SIS

Oppday Q1/2024 SIS บมจ. เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย)
สรุปโดยเพจ #นิยมลงทุน

📊 Financial Highlight

  • รายได้ 7273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% yoy
  • กำไรขั้นต้น 542 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% yoy
  • กำไรสุทธิ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.2% yoy

🕵️ ภาพธุรกิจต่างๆของบริษัท

  • กำลังซื้อภาคครัวเรือนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ค่อนข้างอิ่มตัว คาดว่าหดตัวลงเล็กน้อยในปีนี้ ทั้งปีคาดยอดขาย 8000 ล้านบาท
  • กำลังซื้อมือถือดีขึ้นเล็กน้อย คาดรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 5000-6000 ล้านบาท
  • ภาคธุรกิจ โตมาตั้งแต่หลังโควิด ตอนนี้แย่เนื่องจากไม่ได้มีงบจากภาครัฐ ไตรมาส 2 อาจจะยังไม่มา จะมาในไตรมาส 3 เป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ
  • สินค้า Value Added เป็นสินค้าที่ขายยาก ต้องใช้คนเยอะ แต่จะมีกำไรที่ดีกว่า โดยพวก Securities มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Server Storage ที่ใช้ใน Data Center ก็มีการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการเติบโตเยอะ ไตรมาส 1 มีโครงการใหญ่ ทำให้มีรายได้มากกว่าปกติ ถ้าตัดโครงการใหญ่ออก ก็จะโตกว่าไตรมาส 4 เล็กน้อย
  • กลุ่มเล็กๆอื่นๆ (กล้องวงจรปิด,Subscription software ต่างๆ,กลุ่มวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์,คลาวด์,พลังงานสะอาด) ก็สามารถโตได้ตามตลาดเรื่อยๆ
  • SiS Cloud มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • AWS มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไตรมาส 1 มีงานปิดไม่ลงตัว คาดจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้

🙋‍♂️ Q&A

  • Microsoft จะมาตั้ง datacenter ที่ไทยบริษัทได้รับผลดี เนื่องจากบริษัทเป็น Distributor ให้ Microsoft อยู่แล้ว ทำให้ network เร็วขึ้น โดยคาดว่าจะเปิดในอีก 2-3 ปี
  • AWS จะเปิดให้บริการในต้นปีหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้น
  • มีกรรมการคัดเลือก CEO ใหม่แล้ว
  • กำไรของ Cloud ดูกำไรต่อไตรมาสยาก ไตรมาส 4 มีบิลบางส่วนของไตรมาส 3 ที่เข้ามา ทำให้รายได้เพิ่มผิดปกติ ส่วนไตรมาส 1 ก็ต่ำไปหน่อย มีรายได้บางส่วนยังไม่เข้ามา
  • AI เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ต้องสร้างโมเดลให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ ความยุ่งยากจะเป็นการหาข้อมูลไปสอน ปัจจุบันงานภาพ งานเสียง งานภาษา ทำให้สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์
  • PC กับ Server มีการเริ่มใส่ AI เข้าไป แต่ยังไม่ทราบถึงความสามารถว่าจะเก่งขนาดไหน จำเป็นต้องเปลี่ยนไหม
  • Windows 11 ใหม่ที่มี AI จะมีการค้นหาข้อมูลได้ดีขึ้น
  • Cloud เป็นเรื่องใหญ่ ใช้คนเยอะ มีการเพิ่มคนทุกเดือน
  • SiS Cloud ใช้ Data Center ของ InterLink ในเชิงสถานที่
  • ปีนี้คาด Cloud โตกว่าปีที่แล้ว 2 เท่า
  • แนวโน้มไตรมาส 2 ทรงๆ ไม่ดีแต่ไม่แย่
  • ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเรื่องของบุคลากร มีแนวโน้มสูงขึ้น
  • Cloud ขายให้กับ Partner 100% ไม่ได้ขายให้ end user
  • AI มาในทุกสินค้า ทำให้สินค้าเก่งขึ้น บริษัทได้ประโยชน์ทั้งตัวสินค้าและเซิฟเวอร์ มีพวก Service ที่ได้ประโยชน์ด้วย
  • SI มีการทำ AI Project นำไปใช้ในงาน Call Center เช่น Chatbot
  • Cyber Security มีแนวโน้มเติบโต 10-20% ทุกปี และในไทยมีการลงทุนด้านนี้น้อยมาก ยังมีโอกาสอีกเยอะ
  • ธุรกิจพลังงานสะอาดมีแนวโน้มดี ซึ่งรอให้รัฐและสถาบันการเงินส่งเสริม
  • AWS มี service มากกว่า SiS Cloud แต่ราคาก็เพิ่มขึ้นตาม service เช่นกัน
  • SiS เป็น Distributor ให้ AWS เจ้าเดียว ในตอนนี้

KAMART

MONEY TALK Special – KAMART กับแผนการเติบโตในปี 2024 – 4 มิถุนายน 2567
สรุปโดยเพจ #นิยมลงทุน

  • ผลประกอบการณ์ไตรมาส 1 ธุรกิจโตตามแผน มีกำไรจากการลงทุนที่ realize ไปแล้ว 6.58 ล้านบาท และ unrealize อีก 103 ล้านบาท
  • หุ้นที่ unrealize ในไตรมาสถัดไปอาจมีการเคลื่อนไหวได้
  • ยอดขายโตทั้งในและนอกประเทศ ได้ตามเป้าหมาย โดยต่างประเทศโตกว่า 30% ในประเทศก็โตไปในทิศทางเดียวกัน จากสาขาของ retailer ที่เพิ่มขึ้น และ SSSG ที่เพิ่มขึ้น
  • ในต่างประเทศเติบโตจากในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และ CLMV ที่เติบโตได้ดี
  • ญี่ปุ่น มีการเสนอสินค้าเพิ่มขึ้น และมีการออกสินค้าใหม่ ตั้งเป้าโต 35% จะมีการออกแบรนด์ใหม่ในไตรมาส 3-4
  • สัดส่วนการส่งออกต่างประเทศ 12% ของยอดขาย CLMV ใหญ่ที่สุดเนื่องจากมีการส่งออกมานาน ปัจจุบันตะวันออกกลางเติบโตจนยอดขายใกล้เคียง CLMV แล้ว โดยตั้งเป้าในอีก 5 ปี ยอดขายต่างประเทศ 20%
  • ต้นทุนขายลดจาก 48% ในปีก่อน มาเหลือ 46% ในปีนี้ เนื่องจากค่าเงินบาทมีการผันผวนค่าข้างมาก ค่าเฟรท ค่าวัตถุดิบมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีการปรับราคาสินค้าใหม่ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายบริษัท ทำให้กำไรขั้นต้นสูงขึ้น
  • กำไรขั้นต้นอาจมีผลกระทบไม่มากนัก บริษัทมีกลยุทธ์การป้องกันไว้แล้ว
  • 2-3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ที่ร่วมกับน้องฉัตรเติบโตดีมาก แต่แบรนด์อื่นก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปีนี้ cathy doll ค่อนข้างสดใสดูจากช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา จากราคาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
  • partner มีส่วนเอาแบรนด์ไปขยายได้ผลตอบรับที่ดี ทำให้ประเทศรอบข้างมีการเข้ามาติดต่อเช่นกัน
  • ปัจจุบันมีเทรนด์ทั่วโลก ที่มีการเปิดใจในสินค้าระดับกลางมากขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ระดับบนต้องมีการปรับตัว ลงมาถึงผู้บริโภคมากขึ้น
  • สินค้าของ Kamart จะอยู่คนละระดับกับแบรนด์ระดับบน แม้ระดับบนจะลดราคาลงมาก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกัน
  • กลุ่มลิป บรัชออน อายชาโดว์ กลุ่มคิ้ว มีการใช้จนต้องซื้อซ้ำบ่อย ผู้บริโภคมี Loyalty ในแบรนด์น้อยลง
  • Skincare ปีนี้จะออกแบรนด์เพิ่มอีก 2 แบรนด์ จะมีสัดส่วนรายได้มากขึ้น
  • มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต้องใช้การตลาดเพื่อให้สินค้าไปถึงผู้บริโภค ตั้งเป้าทั้งปีไม่ถึง 10% มีการคิดวิธีการตลาดใหม่ๆตลอดเวลา
  • ต้องดูเทรนด์ว่าสินค้าอะไรจะมา จะได้มีการเตรียมสินค้าไว้ออกในอนาคต
  • มีแบรนด์ 15 แบรนด์ โดยแบรนด์หลัก 5 แบรนด์ ทำยอดขายได้กว่า 70%
  • แบรนด์ใหม่ยังมียอดขายไม่มาก แต่จะเติบโตไปเรื่อยๆ
  • ปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 3600 ล้านบาท แบรนด์เก่าจะโตประมาณ 30% โดยจะมีแบรนด์ใหม่จะมาช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4
  • แบรนด์ใหม่จะเห็นยอดขายในไตรมาส 4
  • ตั้งเป้าโตเฉลี่ยต่อปี 25% ในปี 24-26 จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายหรือเกินเป้าหมาย
  • แนวคิดในการลงทุนคือ ต้องเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท ที่สามารถเติบโตไปด้วยกันได้ โดยมี 3 กลุ่ม คือ โรงงาน แบรนด์ และช่องทางการขาย
  • ผลตอบแทนในการลงทุน มีผลตอบแทนที่พึงพอใจต่อทั้งพาร์ทเนอร์และบริษัททั้งคู่
  • เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน 1600 ล้านบาท ยังไม่ได้ใช้ อยู่ในช่วงสรรหา
  • อยู่ในช่วงปรับขยายโรงงาน ทั้งกรุงเทพและระยอง สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย ซึ่งต้องพึ่ง OEM ถ้ามี partner ที่เป็นโรงงานจะมีการจัดการสินค้าและมีต้นทุนที่ดีกว่า
  • บริษัทเครื่องสำอางค์มีโรงงานของตัวเอง และมีการใช้โรงงานด้านนอก เหมือนกันหมด
  • ช่องทางการขายในไทย มีการวางแผนการเติบโต มีทีม sale ดูแลเรื่องนี้ มีการเพิ่มจำนวนสาขาทุกปี
  • ช่องทางการขายที่มียอดขายเติบโตมากที่สุด คือ modern trade และตามมาด้วย traditional trade
  • modern trade มีความแน่นอนของลูกค้ามากกว่า traditional trade
  • ส่วนใหญ่จะตั้ง Zone Distributor ในต่างประเทศ แต่ละประเทศอาจใช้กลยุทธ์ไม่เหมือนกัน
  • แบรนด์ใหม่ที่เข้ามาใช้ค่าการตลาดสูง มาร์จิ้นอาจจะลดลง 1-2%
  • สินค้าที่โตดีในตะวันออกกลางเป็น Skin Care และ Personal Care ญี่ปุ่นและไต้หวัน make up
  • สัดส่วนส่งออกต่างประเทศ skin care จะเยอะกว่า make up
  • สัดส่วนในประเทศปีที่แล้ว make up 60% skin 40% ปีนี้จะปรับ skin care ให้สูงขึ้น
  • kmgi เพิ่งเริ่มขายสินค้าปลายไตรมาส 1 ยอดขายจะเริ่มมาในไตรมาส 2
  • สินค้าในเอเชียได้ยอมรับมากขึ้นในระดับสากล ตลาด make up มีโอกาสมากในตลาดต่างประเทศ ลูกค้าตอบรับสินค้าจากเอเชียมากขึ้น
  • ศึกษาแบรนด์ในตลาดเดียวกันทุกแบรนด์ ดูจุดแข็งจุดอ่อนของเค้า แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับบริษัท

WPH

WPH
วันนี้ได้เข้าฟังanalyst meeting
นึกถึงผู้บริหารในตำรา
เทียบกับคุณเชน เหล่าสุนทร
ที่ได้สัมผัสมาฝากค่ะ

🟨🟨🟨ความสำเร็จของWPHมาจากKเชน
💎💎💎good connection💎💎💎
ที่สามารถ
🟨ดึงตัวคนเก่งๆมาร่วมงาน
🔹️ดึงคุณหมอสมชายที่บริหารBDMSหาดใหญ่500เตียงให้พลิกขาดทุนเป็นกำไร แล้วไปเปผ็นระดับใผอ.ในรพ.BDMSมาได้ คุณหมอสมชายมีประสบการณ์มาก
เน้น
profitabable growth & sustainability
รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลังซึ่งสำคัญมากกกก
🔹️ดึงคุณวิรุฬ ที่set upให้BDMSสมุยพลิกมากำไร และมาสร้างกำไรให้WPS/
🔹️ดึงอ.ภารดร ซึ่งเป็นทีมตรวจHAทั่วประเทศ
มาเป็นผอ.WPS

🟨รับฟังความคิดเห็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า
-ตอนโควิดมาวันแรก คุณหมอสมชายสั่งตุนmaskกับยา คุณเชนรู้สึกเสียดายworking capที่ต้องไปจมแต่ก็ทำตาม
ปรากฎว่าเป็นรพ.ที่maskไม่ขาด ยาพร้อม
ต่างกับหลายๆรพ.ที่ขาดmaskต้องให้หมอพยาบาลหาmaskมาเอง
-รับฟังไอเดียรับปกส.ที่WPSจากคุณวิรุฬแล้วลงมือทำทันที

🟨สร้างownershipให้เกิดกับพนักงานทุกระดับ
-ตอนโควิดขอความร่วมมือพนักงานทุกระดับให้ลดเงินเดือน10%เพื่อkeepทุกคนไว้ให้ผ่านไปด้วยกัน ต่างกับBDMSที่เอาคนออก30-40%
แล้วพอคนไข้กลับมาWPHก็พร้อมรับคนไข้โควิดที่เพิ่มขึ้น300%
ส่วนBDMSไม่มีพนักงานไปทำHospitelไม่ได้
-การต้องห่างครอบครัวไปเกาะสมุยเป็นเรื่องใหญ่
แต่ปรากฎว่ามีพนักงานสมัครใจทำให้

🟨สร้างความสัมพันธ์อันดีกับคลินิก รพ.รอบๆ
-ส่งหมอเด็กช่วยรพ.BDMSทำคลอดแฝด
-ส่งอุปกรณ์และขายยาให้คลินิกรอบข้างราคาถูก
-ให้ค่าคอมส่งต่อคนไข้ที่เหมาะสม

SHOP

🇨🇦
1Q24

Shopify (SHOP) (Technology : Software Application)

• Shopify เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตสำหรับการค้าปลีก มีผลิตภัณฑ์และบริการหลักประกอบด้วยระบบสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์, บริการชำระเงินออนไลน์ผ่าน Shopify Payments, บริการจัดส่งสินค้า, บริการการตลาดและโปรโมชั่น รวมถึงบริการสินเชื่อให้ผู้ประกอบการผ่าน Shopify Capital ลูกค้าครอบคลุมตั้งแต่ร้านค้าออนไลน์รายย่อยไปจนถึงแบรนด์ใหญ่ระดับโลก เช่น Mattel, Gymshark, Heinz, Netflix และ SKIMS

Key Takeaways

1️⃣

รายได้ไตรมาส 1 เติบโต 23% จากปีก่อน หรือ 29% หากปรับผลกระทบจากการขายธุรกิจโลจิสติกส์ออกไป ขณะที่กำไรขั้นต้นพุ่งสูงถึง 33%

2️⃣

อัตรากระแสเงินสดสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนที่ระดับ 12% ของรายได้ สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น

3️⃣

อย่างไรก็ตาม Shopify ประสบปัญหาด้านการคาดการณ์รายได้ไตรมาส 2 ที่เติบโตชะลอลงในอัตราสองหลักต่ำ รวมถึงรายงานขาดทุนสุทธิ 273 ล้านดอลลาร์ ประเด็นเหล่านี้ได้กดดันให้ราคาหุ้นร่วงลงรุนแรง

🟢

ด้านที่ดี

• รายได้และกำไรขั้นต้นเติบโตแข็งแกร่งถึง 23% และ 33% ตามลำดับ

• กระแสเงินสดสุทธิพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า ส่งผลให้อัตรากระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้สูงถึง 12%

• ยอดค้าปลีกผ่านระบบและมูลค่าธุรกรรมชำระเงินเติบโตดี

• รายได้จากค่าบริการรายเดือนเพิ่มขึ้น 34% จากจำนวนลูกค้าและอัตราค่าบริการที่ปรับสูงขึ้น

🔴

ด้านที่ไม่ดี

• การคาดการณ์รายได้ไตรมาส 2 เติบโตในอัตราสองหลักต่ำเมื่อเทียบรายปี ถือเป็น Weak Guidance เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

• Shopify รายงานขาดทุนสุทธิ 273 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1 ถือเป็น Surprise Loss แม้รายได้จะสูงกว่าคาด

• อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลง 50 bps สะท้อนผลกระทบจากการขายธุรกิจโลจิสติกส์ในปีก่อน

🧑‍🏫

Outlook ของบริษัท

• รายได้ไตรมาส 2 คาดเติบโตในอัตราสองหลักสูง แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน

• อัตรากำไรขั้นต้นคาดลดลง 50 bps จากไตรมาส 1

• ค่าใช้จ่ายดำเนินงานคาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตราหลักเดียว

• อัตรากระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้คาดอยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาสแรก

📌

สรุป

• Shopify มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1 โดยรายได้และกำไรเติบโตกว่า 20 – 30% พร้อมกระแสเงินสดสุทธิที่พุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัว อย่างไรก็ดี การคาดการณ์รายได้ชะลอตัวในไตรมาส 2 ประกอบกับการขาดทุนสุทธิที่ไม่คาดคิด และผลกระทบจากการขายธุรกิจโลจิสติกส์ได้กลายเป็นจุดอ่

JPARK

JPARK end23 14-03-24

👉ธุรกิจ
-ให้บริการที่จอดรถ 3 ส่วน
1.Parking service PS 60-65%
2.Parking Management service PMS 15-20%
3.Consult and install CIPS 15-20%
-เข้าตลาด 3 ตุลาคม 23
-มี 29,562 ช่องจอด PS 14,487 | PMS 15,075
-PSลูกค้าหลักที่เน้นขยาย โรงพยาบาล ตอนนี้25%
-PMS 74%จอดแล้วจร
อุตสาหกรรม
-เมืองขยาย รถขายเพิ่ม และจอดแล้วจร (ปี22-26 สีส้ม-1200 สีเหลือง-3000 สีม่วง-572+1370)

👉โปรเจคพัฒนา
-ตลาดบางกอกน้อย (รพ ศิริราช) ลงทุน 16 ล้าน สัญญา 3 ปีก่อน คาดเปิด พค24 230ช่อง
-รพ พระปิ่นเกล้า คาดเสร็จบริการ กค 532ช่อง สัญญา30ปี ลงทุน300ล้าน
คาดกำไรก่อนภาษี NBT 14%
-อาคารจอด ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เสนอTOR คาดเสร็จ กย 25 ลงทุน 500 ล้านสัญญา30ปี
จอดได้ 1014 ช่อง พื้นที่พาณิช 4000 ตรม

.
👉การเงิน 2023
-รายได้ 452->573ล้าน +27%YoY
-กำไร11% 54->62ล้าน +14% YoY
-NPM ลดลง1% เพราะปรับรายการครั้งเดียว 17 ล้าน NPMจริงจะ= 14%
-GP 24% | SG&A 6%
-รายได้แต่ละประเภท +27%YoY
PS 278->354m +27%
PMS 80->82m +3%
CIPS 70->121m +74%

.
👉👉👉Outlook
-ครองพื้นที่ศักยภาพสูง เก็บเงินสดrecurring
1.-เพิ่มจำนวนช่องจอด เป้า24-40,000ช่อง ปี25-50,000ช่อง
ล่าสุดชนะสนามบินขอนแก่น 600 ช่อง 10 ปี / One BKK 2000ช่อง
2.-กำลังโฟกัส พื้นที่ที่มีการหมุนเวียนดสูง สนามบิน, รพ, สำนักงาน, สวนฯ
3.-มีระบบบริหารลานจอดของตัวเอง เพื่อทดแทนซื้อ ถ้าทำได้ลดCAPEX OPEX
และจะเป็นVenderเอง เป้าQ4-24
4.-พัฒนา จอดรถplatform ให้ eco system ดีขึ้น Prompt park Q3-24
อีกส่วน ให้คนอยากทำที่จอดรถเอาขึ้นระบบได้ Q2-25

.
👉👉Q&A
-ลูกค้าใช้มากกว่าเจ้าอื่น เพราะประสบการณ์ จากoperationสำคัญและเทคโนโลยี
-สนามบินขอนแก่น และOne BKK รับรู้รายได้1มีค
มั่นใจ One มีโอกาสเพิ่มช่องจอด
-เป้าหมาย 40,000 ช่อง มั่นใจ แบบไหนอยู่ที่เหมาะสม
-สัญญาเช่าช่วงอยู่ที่สวนรถไฟและเพชรบุรีตัดใหม่
-สิ่งที่อยากพัฒนามากสุดคือ app เพื่อปรับการบริการลดต้นทุนและขยายได้
-การทำลานจอดดูจากปัจจัยหลายส่วน ทั้งแนวราบและแนวสูง
-2024 CIPS โตจากเจ้าของที่มีpain point ค่าแรง
-IPO 400ล้าน ใช้ไป 63 ล้าน-23 และกู้แบงค์ได้เงินทุนยังไปได้สบาย
-ที่จอดรถ รพ ที่ดูอยู่ไม่มีที่จอดฟรี แต่ถ้ารพ เอกชน รพจะไปบวกส่วนอื่นอยู่แล้ว
ลูกค้าเลือกใช้เพราะคุ้มกว่าและป้องกันทุจริต

TRT

TRT oppday End23 14-03-24

หม้อแปลงครบวงจร – อยู่ในช่วงดูดีที่สุดเลยเว้ยแก

👉

ลูกค้า 3 ส่วน นโยบายคือ 33% ทั้งรัฐ เอกชน ส่งออก

รัฐคือ การไฟฟ้าทั้งหมด

เอกชน อุตสาหกรรม เหล็ก น้ำตาล โรงไฟฟ้า ผู้รับเหมา

ส่งออก อาเซียนและเอเชียใต้

จุดแข็ง

-หม้อแปลง 37 ปี

-ทำแบบ Engineering to order

-ผลิตขนาดใหญ่ได้ 333 MVA แรงดัน525 kV ใหญ่ที่สุดในระบบ grid Asian

.

👉

การเงินปี23

-รายได้ 2110 ล้านเพิ่ม 390

มาจากหม้อแปลง 94% ลูกค้าหลักคือภาครัฐ 1690 ล้านม ส่งออกลดลง 278->191 ล้าน

-GP 25% – NP 6% – EPS 0.421

GP เฉพาะหม้อแปลง 10%->24%

-SG&A 14% เพิ่มนิดเดียว %ลดลง

-DE 1.93

.

👉
👉
👉

Outlook

-ปีที่ดีของบริษัท เติบโต ไม่ต่ำ 20%

-คาดการรายได้ หม้อแปลง 2630-2700 ล้าน non 193-200ล้าน

-Backlog หม้อแปลง 2200ล้าน ณ สิ้นปี23 โดยลงปี24 1740 ล้าน

เป้ารายได้หม้อแปลง

-เติบโต 33% จากปี23

-งาน BID ณ DEC23 12,550 ล้าน โอกาสสำเร็จ 20-25% [ส่งออก1,900]

-คาด GPM 18-20% มีบางช่วงทะลุ 23% แต่อันนี้คือที่คาดหวัง

-ภาพอุตสาหกรรมดีกว่าอุตอื่น ขยายตัวจากภาครัฐเยอะในตอนนี้ ส่งออกเป็นเป้าหมายต่อไป

-จะบริหารให้ใกล้เคียงกันแต่ละ Q มองปีนี้และปีหน้าใกล้กันมากขึ้น

-เป้ารายได้ มากกว่า 600 ล้านทุก Q มองปีหน้า 700 ล้านต่อQ

เป้า non

-ลดลงจากปี 23 42%เพราะเครนลดลง

-backlog 195 ล้านแล้ว

-มี BID 2721 ล้าน โอกาสสำเร็จ 20-25% [ถ้าได้คือbacklogปี25]

-คาด GPM 18-20%

.

👉
👉
👉

Q&A

-หม้อแปลงเติบโตตามการใช้ไฟฟ้าของโลก ตอนนี้ US EU ทดแทนสินค้าหมดอายุ

เมืองไทยกำลังไฟผลิตล้น 30% ตอนนี้ยอดใช้เพิ่มกำลังสำรองลดลงแล้ว ภาครัฐต้องลงทุนต่อเนื่อง

-อุตฯหม้อแปลงอยู่ในช่วงผลิกฟื้น อุตฯอื่นจะตามมา ความต้องการก็จะเพิ่มต่อ

-สินค้าคงเหลือ ในงบ มาจากงานกฟผ. ขนาดใหญ่รับรู้รายได้Q1-Q3 มูลค่าใกล้พันล้าน

-มองbacklogนี้อาจจะเป็น ต่อเนื่องได้ เพราะTRTผลิตประสิทธิภาพสูงสุดในภูมิภาค หม้อแปลงขนาดใหญ่

-งานส่งมอบมากจากQ4-23 นิดเดียว

-GP ส่งออกไม่ได้สูงกว่าในไทย เน้นเลือกตลาดไม่แข็งราคามาก เน้นงานพิเศษที่ลูกค้าให้ค่า

-ปี 24 ภาครัฐเป็นคนนำเอกชนยัง มองเอกชนจะตามมาเอง

-ดอกเบี้ยมองปีนี้ใกล้เคียงเดิม 5-7% ใช้เงินกู้แบงค์เป็นหลักในตอนนี้

-งบลงทุนปีนี้ 50 ล้าน เพราะปีที่แล้วลงทุนเพิ่มผลิตหม้อแปลงใหญ่ไปแล้ว และค่าเสื่อมก็ใกล้กัน 50 ล้าน

-มั่นใจGP 18% กำไรแล้ว

-breakeven 2000 ล้าน ยกเว้นมีการขยายตัว

-ค่าเงินมีบ้าง มองปีนี้ยังส่งออกน้อยอยุ่รอปีหน้า

-ปันผล 0.21 (ก่อนหน้า 0.12->0.02->0.12)

.

🏌️

สรุปภาพ

-อืมยังไม่แน่ใจว่าอะไรจะกระทบได้บ้าง นอกจากต้นทุนวัตถุดิบ กับกฟผ เลื่อนทุกอย่าง

-ปีนี้ส่งออกอาจจะยังไม่มาก งานBID 1900 ล้าน เทียบงานบิดทั้งหมด 12000

-เป็นปีที่ดีของเค้าจริงๆไหม ติดตามต่อQ2

MINISO GROUP HLDG LTD HK 9896

MINISO GROUP HLDG LTD HK 9896► Q12024→ รายได้รวมถึง RMB3.7 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 26% ในปี○ มีที่มาจากการนับร้านค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19%○ 9% การเติบโตของยอดขายในร้านเดียวกัน→รายได้ที่สร้างจากจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น 16.2% ปีต่อปีเป็น RMB2,501.7 ล้าน (US$346.5 ล้าน)○ เป็นหลักเนื่องจากการเติบโตของร้านค้าโดยเฉลี่ย 18.7%○ SSG -2%○ รายได้จาก TOP TOY เพิ่มขึ้น 55.1%, เพิ่มขึ้น 32.2% ในจํานวนร้านค้าเฉลี่ย, ยอดขายร้านค้าเดียวกันเพิ่มขึ้นประมาณ 26%→ รายได้ที่มาจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 52.6% ต่อปี○ การขยายตัว 19.7% ในจํานวนร้านค้าโดยเฉลี่ย○ ยอดขายในร้านเดียวกันเติบโตประมาณ 21%○ รายได้จากตลาดต่างประเทศถือเป็น 32.8% ของรายได้ทั้งหมดของเรา→ ต้นทุนของการขายอยู่ที่ 2,107.1 ล้านเหรียญ (291.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) แสดงถึงการเพิ่มขึ้น 17.6% ปีต่อปี→ กําไรขั้นต้นสําหรับไตรมาสมีนาคมนี้สูงถึง 43.4% และสูงกว่าฤดูกาลสูงสุดของไตรมาสเดือนธันวาคมที่ผ่านมา○ เพิ่มอัตรากําไรรวมโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบูรณาการห่วงโซ่อุปทานและการเป็นสากล○ กําไรขั้นต้นคือ1,616.5 ล้านเหรียญ (US$223.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แสดงถึงการเพิ่มขึ้น 39.1% ต่อปี→ ค่าใช้จ่ายในการขายและการกระจายสินค้าเป็น RMB696.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (96.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น 58.5% ปีต่อปี○ เพิ่มค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร ค่าโลจิสติกส์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของธุรกิจของบริษัท○ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานโดยตรงในต่างประเทศ รวมถึงเงินเดือน ค่าเช่า รวมถึงค่าเสื่อมราคาและค่าตัดตาย○ เพิ่มค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและโฆษณา ส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงกับการยกระดับกลยุทธ์ของแบรนด์ MINISO และการเติบโตของธุรกิจออฟไลน์สู่ออนไลน์ของเรา→ ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหารมี RMB191.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (26.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น 23.3% ปีต่อปี○ การเพิ่มค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของธุรกิจของบริษัท→ กําไรจากการดําเนินงานคือ 743.3 ล้าน RMB (102.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แสดงถึงการเพิ่มขึ้น 29.1% ปีต่อปี→ กําไรสําหรับงวดนี้อยู่ที่ 586.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (US$81.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แสดงถึงการเพิ่มขึ้น 24.4% ปีต่อปี

https://www.facebook.com/share/p/bGQN1hGJXTkXDB5b/

9961 Trip

🇨🇳 Trip .com (9961, TCOM) (Consumer Discretionary : Travel Services)

✍️ About Trip .com

  • เป็นผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรที่มีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย เช่น การจองที่พัก การจำหน่ายตั๋ว การท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ และการจัดการการเดินทางสำหรับธุรกิจ ก่อตั้งในปี 1999 และจดทะเบียนใน Nasdaq ตั้งแต่ปี 2003 และ HKEX ตั้งแต่ปี 2021 โดยมี 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ การจองที่พัก, การจำหน่ายตั๋วเดินทาง, การท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ และการเดินทางสำหรับธุรกิจ

✍️ Key Takeaways

1️⃣ ขยายตัวได้ดี รายได้ Q1 2024 11.92 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 29% (YoY) ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ

2️⃣ ขยายตลาดได้ดี การจองที่พักและตั๋วเดินทางในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากปีที่แล้ว แสดงถึงการขยายตัวในตลาดนอกประเทศจีนที่ประสบความสำเร็จ

3️⃣ มีการเพิ่มประสิทธิภาพ Adjusted EBITDA 4 พันล้านหยวน โดยมี Margin ที่ 33.4% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการควบคุมต้นทุนที่ดี

✍️ ผลการดำเนินงานของแต่ละ Business

  • การจองที่พัก รายได้ 4.5 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 29% จากปีที่แล้ว เนื่องจากการจองที่พักที่เพิ่มขึ้น
  • การจำหน่ายตั๋วเดินทาง รายได้ 5.0 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว เนื่องจากการจองตั๋วที่เพิ่มขึ้น
  • การท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ รายได้ 883 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 129% จากปีที่แล้ว เนื่องจากการจองท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจที่เพิ่มขึ้น
  • การเดินทางสำหรับธุรกิจ รายได้ 511 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว แต่ลดลง 19% จากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากการเดินทางสำหรับธุรกิจมักน้อยลงในช่วงตรุษจีน
  • Other รายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุเฉพาะในกลุ่มหลัก รายได้นี้รวมถึงบริการและผลิตภัณฑ์ที่เสริมสร้างการให้บริการหลักของบริษัท เช่น การขายข้อมูลและการวิเคราะห์การตลาด

🟢 ด้านที่ดี

  • มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ การจองที่พักและการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
  • มีการขยายตลาดต่างประเทศ การขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศช่วยเพิ่มรายได้และเสริมสร้างการเติบโตของบริษัท
  • มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ Adjusted EBITDA 4 พันล้านหยวน โดยมีอัตรากำไรที่ 33.4% ซึ่งแสดงถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการควบคุมต้นทุนที่ดี

🔴 ด้านที่ไม่ดี

  • ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จาก Product Development Expense เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 พันล้านหยวน และ Sales and Marketing Expense เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 พันล้านหยวน เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ซึ่งทำให้ต้นทุนรวมเพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบจากฤดูกาล รายได้บางส่วนลดลงในไตรมาสแรกเนื่องจากผลกระทบจากฤดูกาล เช่น ช่วงตรุษจีนที่ทำให้ Corporate Travel ลดลง

🧑‍🏫 Outlook ของบริษัท

  • Trip .com คาดว่าปี 2024 จะเป็นปีที่มีความต้องการการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทจะเน้นการลงทุนในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจของลูกค้า

📌 สรุป

  • Trip .com มีผลประกอบการ Q1 2024 ที่แข็งแกร่งด้วยการเติบโตของรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นในทุกประเภทของธุรกิจ การขยายตัวในตลาดต่างประเทศเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้นและมีอัตรากำไรที่สูงขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นใน Product Development และ Sales and Marketing แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของบริษัทในเชิงลบ ความคาดหวังในปี 2024 คือการขยายตัวและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

TITripcom

JPARK CV

Company Visit (CV) Jenkongklai PCL

สัมผัสประสบการณ์เยี่ยมชมบริษัท JPARK ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Parking Service Business

ให้บริการการจอดรถ ประสบการณ์ 20 ปี+ มีมากกว่า 64 Location 30,000 ช่องจอด
การให้บริการแบ่งเป็น 4 Business Unit
1.Parking Service “PS” สัดส่วนรายได้ 60-65%

  • รับรายได้เป็นส่วนแบ่งรายได้กับเจ้าของพื้นที่แล้วแต่ตกลง ( ไม่ได้เปิดเผย ) >> Revenue Sharing มั่นคงมากกว่า
  • Model สร้างอาคารจอดรถแล้ว Lease เป็นสัญญาระยะยาว เช่น 30 ปี ( โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า )
    2.Parking Management Service “PMS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
  • ลูกค้าเป็นผู้ลงทุนอาคาร เครื่องมืออุปกรณ์ ( หรือเราเป็นผู้ Supply ให้ผ่าน CIPS ) แล้วเราเป็นผู้รับบริหารที่จอดรถ – เก็บเงิน
  • รับรายได้เป็นค่าจ้าง -> เป็น Fix ไม่ขึ้นกับปริมาณการจอดรถ
  • ถ้าเราบริหารต้นทุนได้ถูก ก็จะมีกำไรมาก
    3.Consultant and Installation Parking System “CIPS” สัดส่วนรายได้ 15-20%
    4.อื่นๆ ( หลักๆคือบริหารให้เช่าพื้นที่บริเวณที่จอดรถ ) สัดส่วนรายได้ 5%

-PS Customer Segment : Hospital 24.9% / Local Market 22.4% / CBD Shopping center 17.6% / University 16.1% / Airport 5.1% / others 13.9%
-PMS Customer Segment : Park&Ride 74.1% / Convention Center 17.0% / Office Building 7.2% / Hospital 1.6%
*Park&Ride = อาคารจอดแล้วจรของรฟม.
จำนวนช่องจอดที่มี
-Y2022 – Y2023
-PS 13,458 – 14,487 (+1,029) 7.64% YoY
-PMS 15,525 – 15,075 (-450) -2.90% YoY ที่ลดลงเพราะมี 1 เจ้าที่ยกเลิกสัญญาเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติ


Financial Highlight
Revenue
-Y2022 – Y2023 // 1Q/23 – 1Q/24
-PS : 278.6 – 354.7 27% YoY // 83.91 – 93.38
-PMS : 79.9 – 82.0 3% YoY // 21.01 – 20.94
-CIPS : 69.9 – 121.3 74% YoY // 2.94 – 34.73
-Other 23.9 – 15.1 -37% YoY // 3.70 – 3.11
-Total 452.3 – 573.1 27% YoY // 111.56 – 152.16

Outlook Y2024
ผบห. ตั้งเป้า Parking Slots Y2024 40,000 / Y2025 50,000 ( รวมทั้ง PS PMS )

  • Project ที่ชนะแล้ว : สนามบินขอนแก่น 600 Slots 10 yrs = PS / One Bangkok 2,000 Slots = PMS
  • งานใน Pipeline ตลาดบางกอกน้อย 230 Slots May2024 / รพ.พระนั่งเกล้า 532 Slots July2024
  • แปลว่า Y2024 มีในมือแล้ว PS = 1,632 Slots PMS 2,000 Slots รวม 3,632 Slots = 36.3%
  • เน้นหาลูกค้า PS กลุ่มโรงพยาบาลรัฐ **
    .
    ในปี 2022-2026 รฟม. มีแผนขยายพื้นที่โครงการจอดแล้วจร โดยแบ่งเป็น
  • อาคารจอดรถ MRT สายสีส้ม 1,200 slots > จบแล้ว
  • อาคารจอดรถ MRT สายสีเหลือง 3,000 slots > จบแล้ว
  • อาคารจอดรถ MRT สายม่วง 572+1,370 slots > อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • TAM ในระยะยาว จากการสำรวจ ในกทม 3-4แสนช่องจอด / นอกกทม 5-6แสน / รวมประมาณ 1 ล้าน+
  • ตามนโยบายของรัฐ จะมี ช่องจอด Park&Ride เพิ่ม 3แสนช่องภายในปี 2572 (PMS)

Project ระหว่างการก่อสร้าง

  • ตลาดบางกอกน้อย ( ใกล้ศิริราช ) ->PS ลงทุน 16ล้าน สัญญา 3 ปี -> May/24 230 Slots , June/24 พท 200ตารางเมตรเป็น commercial Area
  • อาคารจอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ->PS ลงทุน 300ล้าน สัญญา 30 ปี เป็นพื้นที่เช่าเอกชนด้านข้างโรงพยาบาล แล้วเสร็จ June/24 , July/24 532 Slots , พท 2,000ตารางเมตรเป็น commercial Area -> IRR14%
  • อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนา ->PS ลงทุน 500ล้าน สัญญา 30 ปี เริ่มก่อสร้าง MAY/24 แล้วเสร็จ Sep/25 , Q4/25 1,014 Slots , พท 4,000 ตารางเมตรเป็น commercial Area

📍Q&A
Q : เป้าหมาย 40,000 ช่องจอด
A : ตอนนี้ได้มาแล้ว 30,000 กว่าช่องจอด

Q : การปรับราคาค่าที่จอด
A : ปกติจะปรับ 3 ปีครั้ง >> สมมติขึ้นราคา 5 บาท ต่อ 20 บาทคือ 20% แล้วจึงปรับบ่อยๆไม่ได้

Q : CIPS ใกล้จะชะลอมั้ย ( Q1 34 ล้าน )
A : มี 2 Project ที่ใกล้จะจบแล้ว รายได้ของ Q2 เทียบ Q1 ยังเหลือ 20% ยังไม่ได้ Recognize
รายได้น่าจะไม่หายไป ขึ้นกับ Progress ของงาน การ Install ( แต่น่าจะลดลง )ปกติเราถนัด PS มากที่สุด
CIPS margin เยอะกว่า > เพราะเป็น Project base >> แต่ตลาดก็ให้ PE ที่ต่ำกว่า ถ้าเป็น Project ขนาดเล็ก 1-2-10 ล้าน ก็ไม่อยากทำ เพราะ Margin ต่ำกว่า > Project ใหญ่จะคุ้มค่ากว่า
ตลาด Projcet ขนาดเล็กเป็น Red Ocean มีคู่แข่งรายเล็กๆเป็นจำนวนมาก

  • PS ก่อนโควิด Margin ใกล้เคียงกับ PMS ตอนนี้เริ่มดีขึ้น >> PS จะเป็นส่วนที่สร้างความยั่งยืนให้เรา
  • PS GPM ที่เราคาดหวังน่าจะมากกว่า 20-30% ( เท่าก่อนโควิด ) np 10-12%
  • PS ชอบมากกว่า PMS เพราะโอกาสเยอะกว่า
  • PMS มัน fix ปรับง่ายกว่า > รายได้มีแต่ลดลง ต้อง Control ให้ได้
  • PS ในส่วนของพื้นที่เช่า เรากำหนดต้นทุนได้ ทั้ง คน Equipment / ความตั้งใจคือลดคนให้เยอะที่สุด
  • One Bangkok ลงบัญชีรับรู้รายได้ตั้ง แต่ Feb / Max 8,000 ช่องจอด > ตอนนี้ได้แล้ว 2,000 ช่องจอด แต่ยังไม่เปิดใช้เลย

Q : PS เป็นงานประมูล Success Rate เท่าไหร่
A : ก่อนประมูล ต้องดูเรื่องศักยภาพพื้นที่ ขึ้นกับการเจรจาว่าเป็น PS หรือ PMS
ปกติประมูลส่วนใหญ่เราจะได้ / เข้าไป Bidding 10 ราย ส่วนใหญ่เราชนะ

Q : Normalize GP ควรเป็นเท่าไหร่
A : PMS fix > ขึ้นกับ Project 30-50%
เช่นถ้าอยากต่อยอดไปทำอย่างอื่น GP ก็ยอมรับ Margin ที่ต่ำกว่า
PS ค่อนข้างจะเหวี่ยง = เอา technology มาช่วย / ตึกเราเอง

Q : PS แนวทางแบบตึกตัวเอง = พระนั่งเกล้า > เปิด 1 สิงหาคม
ในส่วนของพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีมีรายใหญ่รับไปทำจะมี Discount เยอะมั้ย
A : ไม่แตกต่างกัน / Margin เหลือเยอะกว่าด้วยซ้ำ / เป็นสัญญา 30 ปี

Q : Major Player คู่แข่งหลักเราเป็นใคร
A : NPD Nippon Parking (ญี่ปุ่น)> ราชการไม่เคยไปแข่งเลย ส่วนรายเล็กๆมีเยอะแต่เราไม่ไปแข่งด้วย

Q : Priority อะไร ว่าเค้าจะเอา PS หรือ PMS
A : ดูที่ Pain Point ลูกค้า ต้องได้ไม่น้อยกว่าที่เค้าได้เดิมโดยเค้าไม่มี Cost เพิ่ม / อยู่ที่การเจรจาอย่างรฟม. เค้าไม่เก็บค่าโดยสารแพง
อยากได้รายได้อื่นมากกว่า โรงพยาบาลรัฐคือ Target ของเรา > เน้น PS เพราะเค้าอยาก Service ลูกค้าอยากให้คนมาใช้บริการสถานที่เยอะๆ

Q : ห่วงเรื่อง Disruption จาก Unman Parking Sytem มั้ย
A : เราเองก็ Disrupt ตัวเองด้วย เราก็มีการ Develop Parking Platform / Marketplace ขึ้นมา

  • อย่างลานจอดแล้วจร (PMS) เดิมเราใช้คน 200-300 คน ตอนนี้ลดเหลือ 100 คน ทำให้ต้นทุนเราลดลงไปได้มาก
  • ระบบ Own Parking Management จะช่วยลดต้นทุนได้ 20% ปกติเราซื้อระบบเครื่องละ 1-2 แสนบาทต่อปี -> ตอนนี้พัฒนา Software ใช้เอง
  • ระบบ Prompt Pass ใช้ภายในแล้ว
  • Technology ที่พัฒนา จะเกิดเมื่อเข้า Market Place น่าจะช่วยได้ 2-3,000 ช่องจอด
  • Landlord บริหารเองจัดการเอง เราไปช่วยเอาระบบไปลง
  • ปีหน้าจะ Launch Commercial > เป็น App บน Smart Phone
  • ระบบสำหรับบริหาร PMS เสร็จแล้ว

Q : ระบบ App จะดึงคนมาใช้บริการใน Platform ได้ยังไง
A : เป็นการบ้านของเรา / หลาย App (Startup) มาติดต่ออยากใช้ของเรา > คนอื่นมี Pain Point คือทำ Platform แต่ไม่มีช่องจอด ( ขาด Ecosystem )
เราเลยง่ายกว่าเพราะเรามีพื้นที่ของเราเอง

Q : รพ.รัฐใหญ่ๆที่เป็นเป้าหมายของเรามีอีกมากมั้ย
A : ที่ได้แล้ว ศิริราช, กาญจนา, จุฬา, รามาไม่มีที่ > คุยมา 5-6ปีแล้ว
คิดระบบ Valley Parking หาพื้นที่ 500-1km ห่างจากโรงพยาบาล / พยายามคิดหลายๆ Solution ไปนำเสนอ
ส่วนใหญ่เป็นการบอกต่อเป็น Connection เช่น โรงพยาบาล A ใช้แล้วดีก็จะแนะนำโรงพยาบาลอื่นๆต่อไป
โรงพยาบาลรอบนอก อย่างราชพิพัฒน์ ทำได้ เป็นหนึ่งในเป้าหมาย โรงพยาบาลต่างจังหวัดก็สามารถไปได้
ดอนเมืองมี Valley แต่เราคิดว่าไม่คุ้ม 1ชม ได้ 2-3 คน
รพ. จุฬาก็มี Valley เอาไว้บริการลูกค้ามากกว่า

Q : ถ้าเงินทุนที่มาสร้างตึกตามระบบ PS หมดจะเอาเข้าทำเป็นกอง REIT มั้ย
A : ก็มีความเป็นไปได้

Q : พื้นที่พาณิชย์ของพระนั่งเกล้าเป็นยังไง
A : พื้นที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าที่เป็นพื้นที่พาณิชย์ เปิด BID 5 ราย
14% เป็นราคาก่อน Discount ตอนนี้น่าจะ 11-12% ช่วงนี้ราคาขึ้นได้เรื่อยๆ ในสัญญาจะบอกราคาจะขึ้นทุกๆกี่ปี
ใน 3 ปีแรก ได้แน่นอน และคิดเผื่อเรื่อง IRR ที่ขึ้นเรื่อยๆ

Q : การปรับขึ้นราคาของที่ต่างๆมีแผนยังไง
A : บรรทัดทอง อยากปรับมาก สยามเพิ่งปรับ > ปีที่แล้ว กลางปี ตอนนี้ ชั่วโมงละ 20 เป็นอัตราก้าวหน้า ( ชั่วโมงที่ 1-4 : ชั่วโมงละ 20 บาท ชั่วโมงที่ 5 เป็นต้นไป : ชั่วโมงละ 40 บาท )

-SGA พยายามให้ไม่เกิน 6% แต่ตอนนี้ 8-9% ยังทรงๆอยู่

Q : พท. Short Term Contract เช่น 3 ปี ทำไมไม่มีคนมาแข่ง
A : ถ้าเราบริการดี มีมูลค่าเพิ่ม คู่แข่งไม่แข็งแรง

Q : นวัตกรรมที่ดีกว่าของเราคืออะไร
A : ระบบการอ่านป้ายทะเบียน / พยายามปรับ Flow แก้รถติด
ถ้า 3 ปี ไม่มีปัญหารุนแรง > คงไม่คิดเปลี่ยนเจ้า
รพ.จุฬา เคยเว้นไป 2 ปี ( เค้าเปลี่ยนเจ้า ผ่านไป 1 ปีเค้ายกเลิก กลับมาทำกับเราแทน )
อัตราการ Renew Rate เกือบ100%
อย่าง Lotus เรายกเลิกเค้าเพราะ เค้าขอ 3 ชั่วโมงแรกฟรี เราไม่คุ้ม

Q : ปลายปีที่แล้วบอก จะมี Bidding ที่สุวรรณภูมิ
A : ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แค่เคยพูดประมาณว่าสนใจสนามบิน

Q : Cost of Fund > 6% มันดูมากเกินไปมั้ย
A : เป็นส่วนที่มาจาก Bank / Feb ที่เพิ่มมา 100 ล้าน ก็ ได้ที่ 6% แต่เรายังไม่ได้ Draw
ส่วนใหญ่เพราะคุยเรื่อง Loan ไปหมดแล้ว (MLR-1) โครงการใหม่ต้นทุนการเงินน่าจะลดลง

Q : Pre Bidding ใช้เวลานานแค่ไหน
A : บอกไม่ได้

Q : พระนั่งเกล้า
A : Break even ตั้งแต่ปีแรก ( รายได้ – คชจ )
Depre 30 ปี ค่าเช้า Control ได้/ ถ้า Traffic ได้ตามคาด

Q : ถ้าเจ้าของที่ดินอยากได้ค่าเช่าเพิ่ม
A : ปกติคุยกัน 30 ปีตั้งแต่ทำสัญญาแล้ว

Q : กังวลความเสี่ยงอะไรบ้าง
A : พึ่งพาลูกค้าใหญ่เช่นจุฬา / ตอนนี้เราเปิดตัวเยอะขึ้น คิดว่าคู่แข่งจะเข้ามา / ตอนนี้จุฬามีอะไรก็มาปรึกษาเราก่อน
คู่แข่งรายเล็กขาดเงินทุน
บริษัทอสังหา เองก็สามารถทำได้ เช่น ญี่ปุ่น Spin บริษัทลูกออกมาบริหารเอง
Developer ต่างๆ ในต่างจังหวัด มีทำบ้าง แต่ไม่เยอะ
CTW ทำระบบของเค้าเอง > แต่เค้าหารายได้ทางอื่นดีกว่าคงไม่มาโฟกัสธุรกิจนี้

Q : App Platform เริ่มจากอะไร
A : ปวดหัวกับ Vendor เดิมใช้หลายเจ้า แต่ละเจ้ามี Standard ของตัวเอง ไม่ยอม Modify ให้เข้ากับเรา
MA จ่ายทุกปี คิดเป็นวัน เช่นสมมติเครื่องดับ ต้องรอ 1 วัน > รอไม่ได้
เช่นสยาม เครื่องดับ 1 ชั่วโมง > เสียหายมาก

Market Place > มีรายย่อยมาขอเราให้บริหารเยอะ แต่เล็กไป เราไปไม่คุ้ม > เลยขายระบบ
บางส่วนลงเครื่องให้ เช่น กล้อง / เริ่มที่ 20-30 ช่องจอดขึ้นไปถึงจะคุ้ม / คิดรายได้แบบ Subscription
เหมือน Airbnb คือเจ้าของลงอุปกรณ์ เราได้ Revenue share
บางพื้นที่มีช่องจอดว่าง เช่นโรงแรม ก็สามารถเอาไปบริหารจัดการได้

Q : เห็นมีเจ้าใหม่ชื่อ Park-X เอกมัย อุดมสุข
A : เป็นกลุ่มเดียวกับ Bitec

Q : ปี 2020-21 เราขาดทุนจากโควิด
A : ก่อน 2019 เรามี GP > 30 / ตอนนี้กลับไปใกล้ก่อนโควิด
PS สัมปทาน30 ปี Margin ดีมาก เพราะไม่มีเรื่องค่าเช่า

Q : ค่าแรงขั้นต่ำมีผลมั้ย
A : มีวิธีบริหารจัดการอยู่ ไม่น่ามีปัญหา

Q : การทำการบริหาร PMS เราดูที่อะไร
A : ถ้า Margin ตามเป้าหมายเราก็รับทำ > เล็กๆก็ไม่รับ
จะมีเรื่อง Fix Cost ที่เราประมาณการอยู่แล้ว จาก CIPS > จบแล้ว เกือบ 100% จะมาเป็น PMS ต่อ
PMS ดูที่ตัวเงิน ไม่ได้ดูที่ปริมาณช่องจอด

Q : ค่าแรงคนจะขึ้นทุกปี ทำให้ marginตกลงเรื่อยๆมั้ย
A : เราคิด Cost เป็นเฉลี่ยอยู่แล้ว ( คิดจาก Total Contract)
แต่ปกติจะขึ้นราคาตามที่ทำสัญญาไว้อยู่แล้ว
PS margin แปรผันตามผู้เข้าจอด

Q : การเติบโตในอนาคต
A : Focus ที่ PS

Q : อีก 4-5 ปี มอง PS โตไปยังไง
A : คาดหวัง แบบพระนั่งเกล้าอีกซัก 4-5 แห่ง ขนาด 500+ ช่องจอด

Q : สถาบันมีมาซื้อหุ้นไปบางส่วน
A : ก็มีมาถามเรื่อยๆ มองเป็นเคสๆไป / ขึ้นกับ Timing

Q : มอง TAM รพรัฐใหญ่ขนาดไหน
A : มีมากกว่า 20 แห่งที่เอยู่ใน Focus เรา

Q : PS เวลาคิด IRR ใช้หลักอะไรประเมิน หรือใช้ urate เท่าไหร่
A : ปกติประมาณการ เช่นพระนั่งเกล้าคิด 6 ชม. ไม่ได้คิด 24 ชม. / จอดซ้อนคันไม่นับ
แล้วตีกลับมาเป็น IRR ต้องมากกว่า 14% / Payback period 7 ปี

Q : การ Burn Cash ช่วงแรกๆมีเดือนที่ขาดทุนมั้ย
A : ช่วง2-3 เดือนแรก อาจจะมีขาดทุนบ้าง / เราใช้วิธีค่อยๆเพิ่มคน
เวลาคิด 3-4 เดือน แรกจะไม่ Break / คิดค่าเสื่อมตอนเริ่มใชังานเลย

Q : รายได้เฉลี่ยต่อช่องจอด ถ้าจะเพิ่ม นอกจากขึ้นราคา มีอย่างอื่นมั้ย
A : มีเรื่อง รายได้เชิงพาณิชย์/ อาจจะมีเช่น Station EV
มีขายช่องจอด Exclusive เช่น AIS ( เช่น ขายเหมาเป็นปี เจ้าอื่นอาจจะคิด 500,000 บาทต่อปี ) / ป้ายโฆษณา

Q : ระบบ จอง จ่าย จอด ต้องมีระบบไปกันที่จอดรถไว้จะ Balance ตรงนี้ยังไง
A : เป็นประเด็นที่ Concern อยู่

Q : สมมติ 20 ช่องจอด ต้องไปลง Infra เท่าไหร่
A : สุดท้ายเอาไปคิดกับเจ้าของที่

Q : MA มองอะไรไว้บ้าง
A : อาจจะมองพวก Car Care

ABT

🇺🇸

Abbott Laboratories (ABT)

• ABT รายงานงบค่อนข้างดี แต่ตลาดมองว่า Beat แค่เล็กน้อย และตลาดคาดหวัง Outlook ที่ดีกว่านี้

🟢

มุมที่ดี

• ยอดขายรวม 10,000 ล้านดอลลาร์ (+2.2%) (YoY) โดยธุรกิจหลัก (ไม่รวมยอดขายจาก COVID-19 test) เติบโต (+10.8%) เป็นการขยายตัว Double-Digit 5 ไตรมาสติดต่อกัน

• เครื่องมือแพทย์ (Medical Devices) มียอดขายเติบโตแข็งแกร่งที่ (+14.3%) ทั้งในสหรัฐฯและต่างประเทศ โดยเฉพาะอุปกรณ์เบาหวาน Freestyle Libre เติบโต (+23.3%) เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ และมีผลิตภัณฑ์ใหม่หลายชิ้นออกสู่ตลาด

• กำไรต่อหุ้นปรับปรุงที่ 0.98 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.95 ดอลลาร์

• ปรับเพิ่มคาดการณ์ EPS ทั้งปีเป็น 4.55 – 4.70 ดอลลาร์ จากเดิม 4.50 – 4.70 และปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายทั้งปีเป็นเติบโต 8.5 – 10%

🔴

มุมที่ไม่ดี

• ธุรกิจ Diagnostics (การตรวจวินิจฉัยโรค) ยอดขาย (เมื่อรวม COVID-19 test) ลดลง (-17.6%) จากผลกระทบของการหดตัวของยอดขาย COVID-19 test อย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยยอดขาย COVID-19 test ลดลงจาก 730 ล้านดอลลาร์เหลือ 204 ล้านในไตรมาสนี้ โดย Abbott ยอมรับว่าไม่สามารถคาดการณ์ยอดขายส่วนนี้ได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากความต้องการที่ผันผวน

• ยอดขายและกำไรที่เกินคาดมาไม่มากนัก (Beat Consensus เพียงเล็กน้อย) ยอดขายรวมที่ 10,000 ล้านและกำไรต่อหุ้นที่ $0.98 เกินคาดเพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งอาจไม่ถือเป็น Positive Surprise ที่ชัดเจนสำหรับนักลงทุน

🎯

Business Highlights

• เปิดตัวแบรนด์เครื่องดื่มโภชนาการโปรตีนสูง PROTALITY เพื่อสนับสนุนผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่รักษามวลกล้ามเนื้อ

• ได้รับการอนุมัติ CE Mark สำหรับระบบฉีดอินซูลินอัตโนมัติ TriClip จาก Insulet เพื่อใช้ร่วมกับเซนเซอร์ FreeStyle Libre 2 Plus

• ได้รับอนุมัติจาก FDA สำหรับอุปกรณ์ TriClip ในการรักษาผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจรั่ว รายแรกของโลก

• ได้รับอนุมัติจาก FDA สำหรับการตรวจ i-STAT TBI ในการประเมินผู้ที่สงสัยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหรือสมองกระทบกระเทือน ซึ่งตรวจสอบได้ภายในเวลา 15 นาที นอกสถานพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

📌

โดยสรุป แม้ Abbott จะมีผลงานออกมาดีกว่าคาดใน Q1 แม้ยอดขาย COVID-19 test จะลดลงอย่างมาก แต่ก็ถูกชดเชยด้วยการเติบโตสูงของธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ ทำให้สามารถทำกำไรได้ดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ Diagnostics ยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID-19 test ที่ลดลง ซึ่งคาดการณ์ยอดขายในอนาคตได้ยาก เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง

#TIABBOTTLABS

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น