XO

📌 สรุป หุ้น XO OPPDAY 2024Q2

🔷 ประเด็นสำคัญ
-บริษัทฯ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย 1. ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร เช่น ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ และซอสต่างๆ 2.ผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบอาหาร เช่น กะทิและเครื่องแกงต่าง ๆ 3. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน เช่น ข้าวแกงเขียวหวานและก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และ 4. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น สินค้าในน้ำมันและน้ำเกลือ, ผักและผลไม้กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์จากข้าว, ของแห้งและของดองต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกจัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท เช่น EXOTIC FOOD, THAI PRIDE และ FLYING GOOSE เป็นต้น
-ซอสไทยส่งออก 2024H1 11,788 ลบ. บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 10.7%
-Marketing Channel มี XO’s Website, Online Selling และการออกแสดงงานต่างๆ ใน 1 ปีพยายามจะออกแสดงงานให้ได้ 24 งาน
-Customers แบ่งตาม Region
Europe 87.3%
Australia and Oceania 7.4%
The Americas 6.3%
Asia 6.6%
Africa 1.4%
-New Market 2024
Europe: Croatia, France, Spain
The Americas: Brazil, Mexico
Africa: Morocco
Asia: Turkey

🔷 ผลการดำเนินงาน 2024H1
-Revenue from Sales 1,114 ลบ. มาจากขายสินค้าของบริษัท 94% OEM 6%
-Sales Volume 14,182 ตัน
-Gross Profit 710 ลบ.
-GPM 50.2%
-Selling Expense 71 ลบ. เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายสอดคล้องกับปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
-Administrative Expenses 105 ลบ. เพิ่มขึ้นจากค่าพนักงาน
-Net Profit 513 ลบ.
-NPM 35.9%
-ROA 52.4%
-ROE 44.2%

🔷Company Outlook
-ตั้งเป้า Revenue Growth 20% อาจจะไม่ถึงเป้า
-ตั้งเป้า GP 45% มั่นใจว่าทำได้
-เชื่อว่าอาหารไทยจะเป็น Mega Trend
.
———————————————
แอด Line มีของแจก ฟรี!!!
Line id : @MrStock
Line : https://MrStock.me/line/
( คลิก ที่ลิ้งค์เพื่อแอดเพื่อนได้เลย)
———————————————
.
🔶 Q&A
– Revenue Growth 20% อาจจะไม่ถึงเป้า เพราะยอดขายในอเมริกาในไตรมาส 2 ลดลง ถ้าเทียบกับไตรมาส 1 ที่อยู่ประมาณ 50 ลบ. พอทราบว่ายอดขายไตรมาส 1 กับ 2 รวมกันได้ 1,400 ลบ. เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2023 ได้ 1,000 ลบ. ดูเหมือนโต 40% ถ้ามองง่ายๆปีที่แล้วจบที่ 2,500 ลบ. เอา 1400*2 = 2,800 ลบ. ไม่ถึง 20% อยู่ดี ส่วนตัวเชื่อว่ายอดขายในอเมริกาปี 2025 จะดีกว่าปี 2024
-ในยุโรป ประเทศเยอรมนีขายได้เยอะที่สุด ตอนนี้บริษัทอยู่ใน Modern trade 50% ตามที่ลูกค้าแจ้งมายอดใน MD ไม่ได้เพิ่มขึ้นเยอะ แต่พอสาขาเพิ่ม ก็มีการซื้อเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน ลูกค้ามีการเปลี่ยนโครงสร้างภายในและมีการ active ทำให้ขายเพิ่มขึ้นได้ ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก ไม่ต้องถึง 100 ก้ได้เพราะประเทศเยอรมนีใหญ่มาก สินค้าที่ขายดีจริงๆมีประมาณ 5 SKUs เพราะบริษัทยังสามารถขายสินค้าเพิ่มได้อีก
-ที่เห็นว่าจ่ายเงินปันผลเยอะ ปกตินโยบายจ่ายเงินปันผลยังเหมือนเดิมคือ จ่าย 50% ของกำไรบริษัท หากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงิน อาจจะจ่ายน้อยลง ช่วงนี้บริษัทมีเงินสดเยอะมาก มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในครึ่งปีหลัง 2024 กลายเป็นครึ่งปีหลัง 2025 ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเลยขายของไปเรื่อยๆ ก็ได้เงินมาอยู่ดี เลยตัดสินใจจ่ายเงินปันผลออกมาคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้น
-ปกติล็อคราคาน้ำตาล 12-15 เดือน มี contract เดียว แต่ตอนที่ราคาน้ำตาลขึ้นมาสูงก็ล็อคแบบ 3 เดือน 6 เดือน เพราะกลัวจะได้ราคาน้ำตาลแพงค้างไว้ในมือ ยังมีต้นทุนน้ำตาลราคาแพงเหลืออยู่ แต่ต้นทุนน้ำตาลที่แพงที่สุดขายไปแล้ว ราคาน้ำตาลปัจจุบันค่อยๆลดลงมา บริษัทยังไม่ได้ล็อคราคาน้ำตาลเพิ่ม รอราคาลงอยู่
-สัญญา BOI 2 ฉบับกำลังจะหมดในสิ้นปีนี้ เป็นบัตรหลักที่โรงงานอมตะ จะมีการลงไลน์ใหม่เพิ่มเติม 200 ลบ. ลงทุนในกลุ่มซอส รองรับกำลังการผลิต 1 กะได้ประมาณ 1 พันล้านเกือบจะเต็มทั้งโรงงาน ไลน์นี้ก็จะได้ BOI เหมือนกันเพราะขอไว้แล้ว ออเดอร์ที่เข้ามาก็จะไปผลิตที่ไลน์ที่ได้ BOI ก่อน ถึงจะมาผลิตที่ไลน์ BOI กำลังจะหมด ในตัว BOI ที่กำลังจะหมด ลดภาษี 50% บริษัทจะเสียภาษีประมาณ 10% ไปอีก 5 ปีที่โรงงานอมตะ ปีหน้ามีการสร้างโรงงานใหม่ ก็จะขอ BOI เช่นเดียวกัน ตัวอัตราภาษี Effective rate ปกติถ้าได้ BOI จะอยู่ 3-4% ถ้าหมดสัญญา BOI รวมกับไลน์การผลิตใหม่คิดว่าจะอยู่ที่ 5-6%
-ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนใหญ่ขายเป็นเงินบาทก็รับเป็นเงินบาท 65% ที่เหลือจะเป็นเงินยูโรกับ US ก็แล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น ไม่ได้ mark ต้นทุนที่อัตราแลกเปลี่ยน แต่ mark ที่ต่ำกว่า ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่าง
-ช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงหาเรือยาก พึ่งมาหาเรือได้ปลายๆไตรมาส 2 เลยมีการส่งออกไปให้ลูกค้าค่อนข้างเยอะ ส่งของแบบ FOB พอส่งของขึ้นเรือได้จะมีการบันทึกรับรู้รายได้และลูกหนี้การค้า ตัวลูกค้าปกติจะชำระเงินเมื่อใกล้ได้สินค้า เรือมีการอ้อมไป ทำให้ลูกค้าจ่ายช้าไป 10-14 วันตามระยะเวลาเรือที่นานขึ้น ทำให้ไตรมาส 2 มีลูกหนี้การค้าเยอะ สินค้าคงเหลือเป็นสินค้าที่ผลิตเสร็จแต่ส่งออกไม่ทัน
-ราคาพริกขึ้นมาไม่เยอะ ราคากระเทียมก็มีขึ้นมาบ้างไม่ได้แพงเกินไป บางช่วงก็ถูกกว่าช่วงที่
ผ่านมา
-ไม่มีการเพิ่มทุน ออกหุ้นกู้ เพราะขายของไปก็มีกำไรไป แต่คิดว่าเงินอาจจะไม่ครบที่จะสร้าง แต่มีเวลาสร้างโรงาน 15-18 เดือน ก็จะมีส่วนจากกำไรเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าไม่พอก็จะกู้สถาบันการเงิน
-มีการนำหุ้นไปจำนำในส่วนของผู้ถือหุ้นหลัก เพราะเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของผู้ถือหุ้นหลักจะเอาไปทำอะไรก็ได้
-ไตรมาส 3 ซอฟท์กว่าไตรมาส 2 ส่วนไตรมาส 4 อยู่ระหว่างไตรมาส 2 กับ 3
.
◼ หมายเหตุ หากข้อมูลผิดพลาดหรือบกพร่องประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาและตรวจสอบข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
.
ที่มา
https://listed-company-presentation.setgroup.or.th/th/vdo/7981
https://youtu.be/LbisAPTa7pU

KCG

หลังไมค์มาเยอะกับที่ถามอีกเอาราคาชีสมาลง
ขอตอบตามที่ผมเข้าใจนะครับ

1.KCGสั่งวัตถุดิบล่วงหน้าของQ4ไปหมดแล้ว
ราคาที่ขึ้นๆมาไม่มีผลอะไรในปีนี้

2.ช่วงนี้เป็นปลายcropผลผลิตทำให้เราจะเห็นทั้งน้ำมันเนย หรือ ชีสบางตัวราคาพุ่งสูงขึ้น

3.สำหรับcropผลผลิตใหม่จะอยู่ช่วงต้นๆQ4ของทุกปี
ซึ่งถ้าราคาไม่ลงก็จะมีผลในQ1/68ได้

4.มาดูต้นทุนชีสว่าอยู่กี่%ของCOGS
-Cheddar 6%
-Mozzarella 3% <ที่ขึ้นคือตัวนี้>
-Parmesan 2%
จะเห็นว่ายังเป็นส่วนน้อยของบริษัท

5.มาที่ต้นทุนPackagingมีถึง9%COGS
ก็มีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมัน

6.ค่าเงินแข็งค่าในระยะยาวก็ช่วยการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆให้ได้ราคาที่ดีขึ้นซึ่งKCGนำเข้า50%ของวัตถุดิบทั้งหมด

7.ผมยังเชื่อว่าU-rateที่มากขึ้นจะช่วยGPMให้ดีขึ้นได้ หรือ ลดผลกระทบของวัตถุดิบบางตัวได้

8.โดยสรุปก็วัตถุดิบหรือต้นทุนต่างๆมีทั้งขึ้นและลงน่าจะอยู่ในวิสัยที่บริษัทสามารถจัดการได้

9.สำคัญสุดคือผมbiasแน่นอนและอาจผิดพลาดได้
ยังไงก็เช็คข้อมูลกันเองอีกทีด้วยครับ

Platform

6 ประเด็นสำคัญจากคลิปของ พี่ตู้และพี่แดม
“ทำไมแพลตฟอร์ม ถึงเป็นโมเดลธุรกิจที่ชนะรวบ และล้มยาก”  l Talk ลงทุนแมน

1.เรื่อง Platform Business และ Network Effect
– “Platform Business” คือโมเดลธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้ใช้งานหลายกลุ่มให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือข้อมูลผ่านแพลตฟอร์ม
– Network Effect คือการที่มูลค่าของแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นเมื่อมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น เช่น “Facebook, LINE, Shopee”
– ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Shopee ที่มีผู้ขายมากขึ้นดึงดูดผู้ซื้อ และผู้ซื้อที่มากขึ้นก็ยิ่งดึงดูดผู้ขาย เป็นวงจรที่เสริมกัน
– ข้อดีของ Platform Business คือ
     –> Scalability: สามารถขยายตัวได้รวดเร็วด้วยต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำ เช่น ซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัล
     –> Durable Competitive Advantage (DCA): เมื่อถึงจุด Network Effect ที่แข็งแกร่งแล้ว คู่แข่งใหม่เข้ามาแข่งขันได้ยาก ทำให้แพลตฟอร์มมีความยั่งยืน
     –> Low Marginal Cost: การเพิ่มผู้ใช้ใหม่ไม่ทำให้ต้นทุนเพิ่มมาก เช่น Netflix ที่เพิ่มสมาชิกโดยต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ไม่เพิ่มตาม

2. ความเข้าใจผิดที่มักเจอบ่อยๆ เกี่ยวกับ Platform Business
– Platform Business ไม่ใช่แค่เป็นคนกลาง (Middleman) เช่น 7-Eleven เป็น Retailer ไม่ได้สร้าง Network Effect อย่างแท้จริงแม้จะมีองค์ประกอบแพลตฟอร์มบางส่วน

3. ข้อเสียและความเสี่ยงของ Platform Business
– Technological Shift การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น จาก Desktop OS ไป Mobile OS ทำให้ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวทันเช่น Microsoft สูญเสียส่วนแบ่งตลาด
– Consumer Behavior Shift พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เช่น MySpace เสียส่วนแบ่งให้ Facebook ที่ปรับตัวได้ดีกว่า
– High Tipping Point บางแพลตฟอร์มต้องการ Network Effect ในระดับที่สูงมากเพื่อถึง Critical Mass ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก หากไม่ถึงจุดนั้นก็จะไม่สามารถขยายตัวได้

4. การประเมิน Platform Business ที่ดี
– วิเคราะห์ความแข็งแกร่งของ Network Effect เช่น C2C (Customer-to-Customer) อย่าง Airbnb หรือ YouTube มักมี Network Effect ที่แข็งแกร่งกว่า B2C (Business-to-Customer)
– ควรเลือกแพลตฟอร์มที่สามารถขยายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว (Scalability and Virality)
– วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง Global Effect เช่น Airbnb ที่มีผลทั่วโลก กับ Local Effect เช่น Uber ที่ผลต่อผู้ใช้จำกัดในพื้นที่
– คุณภาพของ Management สำคัญมาก ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์และปรับตัวได้ดีตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด

5. ไม่มีที่ยืนสำหรับเบอร์สอง:
– ใน Platform Business เบอร์สองมักไม่มีที่ยืน เบอร์หนึ่งจะได้รับประโยชน์จาก Network Effect อย่างเต็มที่ เช่น Uber เทียบกับ Lyft หรือ iOS และ Android ที่ครองตลาด Mobile OS โดยไม่มีพื้นที่สำหรับระบบอื่นๆ

6. ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุน Platform Business
– ตรวจสอบจุด Critical Mass ของแพลตฟอร์มว่าต้องใช้ทรัพยากรและเวลามากแค่ไหนในการไปถึง
– Network Effect เป็นแค่หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพ ต้องดูปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนาดตลาด (TAM) และ Unit Economics
– แพลตฟอร์มบิสเนสมักเป็นตลาดที่ผู้ชนะได้ทุกอย่าง (Winner Takes All) การลงทุนในเบอร์สองอาจไม่ประสบความสำเร็จ

9616

9616 HK Neuedu
มหาวิทยาลัยทางด้านเทคโนโลยี
จัดเป็นหุ้นมหาวิทยาลัยอีกตัวที่น่าศึกษา

เหตุผล
1.ผ่านเฟสลงทุนหนักๆ มา 4ปีติด ถึงเวลาเก็บเกี่ยว
จากงบลงทุนปี
2020/2021/2022/2023/1H2024
403/1068/551/543/119.8 mill RMB

เพื่อขยาย campus ทั้ง 3 มหาลัย
Dalian University
Chengdu University
Guangdong University

แต่ล่าสุด งบลงทุนลดลงครึ่งนึงของปีที่แล้ว
และบริษัทเพิ่งเปลี่ยน payout ratio ปันผล
จาก 30% payout เป็น 50% payout

คนที่กลัวว่าจะปันผลแบบปี 2023 ไม่ได้
ประกาศงบครึ่งปี2024 บริษัทลดงบcapexลงครึ่งนึง
ทำให้น่าจะมี cashflow เหลือปีละถึง 300 mill RMB
และเจ้าของถือหุ้นอยู่กว่า 60กว่า% ก็จูงใจมากพอที่
จะจ่ายปันผลออกมาในระดับเดิม

2.ความต้องการของนักศึกษา
ขยายยังไง Utilisation rateก็เกิน 90 % อยู่ตลอด
จนล่าสุด 1H2024 urateเฉลี่ย 93.7% ไปเรียบร้อย
อาจเพราะ อัตราการจ้างงาน นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยทั้ง3 เฉลี่ยอยู่ในระดับเกิน 90%

ข่าวที่นักศึกษาจีนเรียนจบแล้วตกงานเยอะๆ
อาจไม่ใช่คนที่จบจากมหาวิทยาลัยนี้
เดาว่ามีความต้องการแรงงานในสาขาเทคโนโลยีมากขึ้นก็มองว่า มหาลัยเค้าก็เป็นที่ต้องการพอสมควร

3. 9616 เสียภาษีในเรท 25% เรียบร้อย ไม่ต้องกังวลเหมือนหลายโรงเรียนที่ประกาศงบแล้วเสียสิทธิทางภาษีเพราะแปลงโรงเรียนเป็น for-profit จากปกติ tax0% กำไรเลยวูบกันเยอะ

ข้อกังวล
โรงพยาบาลที่เทคเข้ามา จะขาดทุน จนถึงปี 2026
ถ้าประมาณจาก เอกสาร M&A
2024/2025/2026/2027 
-44/-42/-10/+23 mill RMB
เทียบกับกำไรจากธุรกิจเดิมปีละ 420 ล้าน RMB

หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงมากถ้าเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ
และไม่เคยจ่ายคืนเงินต้นเลย(ส่วนตัวกังวลข้อนี้เลย)

โอกาส
-การเทคโรงพยาบาลในราคา 81 millRMB
ได้โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ มา 2 แห่ง
ได้ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมา 1 แห่ง

เพื่อใช้เปิดหลักสูตรเทคโนโลยีการแพทย์
ใช้เป็นที่ฝึกงานของนักศึกษาและ กระจายไปยัง
ธุรกิจใหม่ที่เป็นเทรนด์ผู้สูงอายุ

ถ้าคิดราคาที่ M&A มา EV/EBITDA ประมาณ 4 เท่า
ก็ถือว่าไม่ได้แพงมากถ้าเทียบกับงบลงทุนปีละ 500 miiRMB คาดจะสร้าง CF ปีละ 100 millRMB ในปี 2028

-งบลงทุนที่ลดลง จะทำให้จ่ายปันผลได้ในระดับเดิม
และทยอยจ่ายคืนเงินกู้บางส่วน และอาจได้ผลดีกรณีมีการลดดอกเบี้ยในอนาคต

-การคิดcapacity ที่ใช้จำนวนเตียงหอพักมาคิด
ทำให้สามารถใช้ cap ได้เกิน100% เพราะมีนักศึกษาที่ไปฝึกงานนอกสถานที่แต่ยังถูกนับจำนวนหัวไปด้วย

-ปัจจุบัน Mkcap 1530 ล้าน HKD
มี CFO 800 ล้าน HKD
ปันผล 236 ล้าน HKD
กำไร 473 ล้าน HKD
PE หักขาดทุนจากโรงพยาบาลออก
FPEเหลือ 3 เท่ากว่ากับปันผล 15%

ทนถือผ่านวิกฤตพอไหวมั้ง😂

Xiaomi

⭐️ Xiaomi (1810 HK) เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ทั้งรายได้และกำไรออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

– โดยในไตรมาส 2 รายได้รวมอยู่ที่ 8.89 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32% YoY ดีกว่าคาดที่ 8.69 หมื่นล้านหยวน แบ่งเป็นรายได้หลักจาก Smartphone อยู่ที่ 4.65 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 27% YoY ดีกว่าคาดที่ 4.63 หมื่นล้านหยวน รายได้สินค้า IoT and Lifestyle อยู่ที่ 2.68 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 20% YoY ดีกว่าคาดที่ 2.54 หมื่นล้านหยวน รายได้ในส่วน internet service อยู่ที่ 8.27 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 11% YoY ดีกว่าคาดที่ 8.1 พันล้านหยวน รายได้จากการขายรถยนต์อยู่ที่ 6.2 พันล้านหยวน และ รายได้อื่นๆอยู่ที่ 976.7 ล้านหยวน ลดลง 8% YoY ดีกว่าคาดที่ 858.1 ล้านหยวน

– รายได้ตามภูมิภาค แบ่งเป็นรายได้จากจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ 5.08 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 28% YoY ดีกว่าคาดที่ 4.66 หมื่นล้าน และรายได้ International อยู่ที่ 3.81 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 37% YoY

– อัตรากำไรขั้นต้นออกมาอยู่ที่ 20.7% ดีกว่าคาดที่ 19.6% ในส่วนค่าใช้จ่ายทางด้าน R&D อยู่ที่ 5.50 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21% YoY ดีกว่าคาดที่มองไว้ที่ 5.7 พันล้านหยวน ขณะที่กำไรสุทธิปกติออกมาอยู่ที่ 6.18 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 20% YoY ดีกว่าคาดที่ 3.84 พันล้านหยวน

– ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า SU7 series ไปแล้วทั้งสิ้น 27,307 คัน และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการจัดส่งรถยนต์ 100,000 คันได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ทำให้มีการตั้งเป้ายอดส่งมอบรถยนต์ทั้งปีนี้ใหม่มาอยู่ที่ 120,000 คัน

#ASPGlobalStrategy

TLG

(6) ใช้ชีวิตและเรียนรู้ | น้อย PRU x ต่อศักดิ์สิทธิ์ (Piano & i Live) – YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=-VI5PK4B8Zg

Transcript:
(00:00) คุณ Huy ประเมินกลุ่ม Thien Long อย่างไร จริงๆ แล้วกลุ่ม Thien Long มีเพื่อน Quang Tran ในกลุ่มนั้นที่พูดถึงหุ้นตัวนั้นค่อนข้างมาก ถ้าคุณอยู่ในกลุ่ม คุณจะรู้เรื่องนี้ ฉันยังอ่านและค้นคว้าความคิดเห็นของเขาและประเมินความจริงที่ว่าฉันคิดว่าความคิดเห็นของเขาสมเหตุสมผล นั่นหมายความว่า Thien Long Group ในอดีตเมื่อฉันประเมินหุ้นนั้นว่าฉันคิดว่ามันเป็นหุ้นที่ไม่เติบโตและในความเป็นจริงแล้ว ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันไม่เติบโตเช่นกัน
(00:40) ในอดีตคงเป็นภาคการเติบโตที่แท้จริงเพราะตลาดนำเข้าซึ่งเป็นตลาดในประเทศเกือบจะอิ่มตัวและมีการแข่งขันที่รุนแรงมากคุณรู้ไหมว่าตลาดเครื่องเขียนของเวียดนามมีการแข่งขันที่รุนแรงมากฉันต้องโทร มันไร้สาระ Da Vai มีทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทียนแอลเพิ่งเปิดทิศทางใหม่นั่นคือได้ผสมเข้ากับตลาดส่งออกและถือว่าตลาดการส่งออกเป็นแรงผลักดันในการเติบโตจริง ๆ ในไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดส่งออกมีความเจริญรุ่งเรือง
(01:15) เห็นไหมว่า Thien Long Group ถ้ามองทิศทางเน้นตลาดส่งออกแล้วเรียกว่าตัวขับเคลื่อนการเติบโต การประเมินมูลค่าหุ้น Thien Long จะเปลี่ยนจากการประเมินมูลค่าหุ้นไม่เติบโตไปสู่การประเมินมูลค่าหุ้นเติบโตดังกล่าว แล้ว Thien Long Group หากพิจารณาว่าตลาดส่งออกเป็นกลไกการเติบโตใหม่ การประเมินมูลค่าของ Thien Long Group คือ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากหุ้นที่ไม่เติบโตเป็นหุ้นที่กำลังเติบโต
(01:48) การเติบโตหมายความว่าหากหุ้นไม่เติบโต Pa ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 8 ถึง 9 ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ และหากไปถึงเส้น Growth Stock ก็จะกระโดดไปที่ P ประมาณ 12 ถึง 13 หมายความว่าการประเมินมูลค่าเพิ่มขึ้น ครึ่งหนึ่งแล้ว Thien Long Group ก็กำลังเดินตามเส้นทางนั้น หากคุณเชื่อว่า Thien Long Group จะผลักดันตลาดส่งออกให้เป็นกลไกการเติบโต ฉันคิดว่าคุณจะลงทุนได้โอเค และถ้าคุณรู้สึกว่าการส่งออกครั้งนี้ไม่สามารถกลายเป็นธุรกิจได้ ยัง
(02:24) การเติบโตเท่านั้นที่เป็นแรงผลักดัน และหากไม่แข็งแกร่งคุณก็ไม่ควรลงทุน และสำหรับฉัน ฉันเชื่อว่า Thien Long Group สามารถผลักดันกลุ่มเครือข่ายการส่งออกให้เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกว่าตัวขับเคลื่อนการเติบโตนี้ยังไม่ใหญ่พอ เพราะภาคส่งออกปัจจุบันยังมีสัดส่วนน้อยของรายได้รวมของกลุ่ม ดังนั้น หากภาคส่งออกยังเติบโตแข็งแกร่งมากทั้งกลุ่มก็ไม่คุ้มค่ามากนัก ประการที่สอง เรามีหุ้นเติบโตที่ดีกว่าเทียน
(03:03) กลุ่มยาวอยู่ในรายการ ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกลุ่มเป็นเทียนหลงอีกต่อไป คุณต้องเข้าใจความคิดของฉันที่มีต่อเทียนหลง ปัจจัยที่เหลือค่อนข้างดี ปัจจัยเชิงโครงสร้างของดง แม้ว่าโครงสร้างของซีดงจะไม่สมดุลมากนักแต่ความเป็นผู้นำก็ยืนยันมานานแล้วว่าเราเป็นผู้นำที่เอาใจใส่ ดังนั้นผมประเมินว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายนี้ไม่เลวเงินปันผลดีมากการเงินดีมากเพราะคุณ ทราบ
(03:36) ไม่มีอะไรจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเงินของคนเหล่านี้ การเงินของพวกเขามีเกือบล้านล้าน แต่หนี้ทางการเงินของพวกเขาอยู่ที่ 300 พันล้าน สินค้าคงคลังและรายได้ของพวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคงโดยไม่มีปัญหาใด ๆ กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาใดๆ เลย เป็นเพียงการประเมินมูลค่าเท่านั้น เพราะคุณเข้าใจแล้ว ที่นั่น
(04:30) ในการลงทุนในธุรกิจ คุณสามารถลงทุนในธุรกิจนั้นได้ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงการประเมินมูลค่าจากหุ้นไซด์เวย์เป็นหุ้นเติบโต ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจกำลังเคลื่อนจากระยะไซด์เวย์ไปสู่ระยะการเติบโต ธุรกิจเหล่านั้นจะมีระยะช็อตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มาดูกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ เฟสด้านข้าง
(05:18) การประเมินมูลค่ามาจาก P มากกว่า 20 จาก 30 มันถูกดึงลงไปที่ ccm บางส่วนเป็นการเปลี่ยนแปลงในการประเมินจากระยะด้านข้างไปสู่ระยะการเติบโตไปสู่ระยะด้านข้างซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าของ Vinamil ซึ่งคว่ำหน้าลง มันคว่ำลง มันกำลังลดลงตั้งแต่ปี 2561 มัน ตกต่ำลงตั้งแต่ปี 2561 เมื่อธุรกิจก้าวจากระยะการเติบโตไปสู่ระยะไซด์เวย์ ลดลงจากปี 2561 ถึงปัจจุบัน แต่ตอนนี้ภายในปี 2567 ก็แสดงสัญญาณการเคลื่อนตัวเข้าสู่ระยะการเติบโต ระยะการเติบโต ดังนั้นการประเมินมูลค่าทันทีจึงเท่ากับ
(05:53) ตลาดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้ดึงการประเมินมูลค่าเข้าสู่ช่วงการเติบโต หาก vinamil สามารถรักษาระดับการเติบโตนี้ได้ การประเมินมูลค่า B ของวิตามินจะขยับขึ้นอีกครั้ง ประการที่สอง ธุรกิจบางแห่งจะเปลี่ยนจากระยะไซด์เวย์ไปสู่ระยะการเติบโตซึ่งเรียกว่าขั้นเด็ดขาดและ แข็งแกร่ง นั่นคือธุรกิจอะไร ในพอร์ตโฟลิโอของฉัน ฉันยังพิจารณาธุรกิจหลายอย่างเช่นนั้น ใช่ ถ้าเราเรียกมันว่าเกี่ยวกับกรรมของตัวเอง มีเพียง sgc เท่านั้นที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากระยะไซด์เวย์ไปสู่ระยะการเติบโต
(06:39) โดยเฉพาะ sgc นี้เป็นธุรกิจตั้งแต่ sideways ไปจนถึงช่วงการเติบโตนี้ ดูสิ ธุรกิจนี้เคลื่อนตัวไปด้านข้างมาประมาณ 5 ปีแล้ว จริงๆ แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเติบโตดีขึ้นแต่ก็ยังเป็นเพียง ระยะไซด์เวย์ จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลง จริง ๆ แล้วยังไม่มีสัญญาณใด ๆ เลย แต่ในช่วงไตรมาสหลัง ๆ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงการเติบโตที่ชัดเจนแล้วราคาหุ้นก็แสดงออกมาทันที บอกฉันว่าคุณไม่สามารถดึงมากขนาดนี้คนเดียว
(07:15) ดึงเองหมดไม่ได้ครับ ตลาดเห็นชัด ดึงสภาพคล่องในช่วงสภาพคล่องนี้ ไม่ต่ำเลย และมีหุ้นชัดเจนกว่าเยอะ แต่ขอจำ ธุรกิจที่เติบโตมั่นคงเพื่อ ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาทำอะไรแบบนั้น ใช่แล้ว bw ไม่ใช่ b มันเป็นหุ้นที่เติบโตอย่างมั่นคง ใช่แล้ว pvi คือราคาที่แท้จริง เช่น pvi นี้ มันเหมือนกับว่ามันใช้มุม M
(08:23) มันดึงทุกๆ 3 ปี r มันไม่ชัดเจนมาก ขอบคุณ N มันไม่ชัดเจนมาก อันนี้ดูชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2020 2022 กำลังไปด้านข้าง 2022 เริ่มแสดงสัญญาณของการดีขึ้น ใช่ 2022 เริ่มแสดงสัญญาณของการดีขึ้น แต่อันนี้เป็น ดีมาก ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการค้นหาตัวอย่าง ดูเหมือนยากลำบากมาก ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน เราจะตัดสินใจ

TLG

Thiên Long Group (TLG) ได้รับการยอมรับมายาวนานว่าเป็นบริษัทที่โดดเด่นในตลาดเครื่องเขียนของเวียดนาม บริษัทได้สร้างชื่อเสียงที่มั่นคงและมีฐานที่มั่นในประเทศ แต่การเติบโตของบริษัทถูกขัดขวางโดยพลวัตของตลาดหลายประการ เป็นเวลาหลายปีที่ TLG ถูกจัดประเภทเป็นหุ้นที่ไม่เติบโตเนื่องจากความอิ่มตัวและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเครื่องเขียนของเวียดนาม ตลาดนี้มีลักษณะเฉพาะโดยมีผู้เล่นจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่แข่งขันกันเพื่อส่วนแบ่งการตลาด การแข่งขันที่รุนแรงนี้ส่งผลให้เกิดสงครามราคาและกลยุทธ์การตลาดที่ก้าวร้าว ซึ่งจำกัดความสามารถของบริษัทอย่าง TLG ในการขยายและเพิ่มผลกำไรภายในตลาดในประเทศ

ในอดีต ผลการดำเนินงานทางการเงินของ TLG สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่ท้าทายนี้ อัตราการเติบโตของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง และมูลค่าของบริษัทยังคงค่อนข้างต่ำ นักลงทุนมักมองว่า TLG เป็นการลงทุนที่มั่นคงแต่ไม่น่าตื่นเต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลตอบแทนที่คงที่และคาดเดาได้ มากกว่าศักยภาพในการเติบโตสูง การรับรู้ดังกล่าวได้รับการตอกย้ำเพิ่มเติมด้วยตัวชี้วัดทางการเงินของบริษัท ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นบริษัทที่เติบโตเต็มที่แต่ไม่มีการเติบโต ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของ TLG อยู่ในช่วง 8-9 อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสะท้อนถึงการประเมินของตลาดเกี่ยวกับโอกาสการเติบโตในอนาคตที่จำกัดของบริษัท

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาล่าสุดบ่งชี้ว่า TLG อาจกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพื่อตอบสนองต่อภาวะซบเซาในตลาดภายในประเทศ บริษัทได้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปสู่ตลาดส่งออก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตของ TLG และกำลังเริ่มให้ผลลัพธ์ในเชิงบวก ในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา TLG ได้เห็นการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดในกิจกรรมการส่งออก บริษัทสามารถเจาะตลาดใหม่ ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มรายได้จากการส่งออก การเปลี่ยนแปลงไปสู่การส่งออกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายในตลาดภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับ TLG ที่จะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบในการแข่งขันในระดับโลกอีกด้วย

ฝ่ายบริหารของบริษัทเชื่อว่าตลาดส่งออกเป็นโอกาสเติบโตที่สำคัญสำหรับ TLG การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศทำให้ TLG สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และลดการพึ่งพาตลาดภายในประเทศที่อิ่มตัวได้ นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังช่วยให้ TLG ได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดและเพิ่มตำแหน่งทางการแข่งขัน ความสำเร็จเบื้องต้นของบริษัทในตลาดส่งออกถือเป็นเรื่องน่ายินดี และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้ เนื่องจาก TLG ยังคงปรับปรุงและดำเนินกลยุทธ์การส่งออกต่อไป

การเปลี่ยนแปลงจุดเน้นนี้ส่งผลกระทบสำคัญต่อการประเมินมูลค่าหุ้นของ TLG โดยปกติแล้ว หุ้นที่ไม่เติบโต เช่น TLG จะได้รับการประเมินมูลค่าที่อัตราส่วน P/E ต่ำ เนื่องจากตลาดไม่คาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้ในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม หาก TLG สามารถสร้างตัวเองให้เป็นหุ้นเติบโตได้สำเร็จ อัตราส่วน P/E ของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ฝ่ายบริหารของบริษัทได้เสนอว่าหากตลาดส่งออกกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ อัตราส่วน P/E ของ TLG อาจเพิ่มขึ้นจาก 8-9 เป็น 12-13 ซึ่งจะถือเป็นการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ในระดับที่สำคัญ และอาจดึงดูดนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่มองหาโอกาสในการเติบโต

แม้จะมีการพัฒนาที่มีแนวโน้มดีเหล่านี้ แต่ยังมีปัจจัยหลายประการที่นักลงทุนต้องพิจารณา ปัจจัยแรกและสำคัญที่สุดคือขนาดของตลาดส่งออกเมื่อเทียบกับธุรกิจโดยรวมของ TLG แม้ว่ากลุ่มธุรกิจส่งออกจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโต แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าธุรกิจส่งออกจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบโดยรวมต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของ TLG อาจจำกัดอยู่เพียงในระยะใกล้ นอกจากนี้ ตลาดส่งออกก็ไม่สามารถต้านทานการแข่งขันได้เช่นเดียวกับตลาดในประเทศ TLG จะต้องคิดค้นและปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาตำแหน่งในตลาดและคว้าโอกาสใหม่ๆ เอาไว้

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือสุขภาพทางการเงินของ TLG บริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีหนี้สินเพียงเล็กน้อย และมีเงินสดสำรองจำนวนมาก ความมั่นคงทางการเงินนี้ทำให้ TLG มีความยืดหยุ่นในการลงทุนในกลยุทธ์การส่งออกโดยไม่ต้องกู้ยืมเงินมากเกินไปหรือรับความเสี่ยงทางการเงินที่มากเกินไป สินค้าคงคลังและลูกหนี้ของ TLG ก็มีเสถียรภาพเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงทางการเงินต่ำ ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากช่วยรองรับบริษัทเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่และการเติบโตของธุรกิจส่งออก

ทีมผู้บริหารของ TLG เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจมีบทบาทสำคัญในการประสบความสำเร็จของบริษัท ผู้บริหารได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านความสามารถและความซื่อสัตย์สุจริต พวกเขามีประวัติอันแข็งแกร่งในการรับมือกับความท้าทายและส่งมอบผลลัพธ์ ซึ่งทำให้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ความไว้วางใจนี้ถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญในขณะที่ TLG เริ่มต้นกลยุทธ์การเติบโตใหม่ ทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและมีจริยธรรมช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาการกำกับดูแลกิจการที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้น และมอบรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคตของบริษัท

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า TLG จะมีจุดแข็งและศักยภาพในการเติบโต แต่ก็ไม่ใช่โอกาสเติบโตเพียงอย่างเดียวในตลาด ยังมีหุ้นอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าและอาจมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่า ซึ่งหมายความว่า สำหรับนักลงทุนที่กำลังพิจารณา TLG การตัดสินใจขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ว่ากลยุทธ์การส่งออกของบริษัทจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น หากพวกเขาเชื่อมั่นว่า TLG สามารถขยายการดำเนินงานในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนการเติบโตผ่านการส่งออก การลงทุนในบริษัทก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเติบโตนี้หรือความสามารถของบริษัทในการดำเนินกลยุทธ์ นักลงทุนอาจมองหาที่อื่น

โดยสรุปแล้ว Thiên Long Group ยืนอยู่บนทางแยก การเปลี่ยนแปลงของบริษัทไปสู่ตลาดส่งออกเป็นเส้นทางที่มีแนวโน้มดีสำหรับการเติบโต แต่ไม่มีการรับประกันใดๆ สุขภาพทางการเงินและความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการของบริษัทเป็นรากฐานที่มั่นคง แต่การทดสอบที่แท้จริงคือ TLG สามารถเปลี่ยนความทะเยอทะยานในการส่งออกให้กลายเป็นจริงและเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากที่ซบเซาเป็นการเติบโตได้หรือไม่ สำหรับนักลงทุน การตัดสินใจลงทุนใน TLG จะขึ้นอยู่กับความมั่นใจในความสามารถของบริษัทในการดำเนินกลยุทธ์และส่งมอบศักยภาพในการเติบโต

NET

Cloudflare (NYSE : NET)
Earning call Q2/24

Q&A #Cloudflare #NET
สามารถติดตาม earning call Q2/24 ได้จาก post ก่อนหน้า (แนบใน comment ครับ)
Part 3
นี่คือบทสรุปของคำถามและคำตอบจากช่วงถาม-ตอบ:

Q: การปรับปรุงประสิทธิภาพการขายและผลกระทบต่อ DNR (การรักษาลูกค้าสุทธิตามมูลค่าดอลลาร์)
A: การปรับปรุงเนื่องจากการวัดผลการปฏิบัติงาน การฝึกอบรม และการจ้างบุคลากรที่มีความสามารถสูง DNR ลดลงบางส่วนเนื่องจากข้อตกลงกองทุนรวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายได้และรายได้ที่เลื่อนออกไป

Q: ผลกระทบของการหยุดให้บริการด้านไอทีของ CrowdStrike และความสามารถในการฟื้นตัวของลูกค้า
A: Cloudflare เสนอความช่วยเหลือให้กับ CrowdStrike ลูกค้ากำลังมองหาผู้จำหน่ายหลายรายมากขึ้นเพื่อความสามารถในการฟื้นตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อ Cloudflare

Q : ผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่น
A : แพลตฟอร์ม Cloudflare ทั้งหมดกำลังได้รับความนิยม โดย Workers (แพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา) แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ

Q : แรงผลักดันของภาคส่วนสาธารณะและผลกระทบของการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น
A : ธุรกิจภาครัฐที่แข็งแกร่งทั่วโลก Cloudflare ให้บริการฟรีสำหรับการบริหารจัดการการเลือกตั้ง (Athenian Project) ความสำเร็จของภาคส่วนสาธารณะส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยภารกิจของ Cloudflare

Q : ข้อตกลง SASE และภูมิทัศน์การแข่งขัน
A : โซลูชันที่ครอบคลุมของ Cloudflare ถือเป็นตัวแยกความแตกต่างที่สำคัญ แพลตฟอร์ม Workers เพิ่มมูลค่า แต่ยังไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับข้อตกลง SASE ภูมิทัศน์การแข่งขันกำลังเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากลูกค้าแสวงหาโซลูชันที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ รวดเร็ว และตั้งโปรแกรมได้

Q : กลยุทธ์ด้านราคาและวิวัฒนาการของรูปแบบธุรกิจ
A : การปรับขึ้นราคาในธุรกิจแบบpay-as-you-go business. Enterprise การกำหนดราคาสำหรับองค์กรเน้นที่ ROI ที่สูงสำหรับลูกค้า การเปลี่ยนแปลงไปสู่ข้อตกลงแบบรวมกองทุนและรายได้ผันผวนมากขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวชี้วัดทางธุรกิจ

Q: โอกาสในการใช้ Edge AI และการอนุมาน
A : คาดว่าจะมีการอนุมานบนอุปกรณ์และเครือข่าย edge เช่นของ Cloudflare แนวทางนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นส่วนตัว ปัญหาด้านกฎระเบียบ และความต้องการด้านประสิทธิภาพ

Q : การเพิ่มลูกค้าและแนวโน้มการใช้จ่ายด้าน IT
A : การเพิ่มลูกค้าสุทธิที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลประโยชน์ครั้งเดียว สภาพแวดล้อมการใช้จ่ายด้าน IT ยังคงท้าทาย แต่ Cloudflare ได้รับประโยชน์จากการถูกมองว่ามีความจำเป็น โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย
ตลอดช่วงถาม-ตอบ ผู้บริหารเน้นย้ำถึงการดำเนินการที่แข็งแกร่งของ Cloudflare การเปลี่ยนแปลงไปสู่ข้อตกลงแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม และความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของข้อเสนอสำหรับนักพัฒนาและ AI ในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต

#NET
#BroInvestor

BIS

BIS CV (26-8-24)
Company Overview
เริ่มจากมีสัตวแพทย์ 7 ท่านมารวมกัน ประสบการณ์มากกว่า 25 ปี
ขายสินค้าทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน (CLMV)
จำหน่ายสินค้านำเข้าจาก 33 บริษัท 16 ประเทศทั่วโลก
มีทั้งนำเข้า ผลิตเอง (มีโรงงานเองที่นิคมฯ สินสาคร) และจ้างผลิต (OEM)
เครือข่ายสัตวแพทย์ปศุสัตว์ และสัตว์เลี้ยง / มีทีมขายเป็นสัตวแพทย์ 60 ท่าน กระจายทั่วประเทศ

ที่จีนมีสินค้าเป็น 1,000 ยี่ห้อ แต่เราเลือกสินค้าจากยุโรปซึ่งดีกว่ามากเข้ามาขาย ( เป็นตัวแทนจำหน่าย )
มีการสร้าง brand เป็นของตัวเองเป็น feed additive + มี OEM
พนักงาน 155 คนเป็นฝ่ายขาย 60 คน ส่วนใหญ่เป็นสัตวแพทย์

Value Chain
ตัวแทนจำหน่าย
โรงงานมีการร่วมวิจัยสินค้ากับ สวทช
สัตวแพทย์เข้าแนะนำสินค้า และบริการหลังการขายด้านวิชาการตรง
บางส่วน export

ลูกค้า ฟาร์ม โรงงานอาหารสัตว์
โรงงานอาหารขนาดใหญ่ (Feed miller) และธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร ( Integrated farm )

สินค้ามี 6 กลุ่ม
Animal Health/ nutrition/ Diagnostic Products Gp > 20%
อาหารเม็ดสำเร็จรูป อาหารสัตว์ กลุ่มสนับสนุน ESG เพื่อลดผลกระทบจากมูลสัตว์, น้ำเสีย

BIS own brand
มีครบทั้ง 6 กลุ่มLaunch Product LYPOTECH ที่จัดเป็น Nutritional Emulsifier ใช้ทดแทนการใช้น้ำมัน วิจัยร่วมกับ สวทช ( Biotech ประเภทนึง )
ได้รับ Certificate สำหรับ FAMI-QS คือ มาตราฐานการผลิตสินค้าสำหรับไก่เนื้อ สำหรับส่งออกไปยุโรป
การเติบโตของ PET Business มากกว่า 10.8% ( BU PET เติบโตสูงมาก )
ซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท White Ocean Vet (WOV) ที่ Vietnam 15% ทำธุรกิจใกล้เคียงกันมามากกว่า 10+ ปี >> จะเอา product เราไปขาย
Pet แชมพูแบบใช้และไม่ใช่น้ำ
เครื่อง ultrasound / laser สำหรับสัตว์โดยเฉพาะ

Financial Highlights
1H23 – 1H24
Total Revenue 1,103.58 – 1,177.28 +6.68%  ( ถ้าเทียบ จากปี 2018 – 2023 เติบโตขึ้น 9.7% CAGR )
Gross Profit 149.56 – 173.32 +15.89%
EBITDA 31.69 – 49.68 +56.77%
Net Profit 18.26 – 31.27 +71.25%
GPM 14.72% NPM 2.64% ROA 5.59%

สินค้ามี 6 กลุ่ม
Nutrition Product สัดส่วน 24% Rev 280.55 +87.5% YoY รายได้เพิ่มจาก ลูกค้าเจ้าหลักในประเทศ (Integrated feed mills )และตลาดพม่าที่เติบโตขึ้น
Diagnostic Products สัดส่วน 23% Rev 265.35 +6.23% YoY รายได้เพิ่มจาก Pet products and ultrasound Device
Animal Health สัดส่วน 17% Rev 205.51 -8.65% YoY
Ingredient Products สัดส่วน 17% Rev 198.42 -34.24% YoY ลดลงเพราะต้องการลดสัดส่วนสินค้า low margin ลง
Complete Feed Products สัดส่วน 16% Rev 187.62 +14.92% YoY รายได้เพิ่มจากกาปรับสูตร และการเพิ่มขึ้นของ Purcashing power ของ livestock industry
Other Products สัดส่วน 2% Rev 26.63 +87.54% YoY เพิ่มจากเตาเผาซากสัตว์
Service ด้านการขายมีสัดส่วน 1%

รายได้เพิ่มขึ้น 6.68% แต่ Gross Profit เพิ่มขึ้น 15.89% เนื่องจากการพยายามเพิ่มรายได้สินค้าที่มี margin สูงคือ Nutrition /Complete Feed / Diagnostic / Other Products / เพิ่มรายได้จากพม่า
Net Profit เพิ่มขึ้น 71.25% เนื่องจากการเพิ่มของสินค้าส่วน High margin / การ manage cost ได้ดีขึ้น / การลดลงของ SGA  > ประชากรปศุสัตว์ฟื้นตัว
คงความสามารถในการขายลูกค้ารายใหญ่  > CP Betagro 
+ เพิ่มสินค้าเข้าอย่างต่อเนื่อง
ลูกค้าเจ้าใหญ่เค้าขยายเข้า CLMV เช่น CP Betagro TFG > ของเราก็ตามไปด้วย
พยายามเพิ่มสัดส่วนสินค้า own brand ซึ่งมี Gp ดีกว่า
Expand PET business > ตลาดโต 10%+ CAGR
เปิดตัว platform PADI (Aug 2024) = Pet Wellness Community on Platform
เริ่มเอา ultrasound มาขาย ( Pet Medical equipment )

2H24 Outlook
เป้าหมาย revenue +10-15%
เพิ่มสินค้า GP สูง ( value add )
2025 เพิ่มสัดส่วนสัตว์เลี้ยง (PET Business)
รุกตลาด Vietnam Cambodia Myanmar
Expand to Asian
Indonesia แมวเยอะ / Vietnam หมูเยอะ
สร้าง eco system สำหรับ สัตว์เลี้ยง > สร้าง PADI Platform
รักษาเป้ารายได้จาก Integrated Feed Mills
เพิ่ม product ใหม่ของธุรกิจ Integrated Feed Mills

กลยุทธ์
1 สินค้า own brand / เพิ่ม High margin Product / เพิ่ม Product เกี่ยวกับสัตว์มากขึ้น
2 focus on pet business
3 increase sales and presence in asean
4 venture in to new biotech product

PET Industry Outlook
มูลค่าตลาดpet 60,000 ล้าน (2024 ) > 74,950 (2026 ) +11.1% CAGR
50,000 เป็นอาหารสัตว์ โต 10% ถึง 74,000 ล้าน
90% เป็นธุรกิจ PET food
Trend ไปทาง Premiumization
น้อยกว่า 50% เป็นการซื้ออาหารสัตว์แบบแพค > มองว่าเป็นโอกาส
แมวโตดีกว่าสุนัข
Online โตเยอะอย่างมีนัยยะสำคัญ

PET Insurance Market
Global Pet Insurance Market growth จาก 10.4 Billion USD (Y2022) – 17.66 Billion USD (Y2026) +14.2% CAGR
มองว่าตลาด Pet Insurance ในไทยก็มีโอกาสเติบโตได้สูง

Strategy สำหรับ PET Business
– พัฒนา Product ใหม่
– เพิ่ม Distrubution Channel
– สร้าง PET care Platform

เราจึงพัฒนา platform :PADI
Platform รวม ecosystems ของ หมาแมว
Pet shop
Hospital chain
Breeder ( Farms)
Pet friendly condominium
ประกันหมาแมว ( ร่วมกับ TQM )

Strategy การขยายไปยังต่างประเทศ
จำนวนประชากรไก่ที่พม่า Y2019- 2022 = 99.4 – 124.8 +7.9% CAGR
ประชากรหมูที่เวียดนาม Y2020 – Y2023 = 22.0 – 26.3 +6.2% CAGR
ประชากรหมูที่กัมพูชา Y2018 – Y2021 = 2.7 – 3.0 +3.2% CAGR

Q&A
Q การขายปศุสัตว์ครบวงจร ทำให้ gp ลดมั้ย
A การนำเข้าตรง gp ต่ำแต่ selling expense ก็ลด
Bottom line พอๆกัน

ชุดตรวจ รายละเอียดสูง > เช่นโรค หมู > เราวิจัยเอง
โรค ASF > real time PCR
ถ้าระบาดทำให้หมูตายเยอะมาก เช่นที่จีนหายไปครึ่งนึง
ชุดตรวจ rev 20% GP 3x% > market share 70% +

Product PET ตอนนี้เป็น B2B จะ aim ไป B2C มากขึ้น
แนวโน้มปรับจากคลีนิค ไปเป็นโรงพยาบาลสัตว์มากขึ้น

Q ใครเป็นคนเขียน App PADI ให้
A Out source tech company

Q ความร่วมมือที่เวียดนาม
A เราร่วมมือกับเค้า 15% White Ocean Vet (WOV)

Q Nutrition โตเยอะเพราะอะไร
A สัดส่วนที่ขายใน integrated feed mill มากขึ้น

พม่ารอการจดทะเบียนให้เสร็จภายในไตรมาส 1  ปีหน้า > ทีมขาย ให้บริการด้านการขาย และให้คำปรึกษากับตัวแทนจำหน่าย local แทน
1H livestock

Q ลูกค้ารายใหญ่ Contribute รายได้กี่ %
A 3 รายใหญ่ สัดส่วนรายได้ ประมาณ 60%

Q สัดส่วนหมูไก่
A หมูลดลงเยอะ เพราะรายใหญ่ เน้นไก่
ตอนนี้ หมู 50%
แม่หมูเวียดนาม 2.7 ล้าน ไทย 1.2 ล้าน > ถ้ารุกไปเวียดนามจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
จะขาย CP ต้องมาขึ้น vendor list ในไทยก่อน
Live stock เป็น cash cow จึงต้องโตไป CLMV + ขยายไปทาง pet

Q จำนวน sales
A ทีม 20 ขายอาหารสัตว์ 15 คน + 5 คน
คล้ายๆ retail ยา

Q turn over rate สูงมั้ย
A สูง บางทีออกไปเปิดคลินิครักษาสัตว์เองโดยเฉพาะสัตวแพทย์

Q partner เอาของมาขายเองได้มั้ย
A ไม่มี ส่วนใหญ่เค้าไม่อยากมาทำเอง
ไม่คุ้มกับการลงทุน

Q ทีม R&D เป็นยังไงบ้าง
A outsourcing R&D ไปร่วมกับ สวทช มหาลัยต่างๆ
มีการกำหนดงบประมาณอยู่
Patent เป็นของเรา

Q ชุดตรวจ อื่นๆ
A เช่นฟาร์มกุ้ง

Q มีแผน JV มั้ย
A กำลังอยู่ระหว่างศึกษา

Q เป้าปี 2027
A Own brand เพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ตอนนี้ 20%

Q Q1/23 เห็นงบกำไรลดลงเนื่องจากอะไร
A มีเรื่องการขายสินค้าที่ใกล้หมดอายุออกไปในราคาพิเศษ ทำให้งบไม่ค่อยดี
กลุ่ม feed additive

Q ปัจจัยเสี่ยง
A โรคระบาด เช่น ASF ทำให้หมูหายไปครึ่งนึง
อายุวัคซีน 2 ปี

Q ภาพปี 2027
A ภาพจะพยายามขยายอัตรากำไรมากขึ้น

AUTA

ลงทุนใน beauty แบรนด์หรือ beauty store อันไหนน่าสนใจกว่ากัน??
=========================================
ก่อนจะตอนคำถามนี้ ขอเล่าถึงบริษัทที่ทำธุรกิจ beauty store ใน US แห่งนึงให้ฟังคร่าวๆ คือ Ulta Beauty (ULTA)
.
disclaimer เล็กน้อย ข้อมูลที่ผมนำเสนอนี้ เป็นข้อมูลที่ผมรวบรวมมา เพื่อประกอบการตัดสินใจ อาจจะมีข้อมูลที่ผมไม่ได้ verify ถึงความถูกต้อง และไม่ใช่การชักชวนให้เพื่อนๆลงทุนในหุ้นที่นำเสนอแต่อย่างใด
สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยงเพื่อนๆควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนตัดสินใจลงทุนกันนะครับ
.
.
ULTA Beauty Breakdown
—————————
Ulta เป็น beauty chain store ก่อตั้งเมื่อปี 1990 เมื่อตอนสิ้นปี 2022 มีจำนวนสาขา 1,355 สาขา Ultar beauty คือ Beauty Chain store ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา โดยมี Sephora กำลังตามมาติดๆ (ตาม reference ข้างล่าง Sephora มี 1,411 สาขาใน US แต่ตัวเลขนี้ ที่มาจากแหล่งอื่นยังก็ไม่ถึง จากข่าวที่เห็นปีนี้ส่วนตัวคาดว่าอาจจะแถวๆ 1,000 สาขา)
แต่ละสาขาของ Ulta beauty มีขนาดประมาณ 1,000 ตารางเมตร หรือใหญ่กว่า 7-11 ขนาดแบบปกติทั่วไปประมาณ 3-5 เท่า โดยเมื่อสิบปีที่แล้ว จำนวนสาขายังมีเพียง 450 สาขา แต่เพิ่มขึ้นทุกปี ช่วง 8 ปีแรก เพิ่มทีนึง 100 สาขา แต่ช่วงสามปีหลัง เหลือการขยายเพียงปีละ 40-50 สาขาเท่านั้น โดยรายได้ทั้งหมดของ Ulta ยังอยู่ใน US และ ULTA beauty จะเลือก Location ที่ออกมาข้างนอกเมืองหน่อย
.
ในมุมของ Comparable sales (หรือ Same store sale) มีการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี โดยสินค้าที่ขายในร้านประกอบด้วย
– Cosmetics 42%
– Haircare 21%
– Skincare 17%
– Fragrance and Bath 14%
– อื่นๆ 6%
.
ในช่วงก่อน Covid รายได้หลักมาจาก Cosmetics แต่หลัง Covid เป็นต้นมา รายได้ส่วนนี้ลดลง แต่ไปเพิ่มที่ Skincare และ Fragrance แทน ซึ่ง Skincare เป็นรายได้ส่วนที่มี margin สูงกว่า cosmetics โดยรายได้จาก Cosmetics ลดลงจาก 50% เหลือ 40% ส่วน Skincare เพิ่มจาก 16% เป็น 20% และ Fragrance เพิ่มขึ้นจาก 7% กลายเป็น 12-18%
ล่าสุดบรษัทกำลังทำความร่วมมือกับ Target เพื่อไปเปิดสาขาในพื้นที่ของ Target ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่มีความสำคัญในการกระจายสินค้า Beauty ใน US (ELF จำหน่ายสินค้าเกินครึ่งผ่าน Target, Walmart และ Ulta)
.
การเติบโตของ Ulta ในช่วงแรกจึงเป็นการเติบโตที่มาจาการขยายสาขา โดยช่วงสองสามปีแรก การขยายสาขาน่าจะ contribute การเติบโตเกือบทั้งหมด แต่ช่วงประมาณกลางปี 2015-2019 ด้วยจำนวนสาขาที่มากขึ้น การเติบโตจึงมีส่วนของการเติบโตที่มาจาก Same store sale growth มากขึ้น ซึ่งถ้าไปดู pattern การเติบโตของบริษัท global brand beauty อย่าง Estee Lauder หรือ L’Oreal พบ pattern การเติบโตไปในทางเดียวกัน คือ ช่วง 2016-2019 การเติบโตจะมาจากสินค้า Cosmetics แต่พอช่วง Covid จะ Shift ไปที่สินค้ากลุ่ม Skincare แล้วพอมาปี 2021-2022 เป็นช่วงเปิดเมืองของ US การเติบโตของสินค้า Beauty กลับมาเติบโตในทุก segment แต่น่าจะชะลอตัวลงปลายปี 2023 เป็นต้นไปจากผลของเงินเฟ้อ
.
Outlook ของ Ulta beauty
—————————
บริษัทมองว่า ปี 2023 ยอดขายรวมจะโตเพียง 7-8% และ Same store sale growth น่าจะโตระดับ 4-5% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่เกือบ 10% การเปิดสาขาลดลงเหลือเพียง 20-30 สาขา เทียบจากต้นปีที่ 1,355 สาขา หรือเพิ่มขึ้นเพียง 1-2% เท่านั้น Operating margin 14.5-14.8% ลดลงจาก ประมาณ 16% ในปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่ผ่านมา การใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดต่ำกว่าปกติ Capex 400-475m ทั้งๆที่ขยายสาขาเพียง 20-30 สาขา (บริษัทเคยให้ข้อมูลว่า capex ต่อสาขาอยู่ประมาณ 1.7m รวม inventory net account payable ดังนั้น capex สำหรับ 20-30 สาขา จึงไม่น่าจะมากกว่า 50-60m รวม renovate หรือ relocate แล้วก็ไม่ควรจะเกิน 100m ไปมาก) บริษัทบอกว่าหลักๆคือการลงทุนด้าน IT และ supply chain รวมไปถึงการ roll out สินค้ากลุ่ม luxury ในสาขา
.
แสดงว่าบริษัทน่าจะเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่เป็น luxury เพิ่มขึ้น ถ้าเทียบ Capex ของ Ulta กับ Sephora แล้ว ดูเหมือนต้นทุนของสาขา Sephora จะสูงกว่า Ulta ประมาณ 25% (เทียบจาก PPE + Inventory กับยอดขาย) ซึ่งถ้าเป็นเหตุผลนี้อาจจะพอฟังขึ้น เพราะผมเคยไปเดิน ulta สาขานึงนอกเมือง รูปแบบการจัดร้าน ดูไม่น่าเดินเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Sephora
.
เรื่องราวของ Ulta ผมขอจบสั้นๆประมาณนี้ครับ
.
วิเคราะห์ความน่าสนใจของธุรกิจ
——————————–
ทีนี้ ถ้าจะวิเคราะห์ว่า จะลงทุนใน Store หรือ Brand อันไหนน่าสนใจกว่า ขอเริ่มด้วยการเทียบ ratio ทางการเงินตัวนึงคือ Return on Invested Capital (ROIC)
– Ulta 35%
– Estee Lauder (EL) 20% ก่อนจะตกลงมาเหลือเพียง 9% จากผลกระทบรอบด้าน
– L’Oreal (OR) และ ELF beauty (ELF) ไกล้เคียงกันที่ 15-16%
– COTY ต่ำสุดเพียง 5%
.
พอมาดู Operating margin
– EL กับ OR สูงสุด ที่เกือบ 20%
– Ulta รองลงมา 16%
– ส่วน ELF และ COTY อยู่ช่วง 10% +/-
.
– Ratio อีกตัว คือ Days inventory outstanding
– Ulta ต่ำสุด 100 วัน
– COTY กับ L’Oreal 130 วัน
– ELF 170 วัน
– ส่วน Estee Lauder ตอนนี้พุ่งไป 235 วัน
.
ตัวสุดท้าย คือ Cash conversion cycle
– Ulta ประมาณ 80 วัน
– Estee Lauder 130 วัน
– ELF150-185 วัน
– ส่วน L’Oreal -30 วัน และ COTY -74 วัน
.
ทีนี้ ratio พวกนี้กำลังบอกอะไร ??
.
ผมสรุปแปลความแบบง่ายๆแบบนี้ คือ ในมุมของ Margin
สินค้า premium (L’Oreal กับ Estee Lauder) จะมี margin ดีกว่าสินค้าราคาถูก (ELF) หรือสินค้ากลุ่ม Fragrance (COTY) ส่วน ULTA มันมีขายทุกแบรนด เลย blend ออกมาอยู่กลางๆ
.
พอเป็นสินค้า premium เลยขายช้า (EL) สินค้าที่เป็น mass market ขายได้เร็วกว่า (COTY, L’Oreal) ส่วน ELF อาการแบบนี้ แสดงว่า จริงๆที่ขายดี มีอยู่ไม่กี่ตัว ตัวที่ขายไม่ดีก็มาก (80/20 pareto)
.
พอสภาพการขายเป็นแบบนี้ กลับไปที่อำนาจต่อรองกับ supplier ซึ่งปรากฏกว่าแบรนด์ระดับ Premium ถึง Luxury อำนาจต่อรองดีมาก ไม่ว่าจะเป็น L’Oreal, Estee Lauder หรือ COTY โดยได้ credit term สูงถึง 150-200 วัน
.
ส่วน ELF ได้ credit เพียงประมาณ 50 วันเท่านั้น ไกล้เคียง ULTA ที่ 50 วัน
ตัวเลขนี้ตอกย้ำอำนาจต่อรองของ Brand ระดับ luxury ได้พอสมควร เพราะ ยอดขาย Ulta นั้นมาจาก L’Oreal กับ Estee Lauder อยู่ครึ่งนึง
.
อีกตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ Chain store คือ Capex / Sale เทียบกับ Operating income margin สองตัวนี้เป็นตัวช่วยบอกว่า เวลาลงทุนไปแล้ว ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะคืนทุน
.
ถ้าตามตัวเลขด้านบน operating margin อยู่ประมาณ 10-20% ในตัวเลขแบบนี้ Capex to sale ไม่ควรเกิน 50% ของยอดขาย หรือพูดอีกอย่าง ถ้าแต่ละสาขาใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาท ยอดขายต่อสาขา จะต้องสูงกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป เพราะเมื่อยอดขาย 20 ล้านบาท ตีเป็น opearating income margin สำหรับบริษัทที่มี margin 20% จะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท แบบนี้ ประมาณ 2-3 ปีน่าจะคืนทุน (สมมติตัดค่าเสื่อม 10 ปี) แต่ margin อย่าง ELF beauty น่าจะต่ำเกินไป เลยทำให้เราคงไม่มีทางเห็น ELF beauty มาทำธุรกิจร้าน beauty เพราะตัวเลข expected sale ของ Ulta หรือ Sephora อยู่ประมาณ 2-3 เท่าขึ้นไปของ capex
.
เพราะฉะนั้น แค่สองคำถามนี้ ว่า capex ต่อสาขาปีละเท่าไหร่ กับยอดขาย expected sale ต่อสาขาเท่าไหร่ มาเทียบกับ Operating margin ก็พอจะอ่านสมรภูมินี้ได้ระดับนึงแล้ว เพราะในกรณีนี้ ทั้ง ULTA และ Sephora มียอดขายต่อ capex 2-3 เท่าทั้งคู่ ถ้าร้านคุณทำได้ต่ำกว่านี้ ยังไงเหนื่อยกว่าแน่นอน การขยายสาขาทำได้ช้ากว่า burn เงินเยอะกว่า competitiveness ยังไงแพ้คู่แข่งค่อนข้างแน่
.
อีกเหตุผลที่ ทำให้ไม่น่าจะมี Brand ไหนมาทำ beauty store ที่ขายสินค้าของคนอื่น เพราะน่าจะมี conflict of interest พอสมควร ส่วนตัวผมจึงเชื่อว่า เป็นการยากที่จะเป็นสองธุรกิจนี้ จะอยู่รวมกันในบริษัทเดียว ถ้าเป็นการเน้นขายของแบรนด์ตัวเอง ก็ต้องได้ turnover ที่มากเพียงพอ ไม่งั้นจะกลายเป็น cost center แบบ forever แทนที่จะเป็น profit center หรือต่อให้อยากทำจริงๆ ก็ไม่น่าจะได้ Term ที่ดี
.
สรุป
—–
ดังนั้นคำถามว่า ลงทุนในธุรกิจ chain store หรือ brand อันไหนน่าสนใจกว่า คงต้องบอกว่า น่าสนใจทั้งคู่ เพียงแต่ แต่ละธุรกิจมีช่วงการเติบโตและความเสี่ยงไม่เหมือนกัน
กลุ่ม store อย่าง Ulta หรือ Sephora ด้วยความที่ไม่ขึ้นกับ brand ใด band นึง ดังนั้นการขายจะทำได้ง่ายกว่า turnover ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้อจำกัดไปอยู่ที่การขยายสาขา จะเห็นว่าการชะลอการเปิดสาขาของ Ulta ปีนี้ลดลงชัดเจน อีกทั้งจะต้องเจออำนาจต่อรองจาก Brand ที่ติดตลาดระดับบน ทำให้ต้องใช้ capital สูงกว่ามาก ทั้งเงิน location และคน ทำให้การเติบโต ทำได้ช้ากว่า แต่ return ก็ดูอยู่ในระดับทีน่าพอใจ 15-20%
.
ส่วนสินค้า Brand ใช้คนน้อยกว่ามาก เพราะจริงๆแล้วมันคือบริษัท R&D + marketing การ scale ทำได้ง่ายกว่า แต่ความเสี่ยงคือ การเกิด deadstock ผลิตออกมา ลงทุนไปแล้ว ขายไม่ออก ด้วยการแข่งขัน หรืออะไรก็ตาม เวลาเจอขาลงอาจจะเร็วกว่าพวกที่เป็น chain store
.
อีกมุมที่อาจจะมีคำถามคือ E-commerce จะมากระทบกับการซื้อสินค้าแบบนี้มั้ย ผมคิดว่ามีส่วน แต่เป็นแค่บางส่วน ตัวเลขที่เห็นแล้วคือ  ยอดขายที่มาจาก online มีประมาณ 10-20% ของยอดขายรวมเท่านั้น ยอดขายส่วนใหญ่ยังมาจากสาขา สาเหตุน่าจะเพราะ สินค้ากล่มนี้ คนยังต้องการลองของจริง แสง สี ที่เห็นในรูป ผิวสีนางแบบ กับคนซื้ออาจจะไม่เหมือนกัน เวลาซื้อของแบบนี้ จึงออกแนว omnichannel มากกว่า อีกเหตุผลคือ ผมคิดว่าสินค้าพวกนี้ เป็น impulse buy ก็น่าจะมาก ความสวยอาจจะรอไม่ได้ ลองแล้วสวยก็อยากสวยวันนี้พรุ่งนี้เลย ส่วนที่อาจจะมี online น่าจะเป็นส่วนที่ใช้ประจำหรือต่อเนื่อง เช่น skincare เป็นต้น
.
การจะเลือกลงทุนกับบริษัทแบบไหน เลยอยู่ที่ความสามารถในการรับความเสี่ยง และความสามารถในการประเมินและเข้าใจความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ หรือแบรนด์ ที่เหมาะกับแต่ละคนครับ
.
..
สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง เพื่อนๆควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนจะตัดสินใจลงทุนกันนะครับ
.
.
ถ้าชอบ content แบบนี้ ช่วยกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้แอดกันด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
หากสนใจมาพูดคุยหุ้นรายตัว มีกลุ่มใน Discord หุ้นเปลี่ยนโลก และ Blockdit Invest feature ใหม่จาก Blockdit กันแล้วนะครับ
https://discord.gg/qX8gFJbc
ที่มา:

Investor relations websites ของ ULTA, ELF, L’OReal, Estee Lauder, COTY
https://www.scrapehero.com/location-reports/Sephora-USA/#:~:text=How%20can%20I%20download%20a,hours%20from%20our%20data%20store.

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น