเตรียมคนเพิ่มอีกเท่าไหร่
A ณ สิ้นปี 2023 เรามีพนักงาน 120+ คน เรามีแผนการเตรียมการเพิ่มคนรองรับไว้แล้ว

  • จะเป็นการเพิ่มคนเพื่อรับตามแผนงานที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นการรับครั้งเดียวเยอะๆ คำนึงถึงเรื่องต้นทุนด้วย
  • พยายามจะ Keep Gp ให้ได้เท่าเดิม >> Design Revenue Recognition ไว้เลย
  • ตอนนี้ภาวะตลาดคน Dev ถือว่าดีขึ้นมาก มีคนเก่งๆออกมาจากหลายบริษัท เช่นธนาคาร
  • เราเลือกคนเน้นที่ Quality เป็นหลัก ถ้าเป็นคนเก่งเข้ากับงานเราได้จริงเราก็สู้ แต่เงินเดือนของ Peer ก็ลดลงมาเยอะ
  • บริษัทเรามี Turn over Rate ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหรกรรม อายุเฉลี่ยของพนักงาน 28-30 ปี เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง
  • เราทำทุกอย่างเพื่อ keep คนดีคนเก่งไว้อยู่กับเรา

Q วัฒนธรรมการทำงานของเราเป็นยังไง
A แบ่งเป็น 3 ทีม ทำงานทั้งแบบ Full Time / Work From Home / หรือ Hibrid

Q เราสามารถขึ้นราคาได้มั้ย
A การขึ้นราคาค่าบริการปีที่แล้ว ขึ้นตาม NT ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นราคาไปเรียบร้อยแล้ว ขาดรายใหญ่อีก 2-3 ราย จะปรับปีนี้

  • ต่อไปคิดว่าถ้าขึ้นราคาตามเงินเฟ้อก็สามารถทำได้ แต่ต้องดูปัจจัยทั้ง คู่แข่ง ภาวะตลาด ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ต้องเอื้อเฟื้อกันไป
  • การขึ้นราคา แต่ละสัดส่วนจะแตกต่างกันไป แยกไปตาม Service ต่างๆ บางกลุ่มอาจจะขึ้นเยอะ บางกลุ่มน้อย

Q จำนวน Transaction ขาเข้า / ขาออก เติบโตขึ้นมั้ย
A เติบโตตาม Consumption โดยเฉพาะ e-Express / อื่นๆโตไปตามภาวะตลาด

Q เวลาเราจะ Track รายได้ของ Netbay ต้องดูยังไง เพราะข้อมูลคือมูลค่าการนำเข้า – ส่งออก ซึ่งรายงานเป็นรายได้ แต่ของเราจะคิดค่าบริการ per transaction
A จริงๆก็ค่อนข้างยากมาก เพราะแต่ะละเส้นทางคิดค่าบริการไม่เหมือนกัน แล้วแต่สูตรพิกัดซึ่งอยู่ใน Container List

  • เช่นทางบก = นับเป็นชิ้น / ทางเรือ = ไม่นับเป็นชิ้น
  • ดังนั้นมูลค่าจะไม่เท่ากับจำนวน transaction และเราคิดค่าบริการตามจำนวน Byte ด้วย
  • เราจะชอบจำนวนครั้งที่มากๆ / มีการ Declare บ่อยๆ

Q แบบนี้ Key Matric ของผู้บริหารในการดูประสิทธิภาพการทำงานคืออะไร
A หัวใจของ B2B คือต้องดูที่ Customer Satifaction ( เราเก่งกว่าคนอื่น ) / Transaction ที่ Complete , ที่ Fail / Operation Assessment / Revenue Assessment / Renawal Rate /Platform Assessment

  • หลักการแบบ 6-Sixma / TQM
  • เรามี Market Share ย้อยหลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

Q ภาวะตลาดคู่แข่ง แข่งขันรุนแรงมั้ย
A ก็มีบ้าง เช่นลดราคา แต่วิธีการทำงานของเราคือเจ้าใหญ่เราจะเข้าไป Design Journey แบบ End to End ให้ทำให้ลูกค้าไม่คิดจะเปลี่ยน เป็น Data Seamless คือไม่ต้องมีการ Re-Entry ข้อมูล

  • ลูกค้ารายใหญ่จะมี RM ช่วยดูแลแบบ Exclusive
  • เราเป็นเจ้าเดียวที่กรมศุลให้เราช่วย Test แบบ End to End
  • บริษัทข้ามชาติเอง อยากอยู่กับเรา ไม่ไปไหนเพราะเราช่วยเค้าในหลายด้าน เช่นช่วยตอบ Survey ทำ Test ให้ ทำข้อมูล ISO ให้ / พออยู่กับเราแล้วเค้าทำงานง่ายขึ้น >> เกิด Stickiness
  • DHL Audit เรา 3 ปี กว่าจะเป็นลูกค้าเรา
  • ลูกค้า ค่ายรถยนต์เจ้านึง ก็ใช้ทั้งระบบของเรา Broker / Supplier ทั้งหมดที่เชื่อมกับเค้าก็ต้องมาใช้เราด้วย = Network Effect

Q การที่เราเขียน API ร่วมพัฒนากับลูกค้าแล้วสิทธิเป็นของเราหรือลูกค้า
A เป็นของเรา คนอื่นเอาไปใช้ไม่ได้ / เอาไปเชื่อมกับระบบคนอื่นไม่ได้

Q ปีนี้ถ้าเรารับคนเพิ่มเยอะ เรื่องต้นทุน จะเพิ่มเยอะมั้ย / ค่าเสื่อมที่เพิ่มมา Q ละ 4 ล้านที่เป็นการเปลี่ยน ระบบ Local Cloud ใหม่ จะกดดันมั้ย
A ถ้าเราโตได้ Gp หรือ bottom line ก็จะไม่กระทบ
เรื่องระบบ Cloud คือ เค้าขายเครื่อง + MA 5 ปี พอเข้าปีที่ 6-7 ค่า MA จะแพงมาก เมื่อเทียบกับซื้อ Set ใหม่จะถูกกว่า เราเลยพิจารณาซื้อใหม่ และชุดที่มีเดิมเอาไปทำเป็นชุด Test Environment เช่นการยิงระบบจนกว่าจะล่มเพื่อให้เราสามารถดูได้ว่าระบบเรารับ Transaction ได้สูงสุดที่เท่าไหร่

  • ไม่ได้เพิ่มพนักงาน Admin

Q ภาษาที่เราใช้เขียน
A Python / C / Java / Opensource

Q Promptpost ของไปรษณีย์ไทยที่เราเข้าไปทำ เพราะเป็น Strategic Deal มั้ย
A Promptpost จดหมายลงทะเบียนจะเป็นการเปลี่ยนกระดาษเป็น electronic ซึ่งสามารถ save Cost ได้เยอะมาก จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคืองานของราชการ และงานเอกชน
ตอนนี้เรียกว่าจบ Phase1 แล้ว ซึ่งหากลูกค้าสนใจ สมมติเช่นตลาดหลักทรัพย์ ต่อไปอยากส่งเอกสารทั้งหมดเป็น Eclectronic ผ่าน Promptpost ก็เรียกเราไปเขียนตัวเชื่อมต่อให้ ( Phase2 ) ซึ่งเราสามารถรับงานในส่วนนี้ได้ต่อไปอีก

  • หรือศาลอยากออกหมายศาลทาง electronic ก็สามารถมาเชื่อมต่อได้
  • Phase2 จะเป็น SAAS

Q เป้าหมายการเติบโตของปีนี้และต่อๆไป
A ปีนี้โตแน่ๆ 10-15% บนฐานที่เราได้งานไปรษณีย์ไทยด้วย ( ประมาณ 100 ล้าน ) ส่วนปีหน้าและต่อๆไปมีโอกาสโตได้ 25-30%

NAT

CV NAT 15-3-24

ขอขอบคุณหลักทรัพย์ Pi ทีมคุณเมเม่ครับ
ธุรกิจเริ่มต้นจากเพื่อน 3 คน หนุ่ม เอ โต้ง ที่เรียนวิศวะ ABAC ด้วยกัน ก่อตั้งบริษัทขาย computer ร่วมกัน ถือหุ้นเท่ากัน

  • ต่อมาคุณโต้งลาออกไปตามหาความฝันที่อังกฤษ ขายหถ้นให้คุณหนุ่ม คุณเอ บริษัทยังคงใช้ชื่อเดิม ค่อยๆขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • จุดเริ่มต้นของธุรกิจคือ การขายอุปกรณ์ เดินสาย Network ให้ Toyota ( งานที่ 2 ) ด้วยเพราะงานที่ทำให้ Toyota เป็นมาตราฐานญี่ปุ่นที่ต้องเน้นเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย บริษัทจึงได้รับวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้มา
  • จนตอนนี้ขยายตัวขึ้นมาเป็น SI ที่รับเหมางานด้าน IT แบบครบวงจร เน้นงานภาครัฐ 80-85%
  • ปัจจุบันเอ คุณสุธี เป็น CEO ดูเรื่อง Business Development
  • คุณ หนุ่ม เป็น COO ดูเรื่อง Project Management ทั้งสองถือหุ้นเท่ากัน 35.98% ในนามบริษัทอื่น

ประวัติที่สำคัญ
Y2004 : ก่อตั้งบริษัท ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
Y2005 : ขยายธุรกิจให้บริการเดินสาย ติดตั้ง Network ระบบ Lan ระบบไฟฟ้า โทรศัพท์ ตามสำนักงาน โรงงาน
Y2017 : เริ่มงานบริการ It Outsourcing ( หลักๆให้ Toyota ) และ System Integration
Y2019 : รับแต่งตั้งเป็น Gold Partnet ของ Dell
Y2020 : เลื่อนเป็น Platinum Partner , เริ่มจำหน่าย Vmware
Y2021 : เป็นตัวแทน Cloud Reseller จาก Genesys
Y2022 : เลื่อนเป็น Titanium Partner จาก Dell , เป็นตัวแทนจำหน่าย On-Promise จาก Genesys
Y2023 : เป็น Gold Partner ของ Genesys , Advance Partner ของ Vmware / เข้าตลาด

Business Unit
BU1 : SI / Digital Transformation

  • หน้าที่คือคุยกับลูกค้าเพื่อหา Pain point / เสนอ Solution ที่ตอบโจทย์ลูกค้า / Build up Project

BU2 : Cable system / เดินสาย Lan Fibre ให้ Office และโรงงานต่างๆ

  • ลูกค้าหลักคือ Toyota ซึ่งมีกลุ่มโรงงานผลิต 11 แห่ง ได้สัญญาตั้งแต่ปี 2005 ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นงานที่ต้องการความละเอียดปลอดภัยมาก เช่น งานที่บริษัททั่วไปใช้คน 2 คน toyota Requirement อาจจะต้องใช้คนถึง 7 คน โดยแต่ละคนแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ( คน Wiring ก็ทำอย่างเดียว / คนเดินสาย /ดูความเรียบร้อย )
  • งาน Toyota เป็นงานที่พลาดไม่ได้ ถ้าพลาดโดน Black list ทันที มี Barrier to Entry สูง

BU3 : งาน IT Outsource
ลูกค้า เช่น Toyota (ประมาณ 30 คน เป็นงาน Data Center / Admin / Factory ดูแลด้านการผลิต / ดูแล Server ) True / Essilor / Nissan (ประมาณ 40 คน)

ธุรกิจด้าน System Integration (SI) แบ่งงานออกเป็น 6 ระบบงาน ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้มากกว่า 1 ระบบ
1.IT Infrastructure Solution : ขาย ติดตั้งอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบ IT , Server , Storage และอื่นๆ เช่น Computer Notebook
2.Network Infrastructure Solution : Solution เกี่ยวกับระบบเครือข่าย โครงสร้างพื้นฐาน
3.Cloud Solution * : จัดหา ออกแบบ ติดตั้ง ระบบ Cloud ให้ลูกค้า เช่น NT / INET Cloud / UIH / TRUE IDC

  • ส่วนใหญ่เป็น Product ของ Dell ที่เราเป็น Titanium Partner ( สูงที่สุดคือ Titanium Black )
  • นโยบาย Cloud First ของรัฐที่จะเปลี่ยนไปใช้เป็น Local Cloud เป็น Key Driver
    4.Cyber Security Solution * : Solution เกี่ยวกับระบบการรักษาความปลอดภัยทาง Cyber
  • โตเกิน 50% ต่อปีติดต่อกันมาหลายปี ถือเป็น Hilight
  • ระบบป้องกัน Cyber Attack ลูกค้าเป็นทั้งภาครัฐ เอกชน Net ประชารัฐ กระทรวงต่างประเทศ
    5.Data Center Solution : จำหน่าย Computer ระบบ server
  • Ransomware ของ Dell เช่นการป้องกันการโจรกรรมข้อมูล การเอาข้อมูลเป็นตัวประกัน ( ในไทยโดนกันเยอะ )
  • เช่นโรงพยาบาลรัฐที่เนข่าว หรือสายการบิน
  • ระบบ Cyber Security Solution / การ Backup ข้อมูลแบบเป็น Random ( Mirror Backup )
    6.Digital Collaboration Solution : ปรึกษา ออกแบบ จัดหา เกี่ยวกับระบบ Digital Collaboration
  • เช่นศูนย์บริการภาครัฐ การ setup Dynamic Bot เป็น Voice Bot / Chat Bot เพื่อทำเรื่อง Call Center
  • วิธีการคือใช้ Genesis + Google Dialog แล้วเอาข้อมูลมาประมวลผลต่อ
  • ลดเวลาในการตั้ง Call Center จาก 6 เดือนเหลือ 2 อาทิตย์
  • = ส่วนที่โตเยอะ

กลุ่มลูกค้า
Y2022 ภาครัฐ 85.59% เอกชน 14.41%
Y2023 ภาครัฐ 85.30% เอกชน 14.70%
ภาครัฐเช่น EGAT NT ไปรษณีย์ไทย
ภาคเอกชน เช่น Toyota Delta Nissan True

Financial
Y2021 2022 2023
Reveune รวม 448.75 1,089.61 1,555.91 Growth 86.2%CAGR
Gross Profit 59.93 172.53 224.79
GPM 13.27% 15.83% 14.45%
Net Profit 26.68 100.62 117.07
NPM 5.91% 9.20% 7.51%
Revenue จากการขาย 300.21 283.54 470.48
Revenue จากการรับเหมาวางระบบ 100.26 774.82 1ม044.15 >> โตมาก

  • ลูกค้าที่จ้างเราหลักๆคือ NT 80% โดย NT จะไปรับ Proporsal จากภาครัฐแล้วไปประมูลงาน / พอได้งานก็จะมาเปิดประมูล แล้วเราไปเข้าร่วมประมูล / พอได้งานเราก็จะไปสั่งของจาก Vendor อีกที ( เช่น Security อาจจะสั่งจาก N-Force )
  • ลักษณะคือ รัฐ > NT > NAT > ซื้อของจากคู่ค้า
  • สิ่งที่เราทำคือ เข้าไปดูลูกค้าแล้วช่วยคิด หรือแนะนำ ในเรื่องการ ลด Cost / เพิ่ม Productivity

เป้าหมายการเติบโต

  • ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอื่นๆ เช่นพลังงาน finance Logistic
  • เน้น Product อื่นๆ เช่น Cyber security / AI / Application/ Data Analytic

Q&A
Q อายุเฉลี่ยของพนักงาน
A ประมาณ 35 ปี มี Sales Engineer 12 คน

  • พนักงานส่วนใหญ่ใช้การ Outsource

Q เคยเก็บเงินไม่ได้มั้ย
A ปกติจะเก็บได้ทุกครั้ง ไม่เคยช้า ยังไม่เคยมีส่งงานแล้วเก็บเงินไม่ได้

  • NT ก็จะจ่ายเงินเราตามสัญญาความก้าวหน้าของงาน / ส่วน NT ไปเรียกเก็บเงินกับภาครัฐ

Q งานของ NT มีมากขนาดไหน
A 200-300 งาน มีทั้งรัฐ เอกชน

  • Success Rate 80%+
  • คู่แข่งของเราเช่น AIT Samart
  • ปีที่แล้วมี Bid กันเกิน 100 โครงการ
  • ปกติเราจะมีการ waranty แบบ back to bank Guarantee จากSupplier เรา เช่น เราประกัน NT 1 ปี เราต้องได้รับประกันสินค้าจาก Supplier 2 ปี
  • ตอนนี้เริ่มมีไปประมูลงานตรงกับภาครัฐเอง / NT ทราบและเข้าใจเรื่องนี้

Q Backlog ตอนนี้
A Backlog 665M รับรู้ปี 2024 650M / 2025 15M

Q เป้าหมายการเติบโต
A เติบโตด้านรายได้ 30%

  • เป้าโต 5ปี 30% CAGR

Q เงินค้าทำ IPO ประมาณ เท่าไหร่
A 5 ล้านบาทเป็น 1 time expense / ตอนต้น Q1 จะมีเรื่อง Road show Expense ประมาณ 2 ล้านบาท

Q ทำไมเราถึงเริ่มขายงาน NT ได้
A เดิม NT เคยใช้ของ Lenovo / HP แล้วเกิดระบบ Down / เราเลยเข้าไปเสนอระบบ Dell ซึ่งมีจุดเด่นคือ EMC ซึ่ง Dell กับ Vmware เคยเป็นบริษัทเดียวกัน ระบบจึงคุยกันได้แบบ Sesmless ทำให้โอกาสล่มน้อยกว่า

Q มีแผน M&A ในระยะใกล้นี้มั้ย
A มีกำลังพูดคุย เกี่ยวกับด้าน AI Software

  • สนใจ business ด้าน Software Development / Energy / EV station

Q Dell Titanium Partner มีใครบ้าง
A NEC (Japan) SVOA / Metro system / CTC ( Japan )

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น