Advice

CV Advice 31-5-24
เราจะเติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

Business Update
Q1/23 – Q4/23 – Q1/24
Total Revenue 3,455 – 3,182 – 3,567
สัดส่วน DIY 36% – 32% – 33% > ลดใน Q4 เพิ่มเล็กน้อยใน Q1/24 > DIY ลดลง ตาม trend ตลาด
Notebook 24% – 24% – 24% > Notebook maintain
Printer 11% – 11% – 11%
Desktop 11% – 10% – 9% > Desktop แนวโน้มลดลง
Smart Phone 3% – 8% – 5% > ขายดีมากในช่วงปลายปี Q1 เริ่มแผ่วลง
Others 12% – 11% – 14% > Other เพิ่ม จาก active board ( กระดานขนาดใหญ่ ) ตามบริษัท/องค์กร

Sales Channel
Retail 36% – 40% – 36% > ปลายปี Retail ขายดี / มี easy E-receipt ช่วย
Online 22% – 22% – 25% > Online โตขึ้น
Wholesale 36% – 32% – 33% > Dealer ลดลง / Dealer บางส่วนจด Etax ไม่ทัน

สาขา + Franchises 339 / สาขา 110 / Franchises 229 > สาขาลดลง 2 สาขา รวบ 2 สาขาเล็กเหลือ 1 แต่พื้นที่ใหญ่ขึ้น
กทม 15% กทมไม่ได้จะขยายเยอะแล้ว เน้น online
Standalone 68%
Apple CE ( corner apple อยู่ในร้าน advice ) 71 สาขา
Android CE 97 > เป้าขาดไป 13 สาขา
ข้อกำหนดห้างถ้าพื้นที่เล็กกว่า 110ตรม วางมือถือไม่ได้ ( เช่น central Robinson )

Financial highlights
IT Industry ปริมาณส่งมอบ PC ทั่วโลก แนวโน้มลดลงเรื่อยๆตั้งแต่ปี 2021 เพิ่งจะมาเริ่ม Pickup ใน Q1/24 (Y2022 -16% /Y2023 -14% / Q1/24 +1.5% แต่ Advice +3% )
Y2022 Y2023 / 1Q23 – 1Q24
Revenue 14,388 – 13,519 / 3,455 – 3,567
GPM 8.5% – 8.7% / 8.4% – 9.4% > Gp Q1 9.4% จาก 8.4% เพราะขาย online เพิ่มที่ลดคือขายส่ง ( gp ต่ำ ) / Y2021 GP9.7% ดีเกินจริงจากกระแสขุด Bitcoin
ลด sub distribution ( ไม่ใช่ disty เช่น sis synex )
แบบนี้ทำให้เราได้ยอดจาก disty มากขึ้น Rebate ก็มากขึ้น (10 ล้านได้ 1 แสน)
Product ที่ซื้อ subdist คือ printer
เมื่อก่อนบาง Product เช่น Printer Advice > ซื้อผ่าน Sub Dist. > Sub Dist. ซื้อจาก Disty. >> ตอนนี้เราซื้อตรงกับ Disty แทน ทำให้ Margin ดีขึ้น
ต่างคนพยายามจะยัดของให้กันแต่เป็นการทยอยส่ง
เป้ารับมาทยอยส่งประเมินสถานการณ์ถ้าไม่ถึงก็อาจจะลด rebate ได้

SGA 6.70% – 7.02% / 6.62% – 7.44% >> เพิ่ม จาก e market place ขึ้นค่าธรรมเนียม 4% ในปีเดียว ( ตอนนี้เก็บ 7% Lazada / Shopee 8% ) > เมษาปรับเพิ่ม อีก เป็น 8 – 9% >> น่าจะเป็นเรื่องถาวร
ค่าพนักงาน back office + พนักงานสาขา / ทีมบริหารใหม่ CMO CTO / ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากสาขา 6 สาขา / โบนัส / Employee Group Insurrance
EBITDA 402 – 367 / 97 – 101 (+4.1%)

Net Profit 206 – 170 / 47 – 56 +19.1% > มีการคืนเงินกู้ จึงช่วยเรื่องต้นทุนการเงิน
Npm 1.43% – 1.26% / 1.36% > 1.58%

Inventory day. จาก 39 เป็น 42 วันเพราะมี demo เพิ่ม ( smart phone = 80 ล้าน ) / มี stock รอขาย Q2
Cash Cycle (-8) – (-6) > 1Q24 = +4 > แนวโน้มเพิ่มขึ้น
%Expense to Sales 6.7% – 7.0% > 1Q24 7.4% ต่ำที่สุดในตลาด
IDBE 0.45
DE Ratio 7.51 > 2.42

Key highlight
Apple Store (MONO = Model Apple Standalone ) Y2024 – 2026 > 5 > +20 > +20 branch = เราได้ Location หมดแล้วนปีนี้ แต่ที่ช้าเพราะ เป็น standalone / Apple ต้องมาตรวจและมี Criteria 10 ข้อ เช่นห้ามติดร้านนวด ร้านเหล้า แผงลอย …
Q3/24 จะเปิดได้ 3 สาขา
เราจะไปพิจิตร เพราะ Apple check reach แล้ว จำนวนผู้ใช้เทียบกับ ผู้ใช้ android ยังไม่เยอะ ถ้าที่นี่ทำได้สำเร็จ Apple จะ Nodoubt กับวิธีคิดของเรา
แต่จังหวัดสาขาที่ reach น้อยเกินไปก็ไม่ทำ เช่นอุทัย

ลักษณะของการเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Apple
iStudio : Apple Premium Reseller (APR) >> ยอดขายต้องเกิน 30 ล้านขึ้นไป
iBeat : Apple Authorised Reseller (AAR)
U•Store : Campus Experience Centre (CS)
iMedic : Apple Authorised Service Provider (ASP)
MONO : Apple Standalone >> รูปแบบที่ Advice ได้

Authorize service Brands ( ไม่ใช่ Apple ) เรามีช่างรวม 500 คน + รับทำ brand ต่างๆ > เป้าหมายปีนี้ 14 brand
เดิม : Acer Brother Hp Asus Msi Huawei Lenovo >> เป้าหมายที่จะเพิ่มของปีนี้ Epson Philips AOC Samsung Lexmark Pantum

กลุ่ม Commercial
Q1/23 – Q4/23 – Q1/24
Revenue 176 – 162.13 – 184 (+13.5%)
บริษัทจำกัด/มหาชนเติบโตได้ดี ส่วนงานราชการลดลง
บริษัท เป็นการขายสินค้า + service ทำให้ GP ค่อนข้างดี

Q&A
Q Advice ต่างจาก head daddy ยังไง( Advice มี web https://headdaddy.com/ อีกเวปนึง )
A Head Daddy เป็นแบบ supplier ฝากขาย product ไม่ใช่ it อย่างเดียว >> อาจจะต่อยอดไปขาย Product อื่นๆ

Q Net profit จากคอมมาร์ทถ้าตัดออกกำไรจะเพิ่มมั้ย
A ( ปีนี้ Q1/24 Advice ตัดสินใจไม่ออกงาน Commart ซึ่งจะขาดทุนเกือบ 7 ล้านบาท หันไปจัดงานใน Shop ของตัวเองซึ่งผลออกมาเสมอตัว )
ที่ลดค่าการขาดทุนจาก Commart = 7 ล้าน แต่มีเพิ่มค่าการตลาดของงานที่จัดเองเข้าไป
จากกำไร Q4/23 – Q1/24 ที่ 47 > 56 ถ้าตัด commart 7 ล้าน ออกไปก็อาจจะดูโตน้อยแต่ไปจัด it expo แทนซึ่งเท่าทุน
กำไรที่เพิ่ม 9 ล้าน จะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาดที่จ่ายใน Q4 ถือเป็น 1 time 3 ล้าน และการตลาดโปรโมทการเข้าตลาด 3 ล้าน
ขาดทุน commart เยอะๆคือ Q3/23 เกือบ 20 ล้าน
คชจ promote งานคอม (ที่จัดเอง ) 4 ล้าน > net แล้วไม่ขาดทุน

Q พนักงานของ Samsung มี shop > galaxy campus > เป็นของใคร
A เป็นพนักงานของทาง Samsung /ถ้าขายได้เราไม่ต้องจ่ายค่าคอมให้
ส่วนพนักงาน Apple เป็นของร้านเองที่ต้องผ่านการอบรมตามมตราฐาน Apple
MONO ค่าตบแต่ง 3 ล้าน ค่าเสื่อม 3 ปี ( ตัดตามระยะเวลาตามสัญญาเช่า )
ที่จังหวัดเลย ตัด 9 ปีตามสัญญา

Apple MONO > Apple ตั้งยอดขาย 12 ล้านต่อสาขาต่อเดือน
จุดคุ้มทุนคือ 6 ล้าน สรุปกันที่ 8 ล้าน / เค้า focus ยอดขายเป็นรายสาขาเลย

Q การขาย Apple ทำให้ Gp รวมดีขึ้นมั้ย
A เดิมขายของเราได้ gp 9.7% ขาย Apple ได้ 5.4% + ส่วนลด 1.x% กลายเป็น 7.x% / แต่ถ้าเป็น Product N-1 N-2 Gp 1x%
สัดส่วนการขาย ขึ้นกับเป้าของ Apple >> แผนคือเราต้องขาย accessory เพิ่ม ซึ่ง GP ดีกว่า ( 30%+ )
ตอนนี้สัดส่วน Product ของ Apple เราขาย iPad > 40% ( ตามจำนวนตัว ) Gp 8-9%
Mac book gp 6%
Ustore > ล่าสุด education – enterprise > ต่อไปเป็น Mono ก็สามารถขายราคานักศึกษาได้ >> ทำให้ยอดขายมีโอกาสเพิ่มได้มากและ GP ไม่ต่างกัน (Ustore GP ได้เท่าเดิม)

Q การโตแบบ organic ของ advice
A มองว่าโตยากแล้ว / Apple น่าจะมาเพิ่มยอดขายได้

Q Android GP จะดีกว่า (12-15%)
A แต่ความเป็นจริงขายแข่งกันดุเดือดมาก > แข่งกันเดือด จนตอนนี้เหลือ 5.4%
เวลาตั้งไม่ได้ตั้งแต่ยอด + acccessory ด้วย >> มี KPI พนักงานให้พยายามขาย Accessory
ตลาดมือ 2 เคยทำแล้ว( นานมาแล้ว ) เลิกไปแล้ว
กำลังจะเอารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามาขาย
อนาคตอาจจะขายรถ > คิดไว้

Q ตลาดที่ลาวเป็นยังไง
A เดิมลาวยอดเคยหายไป50% ตอนนี้กลับมาเกือบปกติแล้ว >> ดีขึ้นมาก

Q ในงาน Commart อย่าง lazada เค้ามีส่วนลด 15% ใครเป็นคนรับตรงนี้
A เราต้องรับ 8% แปลว่า ยิ่งขายเยอะ ยิ่งขาดทุน >> เหตุผลนึงที่ตัดสินใจเลิกไปออกงาน Commart

Q SSSG ในห้าง กับ stand alone เป็นยังไง
A ยังไม่ได้ Track ตรงนี้ จะรับเอาไปทำข้อมูล

Q ยอดฝั่ง Francise เป็นยังไง
A Francise ยอดไม่ลดแต่ไปตกฝั่ง dealer ทั่วไป > โดนเจ้าอื่นตี >> เหมือนตลาดจะแข่งขันรุนแรงขึ้น
ในวงการมือถือ ถือว่าเรายังเล็กมาก

Q งบ Q1 โตส่วนซื้อตรงกี่%
A ประมาณ 1%

Q ในทุกภูมิภาค ที่ไหนดีสุด
A กทมดีสุดโต 34% ( มีขยายสาขา ) อีสานโต 4-5% ใต้โตน้อยสุด
ยอดขายในห้างก็ยังโตดี / Central Westgate จากขาดทุนตอนนี้ดีขึ้นแต่ยังไม่กำไร >> บาง Location ถ้าไม่ดีมากๆอาจต้องมีการ Relocation

Q ยอด sale ขายผ่าน online
A Q1 15% ตอนนี้ 12% / ผ่าน online ของเราเอง ( advice.co.th 8% )

Q วิธีรับรู้รายได้ รับรู้ยังไง ( online )
A เอายอดขายรวมมาเป็นรายได้ / แล้วค่าคอมไปอยู่ใน SGA
นโยบาย etax ช่วยใน Q1 / Q1 ช่วงหลังไม่ดีเลย
Q2 ก็ยังโตเหมือน Q1 >> รวมๆ Q2 น่าจะทรงๆเทียบ Q1

Q ขายเองกำไรดีกว่าขายผ่าน dealer >> แบบนี้ Dealer ลดถ้าไปเพิ่มส่วนอื่นแปลว่าดี
A ในเชิงธุรกิจไม่เป็นไร แต่ในแง่จิตใจก็กระทบอยู่เพราะทำธุรกิจคู่ค้ากันมานาน
มีบางส่วนมาขอเป็น francise
ต้องมี service ที่ดีถึงจะยั่งยืน

Q Samsung ทำไมไม่ขยาย shop
A เรารอความต่าง > คือซื้อจาก shop ก็ไม่ต่างจากร้าน standalone ( ไม่เหมือน Apple )

Q ระยะเวลาสั่งของส่งถึงบ้าน ใช้เวลากี่วัน
A ปกติ commart จะช้ากว่าปกติ ใช้คนละระบบกัน

Q ยอดขายของ Operator เป็นเท่าไหร่
A ยอดของ Com7 + value + synex – จากตลาด = ยอดขายของ operator

Q ห้าง yoy เพิ่ม 22%
A ในห้างขายดีกว่าข้างนอก แต่ข้างนอกกำไรดีกว่า
กำลังต่อราคากับบางเจ้า เช่น central Robinson น่าจะได้
บางที่ location ไม่ดีอาจจะต้อง relocation
ใจจริงไม่อยากไปห้างเพราะ gp ต่ำแต่ต้องไปเพราะได้เรื่อง Brand awareness

Q การไปตปท
A พอในไทยเริ่มเต็มก็อาจจะไปกัมพูชา > มีคุยๆอยู่ น่าจะได้ไปมีคนติดต่อมาแล้ว
อาจจะไปในรูปแบบ Francise ถ้าไปต้อง scale เยอะๆเลยถึงจะคุ้ม

Q ปัจจัยของประเทศที่เราจะเลือกไป
A ไม่ไกล / support ได้ง่าย เช่น อินโด เวียดนาม อาจจะเป็นไปได้
ROI น่าจะต้องมากกว่า 7% ( 15 ปี )

JPARK

CV Jpark 6-6-24

ให้บริการการจอดรถ ประสบการณ์ 20 ปี+ มีมากกว่า 64 location 30,000 ช่องจอด
การให้บริการแบ่งเป็น 4 Business Unit
1.Parking Service “PS” สัดส่วนรายได้ 60-65%

  • รับรายได้เป็นส่วนแบ่งรายได้กับเจ้าของพื้นที่แล้วแต่ตกลง ( ไม่ได้เปิดเผย ) >> Revenue sharing มั่นคงมากกว่า
  • Model สร้างอาคารจอดรถแล้ว Lease เป็นสัญญาระยะยาว เช่น 30 ปี ( โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า )
    2.Parking Management Service “PMS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
  • ลูกค้าเป็นผู้ลงทุนอาคาร เครื่องมืออุปกรณ์ ( หรือเราเป็นผู้ supply ให้ผ่าน CIPS ) แล้วเราเป็นผู้รับบริหารที่จอดรถ – เก็บเงิน
  • รับรายได้เป็นค่าจ้าง -> เป็น Fix ไม่ขึ้นกับปริมาณการจอดรถ
  • ถ้าเราบริหารต้นทุนได้ถูก ก็จะมีกำไรมาก
    3.Consultant and Installation Parking System “CIPS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
    4.อื่นๆ ( หลักๆคือบริหารให้เช่าพื้นที่บริเวณที่จอดรถ ) สัดส่วนรายได้ 5%

PS Customer Segment : Hospital 24.9% / Local Market 22.4% / CBD Shopping center 17.6% / University 16.1% / Airport 5.1% / others 13.9%
PMS Customer Segment : Park&Ride 74.1% / Convention Center 17.0% / Office Building 7.2% / Hospital 1.6%
*Park&Ride = อาคารจอดแล้วจรของรฟม
จำนวนช่องจอดที่มี
Y2022 – Y2023
PS 13,458 – 14,487 (+1,029) 7.64% YoY
PMS 15,525 – 15,075 (-450) -2.90% YoY ที่ลดลงเพราะมี 1 เจ้าที่ยกเลิกสัญญาเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติ

Financial Highlight
Revenue
Y2022 – Y2023 // 1Q/23 – 1Q/24
PS : 278.6 – 354.7 27% YoY // 83.91 – 93.38
PMS : 79.9 – 82.0 3% YoY // 21.01 – 20.94
CIPS : 69.9 – 121.3 74% YoY // 2.94 – 34.73
Other 23.9 – 15.1 -37% YoY // 3.70 – 3.11
Total 452.3 – 573.1 27% YoY // 111.56 – 152.16

Outlook Y2024
ผบหตั้งเป้า Praking slots Y2024 40,000 / Y2025 50,000 ( รวมทั้ง PS PMS )

  • Project ที่ชนะแล้ว : สนามบินขอนแก่น 600 slots 10 yrs = PS / One Bangkok 2,000 Slots = PMS
  • งานใน Pipeline ตลาดบางกอกน้อย 230 slots May2024 / รพพระนั่งเกล้า 532 slots July2024
  • แปลว่า Y2024 มีในมือแล้ว PS = 1,632 Slots PMS 2,000 Slots รวม 3,632 Slots = 36.3%
  • เน้นหาลูกค้า PS กลุ่มโรงพยาบาลรัฐ **

ในปี 2022-2026 รฟมมีแผนขยายพื้นที่โครงการจอดแล้วจร โดยแบ่งเป็น

  • อาคารจอดรถ MRT สายสีส้ม 1,200 slots > จบแล้ว
  • อาคารจอดรถ MRT สายสีเหลือง 3,000 slots > จบแล้ว
  • อาคารจอดรถ MRT สายม่วง 572+1,370 slots > อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • TAM ในระยะยาว จากการสำรวจ ในกทม 3-4แสนช่องจอด / นอกกทม 5-6แสน / รวมประมาณ 1 ล้าน+
  • ตามนโยบายของรัฐ จะมี ช่องจอด Park&Ride เพิ่ม 3แสนช่องภายในปี 2572 (PMS)

Project ระหว่างการก่อสร้าง

  • ตลาดบางกอกน้อย ( ใกล้ศิริราช ) ->PS ลงทุน 16ล้าน สัญญา 3 ปี -> May/24 230 Slots , June/24 พท 200ตารางเมตรเป็น commercial Area
  • อาคารจอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ->PS ลงทุน 300ล้าน สัญญา 30 ปี เป็นพื้นที่เช่าเอกชนด้านข้างโรงพยาบาล แล้วเสร็จ June/24 , July/24 532 Slots , พท 2,000ตารางเมตรเป็น commercial Area -> IRR14%
  • อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนา ->PS ลงทุน 500ล้าน สัญญา 30 ปี เริ่มก่อสร้าง MAY/24 แล้วเสร็จ Sep/25 , Q4/25 1,014 Slots , พท 4,000 ตารางเมตรเป็น commercial Area

Q&A
Q เป้าหมาย 40,000 ช่องจอด
A ตอนนี้ได้มาแล้ว 3หมื่นกว่าช่องจอด

Q การปรับราคาค่าที่จอด
A ปกติจะปรับ 3 ปีครั้ง >> สมมติขึ้นราคา 5 บาท ต่อ 20 บาทคือ 20% แล้วจึงปรับบ่อยๆไม่ได้

Q CIPS ใกล้จะชะลอมั้ย ( Q1 34 ล้าน )
A มี 2 project ที่ใกล้จะจบแล้ว รายได้ของ Q2 เทียบ Q1 ยังเหลือ 20% ยังไม่ได้ recognize
รายได้น่าจะไม่หายไป ขึ้นกับ progress ของงาน การ install ( แต่น่าจะลดลง )
ปกติเราถนัด PS มากที่สุด
CIPS margin เยอะกว่า > เพราะเป็น project base >> แต่ตลาดก็ให้ PE ที่ต่ำกว่า
ถ้าเป็น Project ขนาดเล็ก 1-2-10 ล้าน ก็ไม่อยากทำ เพราะ margin ต่ำกว่า > Project ใหญ่จะคุ้มค่ากว่า
ตลาด Projcet ขนาดเล็กเป็น red ocean มีคู่แข่งรายเล็กๆเป็นจำนวนมาก

PS ก่อนโควิด margin ใกล้เคียงกับ PMS ตอนนี้เริ่มดีขึ้น >> PS จะเป็นส่วนที่สร้างความยั่งยืนให้เรา
PS GPM ที่เราคาดหวังน่าจะมากกว่า 20-30% ( เท่าก่อนโควิด ) np 10-12%
PS ชอบมากกว่า PMS เพราะโอกาสเยอะกว่า
PMS มัน fix ปรับง่ายกว่า > รายได้มีแต่ลดลง ต้อง control ให้ได้
PS ในส่วนของพื้นที่เช่า เรากำหนดต้นทุนได้ ทั้ง คน equipment / ความตั้งใจคือลดคนให้เยอะที่สุด
One bangkok ลงบัญชีรับรู้รายได้ตั้ง แต่ Feb / Max 8,000 ช่องจอด > ตอนนี้ได้แล้ว 2,000 ช่องจอด แต่ยังไม่เปิดใช้เลย

Q PS เป็นงานประมูล success rate เท่าไหร่
A ก่อนประมูล ต้องดูเรื่องศักยภาพพื้นที่ ขึ้นกับการเจรจาว่าเป็น PS หรือ PMS
ปกติประมูลส่วนใหญ่เราจะได้ / เข้าไป bidding 10 ราย ส่วนใหญ่เราชนะ

Q Normalize GP ควรเป็นเท่าไหร่
A PMS fix > ขึ้นกับ project 30-50%
เช่นถ้าอยากต่อยอดไปทำอย่างอื่น GP ก็ยอมรับ margin ที่ต่ำกว่า
PS ค่อนข้างจะเหวี่ยง = เอา technology มาช่วย / ตึกเราเอง

Q PS แนวทางแบบตึกตัวเอง = พระนั่งเกล้า > เปิด 1 สค
ในส่วนของพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีมีรายใหญ่รับไปทำจะมี discount เยอะมั้ย
A ไม่แตกต่างกัน / Margin เหลือเยอะกว่าด้วยซ้ำ / เป็นสัญญา 30 ปี

Q Major player คู่แข่งหลักเราเป็นใคร
A NPD Nippon parking (ญี่ปุ่น)> ราชการไม่เคยไปแข่งเลย
ส่วนรายเล็กๆมีเยอะแต่เราไม่ไปแข่งด้วย

Q Priority อะไร ว่าเค้าจะเอา PS หรือ PMS
A ดูที่ pain point ลูกค้า ต้องได้ไม่น้อยกว่าที่เค้าได้เดิมโดยเค้าไม่มี cost เพิ่ม / อยู่ที่การเจรจา
อย่างรฟม เค้าไม่เก็บค่าโดยสารแพง
อยากได้รายได้อื่นมากกว่า
โรงพยาบาลรัฐคือ target ของเรา > เน้น PS เพราะเค้าอยาก service ลูกค้าอยากให้คนมาใช้บริการสถานที่เยอะๆ

Q ห่วงเรื่อง Disruption จาก Unman Parking Sytem มั้ย
A เราเองก็ disrupt ตัวเองด้วย เราก็มีการ develop parking platform / marketplace ขึ้นมา

  • อย่างลานจอดแล้วจร (PMS) เดิมเราใช้คน 200-300 คน ตอนนี้ลดเหลือ 100 คน ทำให้ต้นทุนเราลดลงไปได้มาก
  • ระบบ Own Parking management จะช่วยลดต้นทุนได้ 20% ปกติเราซื้อระบบเครื่องละ 1-2 แสนบาทต่อปี -> ตอนนี้พัฒนา software ใช้เอง
    ระบบ Prompt pass ใช้ภายในแล้ว
    Technology ที่พัฒนา จะเกิดเมื่อเข้า market place น่าจะช่วยได้ 2-3000 ช่องจอด
    Landlord บริหารเองจัดการเอง เราไปช่วยเอาระบบไปลง
    ปีหน้าจะ launch commercial > เป็น app บน smart phone
    ระบบสำหรับบริหาร pms เสร็จแล้ว

Q ระบบ App จะดึงคนมาใช้บริการใน Platform ได้ยังไง
A เป็นการบ้านของเรา / หลาย app (Startup) มาติดต่ออยากใช้ของเรา > คนอื่นมี pain point คือทำ platform แต่ไม่มีช่องจอด ( ขาด Ecosystem )
เราเลยง่ายกว่าเพราะเรามีพื้นที่ของเราเอง

Q รพรัฐใหญ่ๆที่เป็นเป้าหมายของเรามีอีกมากมั้ย
A ที่ได้แล้ว ศิริราช กาญจนา จุฬา
รามาไม่มีที่ > คุยมา 5-6ปีแล้ว
คิดระบบ valley parking หาพื้นที่ 500-1km ห่างจากโรงพยาบาล / พยายามคิดหลายๆ solution ไปนำเสนอ
ส่วนใหญ่เป็นการบอกต่อเป็น connection เช่นโรงพยาบาล A ใช้แล้วดีก็จะแนะนำโรงพยาบาลอื่นๆต่อไป
โรงพยาบาลรอบนอก อย่างราชพิพัฒน์ ทำได้ เป็นหนึ่งในเป้าหมาย
โรงพยาบาลต่างจังหวัดก็สามารถไปได้
ดอนเมืองมี valley แต่เราคิดว่าไม่คุ้ม 1ชม ได้ 2-3 คน
รพ จุฬาก็มี valley เอาไว้บริการลูกค้ามากกว่า

Q ถ้าเงินทุนที่มาสร้างตึกตามระบบ PS หมดจะเอาเข้าทำเป็นกอง REIT มั้ย
A ก็มีความเป็นไปได้

Q พื้นที่พาณิชย์ของพระนั่งเกล้าเป็นยังไง
A พื้นที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าที่เป็นพื้นที่พาณิชย์ เปิด bid 5 ราย
14% เป็นราคาก่อน discount ตอนนี้น่าจะ 11-12%
ช่วงนี้ราคาขึ้นได้เรื่อยๆ ในสัญญาจะบอกราคาจะขึ้นทุกๆกี่ปี
ใน 3 ปีแรก ได้แน่นอน และคิดเผื่อเรื่อง IRR ที่ขึ้นเรื่อยๆ

Q การปรับขึ้นราคาของที่ต่างๆมีแผนยังไง
A บรรทัดทอง อยากปรับมาก
สยามเพิ่งปรับ > ปีที่แล้ว กลางปี
ตอนนี้ ชมละ 20 เป็นอัตราก้าวหน้า ( ชั่วโมงที่ 1-4 : ชั่วโมงละ 20 บาท ชั่วโมงที่ 5 เป็นต้นไป : ชั่วโมงละ 40 บาท )

SGA พยายามให้ไม่เกิน 6% แต่ตอนนี้ 8-9% ยังทรงๆอยู่

Q พท short term contract เช่น3 ปี ทำไมไม่มีคนมาแข่ง
A ถ้าเราบริการดี มีมูลค่าเพิ่ม คู่แข่งไม่แข็งแรง

Q นวัตกรรมที่ดีกว่าของเราคืออะไร
A ระบบการอ่านป้ายทะเบียน / พยายามปรับ flow แก้รถติด
ถ้า 3 ปี ไม่มีปัญหารุนแรง > คงไม่คิดเปลี่ยนเจ้า
รพจุฬา เคยเว้นไป 2 ปี ( เค้าเปลี่ยนเจ้า ผ่านไป 1 ปีเค้ายกเลิก กลับมาทำกับเราแทน )
อัตราการ renew rate เกือบ100%
อย่าง lotus เรายกเลิกเค้าเพราะ เค้าขอ 3 ชมแรกฟรี เราไม่คุ้ม

Q ปลายปีที่แล้วบอก จะมี bidding ที่สุวรรณภูมิ
A ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แค่เคยพูดประมาณว่าสนใจสนามบิน

Q Cost of fund > 6% มันดูมากเกินไปมั้ย
A เป็นส่วนที่มาจาก bank / Feb ที่เพิ่มมา 100ล้าน ก็ ได้ที่ 6% แต่เรายังไม่ได้ draw
ส่วนใหญ่เพราะคุยเรื่อง loan ไปหมดแล้ว (MLR-1)
โครงการใหม่ต้นทุนการเงินน่าจะลดลง

Q Pre bidding ใช้เวลานานแค่ไหน
A บอกไม่ได้

Q พระนั่งเกล้า
A Break even ตั้งแต่ปีแรก ( รายได้ – คชจ )
Depre 30 ปี ค่าเช้า control ได้/ ถ้า traffic ได้ตามคาด

Q ถ้าเจ้าของที่ดินอยากได้ค่าเช่าเพิ่ม
A ปกติคุยกัน 30 ปีตั้งแต่ทำสัญญาแล้ว

Q กังวลความเสี่ยงอะไรบ้าง
A พึ่งพาลูกค้าใหญ่เช่นจุฬา / ตอนนี้เราเปิดตัวเยอะขึ้น คิดว่าคู่แข่งจะเข้ามา / ตอนนี้จุฬามีอะไรก็มาปรึกษาเราก่อน
คู่แข่งรายเล็กขาดเงินทุน
บริษัทอสังหา เองก็สามารถทำได้
เช่นญี่ปุ่น spin บริษัทลูกออกมาบริหารเอง
Developer ต่างๆ ในต่างจังหวัด มีทำบ้าง แต่ไม่เยอะ
Ctw ทำระบบของเค้าเอง > แต่เค้าหารายได้ทางอื่นดีกว่าคงไม่มาโฟกัสธุรกิจนี้

Q App platform เริ่มจากอะไร
A ปวดหัวกับ vendor เดิมใช้หลายเจ้า แต่ละเจ้ามี standard ของตัวเอง ไม่ยอม modify ให้เข้ากับเรา
MA จ่ายทุกปี คิดเป็นวัน เช่นสมมติเครื่องดับ ต้องรอ 1 วัน > รอไม่ได้
เช่นสยาม เครื่องดับ 1 ชั่วโมง > เสียหายมาก

Market place > มีรายย่อยมาขอเราให้บริหารเยอะ แต่เล็กไป เราไปไม่คุ้ม > เลยขายระบบ
บางส่วนลงเครื่องให้ เช่น กล้อง / เริ่มที่ 20-30 ช่องจอดขึ้นไปถึงจะคุ้ม / คิดรายได้แบบ subscription
เหมือน Airbnb คือเจ้าของลงอุปกรณ์ เราได้ revenue share
บางพื้นที่มีช่องจอดว่าง เช่นโรงแรม ก็สามารถเอาไปบริหารจัดการได้

Q เห็นมีเจ้าใหม่ชื่อ Park-X เอกมัย อุดมสุข
A เป็นกลุ่มเดียวกับ Bitec

Q ปี 2020-21 เราขาดทุนจากโควิด
A ก่อน 2019 เรามี GP > 30 / ตอนนี้กลับไปใกล้ก่อนโควิด
PS สัมปทาน30 ปี margin ดีมาก เพราะไม่มีเรื่องค่าเช่า

Q ค่าแรงขั้นต่ำมีผลมั้ย
A มีวิธีบริหารจัดการอยู่ ไม่น่ามีปัญหา

Q การทำการบริหาร PMS เราดูที่อะไร
A ถ้า margin ตามเป้าหมายเราก็รับทำ > เล็กๆก็ไม่รับ
จะมีเรื่อง fix cost ที่เราประมาณการอยู่แล้ว
จาก CIPS > จบแล้ว เกือบ 100% จะมาเป็น PMS ต่อ
PMS ดูที่ตัวเงิน ไม่ได้ดูที่ปริมาณช่องจอด

Q ค่าแรงคนจะขึ้นทุกปี ทำให้ marginตกลงเรื่อยๆมั้ย
A เราคิด cost เป็นเฉลี่ยอยู่แล้ว ( คิดจาก total contract)
แต่ปกติจะขึ้นราคาตามที่ทำสัญญาไว้อยู่แล้ว
PS margin แปรผันตามผู้เข้าจอด

Q การเติบโตในอนาคต
A Focus ที่ PS

Q อีก 4-5 ปี มอง PS โตไปยังไง
A คาดหวัง แบบพระนั่งเกล้าอีกซัก 4-5 แห่ง ขนาด 500+ ช่องจอด

Q สถาบันมีมาซื้อหุ้นไปบางส่วน
A ก็มีมาถามเรื่อยๆ มองเป็นเคสๆไป / ขึ้นกับ timing

Q มอง TAM รพรัฐใหญ่ขนาดไหน
A มีมากกว่า 20 แห่งที่เอยู่ใน Focus เรา

Q PS เวลาคิด IRR ใช้หลักอะไรประเมิน หรือใช้ urate เท่าไหร่
A ปกติประมาณการ เช่นพระนั่งเกล้าคิด 6 ชม ไม่ได้คิด 24 ชม / จอดซ้อนคันไม่นับ
แล้วตีกลับมาเป็น IRR ต้องมากกว่า 14% / Payback period 7 ปี

Q การ burn cash ช่วงแรกๆมีเดือนที่ขาดทุนมั้ย
A ช่วง2-3 เดือนแรก อาจจะมีขาดทุนบ้าง / เราใช้วิธีค่อยๆเพิ่มคน
เวลาคิด 3-4 เดือน แรกจะไม่ break / คิดค่าเสื่อมตอนเริ่มใชังานเลย

Q รายได้เฉลี่ยต่อช่องจอด ถ้าจะเพิ่ม นอกจากขึ้นราคา มีอย่างอื่นมั้ย
A มีเรื่อง รายได้เชิงพาณิชย์/ อาจจะมีเช่น station EV
มีขายช่องจอด exclusive เช่น AiS ( เช่นขายเหมาเป็นปี เจ้าอื่นอาจจะคิด 500,000 บาทต่อปี ) / ป้ายโฆษณา

Q ระบบ จอง จ่าย จอด ต้องมีระบบไปกันที่จอดรถไว้ จะ balance ตรงนี้ยังไง
A เป็นประเด็นที่ concern อยู่

Q สมมติ 20 ช่องจอด ต้องไปลง infra เท่าไหร่
A สุดท้ายเอาไปคิดกับเจ้าของที่

Q MA มองอะไรไว้บ้าง
A อาจจะมองพวก car care

INET

CV Inet 10-6-24

เริ่มธุรกิจมา 30+ ปีแล้ว เริ่มจากธุรกิจบัตรขูด
Data Center 3 แห่ง ได้แก่ IDC1: Bangkok Thai Tower ซอยรางน้ำ / IDC2: Thai Summit Tower / IDC3: แก่งคอย สระบุรี
มี Innovation hub 3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ / ขอนแก่น / สงขลา สำหรับพัฒนาบุคลากรด้าน IT
โครงสร้างผู้ถือหุ้น สวทช. 24.9% / NT 24.1% / Public 51%
ปี 2543 รัฐบาลอยากให้รัฐวิสาหกิจหารายได้ จึงผลักดันให้เข้าตลาดหลักทรัพย์พร้อม ปตท.
ปัจจุบันเรามาทางลูกค้าเอกชนเปนหลัก / งานภาครัฐให้ NT เป็นผู้ทำ ส่วนเราไม่สามารถทำงานรัฐได้เพราะจะซ้ำซ้อนกัน ยกเว้นหน่วยงานรัฐให้เราเข้าโดยเจาะจง
เราคิดว่าสัมปทานคือจุดอ่อน เพราะต้องพึ่งพิงมากไป เราเลยไม่ทำงานสัมปทาน / งานที่เราเข้า จะเป็นงานที่ยากๆ งานที่ไม่มีสัมปทาน
สมัยก่อนในไทย พึ่งพิงสิงค์โปร์เยอะ
world economic forum (Wef) > มี indicator นึง คือ Technical Readiness กล่าวคือ การ Transform ขึ้นระบบใช้เวลานานแค่ไหน ดังนั้น ประเทศไทยจึงพยายามพัฒนาเรื่องนี้

Y2021 : จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (INETREIT) เข้าลงทุนในอาคาร INET IDC3 Phase1 (Data Center 1900 sqm) มูลค่าการระดมทุน 4,300 ล้านบาท
Service : Data Center / Internet Access / Cloud Solutions (IaaS Paas SaaS) / Digital Platform

ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าประมาณ 4,000 ราย แบ่งเป็น Enterprise 94% (เน้นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก) / Government 5% / Citizen 1%
เราได้มาตรฐาน Cloud เทียบเท่าต่างประเทศทุกอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ISO27799 เป็น certificate ด้าน healthcare เป็นความมั่นคงปลอดภัยด้านข้อมูลการแพทย์ ทำให้ระบบหมอพร้อมและใบรับรองแพทย์เลยอยู่กับเรา

Digital platform Era
ยุคนี้คือการต่อยอดข้อมูล > คือข้อมูลสะอาดผ่านการตรวจและจัดระเบียบแล้ว > สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้เลย หรือไปให้ AI Learning ได้
เช่น Provider ID เป็นข้อมูลด้านบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดทั่วประเทศ > นำไปวิเคราะห์การแพทย์แม่นยำ > รวมข้อมูลที่กระจัดกระจายให้มาอยู่เป็นผืนเดียวกัน
เช่น สรรพากร ที่วิเคราะห์ข้อมูลจาก real data มาใช้ได้เลย / สำคัญคือการทำข้อมูลให้พร้อม ให้ AI เอาไปใช้
ข้อมูลเป็นของกระทรวง เราทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ให้รัฐเอาไปใช้

เปลี่ยนกระดาษเป็น digital. ( Paper to Paperless )
เช่น ระบบ etax ของการท่องเที่ยวเมืองรองที่รัฐเพิ่งออกมาตราการสนับสนุน แต่ผู้ประกอบการต้องออกเอกสารเป็น digital > 80-90% ยังไม่ได้มี etax > เราเข้าไปช่วยทำ สำหรับธุรกิจที่ต้องการออก etax / ค่าดำเนินการ 30-40 สตางค์ต่อ transaction

Local Cloud ตอนนี้เหลือเราเจ้าเดียว Cloud ต่างประเทศมาตีหมด เรา spec สู้ต่างประเทศได้หมด
โครงการ Government Data Center and Cloud Service (GDCC) มาตรฐาน Tier 4 พร้อม SLA 99.99% ทำโดย NT ดำเนินการโดย Nipa cloud >> แต่ตอนนี้คือยกเลิกวิธีนี้แล้วทำให้ลูกค้าหลายกลุ่ม ย้ายมาทางเรา และเราเองเน้นงานเอกชน
ข้อเสียของ cloud inter คือ platform เค้า ถ้า stickiness สูงๆ ต่อไปเค้าก็ขึ้นราคา เช่น VMware ขึ้นราคา 100% (หากไม่ได้เป็น Premier Partner)

Inet ใช้ระบบเพื่อวัดค่าระบบ Cloud Service เป็นตาม Spec การใช้ของลูกค้าว่า VMI = Virtual Machine Indicator
โดย 1 VMI = 2vCPU / Memory 4GB / Hard disk 300GB
เช่น server ใหญ่ๆ อาจจะมี 10 vmi
ราคา 2,500-2,700 ต่อ vmi
ตอนนี้มีเกือบ 45,000 vmi แล้ว ปลายปี น่าจะ 67,000 vmi
Capacity ที่ทำได้ประมาณ 75,000 vmi >> ถ้าเต็มแล้วลงทุนเพิ่มอีก 500 ล้านบาทจะขยายได้เป็น 125,000 VMI ( อาจจะกลางปีหน้า )
กลุ่มเป้าหมายของ Inet เป็นกลุ่ม Enterprise Cloud ระดับราคา 2,500-3000 บาท ( high Quality Service ) และกลุ่ม Commercial Cloud 1,600-2,100 บาท >> จะพยายามปรับไปเป็น Enterprise มากขึ้น
ถ้าพิจารณาจากข้อมูลเดิม ในปี 2021 Inet มีลูกค้า 4,668 รายแต่ ค่าเฉลี่ยราคาต่อ VM อยู่ในระดับต่ำ >> Y2022 – 2023 จึงพยายามลดลูกค้าที่ราคาต่ำ และการแข่งขันด้านราคารุนแรงออก ทำให้ค่าเฉลี่ยราคาดีขึ้นมาก >> เป้าหมาย Y2024 จะเพิ่มลูกค้าเป็น 5,000 รายโดยเน้นลูกค้า Enterprise ที่ราคาสูง
เมื่อ จำนวน VMI ที่ลูกค้าใช้ยิ่งสูงขึ้นจะยิ่งเกิด Operating Leverage คือ Fix Cost คงที่ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะลง Bottom Line เลย ( Cost per Unit ยิ่งต่ำลง )
Strategy
Customer Portfolio Optimization : Focus ที่ลูกค้าคุณภาพดี สร้าง Ecosystem ให้ลูกค้าเกิด Stickiness และใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ( เช่นการสร้าง App / Service ที่คู่แข่งไม่มี )

  • Reasonable price and value added for customers
  • Synergy with Partners เพื่อสร้าง Added Value ให้ลูกค้า
  • สร้างและร่วมมือกับลูกค้าในการสร้างบริการใหม่ๆ / ช่วยลูกค้า Transform เป็น Digital
    Effective Cost Management : ลงทุนใน R&D เพื่อสร้าง Technology ของตัวเองที่ต่างชาติไม่มีหรือไม่เข้าถึง Pain point ของลูกค้าไทย
    Investment Expansion : ลงทุนอย่างต่อเนื่องใน INET Data Center เพื่อรองรับกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาด
    ลูกค้าส่วนนึงคือกลุ่ม SME ที่อยากขอ etax
    Transform to digital > 3.0 ข้อมูลเป็นไซโล > 4.0 ข้อมูลสะอาด พร้อมส่งให้ AI

Financial Performance
Y2022 – Y2023 / 1Q23 – 1Q24
Revenue 2,044.81 – 2,089.51 / 490.88 – 600.38 +22.3%YoY
Revenue Breakdown (Y2023) Cloud 85% / Co-Location 10%
COGS 1,129.64 – 983.68 / 230.37 – 309.32 +34.3%YoY
Net Profit 201.26 – 234.57 / 30.14 – 55.25 +83.3% YoY
GPM 44.8% – 52.9% / 46.9% – 51.5%
NPM 9.8% – 11.2% / 6.1% – 9.2%
** จะมี deferred tax ที่เป็นผลจากการบันทึกบัญชีเรื่องกอง REIT เป็น Tax benefit กลับมาโดย Y2024 น่าจะได้ประมาณ Q ละ 10 กว่าล้าน
deferred tax คือผลแตกต่างชั่วคราว ระหว่างค่าใช้จ่ายหรือรายได้ทางบัญชีกับค่าใช้จ่ายหรือรายได้ทางภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน ซึ่งความแตกต่างนี้จะถูกเปลี่ยนไปด้านตรงข้ามกันได้ในอนาคต

Y2023
Total Asset 13,128 ( ในนี้เป็น Intangible asset ที่บันทึกเรื่องของ R&D 4,187 ล้าน / R&D Under development 787 ล้าน )
Total Liability 10,508 ( ในนี้จะมีส่วนของกอง REIT ที่ต้องบันทึกเป็นหนี้ตามมาตราฐานบัญชีประมาณ 3,888 ล้าน = 37% เป็น Interest Bearing Debt 5,884 ล้าน = 56% )
Equity 2,620

จำนวนพนักงาน 2,300 คน เป้าหมายปี2024 เพิ่มเป็น 3,000 คน
Strategic Investment
Inet ลงทุนใน Mandala 99.99% แล้ว Mandala ไปลงทุนในบริษัทต่างๆ หรือ Startup เพื่อต่อยอดธุรกิจให้กับ Inet
สร้าง digital Transformation Platform เพื่อให้บริษัทต่างๆมาใช้ Data / Platform ร่วมกัน ( ผ่าน Cloud )

Healthcare : ระบบ I-Claim / Home Healthcare / Medical Delivery

  • Transform กระทรวงสาธารณสุขเป็น Smart Hospital 4.0
  • ระบบ iClaim เป็นตัวกลางในการ Claim ระหว่าง ลูกค้ากับโรงพยาบาลรัฐ-เอกชน ( เหมือน BVTPA )
  • เชื่อมกับโรงพยาบาลรัฐแล้ว 426 แห่ง เอกชน 62 แห่ง ประกันชีวิต 10 แห่ง ประกันภัย 14 แห่ง
  • มีจำนวนการส่งยา 80,000 Transaction ต่อเดือน / การเคลม 60,000 Transaction ต่อเดือน
  • Iclaim คิดเป็น transaction ละ 3 บาท เป็น social enterprise

Education : E-Verification / Online Education / Digital Transcript / Job Matching
B2B Commerce : E-Tax / E-Factoring / E-Payment / E-Withholding Tax
Factory : Smart Access / IoT Platform
Local Business : Online Marketing / Online Service / Local Transportation

Outlook Y2024
เป้าหมาย VMI 66,500 / จำนวนลูกค้า 5,000 ราย / Revenue +20%
1H2024 ขายโครงการ INET-IDC3 Phase 2-1 เข้ากอง REIT
ออก INET-W3 เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม

Q&A
Q : พนักงาน 2000+ คน ทำอะไร
A : เป็นการ invest เพื่อสร้างสินทรัพย์ value ถ้าแยกเป็น project ย่อยๆ ต่างๆ เราพยายามลงทุนในสิ่งที่ประเทศขาด
โดยส่วนแบ่งตลาด logic เดิม 30% เป็น local provider เรามี share 50% ใน Local
ถ้าต่างชาติมาความเสี่ยงคือเค้าจะบุกเรามากขึ้น

เป้าหมายคือลูกค้าขนาดกลางและเล็ก
ภาพรวม คือเราโตไปกิน on premise > ที่ cloud โตเยอะ > on premise ลดลง ( ตลาดหลายแสนล้าน )
ตลาด cloud ตอนนี้ประมาณ 20,000 ล้าน
VMware ขึ้นราคา เราเลย พัฒนา open source เอง > ลูกค้าทยอยย้ายมาทางเรา
เราพัฒนา ใช้เองแล้ว และขายให้ลูกค้า > ลดต้นทุนของเรา VMware > openland
ลูกค้า 4000+ เจ้าตอนนี้ก็ทำไม่ทัน

Q : เรื่อง Strategic Investment
A : เราลงทุนกับพนักงาน ที่เก่งๆ ให้ออกไปเปิดบริษัทพัฒนาเอง มี 5-6 บริษัทที่มี Rev+100 ล้านมี Potential ที่จะ Spinoff เข้าตลาด MAI/Live Exchange ได้ เช่น Inext Boardband / E-tax (One Electronic Billing)(รอให้ตลาดดีก่อน)

Q : เป้าหมาย VMI 66,500 ท้าทายไหม
A : 60,000 VMI มีความเป็นไปได้ ส่วนที่เหลือต้องลุ้นเรื่องการเมือง
VMI ยิ่งเพิ่ม กำไรยิ่งลง bottom line จะมี cash เข้ามาอีก พันล้านต่อปี
ถ้าขยาย Capacity จาก 75,000VMI ใช้เงิน 500 ล้าน > ขยายได้ 125,000 VMI
Assumption 10,000 VMI = ลงทุน 100 ล้าน
เงินก้อนใหญ่ที่ต้องสร้าง Data Center Site 4 เพิ่มคือ 2,500-3,000 ล้าน ( ถ้า VMI ใกล้เต็มที่ 125,000 )
ROE เราดีขึ้น แต่มีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องอาจจะต้องเพิ่มทุนในรอบนี้ และอย่างมากอีก 1 รอบ และหาก VMI เกิน 70,000 จะบริหารได้แบบไม่ต้องเพิ่มทุน นอกเหนือจากต้องมีการลงทุนใหญ่ๆ อย่างมีนัยยะ

Q : เรื่อง CAPEX
A : ค่า MA คือ maintenance ต่อปี
เรามีการคุมค่าใช้จ่ายที่ VMI 75,000 ทุกปีอยู่แล้ว

Q : Q2 cloud 30,000 > 45,000 ได้มั้ย
A : ไม่น่าพลาดแต่มีเจ้านึงได้แต่ไปลงในเดือน 7
งบประมาณรัฐที่ออก ไม่ใช่ใช้ได้เลย ต้องเอางบไปคืน digital wallet ก่อน > เลยช้านิดนึง

Q : รายได้ project ใน Q 2 ยัง maintain
A : มีลูกค้า VMI หลายเจ้าที่ราคาต่ำ terminate ไป โดยภาพรวมราคาขายเฉลี่ยต่อ VMI สูงขึ้น

Q : เรื่อง cyber security
A : รายได้ เพิ่มใน cloud เนื่องจากเป็นการใช้ Cloud ต่อยอดการให้บริการ

Q : ค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม
A : เงินเดือน ที่รับคนมาขยายงานด้าน Health ของกระทรวงสาธารณะสุขในช่วงนี้ และจะต่อยอดอุตสาหกรรมอื่น

Q : มีโอกาสที่ NPM เพิ่มจาก operating leverage มั้ย
A : มีแน่นอน
ขึ้นกับการบันทึกบัญชี เรื่อง defer tax ของกอง reit ใหม่ด้วย
เฉพาะ defer กำไรอาจจะ 100+ ล้าน

Q : warrant ถ้าไม่แปลง แล้วผิดแผนจะทำยังไง
A : NT และ สวทช. ชัดเจนว่าไม่ตาม ( ลดสัดส่วนจาก 49% เหลือ 40% ) เพื่อให้คล่องตัวในการเพิ่มทุนรอบหน้า โดยไม่ต้องรอรายย่อย
NT ขาย w หมดแล้วตามมติที่คุยกันไว้ก่อนแล้ว

Q : ทำไมไปตั้ง Data Center ที่ขอนแก่น
A : low risk data center ต้องอยู่บนเขา / ห่างจากสระบุรี 100+ km ตามกฎของการตั้ง Data Center / เรามี dev 300+ คน เรามีศูนย์พัฒนาคนที่นั่น

Q : เงินเดือนเฉลี่ย programmer
A : 30,000 บาท ( ราคาตลาดอาจจะ 70,000+ )
เรามีโรงเรียนของตัวเอง / ใช้วิธีพัฒนา grid เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบการเขียน
ไม่กลัวเรื่องมีคนมาซื้อตัว 70,000
เราสามารถเอาคนเงินเดือน 18,000 มาทำได้ มีเครื่องมือสอนให้ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็มาทำงานแทนได้
รายได้ 85% ของ cloud + platform
บางส่วนรอ terminate อยู่ (ลูกค้าราคาต่ำ)

Q : Platform รายได้เท่าไหร่
A : ไม่ถึง 100 ล้านต่อปี เพราะส่วนใหญ่ให้บริษัทร่วมทุนเข้างาน และกลับมาซื้อ Cloud เนื่องจากมี BOI ในการบริหารภาษี เราได้ boi cloud 100%

Q : VMware ราคาขึ้นกระทบแค่ไหน
A : ไม่กระทบ เนื่องจากเรามี Opensource Hypervisor ที่พัฒนาเองซึ่งราคาถูกกว่า VMware มาให้ลูกค้าทดสอบ และพร้อมย้ายมาใช้งานได้

WARRIX

สรุปยอดขายต่อชิ้นดือน 5 ของช่องทาง Tiktok Shop

ถือได้ว่าเป็นเดือนที่ขายดีในหลายๆแบรนด์ โดยเฉพาะ Warrix ที่มียอดขายพุ่งขึ้นมาพอๆกับ haas ทั้งที่เดือน 5 ไม่ได้มี event อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลทีมชาติไทย และเท่าที่ติดตามก็ไม่ได้มีการจัดโปรแรงๆ อะไรเท่าไร ทำให้น่าติดตามว่ายอดขายที่ขึ้นมานี้จะเป็น Normalize หรือไม่
.
ส่วน MC ยอดขายทำจุดสูงสุดใหม่ แซงเดือนที่เป็นไฮซีซั่นอย่างเดือน 11 และเดือน 12 เป็นที่เรียบร้อย
.
ในขณะที่ Sabina หันมาโฟกัสช่องทาง Tiktok มากขึ้น เป็นแบรนด์ที่ขยัน live มากๆ และคนดูก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้น่าจะส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นเร็ว
.
สำหรับยอดลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำนั้น Warrix ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วย Sabina ที่เริ่มมี momentum ที่ดี
.
เปอร์เซนต์ยอดขายออนไลน์ต่อรายได้รวม Q1/2024
Warrix 24%
MC 10%
Sabina NSR 34% ในนี้เป็นออนไลน์ 38%

TRP

สรุป Opportunity day ฉบับ Pocket ตอนที่ 158
“TRP กับการเพิ่มบริการใหม่ๆที่ชัดเจนมากขึ้นใน Q2 เป็นต้นไป”
บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน)
นำเสนอวันที่ 23/5/2024
.
ผมจัดกลุ่มเป็น 4 หัวข้อ อาจจะไม่ได้เรียงลำดับตามที่ทางบริษัทนำเสนอเป๊ะๆนะครับ
.
สำหรับ Content นี้จะยาวหน่อย ถ้าใครไม่สะดวก สามารถอ่านเฉพาะสรุปพาดหัว (” “) ในแต่ละประเด็นก็ได้ครับ แต่ถ้ามีเวลาลองอ่านทั้งหมดดูนะครับ
.
1. ลักษณะธุรกิจ สินค้าและบริการ
“TRP เป็นคลินิกเวชกรรมภายใต้ชื่อ “ธีรพรคลินิก” เพื่อให้บริการศัลยกรรมความงามบนใบหน้าแก่บุคคลทั่วไป ปัจจุบันมีจำนวนห้องผ่าตัด 6 ห้อง โดย บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านศัลยกรรมตกแต่งบริเวณใบหน้า โดย กลุ่มลูกค้าหลักเป็นคนอายุมากกว่า 50 ปี สัดส่วนประมาณ 60% โดย มีทั้งลูกค้าชาวไทย 70% และต่างประเทศ 30%”
.
บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) เป็นคลินิกเวชกรรมภายใต้ชื่อ “ธีรพรคลินิก” เพื่อให้บริการศัลยกรรมความงามบนใบหน้าแก่บุคคลทั่วไป ปัจจุบันมีจำนวนห้องผ่าตัด 6 ห้อง รองรับกำลังการให้บริการสูงสุด 21,900 ชั่วโมง
.
โดย บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านศัลยกรรมตกแต่งบริเวณใบหน้า ได้แก่ Face-Lock, Fore Head Lock, Neck Lock, Nose, Fat Stem Cell , Eye/Brow lock เป็นต้น
.
สัดส่วนรายได้แบ่งตามอายุลูกค้า
< 30 ปี 9%
30-39 ปี 12%
40-49 ปี 18%
50-59 ปี 27%
>= 60 ปี 33%
.
สัดส่วนรายได้แบ่งประเทศลูกค้า
ไทย 71%
อเมริกา 8%
กัมพูชา 8%
อื่นๆ 13%
.
2. ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/24
“ไตรมาส 1 รายได้ -26% จาก  จาก รายได้ในส่วนผ่าตัดดึงหน้าที่ลดลง โดย มี อัตราการให้บริการห้องผ่าตัด 42% อัตรากำไรขั้นต้น ลดลงจาก 57% -> 54% และกำไรสุทธิ -33% Inline กับรายได้และกำไรขั้นต้นที่ลดลง โดย มีการบริหารค่าใช้จ่ายการโฆษณาได้อย่างเหมาะสม”
.
รายได้รวม = 154 ล้านบาท ลดลงประมาณ -55 ล้านบาท จากปีก่อน (ลดลง -26%) จาก รายได้บริการหัตถการเกี่ยวกับผ่าตัดที่ลดลงเป็นหลัก แบ่งเป็น
.
– รายได้บริการหัตถการเกี่ยวกับผ่าตัด = 137 ล้านบาท ลดลงประมาณ -57 ล้านบาท ลดลง -29% จาก รายได้ในส่วนผ่าตัดดึงหน้าที่ลดลง -54 ล้านบาท เป็นหลัก
.
– รายได้บริการยาระงับความรู้สึก = 6 ล้านบาท ลดลงประมาณ -3 ล้านบาท ลดลง -28%
.
– รายได้บริการที่ไม่เกี่ยวกับการผ่าตัด  = 4 ล้านบาท ลดลงประมาณ -3 ล้านบาท ลดลง -42%
.
– รายได้อื่นๆ = 7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ +5 ล้านบาท เติบโต +250%
.
– จำนวนให้บริการ 2,318 ชั่วโมง คิดเป็นอัตราการให้บริการห้องผ่าตัด 42% (ลดลงจากทั้งปี 2023 ที่ 54%)
.
– รายได้ต่อชั่วโมง = 63,567 บาท/ชั่วโมง (เพิ่มขึ้นจากทั้งปี 2023 ที่ 59,416 บาท/ชั่วโมง) หลักๆ เกิดจากความสามารถในการขายของทีมขาย โดย บริษัทไม่ได้เพิ่มราคาขาย
.
กำไรขั้นต้น = 79 ล้านบาท ลดลงประมาณ -30 ล้านบาท จากปีก่อน (ลดลง -33%) Inline กับรายได้ที่ลดลง
อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง จาก 57% -> 54%
.
กำไรสุทธิ = 43 ล้านบาท ลดลงประมาณ -22 ล้านบาท จากปีก่อน (ลดลง -33%) Inline กับรายได้และกำไรขั้นต้นที่ลดลง โดย มีการบริหารค่าใช้จ่ายการโฆษณาได้อย่างเหมาะสม
.
D/E ใกล้เคียงเดิม 0.6 เท่า
.
3. แผนการเติบโต
“ปี 2024  บริษัทยังมองเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ Base case 15% โดย มีกลยุทธ์หลัก ได้แก่ มุ่งเน้นใน Core Business และการร่วมมือกับ Partner ต่างๆทั้งในบริการใหม่ ได้แก่ Hair Center, Aesthetic, Anti-Aging และ Other Surgery โดย ไตรมาส 2/24 เป็นต้น ไปมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จาก การปรับแผนดำเนินงาน เพิ่มที่แพทย์ เพิ่มบริการใหม่ๆ โดยเฉพาะด้าน Anti-Aging และเสริมจมูก การหา Agency Partner มากขึ้น รวมถึงการทำ Influencer ต่อเนื่อง”
.
ปี 2024 บริษัทยังมองเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ Base case 15% (Best case +25%) โดย มีกลยุทธ์หลัก ได้แก่
.
มุ่งเน้นใน Core Business ยังคงเป็นศัลยกรรมตกแต่ง และการร่วมมือกับ Partner ต่างๆทั้งในบริการใหม่ ได้แก่ Hair Center, Aesthetic, Anti-Aging และ Other Surgery โดย Progress หลักในช่วงไตรมาส 1/24 จะมีความคืบหน้าหลักใน 2 ด้าน ได้แก่
.
– Fat Stem Cell เป็นการใช้ไขมันของคนไข้เองมาฉีดเติมเต็มบริเวณใบหน้า ทำให้ใบหน้าฉ่ำอิ่ม สดใส อ่อนเยาว์ลง โดย ไตรมาส 1/24 มีรายได้ 11 ล้านบาท เติบโต +600%
.
– Hair transplant มีเคสปลูกผมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย ไตรมาส 1/24 มีรายได้ 1 ล้านบาท เติบโต +1,250% ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2023
.
คาดการณ์ผลประกอบการณ์ไตรมาส 2/24 เป็นต้นไปมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จาก การปรับแผนดำเนินงาน เพิ่มที่แพทย์ เพิ่มบริการใหม่ๆ โดยเฉพาะด้าน
.
– Anti-Aging ที่มีที่แพทย์มา Set Operation รียบร้อยแล้ว
.
– Other Surgery เช่น Semi Open Rhinoplasty และ Open Rhinoplasty ที่มีการเริ่มให้บริการแล้ว โดย บริษัทสามารถให้บริการเสริมจมูกครบจบเบ็ดเสร็จ โดย มีนวัตกรรมของตัวเอง คือ จมูกไขมันที่ใช้แก้ปัญหาจมูกทะลุ ซึ่งได้ผลลัพธ์เป็นอย่างดี
.
การหา Agency Partner
– ในประเทศมีการทำ Partnership กับ ของขวัญคลินิก (KCC) เป็นการส่งเคสที่ต้องศัลยกรรมมาให้กับทางธีรพรดูแล
.
– ในต่างประเทศ จัดงานขอบคุณ Agency ที่กัมพูชา โดย มีจำนวน Agency ที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้น โดย คาดหวังว่าตลาดกัมพูชายังคงทำได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงการสร้าง Agency ฝั่งพม่าและอินโดนีเซีย
.
การทำ Influencer
– เคสรีวิว ช่วยเพิ่มความก้าวของฐานลูกค้า ทำให้มีเคส Presenter ส่งรูปให้กับทางลูกค้าได้ สามารถใช้ในการ Live ทำ Marketing ได้ โดย เริ่มต้นจาก Face Lock เพื่อจะดึงกลุ่มลูกค้ากลับมาให้เป็นเจ้าตลาด รวมถึงศัลยกรรมดึงคอ
.
– ตัวอย่าง Influencer ชื่อดังที่มาทำกับบริษัท เช่น คุณโบ๊ท ธารา คุณเพียซ คุณมามี๊แพรว คุณแก้ว บุญจิรา และคุณเชอรี่ มิสแกรนด์
.
4. ประเด็นอื่นๆ
.
– โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลธีรพร >> ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างไป 61% คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2025 โดย ต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านการดำเนินงาน บริการใหม่ๆและทีมแพทย์ พยาบาล
.
-การทำ M&A >> กำลังอยู่ในระหว่างเจรจาเชิงลึก คาดว่าอาจจะมี 1 เคสภายในปี 2024 โดย บริษัทให้ความสำคัญในด้าน Synergy ทางธุรกิจต่อยอดได้ โดย เน้นในด้าน Hair และ Skin เป็นหลัก
.
– ยังไม่มีแผนการเปิดสาขาในต่างจังหวัด แต่ถ้ามี Partner ที่ดี อาจจะไปแบบ Skin Clinic ในนาม Partner
.
– Product ปัจจุบันสำหรับคนอายุน้อยมีแค่ทำตา 2 ชั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มคนอายุมาก เช่น กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง การดึงหน้า ดึงคอ ดึงเหนียง ดังนั้น บริษัทจึงพยายามออกบริการที่เจาะกลุ่มลูกค้า < 50 ปี เช่น ทำจมูก และทำการตลาดให้เหมาะกับวัยรุ่นมากขึ้น
.
TRP เป็นอีก 1 บริษัท ด้านการแพทย์เพื่อความงามที่เพิ่ง IPO ในปีก่อน เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในบริการดึงหน้า อยู่ในอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตได้ดี แต่ก็ตามมาซึ่งการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงมาก โดย บริษัทมีการออกบริการใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆมากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับ Partner ต่างๆอีกด้วย แล้วในอนาคตบริษัทจะสามารถเติบโตได้อีกไกลแค่ไหน เราคงต้องติดตามต่อไปครับ
.
วันหลังผมจะมาเขียนสรุป Oppday บริษัทอื่นๆอีกนะครับ ฝากติดตามนะครับ : )
.
ปล. Content นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลนักลงทุนเท่านั้น มิได้เป็นการชักจูงให้เกิดการซื้อขายหุ้นครับ
สรุปโดย Pocket investor
.
ที่มา Opp. day TRP Q1/24 :
https://www.youtube.com/watch?v=tI0aDaAU9MY

สมาคม

วันที่ 9 มิถุนายน 2567 มีการพูดคุยในหลายประเด็น ดังนี้

* **หุ้น**: มีการพูดถึงหุ้นหลายตัว ได้แก่ ADVANC, TRUE, JTS, HMPRO, TKN, JMT, JMART, SINGER, EA, BTS, GULF, PRI, AAI, ITC, BCP, TIDLOR, BLC, NEX, TPAC, NETBAY, TEAMG, SPCG, AS, SABUY, BAFS, GPREIT, ALLY, LHSC, TISCO, TCAP, MINT, ROJNA, BGI, BKGI, VRE.VN, LUXF,  CHOW, SUPER, KLINIQ, MASTER,  ICHI, STA, PTT, IRPC,  WHAUP,  CGN POWER, CHINA POWER

และอื่นๆ โดยมีการสอบถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้นเหล่านี้ ทั้งในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน โอกาสการเติบโต และความเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ AI และ Semiconductor ในต่างประเทศ เช่น NVDA, AMD, GOOGL, APPL, BRK, TWST, TSM, SMCI, ASML, CRWD, ZS, PANW และ ELF

* **ตลาดหุ้น**: มีการพูดถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน เวียดนาม อินเดีย และสหรัฐฯ มีการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด และปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน เช่น ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ สงคราม และความผันผวนของตลาด นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงดัชนี SET, MAI, SET50, SSET และ HSCEI

* **การลงทุน**: มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์หุ้น การบริหารพอร์ต และการจัดการความเสี่ยง มีการพูดถึงเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการลงทุน เช่น Oppday, 56-1, Tradingview, Investing .com และ Thaivi.org

* **เศรษฐกิจ**: มีการพูดถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทย จีน เวียดนาม และสหรัฐฯ มีการวิเคราะห์แนวโน้มของเศรษฐกิจ และปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น การส่งออก การนำเข้า การบริโภค การลงทุน การจ้างงาน และอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

* **อื่นๆ**: มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เช่น การจัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุน การเสียภาษีเงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ การใช้ ChatGPT ในการสรุปข้อมูล และการจัดกิจกรรม Company Visit ของสมาคมนักลงทุนประเทศไทย

* **ประเด็นอื่นๆ**: มีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การศึกษา ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ การทำศัลยกรรมในประเทศไทย การท่องเที่ยว ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจกาแฟ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจสินเชื่อ

* **มิจฉาชีพ**: มีการพูดคุยเตือนภัยเกี่ยวกับมิจฉาชีพในห้อง OpenChat และวิธีการป้องกัน

โดยรวมแล้ว การสนทนาในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 ครอบคลุมประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนและเศรษฐกิจ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของความสนใจของสมาชิกในห้อง OpenChat

อ.มี่ ได้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลในห้องสนทนาเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้

* **ADVICE**: อ.มี่ ชอบกลุ่มค้าปลีกและธุรกิจค้าส่งอุปกรณ์ไอที เนื่องจากราคาหุ้นลดลงมามาก และจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินภาครัฐ

* **TKS**: อ.มี่ มอง TKS เป็นหุ้นปันผลที่มีโอกาสเติบโต โดยมีประเด็นที่น่าติดตามคือ รายได้ปีนี้จะโต 14%, อัตรากำไรขั้นต้นจะดีกว่าปีที่แล้ว, วงเงินซื้อหุ้นคืน 300 ล้านบาท และจะมีดีล M&A เกี่ยวกับ Digital Transformation

* **ROJNA**: อ.มี่ ยังคงมอง ROJNA ดีเหมือนเดิม แต่ติดปัญหาที่บริษัทไม่ยอมสื่อสารกับนักลงทุน ทำให้ตลาดให้มูลค่ายาก และมีความกังวลเรื่องกำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงไฟฟ้า

* **SISB**: อ.มี่ มองว่า SISB เป็นโรงเรียนทางเลือกที่มีความสามารถในการตั้งราคาได้ เนื่องจากผู้ปกครองมีทางเลือกอื่นที่ถูกกว่า แต่ก็ยังเลือกที่จะส่งลูกมาเรียนที่นี่

* **GULF**: อ.มี่ มองว่า GULF จะบันทึกขาดทุนในไตรมาส 2 ประมาณ 440 ล้านบาท หากราคาปิดไตรมาสอยู่ที่ 39.75 บาท

* **Xiaomi**: อ.มี่ ชอบการเลือกตลาดของ Xiaomi ในการเข้ามาทำธุรกิจรถยนต์ EV และมองว่า Xiaomi หาช่องทางการตลาดได้เก่ง

* **ธุรกิจ Data Center**: อ.มี่ มองว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่เป็นแค่ภาค Support ในธุรกิจ Data Center และไม่ได้มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง

* **การลงทุนในต่างประเทศ**: อ.มี่ มองว่าการลงทุนในหุ้นไทยน่าสนใจกว่าหุ้นต่างประเทศในช่วงนี้ เพราะราคาหุ้นไทยค่อนข้างถูก และยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากเม็ดเงินภาครัฐ

* **ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ**: อ.มี่ มองว่าธุรกิจดูแลผู้สูงอายุเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากเงินเฟ้อด้านอาหารของไทยขึ้นช้า อสังหาริมทรัพย์ยังราคาถูก และค่าครองชีพไม่สูง

* **BRI**: อ.มี่ ขาย BRI ทิ้งไปเพราะกังวลเรื่องยอดขายแนวราบจะลดลง

* **น้ำมะพร้าวของ PLUS**: อ.มี่ คิดว่าอร่อยกว่าของเซเว่น

* **ตลาดหุ้นเวียดนาม**: อ.มี่ มองว่าเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แต่มีความเสี่ยงเชิงระบบของภาคธนาคาร

หากมีผิดพลาด ช่วยแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ

#สมาคมนักลงทุนไทย

NEO

📈[สรุป] OPPDAY Q1/2024

🏢บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) : NEO

💧ผู้นำตลาดน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มในประเทศไทย

……………………………………………………

🟩ภาพรวมธุรกิจ🟩
…………………….
🔹 มีนาคม 2024 บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘D-nee Deluxe’ (น้ำยาซักผ้า และโลชั่น) เจาะกลุ่มผู้บริโภคสูงวัย (Silver Age) เหมาะกับทุกคนในครอบครัว ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนสูงวัย
……
🔹 บริษัทมุ่งเน้นผลิตสินค้าให้มีคุณภาพที่ดีก่อน จากนั้นค่อยมาทำราคาและการตลาด
……
🔹 เป้าหมายปี 2024 มุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า และโรลออน
……
🔹 สัดส่วนรายได้ Q1/2024 (2,472 ล้านบาท)
……
▪️ น้ำยาซักผ้า และปรับผ้านุ่ม : 42%
▪️ โรลออน และครีมอาบน้ำ : 28%
▪️ กลุ่มผลิตภัณฑ์เด็ก : 30%
……
🔹 “Fineline : น้ำยารีดผ้า” มี Market share เป็นอันดับที่ 1 (กินส่วนแบ่งตลาด 60%) ส่วน “น้ำยาซักผ้า” มี Market share เป็นอันดับที่ 2 (กินส่วนแบ่งตลาด 22%)
……
🔹 “TROS : โคโลญ” มี Market share เป็นอันดับที่ 1 (กินส่วนแบ่งตลาด 88%) ส่วน “โรลออน” มี Market share เป็นอันดับที่ 2 (กินส่วนแบ่งตลาด 13%) ตลาดผู้ชาย
……
🔹 “BeNice : ครีมอาบน้ำ” มี Market share เป็นอันดับที่ 2 (กินส่วนแบ่งตลาด 17%) และมี Market share เป็นอันดับที่ 2 เช่นกัน (กินส่วนแบ่งตลาด 38%) สำหรับตลาดครีมอาบน้ำผู้หญิง
……
🔹 “Eversense : โคโลญ” มี Market share เป็นอันดับที่ 2 (กินส่วนแบ่งตลาด 26%) ตลาดผู้หญิง
……
🔹 “D-nee : น้ำยาซักผ้า” มี Market share เป็นอันดับที่ 1 (กินส่วนแบ่งตลาด 72%) ส่วน “น้ำยาปรับผ้านุ่ม” มี Market share เป็นอันดับที่ 1 (กินส่วนแบ่งตลาด 82%) และสบู่เหลว มี Market share เป็นอันดับที่ 2 (กินส่วนแบ่งตลาด 30%)
……
🔹 ช่องทางการจัดจำหน่าย
……
▪️ ค้าปลีกสมัยใหม่ : 50%
▪️ ร้านค้าดั้งเดิม : 34%
▪️ Online : 7%
▪️ ต่างประเทศ : 9% (16 ประเทศ แต่มุ่งเน้น CLMV)
……
🔹 บริษัทเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในประเทศไทย สำหรับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ (Organic) ในกลุ่มสินค้าสำหรับเด็กและผู้สูงวัย
……………………………………

🟩โครงสร้างงบการเงิน Q1/2024🟩
……
🔹 รายได้รวมย้อนหลัง 4 ปี เติบโตขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่เติบโตมากที่สุดเฉลี่ย 16% ต่อปี
……
🔹 อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) 46% เพิ่มขึ้น (YoY) 28% ผลจากราคาวัตถุดิบหลักและบรรจุภัณฑ์ลดลง อีกทั้งมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อให้ใช้พลาสติกน้อยลง รวมถึงสินค้าบางกลุ่มที่มี Margin สูงนั้นขายได้ปริมาณมากขึ้น
……
🔹 ค่าใช้จ่ายในการขาย (SG&A) เพิ่มขึ้น 19% จากการทำโฆษณาและโปรโมชั่น เพื่อผลักดันยอดขายและสร้างการรับรู้จดจำแบรนด์สินค้า
……
🔹 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้นจาก ‘ESOP’ หุ้นเพิ่มทุน IPO ให้ผู้บริหาร การปรับขึ้นเงินเดือน การเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมอาคารคลังสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งได้ขยายและเริ่มใช้งานไปแล้วเมื่อปลายปี 2023
……
🔹 สินทรัพย์หมุนเวียน เพิ่มขึ้นจากลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลัง เพื่อรองรับการเติบโตของยอดขาย
……
🔹 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนบุคคลทั้งเด็กและผู้ใหญ่
……
🔹 หนี้สินรวม เพิ่มขึ้น 7% จากเงินกู้ทั้งระยะสั้น (ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน) และระยะยาว (ใช้ก่อสร้างโรงงานผลิต)
……
🔹 ส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลง 14% จากการจ่ายเงินปันผลก่อนบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO)
…………………………………………

🟩กลยุทธ์การเติบโต🟩
……
🔹 จุดเด่นของบริษัทคือ รับรู้ความต้องการของผู้บริโภค จากการวิจัย (R&D) และประวัติการเก็บข้อมูลสินค้ามาอย่างยาวนาน
……
🔹 ตั้งเป้าหมายทางด้านยอดขาย เติบโตมากกว่า 10% ต่อปี ด้วยวิธีการออกสินค้าใหม่ 50-100 SKU ต่อปี (รวมสินค้าใหม่และพัฒนาสินค้าเดิม) ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุม สร้างการรับรู้แบรนด์ และพยายามเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด
…………………………………………

🟩Q&A Q1/2024🟩
……
🔘กำลังการผลิต (Capacity) ของโรงงานแห่งใหม่ จะเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่? เป็นไปตามเป้าหมายไหม? และรับรู้ค่าเสื่อมเมื่อไหร่?
……
💬โครงการก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์ช่วงปลายปี 2024 และรับรู้กำลังการผลิตช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ส่วนค่าเสื่อมราคาจะเริ่มคิดตอนต้นปี 2025
………………

🔘 ผลิตภัณฑ์กลุ่มของใช้ในครัวเรือน มีอะไรพิเศษ? จึงเพิ่มกำลังการผลิตถึงเท่าตัวภายในอีก 2 ปีข้างหน้า
……
💬เรามุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าเป็นหลัก ภาพรวมตลาดการใช้งานคือ น้ำยาซักผ้า 40% และผงซักฟอก 60% เราทำการวิจัยแล้วว่า “น้ำยาซักผ้า” ในอนาคตจะมีสัดส่วนคนใช้งานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วางเป้าหมายไว้ว่าสัดส่วนคนใช้น้ำยาซักผ้าจะเพิ่มมากขึ้นมาที่ 50% จึงเป็นที่มาของการคำนวณเพิ่มกำลังการผลิตและขยายโรงงานดังกล่าว
………………

🔘 อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) Q1/2024 อยู่ที่เท่าไหร่?
……
💬อยู่ที่ประมาณ 80-85% เป็นปกติ
………………

🔘 ธุรกิจผันผวนตามฤดูกาล (Seasonal) หรือไม่?
……
💬เป็นเฉพาะบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น โลชั่นมักขายดีขึ้นในฤดูหนาว และน้ำยารีดผ้า อัดกลีบ จะขายดีขึ้นช่วงเด็กนักเรียนเปิดเทอม
………………

🔘 กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มสินค้าพรีเมียม หรือ แมส จะสร้างการเติบโตได้เท่าไหร่?
……
💬เป็นกลุ่มพรีเมียม มีกำลังซื้อและใส่ใจสุขภาพ ส่วนด้านการตลาดขออนุญาตไม่เปิดเผย
………………

🔘 รายได้จากต่างประเทศลดลงใน Q1/2024 เพราะอะไร?
……
💬เป็นลักษณะปกติ เช่น ที่เวียดนามมักจะตุนสินค้า ซื้อสินค้าช่วง Q4 เยอะ เพราะคนจับจ่ายใช้สอยช่วงนี้มาก ส่วน Q1 จะมีเทศกาลวันหยุดยาวเยอะ เหตุผลอีกส่วนหนึ่งคือฐานรายได้ที่สูงกว่าปกติของ Q1/2023 เนื่องจากสถานการณ์ Co-vid ที่ก่อนหน้านั้นปิดประเทศมานาน แล้วอั้นมาซื้อสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าวเยอะมาก
………………

🔘 แนวโน้มราคาวัตถุดิบหลักตอนนี้เป็นอย่างไร?
……
💬Q1/2024 โดยภาพรวมราคายังต่ำกว่าปี 2023 ส่วนในไตรมาสหน้ามีแนวโน้มคงที่ ส่วน Q3-4 ยังอยู่ในช่วงประเมินราคา
………………

🔘 จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ระดับเดียวกันนี้ไว้ได้ไหมในอนาคต?
……
💬ช่วงเดือน เม.ษ.และ พ.ค.ที่ผ่านมา เรายังรักษาระดับไว้ได้ ส่วน Q3-4 ก็จะพยายามให้ได้ระดับนี้ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา
………………

🔘 เป้าหมายยอดขายเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ยังเป็นไปตามเป้าหมายไหม?
……
💬ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย
………………

🔘 ผลิตภัณฑ์กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล มียอดขายเติบโตจากสินค้าใดเป็นหลัก?
……
💬กลุ่มโรลออนและครีมอาบน้ำ เรามุ่งเน้นมากที่สุด ตั้งเป้าหมายมา 2 ปีแล้ว ซึ่งก็ทำได้ตามเป้าหมายตลอดมา
………………

🔘 ค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ‘ESOP’ และ ‘IPO’ จะยังมีบันทึกเข้ามาในงบการเงินอีกไหมสำหรับไตรมาสหน้า?
……
💬เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษเพียงครั้งเดียว ไม่มีอีกแล้ว
………………

🔘 แนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบหลักเป็นอย่างไร มีผลต่อ Margin ไหม?
……
💬วัตถุดิบน้ำหอม เรามีสัญญาซื้อขาย 3, 6, 12 เดือน ยังสามารถควบคุมราคาไว้ได้ในระดับที่ต้องการ ส่วนสารลดแรงตึงผิวนั้นผันผวนตามราคาน้ำมันปาล์ม
………………

🔘 นโยบายรัฐบาล เรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท จะกระทบบริษัทมากน้อยแค่ไหน?
……
💬ปัจจุบันค่าแรงงานทางตรงของบริษัทอยู่ที่ 2.40% ต่อยอดขาย ซึ่งปัจจุบันบริษัทจ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้วโดยค่าเฉลี่ย ก็จะกระทบเล็กน้อยเพียง 0.10% ต่อยอดขาย
………………

🔘 เป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ?
……
💬ไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของบริษัท คือ GPM : 42-43% และ NPM ไม่ต่ำกว่า 8%
………………

🔘 สำหรับการขายในต่างประเทศ บริษัทใช้กลยุทธใดเพื่อเจาะตลาดประเทศที่ไม่ใช่ CLMV?
……
💬นำสินค้าไปออกบูทเป็นหลัก ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีพอสมควร โดยเบื้องต้นมุ่งเน้นกลุ่มสินค้าที่มีอยู่
………………

🔘 ผู้บริหารรุ่นที่ 2 มีส่วนร่วมในการบริหารมานานแค่ไหน?
……
💬เข้ามาทำงาน 8-10 ปีแล้ว
………………

🔘 อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ อันไหนเยอะมากที่สุด?
……
💬เรียงลำดับ : กลุ่มเด็ก ส่วนบุคคล และครัวเรือน อยู่ในระยะห่างแต่ละกลุ่มประมาณ 5-8%
………………

🔘 Q3/2023 NPM สูงมาก มีรายการพิเศษไหม?
……
💬ไม่มีรายการพิเศษ เป็นกำไรปกติ เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักลดลง
………………

🔘 บริษัทตั้งงบค่าใช้จ่ายต่อยอดขายเท่าไหร่?
……
💬ภาพรวม 20-21% ไม่เกินจากนี้
………………

🔘 ปกติบริษัทอัดงบโฆษณาช่วงเวลาไหน?
……
💬กระจายตามแต่ละสินค้า ไม่เหมือนกัน
………………

🔘 บริษัทออกสินค้าใหม่ต่อปีเท่าไหร่?
……
💬50-100 SKU รวมทั้งสินค้าใหม่และพัฒนาสินค้าเดิม
………………

🔘 จะมีปันผลอย่างไร?
……
💬มีนโยบายชัดเจน จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง
………………

🔘 วัตถุดิบหลักนั้นอ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์อะไรบ้าง?
……
💬สารลดแรงตึงผิวนั้นอ้างอิงกับราคาน้ำมันปาล์ม ส่วนน้ำหอมไม่ได้อ้างอิงอะไรเป็นพิเศษ
………………

🔘 มีแผนขยายการผลิตสินค้าไปยังกลุ่มอื่นบ้างไหม?
……
💬มีการพูดคุยกันตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด
………………

🔘 เพราะอะไรจึงเลือกแบรนด์ ‘D-nee’ สำหรับเจาะตลาดกลุ่มผู้สูงวัย
……
💬‘D-nee’ มีฐานลูกค้าเยอะมากและหลากหลาย จากการที่บริษัททำวิจัยมา 5 ปีต่อเนื่อง มีกลุ่มผู้สูงวัยใช้ D-nee เยอะมาก จึงสมเหตุสมผลที่เราจะเข้าตลาดด้วยแบรนด์นี้
………………

🔘 บริษัทผลิตสินค้าเอง มีความคิดที่จะจ้างผลิตไหม?
……
💬เราต้องการควบคุมมาตรฐานคุณภาพในทุกกระบวนการผลิต แต่พิจารณาอยู่ หากจ้างผลิตแล้วได้คุณภาพตามมาตรฐานของเราก็เป็นไปได้ในอนาคต
………………

🔘 ปกติเมื่อบริษัทออกสินค้าใหม่ ใช้เวลานานไหมกว่าคู่แข่งจะทำตาม?
……
💬ผลิตภัณฑ์ Organic ใช้เวลา 2-3 ปี ถึงจะมีคนทำตามออกสู่ตลาด ส่วนผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงวัยคิดว่าน่าจะนานกว่านั้น เท่าที่เห็นนวัตกรรมแบบเราในเอเชียยังไม่มี ถึงคนอื่นจะทำตาม แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้อย่างผลิตภัณฑ์ของเรา ค่อนข้างมั่นใจว่าอีกหลายปี
………………

🔘 การออกสินค้าใหม่สำหรับผู้สูงวัย ต้องใช้งบโฆษณาสูงไหม?
……
💬ใช้เป็นปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ต้องต่อเนื่อง
………………

🔘 Margin ในอดีตดูผันผวน เกิดจากอะไร?
……
💬มีกระทบแค่ช่วงสถานการณ์ Co-vid และผันผวนจากแรงซื้อที่อั้นมานานเมื่อสถานการณ์เริ่มปกติ
……………………………………………………

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂

COCOCO

📌 สรุป หุ้น COCOCO OPPDAY 2024Q1

🔷 ประเด็นสำคัญ
– รายได้หลัก 1,373 ลบ. +60.28%yoy
– สัดส่วนรายได้ในประเทศ 14% ส่งออก 86% โดยทวีปอเมริกาและเอเชียขายได้ลดลงเนื่องจากเป็น low season อากาศหนาวเทศกาลวันหยุดค่อนข้างเยอะ
– อาหารสัตว์ยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 139 ลบ. +103.55%yoy ด้านกำไรขั้นต้น 39 ลบ. +2,096.78%yoy ส่วน GPM 28.19% ด้านกำไรสุทธิพลิกกลับมา 17.25 ลบ. +167.22%yoy NPM 12.24%
– กำไรขั้นต้น 366 ลบ. +69.38%yoy ด้าน GPM เพิ่มขึ้นเป็น 26.66% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารสต็อกที่ดีคาดการณ์ว่าวัตถุดิบจะขาดแคลนจึงได้ทำการสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เพียงพอต่อคำสั่งซื้อ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
– กำไรสุทธิ 204 ลบ. +204.39%yoy ด้าน NPM เพิ่มขึ้นเป็น 14.57%
– SG&A 168 ลบ. +32.25%yoy ส่วนใหญ่จากค่าผลประโยชน์ของพนักงาน ค่า R&D ค่าที่ปรึกษา ค่าโฆษณาการตลาด ค่าออกงานแสดงสินค้า
– D/E 0.53 เท่า
– ROE 19% ด้าน  ROA 12.41%

🔷 Business updates
– ขยายส่งออกได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก จากเดิมที่ 90 ประเทศ
– ไตรมาส1 ได้ออกงานแสดงสินค้าใน 5 ประเทศ
– ที่อเมริการเริ่มมีน้ำมะพร้าวขายใน amazon ด้านไทยเริ่มขายสินค้าใน Shopee Lazada เพิ่มขึ้น
– เริ่มนำสินค้าเข้าไปขายในอินเดียและญี่ปุ่นมากขึ้น ทั้งมีขยายไปที่ตุรกีและบรูไน รวมถึงมีไปเยี่ยมลูกค้าที่จีนและอินเดีย
– ไตรมาส2 จะมีสินค้าใหม่ COCONUT COFFEE ในรูปกระป๋อง และ COCONUT WATER ในแพ็คเกจใหม่ขวด PET รวมถึงจะมีงานแสดงสินค้า Thaifex และ Seoul food
– อาหารสัตว์เลี้ยงปีนี้จะเริ่มกลับมามีกำไร แบรนด์ MOOCHIE Q1 ออก superfood bite เป็น snack, Q2 ออก Kibble อาหารเม็ด ทูน่าสำหรับแมว และอาหารเสริมชื่อ VETMOO+
– อาหารสัตว์เลี้ยงขยายออนไลน์มากขึ้นโดยจะเริ่มขายใน amazon ที่อเมริกา รวมทั้งที่ไทยมีขายในออนไลน์ Shopee Lazada TikTok ทั้งมีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 24 ประเทศทั่วโลก สำหรับในไทยช็อปเพิ่มขึ้นเป็น 530 แห่ง
– TPF เพิ่งเริ่มเมื่อปีที่แล้วโดยจะเริ่มจากติ่มซำ ฮะเก๋า และ THAI STREET FOOD เช่น ผัดไท แกงเขียวหวาน และมีขยายสินค้าในตลาดจีนขายในห้างมีกว่า 1,000 สาขา ใช้ชื่อ Sala เป็น Thai fruit ice stick นำกะทิน้ำมะพร้าวมาทำเป็นแท่งไอศกรีม มีทั้งรสทุเรียน มะม่วง มะพร้าว
– ในไตรมาส2 จะมีออกงานแสดงสินค้าเกือบ 10 งานทั้งในและต่างประเทศ
– ปีนี้กำลังการผลิตน้ำมะพร้าว 295,000 ตัน คิดเป็น U-RATE 70% เผื่อมีการบำรุงติดตั้งหรือมีออเดอร์พิเศษเข้ามา โดยจะทยอยติดตั้งเครื่องจักรในไตรมาส1-3 ส่วนในปี2025 ขยับเป็น 366,000 ตัน / กะทิกำลังการผลิตยังคงเดิม 99,000 ตัน คิดเป็น U-RATE 46% / อื่นๆ เช่น ทองม้วน กำลังการผลิต 16,000 ตัน คิดเป็น U-RATE 16% / อาหารสัตว์เลี้ยง กำลังการผลิต 27,600 ตัน คิดเป็น U-RATE 17% / TPF เพิ่งเริ่ม ยังทดสอบตลาดและสามารถขยายไปได้เรื่อยๆ กำลังการผลิต 331 ตัน คิดเป็น U-RATE 10%
– เป้าปี2024 รายได้ 6,600 ลบ. และแตะ 10,000 ลบ. ในปี2026
– solar roof ตอนนี้มีประมาณ 4 mw จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และตั้งเป้าปีนี้ Boiler ใช้พลังงาน Biomass 80% และได้ลงนามสัญญากับองค์กรเรือนกระจกแห่งชาติทำ NET ZERO ภายในปี 2050

———————————————
แอด Line มีของแจก ฟรี!!!
Line id : @MrStock
Line : https://MrStock.me/line/
( คลิก ที่ลิ้งค์เพื่อแอดเพื่อนได้เลย)
———————————————
.
🔶 Q&A
– ปีที่แล้วสั่งซื้อเครื่องจักรไป 2 รอบ ในปีนี้จะทยอยติดตั้งจะไปเสร็จช่วงไตรมาส2 ปีหน้า กำลังการผลิตตอนนี้เกือบ 200,000
– เรื่องต้นทุนวัตถุดิบทางบริษัทเก็บสต็อกไว้ตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้วสำหรับไตรมาส1-2 สามารถเก็บไว้ได้ 6 เดือน ส่วนไตรมาส3-4 ฝนตกแล้ว ของมาแล้ว ทีมงานส่วนหนึ่งมีไปสำรวจที่ฟิลิปปินส์ อินโด วัตถุดิบมากขึ้น ไม่มีอะไรกังวล
– สำหรับเป้า 10,000 ลบ. ทางบริษัทมีพื้นที่เพียงพอเกือบ 150 ไร่ มีการสร้างอาคารคลังสินค้าใหม่ เตรียมพื้นที่ติดตั้งเครื่องจักรใหม่ทั้งหมด เตรียมพื้นที่สำหรับสร้างอาคารผลิตใหม่ทั้งหมด รวมทั้งขยายคลังสินค้าเพิ่มอีก และมีสินค้าใน pipeline แล้ว
– ตลาดอินเดียบริษัทเริ่มส่งของเข้าไปช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทต้องคอยปรับสินค้าให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น
– มองน้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มสุขภาพไม่ใช่สินค้าแฟชั่น แนวโน้มการเติบโตในจีนยังมีเรื่อยๆ เริ่มขยายไปฝั่งตะวันตก
– การนำเข้ามะพร้าวจากอินโด ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ยังนำเข้าได้ไม่มีปัญหาอะไร
– กะทิที่ขายได้เพิ่มขึ้นมาจากที่อเมริกา สินค้าได้วางขายในห้างใหญ่และจะส่งมอบในไตรมาส3
– ผลกระทบเรื่องราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น ทางบริษัทไม่ค่อยใช้น้ำตาล ใช้เป็นน้ำมะพร้าว 100%
– จุดเด่นของสินค้าเนื่องจากมะพร้าวน้ำหอมมีเฉพาะที่ไทย ประเทศอื่นเรื่องรสชาติจะสู้ไม่ได้ ส่วนคู่แข่งในประเทศถ้าไม่เคยทำหรือไม่มี supply chain ลึกเท่า หรือกำลังการผลิตไม่ใหญ่เท่า การบริหารจัดการเป็นไปได้ยาก
– ที่ตลาดจีนทางบริษัทจะบินไปเยี่ยมทุก 3 เดือน เพื่อพูดคุยหารือ
– แนวโน้มปี67 ตั้งเป้าโต 60% ยังเป็นไปตามเป้า
– เอเชียจะขายฝั่งทางเหนือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ช่วงหน้าหนาวหรือไตรมาส1 ถือเป็น low season จะขยับเพิ่มในไตรมาส2-3
– เรื่องการปรับค่าแรง 400 บาท สำหรับบริษัทในโครงสร้างต้นทุนยังไม่ถึง 1% ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นเครื่องอัตโนมัตมากขึ้น
– อาหารสัตว์ไตรมาส2 จะปล่อยสินค้าอาหารเม็ดในแบรนด์ MOOCHIE ขายทั้งในและตลาดประเทศ
– สำหรับกลยุทธ์บริหารการเติบโตอาหารสัตว์ ทางบริษัทรับทำ OEM และทำแบรนด์ของตัวเอง ตอนนี้มีตลาดรองรับ 24 ประเทศทั่วโลก ที่ผ่านมาแบรนด์เริ่มติดตลาดเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อแบรนด์ติดตลาดแล้วการเติมสินค้าเข้าไปในแบรนด์ก็จะง่ายขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย

.
◼ หมายเหตุ หากข้อมูลผิดพลาดหรือบกพร่องประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาและตรวจสอบข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
.
ที่มา
https://listed-company-presentation.setgroup.or.th/th/vdo/7867

TRT

TRT oppday End23 14-03-24

หม้อแปลงครบวงจร – อยู่ในช่วงดูดีที่สุดเลยเว้ยแก

👉ลูกค้า 3 ส่วน นโยบายคือ 33% ทั้งรัฐ เอกชน ส่งออก
รัฐคือ การไฟฟ้าทั้งหมด
เอกชน อุตสาหกรรม เหล็ก น้ำตาล โรงไฟฟ้า ผู้รับเหมา
ส่งออก อาเซียนและเอเชียใต้

จุดแข็ง
-หม้อแปลง 37 ปี
-ทำแบบ Engineering to order
-ผลิตขนาดใหญ่ได้ 333 MVA แรงดัน525 kV ใหญ่ที่สุดในระบบ grid Asian

.
👉การเงินปี23
-รายได้ 2110 ล้านเพิ่ม 390
มาจากหม้อแปลง 94% ลูกค้าหลักคือภาครัฐ 1690 ล้านม ส่งออกลดลง 278->191 ล้าน
-GP 25% – NP 6% – EPS 0.421
GP เฉพาะหม้อแปลง 10%->24%
-SG&A 14%  เพิ่มนิดเดียว %ลดลง
-DE 1.93

.
👉👉👉Outlook
-ปีที่ดีของบริษัท เติบโต ไม่ต่ำ 20%
-คาดการรายได้ หม้อแปลง 2630-2700 ล้าน non 193-200ล้าน
-Backlog หม้อแปลง 2200ล้าน ณ สิ้นปี23 โดยลงปี24 1740 ล้าน 

เป้ารายได้หม้อแปลง
-เติบโต 33% จากปี23
-งาน BID ณ DEC23 12,550 ล้าน โอกาสสำเร็จ 20-25% [ส่งออก1,900]
-คาด GPM 18-20% มีบางช่วงทะลุ 23% แต่อันนี้คือที่คาดหวัง
-ภาพอุตสาหกรรมดีกว่าอุตอื่น ขยายตัวจากภาครัฐเยอะในตอนนี้ ส่งออกเป็นเป้าหมายต่อไป
-จะบริหารให้ใกล้เคียงกันแต่ละ Q มองปีนี้และปีหน้าใกล้กันมากขึ้น
-เป้ารายได้ มากกว่า 600 ล้านทุก Q มองปีหน้า 700 ล้านต่อQ

เป้า non
-ลดลงจากปี 23 42%เพราะเครนลดลง
-backlog 195 ล้านแล้ว
-มี BID 2721 ล้าน โอกาสสำเร็จ 20-25% [ถ้าได้คือbacklogปี25]
-คาด GPM 18-20%

.
👉👉👉Q&A
-หม้อแปลงเติบโตตามการใช้ไฟฟ้าของโลก ตอนนี้ US EU ทดแทนสินค้าหมดอายุ
เมืองไทยกำลังไฟผลิตล้น 30% ตอนนี้ยอดใช้เพิ่มกำลังสำรองลดลงแล้ว ภาครัฐต้องลงทุนต่อเนื่อง
-อุตฯหม้อแปลงอยู่ในช่วงผลิกฟื้น อุตฯอื่นจะตามมา ความต้องการก็จะเพิ่มต่อ
-สินค้าคงเหลือ ในงบ มาจากงานกฟผ. ขนาดใหญ่รับรู้รายได้Q1-Q3 มูลค่าใกล้พันล้าน
-มองbacklogนี้อาจจะเป็น ต่อเนื่องได้ เพราะTRTผลิตประสิทธิภาพสูงสุดในภูมิภาค หม้อแปลงขนาดใหญ่
-งานส่งมอบมากจากQ4-23 นิดเดียว
-GP ส่งออกไม่ได้สูงกว่าในไทย เน้นเลือกตลาดไม่แข็งราคามาก เน้นงานพิเศษที่ลูกค้าให้ค่า
-ปี 24 ภาครัฐเป็นคนนำเอกชนยัง มองเอกชนจะตามมาเอง
-ดอกเบี้ยมองปีนี้ใกล้เคียงเดิม 5-7% ใช้เงินกู้แบงค์เป็นหลักในตอนนี้
-งบลงทุนปีนี้ 50 ล้าน เพราะปีที่แล้วลงทุนเพิ่มผลิตหม้อแปลงใหญ่ไปแล้ว และค่าเสื่อมก็ใกล้กัน 50 ล้าน
-มั่นใจGP 18% กำไรแล้ว
-breakeven 2000 ล้าน ยกเว้นมีการขยายตัว
-ค่าเงินมีบ้าง มองปีนี้ยังส่งออกน้อยอยุ่รอปีหน้า
-ปันผล 0.21 (ก่อนหน้า 0.12->0.02->0.12)

.
🏌️สรุปภาพ
-อืมยังไม่แน่ใจว่าอะไรจะกระทบได้บ้าง นอกจากต้นทุนวัตถุดิบ กับกฟผ เลื่อนทุกอย่าง
-ปีนี้ส่งออกอาจจะยังไม่มาก งานBID 1900 ล้าน เทียบงานบิดทั้งหมด 12000
-เป็นปีที่ดีของเค้าจริงๆไหม ติดตามต่อQ2

IP

สรุป Opportunity day ฉบับ Pocket ตอนที่ 159
IP กับการทำการตลาดสินค้าขายดี และแผนการลงทุนในอนาคต”
บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน)
นำเสนอวันที่ 27/5/2024
.
ผมจัดกลุ่มเป็น 5 หัวข้อ อาจจะไม่ได้เรียงลำดับตามที่ทางบริษัทนำเสนอเป๊ะๆนะครับ
.
สำหรับ Content นี้จะยาวหน่อย ถ้าใครไม่สะดวก สามารถอ่านเฉพาะสรุปพาดหัว (” “) ในแต่ละประเด็นก็ได้ครับ แต่ถ้ามีเวลาลองอ่านทั้งหมดดูนะครับ
.
1. ลักษณะธุรกิจ สินค้าและบริการ
“IP เป็นริษัทด้านสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมด้านสุขภาพ ผลิตและจัดจำหน่ายยาสามัญ เช่น ยาระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ เบาหวาน โภชนเภสัช อาหารเสริม โดย บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านโปรไบโอติกมีสินค้าหลากหลาย เช่น Probac7 เป็นผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกขายดีอันดับ 1 ในร้านขายยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์ รวมถึงมีธุรกิจร้านจำหน่ายยา LAB Pharmacy และธุรกิจโรงพยาบาลนครพัฒน์”
.
บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทด้านสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมด้านสุขภาพ ผลิตและจัดจำหน่ายยาสามัญ โภชนเภสัช อาหารเสริมผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์
.
โดย บริษัทมีโรงงานยาและอาหารเสริมของตัวเองที่อยุธยาและสมุทรปราการ รวมถึงมีธุรกิจร้านจำหน่ายยา LAB Pharmacy กว่า 30 สาขาและธุรกิจโรงพยาบาลนครพัฒน์
.
สินค้าของ IP จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
.
1) ยารักษาโรค (Pharmaceutical Products)
กลุ่มยาระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ เบาหวาน กลุ่มยากล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก กลุ่มยาแก้ปวด และยารักษาการติดเชื้อ เป็นต้น โดย มีสินค้าแบรนด์ของตัวเอง เช่น
.
– พาราเซตามอล “Bella Para”
– ยาละลายเสมหะ “Bisocin”
– ยาแก้ท้ออืดท้อเฟ้อ “Bubble-X”
– ยาเบาหวาน “Metforin”
.
2) ผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและชะลอวัย (Wellness and Anti-Aging Products)
ผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชที่มีหลักฐานการวิจัยว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ โดย บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน “โปรไบโอติก” มีสินค้าหลากหลายชนิด เช่น
.
– “Probac7” ปรับสมดุลลำไส้ แก้ปัญหาท้องผุก กรดไหลย้อน >> เป็นผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกขายดีอันดับ 1 ในร้านขายยา
.
– “Probac10 Plus” ลำไส้แข็งแรง ลดภูมิแพ้ ชะลอวัย และ “TS6” ลดผ้า-กระ จากภายใน โดย TS6 และ Probac10 มียอดขายอันดับ 1 ในโรงพยาบาลมาตลอด 10 ปี
.
– “Probac Ultra Collagen” ผิวกระจ่างใสทั้งภายในและภายนอก
– “Probiota BL” เพิ่มภูมิคุ้มกันลดอาการภูมิแพ้
– “Probac Mood” ช่วยเรื่องการนอนหลับและความเครียด
– “ProbacFit” ช่วยลดไขมันในช่องท้อง
– “LISA DHA SHOT” บำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์
– “PreBO” เพิ่มส่วนสูง เพิ่มมวลกระดูก
– “PROLIVO” บำรุง ปกป้อง ฟื้นฟูตับ
– “Pro Hare” ลดผมร่วง ผมบาง
.
3) ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมความงาม (Aesthetic Innovation Products)
เช่น ยาสีฟัน YUUU / โปรไบโอติกเพื่อการดูแลผิวหน้า YUUU Probiotic Premium Cleansing mousse / ผลิตภัณฑ์ดูแลจุดซ่อนเร้น TS6 -Lady Health
.
4) ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์ (Companion Animal Health Products)
ได้แก่ อาหาร วัคซีน แชมพูและเวชสำอางสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์
.
นอกจากนี้บริษัทยังรับทำ OEM โดย มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น รับจ้างผลิตยาตาให้ “Teva” เป็นบริษัทยาอันดับ 1 ของประเทศอิสราเอล
.
2. ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/24
“ไตรมาส 1 รายได้ +2% จาก รายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับคน +8% จาก รายได้ของยา Metforin ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายสาขา Lab Pharmacy อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง จาก 40% -> 38% จาก Product mix และกำไรสุทธิ -63% จาก การลงทุนทำการตลาดและการขยายสาขาร้านขายยาเพิ่มขึ้น”
.
รายได้รวม = 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ +10 ล้านบาท จากปีก่อน (เติบโต +2%) จาก รายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่เพิ่มขึ้น แบ่งเป็น
.
– รายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับคน = 354 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ +27 ล้านบาท เติบโต +8% จาก รายได้ของยา Metforin ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายสาขา Lab Pharmacy  
.
– รายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ = 81 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11 ล้านบาท ลดลง -12% จาก กลุ่มสินค้าสำหรับปศุสัตว์ที่ลดลงเป็นหลัก
.
– รายได้ธุรกิจโรงพยาบาล = 49 ล้านบาท ลดลงประมาณ -6 ล้านบาท ลดลง -11%
.
กำไรขั้นต้น = 182 ล้านบาท ลดลงประมาณ -6 ล้านบาท จากปีก่อน (ลดลง -3%) จาก Product mix ที่สัดส่วนรายได้กลุ่มยารักษาโรค ร้านขายยาและโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรต่ำกว่า
อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง จาก 40% -> 38%
.
กำไรสุทธิ = 15 ล้านบาท ลดลงประมาณ -25 ล้านบาท จากปีก่อน (ลดลง -63%) จาก การลงทุนทำการตลาดและการขยายสาขาร้านขายยาเพิ่มขึ้น
.
3. แผนธุรกิจปี 2024
“ปี 2024 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ +25% จาก ยาที่มีการทำโฆษณามากขึ้น รวมถึงสินค้าโภชนเภสัช และผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง โดย มีแผนงาน ได้แก่ เพิ่มยอดขายกลุ่มยาและอาหารเสริม โดย เน้นการสร้างแบรนด์สินค้าขายดี เช่น Probac7 และ Bella Para และขยายช่องทางจัดจำหน่าย การออกสินค้าใหม่ ได้แก่ 7 Genetic Test Kit และอาหารเสริมบำรุงสายตาสำหรับสัตว์เลี้ยง ทำการตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง Maria ในประเทศไทย รวมถึงขยายสาขา Lab Pharmacy และ Renovate โรงพยาบาลนครพัฒน์”
.
ปี 2024 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ +25% จาก ยาที่มีการทำโฆษณามากขึ้น เช่น Metforin ยาเบาหวาน เป็น Top5 ของยารักษาเบาหวานที่ใช้กันอยู่ในช่องทางโรงพยาบาล รวมถึงสินค้าโภชนเภสัช และผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง โดย มีแผนงาน ได้แก่
.
เพิ่มยอดขายกลุ่มยาและอาหารเสริม
– การสร้างแบรนด์สินค้าขายดีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดย เน้นการสื่อสารผ่าน TVC เช่น Probac7
Bella Para เป็นต้น
.
– เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย Bella Para โดย ปัจจุบันมีการอยู่ใน 7-11 กว่า 13,000 สาขา รวมถึงมีขายในร้าน Lawson108,  Jiffy, Boots, King Power, Tsuruha, Topscare, Pure, FASCINO, Dr.Pharma รวมถึงร้านขายยาทั่วไป
.
การออกสินค้าใหม่
– พัฒนา 7 Genetic Test Kit เน้นด้านโรคสำคัญสำหรับสังคมผู้สูงอายุ ได้แก่ หลอดเลือดหัวใจและสมอง เบาหวาน และอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังมี Test Kit ด้านการดูซึมวิตามิน ผิวหนัง ตรวจกีฬาที่เหมาะและอัตราการเผาผลาญ ตรวจ Skill&Ability สำหรับเด็กๆ
.
– Ocluvita อาหารเสริมบำรุงสายตาสำหรับสัตว์เลี้ยง ได้รับการตอบรับค่องข้างดี
.
ทำการตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย
– Maria เป็นอาหารสุนัขและแมว ของบริษัทร่วมทุนกับ ASIAN เป็นอาหารที่มีคุณภาพทั้งไม่มีสารกันบูด gluten free grains free เป็น Human Grade ใส่โปรไบโอติกและโอเมก้า3 โดย มีการส่งออกไปหลายประเทศ ปัจจุบันเริ่มทำตลาดในประเทศมากขึ้น
.
ขยายสาขา Lab Pharmacy และ Renovate โรงพยาบาลนครพัฒน์
– ขยายสาขา LAB Pharmacy เพิ่ม +8 สาขา โดยจะมีสาขารวม 40 สาขาในปี 2024 และมีแผนขยายสาขาให้เป็น 64 สาขา ภายในปี 2026
.
– โรงพยาบาลนครพัฒน์ กำลัง Renovate คาดว่าจะเปิดในเดือนกรกฎาคม 2024 เปลี่ยนชื่อเป็น โรงพยาบาลนครพัฒน์อินเตอร์
.
4. โครงการลงทุนในอนาคต
“บริษัทมีโครงการลงทุนหลัก 2 ส่วน ได้แก่ โครงการ Gene Therapy การรักษาโรคพาร์กินสันด้วยการใช้พันธุกรรมบำบัด โดย เข้าไปลงทุนในบริษัท Gene Therapy Research Institution (GTRI) เป็นบริษัท Start up ด้าน Biotech ของญี่ปุ่น เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก และ โครงการ ยาตา พัฒนาโรงงานที่อยุธยาด้านยาสำหรับโรคตา ให้เป็นมาตรฐาน EU Standard และสามารถนำยาไปขายได้ทั่วโลก”
.
บริษัทมีโครงการลงทุนหลัก 2 ส่วน ได้แก่
.
1) โครงการ Gene Therapy
– การรักษาโรคพาร์กินสันด้วยการใช้พันธุกรรมบำบัด โดย เข้าไปลงทุนในบริษัท Gene Therapy Research Institution (GTRI) เป็นบริษัท Start up ด้าน Biotech ของญี่ปุ่น เงินลงทุน 4 ล้านดอลลาร์ (จ่ายไปแล้ว 1.5 อีก 2.5 จะจ่ายต่อเมื่อ อย.ญี่ปุ่นอนุมัติ)
.
– โรคพาร์กินสัน เกิดจากร่างกายไม่หลั่ง Dopamine จาก ความผิดปกติของสมอง มักเกิดในผู้สูงอายุ โดย สัดส่วน 1% ของผู้สูงอายุจะเป็นพาร์กินสัน คาดว่ามีคนไทยที่เป็นโรคนี้ประมาณ 1 ล้านคน และจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามสังคมผู้สูงอายุ
.
– GTRI ใช้วิธี Adeno Associated Virus (AAV) vectors ในการรักษา และได้ทำการวิจัยทางคลินิก Phase1 ไปเรียบร้อยแล้ว
.
– บริษัทมีการเสนอโครงการนี้กับรัฐบาลไทย เพื่อขอทุนโดยบริษัทร่วมกับโรงเรียนแพทย์ 3 แห่ง ได้แก่ ศิริราชพยาบาล รามาธิบดี และจุฬาลงกรณ์ คาดว่าจะเป็นโครงการที่สำคัญทางการแพทย์ของประเทศไทย
.
– บริษัทเชื่อว่าในอนาคตการรักษาด้วย Gene จะเป็นการรักษาที่ตอบโจทย์ที่ต้นเหตุ ทำให้ต้นทุนการรักษาถูกกว่า เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก สนับสนุนนโยบายไทยในการเป็น Medical Hub ของโลก
.
2) โครงการ ยาตา
– เป็นโรคที่เกิดมากขึ้นตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ จาก การใช้หน้าจอมากขึ้น เช่น ตาอักเสบ ตาแห้ง สายตาสั้น หรือ สายตายาว ต้อกระจกตา ต้อหิน ในผู้สูงอายุ
.
– พัฒนาโรงงานที่อยุธยาด้านยาสำหรับโรคตา ให้เป็นมาตรฐาน EU Standard และออกสินค้า เช่น น้ำตาเทียม ยาแก้อักเสบ ยาแก้แพ้ ยาหยอดตา เป็นต้น รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ยาหยอดตาสำหรับรักษาสายตาสั้น/ยาว
.
– คาดว่าจะได้ EU Standard และสามารถผลิตยาตาได้ในไตรมาส 4/2026 และสามารถนำยาไปขายได้ทั่วโลก
.
5. ประเด็นอื่นๆ
.
– การแข่งขันในตลาดโปรไบโอติก >> ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายที่ขาดความรู้และจริยธรรมออกสินค้ามาแข่งขัน เช่น มีเชื้อ 15 ชนิดใน 1 ซอง แต่งานวิจัยพบว่าถ้ามีมากกว่า 10 เชื้ออยู่ในซองเดียวกัน จะทำให้เชื้อตายหมด หรือการผสม Zinc และ Vitamin C ซึ่งจะทำให้เชื้อตายเช่นกัน บริษัทมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
.
– กลุ่มปศุสัตว์รายได้ลดลง โดย บริษัทมีแผนจะยกเลิก Business unit นี้
.
-งาน 2024 Interpharma Congress & Thank you party ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในส่วนความรู้ด้านสุขภาพคนและสัตว์เลี้ยง โดย มีการสำเสนอผ่านคลิป VDO ในสื่อต่างๆ
.
IP เป็นอีก 1 บริษัทยาและสินค้าสุขภาพที่น่าสนใจ เป็นผู้ผลิตยาและอาหารเสริมหลากหลายประเภททั้งคนและสัตว์เลี้ยง มีความเชี่ยวชาญในสินค้าหลายประเภท เช่น โปรไบโอติก การขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านขายยา รวมถึงมีโครงการลงทุนในอนาคตที่น่าสนใจทั้งในด้าน Gene therapy และยาโรคตา แล้วในอนาคตบริษัทจะสามารถเติบโตได้อีกไกลแค่ไหน เราคงต้องติดตามต่อไปครับ
.
วันหลังผมจะมาเขียนสรุป Oppday บริษัทอื่นๆอีกนะครับ ฝากติดตามนะครับ : )
.
ปล. Content นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลนักลงทุนเท่านั้น มิได้เป็นการชักจูงให้เกิดการซื้อขายหุ้นครับ
สรุปโดย Pocket investor
.
ที่มา Opp. day IP Q1/24 :
https://www.youtube.com/watch?v=klKcj6U6XCs

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น