KLINIQ

#KLINIQ

#ไตรมาส_4_2566

มีเหตุการณ์กราดยิงที่สยามพารากอน จึงทำให้รายได้ในไตรมาส 4/2566 นั้นน้อยกว่าปกติ โดยสังเกตได้จาก SSSG ในไตรมาส 4/2566 นั้นอยู่ที่ระดับ +6.90% YoY น้อยกว่าไตรมาส 1/2566 ที่ 9.30% และ ไตรมาส 2/2566 ที่ 9.40%

ซึ่งแม้ว่าในไตรมาส 4/2566 กำไรจะทำ All Time High ที่ระดับ 77.955 ล้านบาท รายได้ที่ต่ำกว่าปกติ จึงทำให้ GPM% นั้นน้อยกว่าปกติ เพราะ ต้นทุนค่าเช่าเท่าเดิม, มี Bonus พิเศษ เลยมี SG&A ที่สูงกว่าปกติ และ มี Tax Rate ที่ต่ำกว่าปกติ จึงทำให้อัตราส่วนทางการเงินเพี้ยนไปทั้งหมด

#ไตรมาส_1_2567

รายได้ก็ดันดีกว่าปกติอีก จากการที่คนจะไปทำหน้าในไตรมาส 4/2566 นั้นเลื่อนไปทำหน้ากันในไตรมาส 1/2567 จึงทำให้ในไตรมาส 1/2567 มี SSSG +16.20% YoY ซึ่งหากเทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่ระดับ 9.30% และ ไตรมาส 2/2566 ที่ระดับ 9.40% ดังนั้น SSSG ที่ระดับ 16.20% ในไตรมาส 1/2566 จึงสูงผิดปกติ

ถึงแม้ว่า GPM% นั้นดีกว่าปกติ จากการที่ได้รับอานิสงค์จากรายได้ที่มากกว่าปกติ ที่มา Blend ในส่วนของต้นทุน Fixed Cost แต่ก็มีต้นทุนในการเปิดสาขาใหม่ 10 สาขา มาฉุดลง ไปอีก ดังนั้น %GPM ในไตรมาส 1/2567 ก็ยังคงดูไม่ได้อีก เพราะ มีทั้งเหตุการณ์ที่ดีกว่าปกติ และ แย่กว่าปกติ ในไตรมาสเดียวกัน

แล้วจากการที่รายได้ในไตรมาส 1/2567 นั้นดีกว่าปกติ จึงไปกดให้ SG&A to Sales ที่ทำ All Time Low ที่ระดับ 37.36% ทั้งๆที่มีการเปิดสาขาถึง 10 สาขา ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก เพราะ เปิดสาขา 10 สาขา ต้นทุนมาก่อนรายได้ แต่ SG&A ไปทำจุดต่ำสุดใหม่ ดังนั้นต้องเข้าใจก่อนว่า ไตรมาส 1/2567 นั้น SG&A นั้นดีกว่าปกติ

#ไตรมาส_2_2567

#รายได้ 701.606 ล้านบาท +30.01% YoY และ +1.99% QoQ

#กำไรขั้นต้น 354.412 ล้านบาท คิดเป็น อัตราการทำกำไรขั้นต้น 50.51% improve จาก Q1/2567 ที่ 50.38% เล็กน้อย ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/2567 ซึ่งจริงๆก็ยังไปในทิศทางที่ควรจะเป็นเพราะรายได้เติบโต ต้นทุนมันก็ควรจะเติบโตช้ากว่า

#ค่าใช้จ่ายในการขาย 26.78% หากเทียบก็ยังคงอยู่ในทิศทางขาลดลงเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องจากระดับ 28% ในปี 2565

#ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 79.538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2567 คิดเป็น 11.34% ซึ่งก็อยู่ในกรอบของการค่อยๆลดลงเรื่อยๆ

#กำไรสุทธิ 74.116 ล้านบาท คิดเป็น #อัตราการทำกำไรสุทธิที่ 10.56%

หากไปดูในการ #Break_Down_by_Business_Unit

#THE_KLINIQUE หากไปดูรายได้ย้อนหลัง จะเห็นได้ว่าค่อยๆ เติบโตจากระดับ 436 ในไตรมาส 1/2566 แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปที่ 450 ล้านในไตรมาส 4/2566 ซึ่งรายได้ในไตรมาส 4/2566 เป็น High Season แต่ได้รับผลจากการกราดยิงที่สยามพารากอน ยังมีรายได้ที่ระดับ 450 ล้านบาท แปลว่าจริงๆแล้ว ไตรมาส 4/2566 รายได้ต้องมากกว่านี้

ในไตรมาส 1/2567 ที่เป็น Low Season รายได้ที่ระดับ 482 ล้านบาท เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 7% QoQ จากไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็น High Season .. การเพิ่มแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้วหากเทียบว่าไตรมาส 4/2566 นั้นเป็น High Season แต่ไตรมาส 1/2567 ที่เป็น Low Season รายได้จะมากกว่าระดับ 7% ได้อย่างไร ?? .. ดังนั้นก็น่าจะพออนุมานได้ว่ารายได้ในไตรมาส 1/2567 ที่โดดขึ้นมาเยอะๆนั้นก็มาจากแบรนด์ THE KLINIQUE และ ฐานสูงกว่าปกติ และ THE KLINIQUE มี Contribution กว่า 70% ของบริษัท ดังนั้นจึงเป็นตัว drive SSSG จากระดับ 9.30-9.40% ในฐานปี 2566 เป็น 16.20% ในไตรมาส 1/2567 ดังนั้นไตรมาส 1/2567 จึงเป็นฐานที่ดีกว่าปกติ

ส่วน Business Unit อื่นๆ ก็ยังคงเติบโตแบบ Smoothly QoQ

หากไม่มีอะไรผิดพลาด หรือ อะไรประหลาดๆอีก ทั้งจากการกราดยิง ในไตรมาส 4/2566, การเปิด 10 สาขา ในไตรมาส 1/2567 และ ไตรมาส 2/2567 ที่อาจจะดู Drop QoQ จากฐานที่สูง และ เป็น Low Season ก็ควรจะเห็นอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่น่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ และ สาขาที่เปิด 10 สาขาในไตรมาส 1/2567 น่าจะกลับมาสู่จุดคุ้มทุน (ปกติใช้เวลา 6 เดือน) และ การกลับเข้าสู่ High Season ในครึ่งปีหลัง ก็น่าจะทำให้ %GPM improve ได้

จ.บ. 🌈

IT

ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าประเภท IT กับ Smart Phone  มันดูคล้ายกันแต่จริงๆมันสู้กันคนล่ะเกม

สมัยก่อน Banana ขาย IT แล้วก็ทำ Apple จุดเปลี่ยนคือ การที่ Banana เข้าสู่ธุรกิจ  SF จากไม่มี MKS มาสู่ เบอร์1 ในปัจจุบัน มันก็เลยดูเหมือนว่า มันง่ายๆ สินค้ามันดูคล้ายๆกัน ใครจะเข้าสู่ตลาดนี้ก็ไม่น่าจะยาก แต่จริงๆคือ เข้าง่ายแต่สู้ยาก

ตลาด IT ในไทย ธรรมชาติมันคือการที่ Brand ไม่ทำตลาดเอง แทบทุกแบรนด์ จะขายสินค้า ผ่าน Disty เป็นหลัก 90% น่าจะขายผ่านตัวแทนที่แต่งตั้งในประเทศนั้นๆ  และสินค้าประเภทนี้ก็เป็นสินค้าที่ margin  สูง อย่างน้อยก็สูงกว่า SF คราวนี้พอการซื้อขายมันผ่านตัวแทน มันจึงเกิดเป็นตลาดเสรี  (ตัวแทนเค้าไม่มีหน้าที่รักษาตลาดให้แบรนด์ เค้าแค่ขายให้ ที่สำคัญเค้าขายเป็นร้อยแบรนด์)นั่นคือ ใครก็ขายตัดราคาใครก็ได้ ถ้าคุณบริหารสต๊อกได้และไม่ขาดทุน สังเกตุได้ว่า เจ้าตลาดที่อยู่มาก่อน เข่น  IT BANANA กลับเสียตลาดให้ JIB ส่วนคนที่เข้ามาหลังสุดอย่าง ADVICE กลับ GAIN ตลาดได้มากที่สุด สาเหตุหลักๆ เหมือนที่ Advice  ทำให้คนเชื่อได้ ว่า เค้าขายต่ำกว่าทุกเจ้า นิดหน่อย ซึ่งเป็นการขายต่ำกว่าหลังจากที่คนอื่นต่ำไปแล้วด้วย การขายต่ำว่า ในสินค้าประเภทเดียวกัน ในมุมผู้บริโภคอาจมองว่า ขายถูก แต่ในมุมคู่แข่ง มันคือ กลยุทธ์ ขายตัดราคานั่นเอง การที่คุณทำให้คนเชื่อแบบนี้ได้ ทุกอย่างก็ง่าย เพราะคนจะเดินมาหาคุณเอง ต่อให้ร้านคุณทำเลไม่ดีก็ตาม ยิ่งถ้ามี Online ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ นี่ยังไม่รวมว่า สินค้า IT  เป็นสินค้าที่ซื้อง่ายใน Online สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ advice ชนะในตลาดนี้ ทั้งที่มาหลังสุด ทั้งในตลาด ฺB2B และ B2C ส่วนการขยายแบบแฟนชาย แค่ทำให้เค้ามีสาขาในจุดที่เค้าไม่ไปเปิด (ไม่มีสาขาแฟนชายในเซนทรัลแน่นอน)

แต่ในตลาด SF มันต่างเลย ตลาดนี้ Brand ทำตลาดโดยตรง SS OPPO VIVO  ส่วน APPLE อันนั้นจะมี MODEL ตายตัว ซึ่งต่างกับ android

ตลาดนี้  แบรนด์จะเป็นคนควบคุมตลาด ทำโปรโมชั่น ร่วมกับ ผู้ขายเสมอ ทุกคนต้องขายในราคาเท่ากัน ส่วน โปรโมชั่นก็จะต้องคล้ายๆกันในแง่ของมูลค่า จะไม่มีการขายตัดราคากันเอง แม้แต่โปรโมชั่น ก็ไม่สามารถทำเกินกว่าคู่แข่งได้ ถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืน แบรนด์สามารถที่จะตัดคำสั่งซื้อชั่วคราวเพราะจะมีคู่แข่งรายใดรายหนึงไปแจ้งกับแบรนด์ว่า มีการทำโปรโมชั่นเกินหน้า เพื่อป้องกันการเสียเปรียบ สาเหตุที่เป็นแบบนี้ได้ นั่นเพราะ ผู้ขายทุกคนที่เป็นรายใหญ๋ซื้อสินค้าตรงกับแบรนด์ คราวนี้ตลาดนี้ก็จะต้องสู้กันที่ จำนวนสาขาและLocation เท่านั้น สาเหตุที่Com7 ชนะตลาดนี้ได้เร็วเพราะเค้ามุ่งที่จุดขายและทำเลเป็นหลัก ใครก็ตามที่จะเข้าสู่ตลาด SF ยังไงก็ต้องมี2อย่างนี้ ส่วนรายล่าสุดที่จะทำตลาดนี้ มันจึงไม่ง่ายเหมือนสมัยที่เค้าเข้าสู่ตลาด IT หลังสุดแล้วชนะ แม้แต่ IT เองที่รู้เรื่องนี้ โดยการไปซื้อ CSC มาก็ยังไปไม่ถึงไหน เพราะ ขาด Location  การที่ Advice จะมาทำตลาดนี้ โดยที่ใช้กลยุทธ์ที่ตัวเองถนัดไม่ได้แถมสาขาตังเองมีน้อย สาขาส่วนใหญ๋เป็นแฟนชาย เป็นเรื่องที่ ยากจะสำเร็จ อาจทำให้มี Share ได้บ้าง แต่ไม่ได้เปลี่ยนภาพอะไรมากมาย

1419

1419 Human Health Holdingsp

Mkt Cap 400 cash 640 P/E  2

CFO โตกระจาย พึ่ง capex 500

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ
รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร, จำนวน

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

กำไรหายเกลี้ยง

มันก็ไม่โตมานาน พึ่งมาโต 2022

สรุป

บริษัทมีรายได้ประมาณ 295.2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

คิดเป็นการลดลงประมาณ 386.1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงหรือ 56.7% เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนสิ้นสุด

31 ธันวาคม 2022 (“ช่วงระหว่างกาลของปีงบประมาณ 2023”) การลดลงมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลง

สร้างขึ้นจากบริการป้องกัน การทดสอบ การฉีดวัคซีน และการเข้าถึงที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ประมาณ

453.4 ล้านเหรียญฮ่องกง หลังจากไม่รวมรายได้จากบริการดังกล่าวแล้ว รายได้ของกลุ่มก็เพิ่มขึ้น

ประมาณ 29.6% เมื่อเทียบกับช่วงระหว่างกาลปีงบประมาณ 2023

รูปภาพประกอบด้วย ไลน์, พล็อต, แผนภาพ, ตัวอักษร

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ
รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, พล็อต, ไลน์, ภาพหน้าจอ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

งบมันซ้ำ 2 quarter มันเหมือนกัน

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ตัวอักษร, จำนวน, ภาพหน้าจอ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

Human Health Holdings Limited เป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพแบบบูรณาการส่วนตัวในฮ่องกงที่มีความสามารถผู้ป่วยนอกที่ครอบคลุมครอบคลุมบริการปฏิบัติทั่วไป บริการพิเศษ และบริการทันตกรรม บริการการปฏิบัติทั่วไปของบริษัทประกอบด้วยบริการด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์ครอบครัวที่หลากหลาย เช่น การให้คําปรึกษาทั่วไป บริการด้านสุขภาพเพื่อการวินิจฉัยและการป้องกัน การรักษา ขั้นตอนเล็กน้อย การจ่ายยา การฉีดวัคซีน การตรวจร่างกาย กิจกรรมการศึกษาด้านสุขภาพ การให้คําแนะนําด้านอาชีวอนามัย และการประเมินการบาดเจ็บจากการทํางาน บริการพิเศษ ได้แก่ ศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมกระดูกและบาดแผล จักษุวิทยา โสตศอนาสิกวิทยา ศัลยกรรมกุมารเวชศาสตร์ สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา โรคหัวใจ ระบบทางเดินอาหารและตับ เวชศาสตร์ระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง บริการทันตกรรมประกอบด้วยทันตกรรมทั่วไป ทันตกรรมเฉพาะทาง และทันตกรรมเพื่อความงาม

Moshi

สำหรับบางท่านอาจจะยังนึกภาพไม่ออก เวลาเห็นตัวเลขรายได้จากธุรกิจค้าส่งของ #Moshi ในงบการเงินที่มีสัดส่วนราว 17-18% ของรายได้รวม (งบปี66) ว่าเป็นลูกค้ากลุ่มใดที่มาซื้อสินค้าของ Moshi ไปขายต่อกัน

นี่คือตัวอย่างของร้านกิ๊ฟช็อปเล็กๆที่เช่าพื้นที่ในปั้ม ปตท. ใน จ.ร้อยเอ็ด .. จากการสำรวจคร่าวๆ สินค้าประมาณครึ่งนึง เป็นสินค้าของ Moshi ป้ายราคาก็เป็นป้ายของ Moshi และขายราคาเดียวกับหน้าร้านของ Moshi เองด้วย .. และนอกจากนี้สินค้าในร้านยังเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว(ขายดี) โดยดูจากวันผลิตที่ส่วนมากค่อนข้างใหม่

สิ่งเหล่านี้บอกอะไรได้บ้าง

  1. Moshi ยังสามารถขยายสาขาไปได้อีกมาก : บริษัทเคยบอกว่า มองไว้ประมาณ 500 สาขา ในประเทศไทย (ปัจจุบัน มีหน้าร้านของบริษัทเองเพียง 149 สาขา ใน 59 จังหวัด)
  2. ร้านค้าเล็กๆเหล่านี้ มี potential ที่จะสมัครเป็นร้านเฟรนไชส์ของ Moshi ได้ในอนาคต (หากบริษัทพร้อมจะทำ)
  3. การเปิดสาขาในปั้มน้ำมัน “อาจจะ” เป็นช่องทางที่น่าทดลอง ค่าเช่าถูกกว่าในห้าง, มีที่จอดรถ และอาจจะเหมาะกับ ต่างจังหวัด/ต่างอำเภอ ในเมืองรองต่างๆ
  4. .. ช่วยกันเติมครับ .. 😅

ปล. ถ่ายตอน 19:30 น. กำลังจะปิดร้านแล้ว
ปล.2 ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ก่อนโควิด ,

Moshi Moshi

TMDX

https://www.facebook.com/share/15p5V23p1hk9ywyX/?mibextid=xfxF2i

หุ้นกล่องเก็บหัวใจ TMDX วันนี้ขึ้นมา 16%

  • รายได้รวมโต 118% YoY และ 18% QoQ
  • Logistic Service บริการเครื่องบินขนส่งอวัยวะ โต 32% QoQ เทียบ YoY ไม่ได้เพราะปีที่แล้วยังไม่มีบริการนี้
  • Core Product Margin 81% เพิ่มจาก 77% ในไตรมาสที่ผ่านมา
  • Gross Profit Margin 61% แผ่วลงนิดหน่อยจาก 62% ในไตรมาสที่ผ่านมา จากรายได้ Logistic Service ที่ Margin ตํ่าสูงขึ้น
  • บริษัทยังคาดว่าจะเพิ่ม GPM ได้อีกใน 12-18 เดือนข้างหน้าจากการ Ramp up Logistic Service ให้ At Scale
  • มีเครื่องบิน 17 ลำแล้ว ตั้งเป้าจะเพิ่มให้ครบ 20 ลำ
  • กำลังรับนักบินเพิ่มเพื่อที่จะ Utilize เครื่องบินได้ 24 ชม. จากปัจจุบันที่ Utilize แค่ 12 ชม.
  • ตอนนี้บริการของ TMDX ใช้เครื่องบินของตนเอง 59% ตั้งเป้าจะใช้ให้ได้ 80%+ ซึ่งจะทำให้กำไรดีขึ้นด้วย
  • Positive Free Cashflow เป็นไตรมาสแรก ! หลังผ่านการลงทุนหนักๆไปแล้ว แต่ก็ยังลงทุนเพิ่มอยู่ตลอด คาดว่าน่าจะ Positive Free Cashflow ต่อเนื่องไปเรื่อยๆแล้วไม่กลับไปเป็นลบแล้ว
  • Technology ของ TMDX กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ลาก่อน ! ถังนํ้าแข็ง
  • ปรับเป้ารายได้รวมปลายปีเพิ่ม เป็นรายได้โต 76-84% (ปัจจุบันโตแถวๆ 120% แปลว่าช่วงปลายปี Growth จะ Drop เหลือประมาณ 50% นะครับ)

แปะคลิปเจาะลึกไว้ให้ใน Comment ครับ เผื่ออยากสนใจศึกษาเพิ่มเติมกันครับ

TheNewBuffettology

📘 สรุปหนังสือ The New Buffettology (ตอนที่ 5) | ลงทุนดิ
.

เขียน : Mary Buffett และ David Clark
แปล และเรียบเรียง : พรชัย รัตนนนทชัยสุข
ผู้สรุป : ลงทุนดิ


🔰บทที่ 13 : ประเด็นตรวจสอบหุ้น 10 ข้อของ WB

การวิเคราะห์ว่าบริษัทมี DCA ไหม ?

  1. ROE ที่เหมาะสม :
  • การที่ ROE สูง (>12%) มากกว่าค่าเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง
  • หัวใจ = ความสม่ำเสมอ (ถ้าสูงบางครั้ง ไม่เอา)
  • ถ้า ROE ดีมาตลอด แต่เกิดสะดุด → ให้ลองเข้าไปศึกษาอาจะเป็นโอกาส
  1. ROIC ที่เหมาะสม :
  • ที่ต้องดู ROIC ด้วยเพราะบางครั้งบริษัทปันผลด้อนโต หรือซื้อหุ้นคืนจากตลาด (ทำให้ ROE เพิ่ม เพราะ Equity ลดลง)
  • ดังนั้นต้องใช้ดูเทียบกับ ROE การดูเหมือน ROE (>12%)
  • ยกเว้นพวกธุรกิจ : ธนาคาร, Investment Bank และบริษัทเงินทุน → ไปใช้ ROA > 1.5% ดีกว่า
  • ถ้าธุรกิจมี Super DCA คือเงินสดสะพัดจนไม่มีหนี้สิน แล้วมีการกู้เงินมาเพื่อส่งคืนให้ผู้ถือหุ้น → แบบนี้ให้ดูที่ ROIC แทน ROE
  1. ประวัติการทำกำไรที่ดีเยี่ยม :
  • EPS ที่แข็งแรง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ DCA
  • หัวใจ = ความสม่ำเสมอ (ถ้าสูงบางครั้ง ไม่เอา → ชี้ถึง Price Competition)
  • โอกาสในการเข้าซื้อ 2 กรณี :
    1. ตลาดตกต่ำทั้งหมด (Systematic Risk)
    2. บริษัทประสบปัญหาทางธุรกิจ (Unsystematic Risk)
  • การตกต่ำโดยรวมของตลาด ประเมินง่าย / แต่ปัญหาที่เกิดเฉพาะบริษัท ต้องศึกษาให้ดีก่อน
  • โอกาสในการลงทุนที่ยอดเยี่ยม = ปัญหาชั่วคราว + แก้ไขได้
  • ระวังหุ้นวัฎจักรที่ยาวนาน เช่น ขายดีติดต่อกัน 7-8 ปี แล้วก็ ขาดทุนหนัก 2 ปี (อุตสาหกรรมรถยนต์)
  1. หนี้สินสูงๆ ทำให้ WB เป็นกังวล
  • ถ้าบริษัทมีหนี้ระยะยาวน้อย หรือไม่มีเลยเป็นตัวบอกว่าบริษัทมี DCA
  • การที่หนี้ระยะยาวน้อย จะเป็นตัวกำหนดว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นบริษัทก็ยังจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้
  • D/E ratio → เอาไว้ดูตอนล้มละลายเท่านั้น (เพราะ ส่วนของผู้ถือหุ้น เช่น สินค้าคงเหลือบางทีมันต้องลดราคาเยอะมากถึงขายออก เอามาชำระหนี้ไม่ได้จริง / เครื่องจักรเฉพาะเจาะจงมาก คนอื่นเอาไปใช้ต่อไม่ได้เลย)
  • ให้มาดู หนี้สินระยะยาว / กำไรของบริษัทในปีปัจจุบัน <5 เท่า = DCA (ยกเว้น กลุ่มธนาคาร , IB และบริษัทเงินทุน)
  • การกู้มาซื้อกิจการ ต้องดู 2 เรื่อง 1. ธุรกิจใหม่มี DCA ไหม ? / 2. ราคาเหมาะสมไหม ?
  1. สินค้า หรือบริการที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
  • วิเคราะห์ Competitive Advantage (Brand Loyalty , Switching Cost, …)
  • สิ่งที่ต้องมองหาคือ : Branding / Recurring use
  • หัวใจหลัก : การที่บริษัทสามารถผลิตสินค้า แบบเดิมมาตลอด โดยไม่ต้องมีการปรับปรุง และสามารถใช้โรงงาน และเครื่องจักรแบบเดิมได้ = DCA
  • การบริการวิเคราะห์ยากกว่าสินค้า
  1. ปัญหาที่เกิดจากสหภาพแรงงาน
  • ถ้ามี Bargaining of Supplier สูง — เช่น นักบินรวมตัวกันประท้วง หยุดงาน
  • ถ้าเป็นแบบนี้ถึงมี DCA ด้านสินค้าขนาดไหนก็ควรระวัง
  1. การวิเคราะห์เพื่อดูว่า บริษัทสามารถปรับราคาของสินค้า หรือบริการให้สูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อได้ หรือไม่
  • กฎ Demand Supply ใช้ได้ แต่ต้องใช้เวลา ระหว่างนั้นจะก่อนให้เกิดผลขาดทุนสะสม (ความแข็งแกร่งของบริษัทลดลง)
  • บริษัทมี DCA ปรับราคาขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อได้ โดยที่ Demand ไม่ลด

┌───────┐
อ่าน Oppday ฟรีทุกบริษัท !
ผ่านทางไลน์ > https://lin.ee/hqiEhqIK
หรือ @Longtundi
└───────┘

  1. ต้นทุนในการดำเนินงานที่เหมาะสม
  • บริษัทที่ไม่ต้องบำรุงรักษาเครื่องจักรเยอะ จะทำให้มี DCA (เพราะกำไรลง Bottom line หมดเลย)
  • พวกธุรกิจแข่งขันแต่ราคา จะต้องเอากำไรกลับไปพัฒนาเครื่องจักร
  1. บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนจากตลาด เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนได้หรือไม่ ?
  • ประวัติการซื้อหุ้นคืนจากตลาดอย่างต่อเนื่อง = DCA
  • การซื้อหุ้นคืนไม่ต้องเสียภาษี + ช่วยเพิ่มส่วนของเจ้าของ
  1. กำไรที่สะสมไว้ได้ไปทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น หรือเปล่า ?
    • Key : ความสามารถของบริษัทในการจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสม → มูลค่าบริษัทสูงขึ้น

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ
ติดต่องาน Inbox Facebook

ลงทุนดิ

สรุปหนังสือ

TheNewBuffettology

NEO

📊 ตลาดส่งออก เครื่องสำอาง สบู่ และ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว 15 อันดับ

🔹บริษัท #NEO Corporate มี อันดับมูลค่าส่งออก สูงมากขึ้นในปี 67 เทียบ 66 ทั้ง 3 ประเทศ Vietnam ,Laos , Cambodia แต่ยังไม่มี Myanmar

🔸 อันดับ 5 Vietnam มูลค่าส่งออกปี 66 – 7,921 ล้าน
//// มูลค่าส่งออกของ NEO ปรับตัวขึ้นจาก อันดับ 3 มาเป็น >>> อันดับ 2

🔸 อันดับ 6 Laos มูลค่าส่งออกปี 66 – 6,457 ล้าน
//// มูลค่าส่งออกของ NEO ปรับตัวขึ้นจาก อันดับ 10 มาเป็น >>> อันดับ 6

🔸 อันดับ 8 Cambodia มูลค่าส่งออกปี 66 – 6,340 ล้าน
//// มูลค่าส่งออกของ NEO ปรับตัวขึ้นจาก อันดับ 10 มาเป็น >>> อันดับ 7

***ปล. อันดับรายชื่อ บริษัท ส่งออก เรียงตาม มูลค่าส่งออก จากมูลค่ามากที่สุดลงมาตามลำดับ อ้างอิง สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

เก้าอี้เศรษฐกิจ

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0HY9zTW8ic1D54FpesDD2oieQ4mJ6GgPDkBHQW1YANrvPWKn87qez7nvp3ZhSN4tKl&id=100063614842059

บทความ

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่หลายๆ คนอาจจะเข้าใจผิดแบบไม่รู้ตัวอยู่ คือการมองหุ้นขนาดใหญ่ว่าเป็นหุ้นกลาง-หุ้นเล็ก เพียงเพราะมัน Hyper Growth หรือยังไม่ค่อยรู้จักกันดี หรือแม้แต่ว่ามันเป็นหุ้นในกองของป้าเคธี่ วู๊ด เลยคิดว่ามันเป็นหุ้นกลาง-เล็กไปหมด

สิ่งที่ใช้วัดขนาดของหุ้น ก็คือ Marketcap โดยทั่วไป ที่หลายๆ สำนัก ใช้ระบุขนาด มักจะแบ่งกว้างๆอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ ใหญ่-กลาง-เล็ก
• หุ้นใหญ่ (Large Cap) มาร์เก็ตแคปมากกว่า $10B
• หุ้นกลาง (Mid Cap) มาร์เก็ตแคประหว่าง $2B-$10B
• หุ้นเล็ก (Small Cap) มาร์เก็ตแคปน้อยกว่า $2B
แต่ในบางครั้งก็จะเจอ
• Mega Cap คือ $200B หรือ $100B ขึ้นไป (อันนี้หลายตำราให้เกณฑ์วัดที่ไม่เท่ากัน)
• Micro Cap คือ $300M-$50M หรือตั้ง $300M ลงไป ถ้าเกณฑ์นั้นไม่มี Nano
• Nano Cap คือ $50M ลงมา
และในบางครั้ง บางสำนัก ก็อาจจะมีเกณฑ์การระบุขนาดเป็นของตัวเอง เช่น Morningstar ที่จะจัดเป็นกลุ่มขนาดต่างๆ ตามเปอร์เซนไทล์  ไม่ได้วัดจากตัวเลขมาร์เก็ตแคป (Giant = 40% สูงสุด / Large 30% ถัดมา / Mid 20% ถัดมา / Small 7% ถัดมา / Micro 3% สุดท้าย)

สำหรับแอป Dime ที่นักลงทุนหุ้นนอกในไทยชอบใช้กัน นั้นมีเกณฑ์วัดอยู่ 5 ขนาด ได้แก่ Mega-Large-Mid-Small-Micro โดย Mega ใช้เกณฑ์ $100B นอกนั้นก็ตามที่ผมบอกไว้ด้านบน

ทีนี้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
คือหลายครั้ง ผมเห็นคำถาม แนะนำหุ้นกลาง-หุ้นเล็กหน่อย มันจะเจอคนแนะนำหุ้นขนาดเกือบ $50-100B ก็มี หรือคำถามว่า หุ้นนี้ไซส์ไหน บางคนก็ให้คำตอบที่ผิด

ยกตัวอย่าง CrownStrike ที่ๆตอนพีคสุดๆ มาร์เก็ตแคปของมันใหญ่ถึง $90B+ และแม้ปัจจุบัน จะลดมาเหลือ $62B แล้วก็ตาม มันก็ยังเป็นหุ้น ใ ห ญ่ อยู่ดี
หรือจะเป็น Snowflake ปัจจุบันก็ยัง $40B++
Palantir หุ้นยอดนิยมอีกตัวนึง นี่ก็ $60B
แม้แต่ ARKK ของป้าเคธี่ วู๊ด ที่หลายๆคนมองว่าเป็นตัวแทนของหุ้นกลาง-หุ้นเล็ก นั้นมีถึง 15 จาก 32 ตัว ที่เป็นหุ้นใหญ่และเมก้าแคป

สังเกตุง่ายๆ เลยว่าหุ้นที่มักจะถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ คือกลุ่มหุ้นเติบโต หุ้นเทคที่ไม่คุ้นชื่อ

ตรงนี้จะขอยกตัวอย่างมาร์เก็ตแคปของบริษัทที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ในไซส์ต่างๆ ข้อมูลจาก companiesmarketcap ณ วันที่โพสต์ (ตัวเลขมีการปัดเศษ)
• QCOM : Qualcomm – $200B
• UBER : Uber – $134
• ANET : Arista – $100B
• PANW : Palo Alto – $105B
• CDNS : Cadence -$71B
• MSI : Motorola – $65B
• PLTR : Palantir – $60B
• O : Realty Income – $50B
• MRNA : Moderna – $46B
• F : Ford – $44B
• HSY : Hershey – $39B
• MSTR : Microstrategy – $31B
• RBLX : Roblox – $26
• WBD : Warner Bros – $20B
• H : Hyatt Hotels – $15B
• CELH : Celsius – $11B
• RL : Ralph Lauren ‐ $10B
• HAS : Hasbro – $9B
• INZ : Invesco – $8B
• VVV : Valvoline – $6B
• SHAK : Shake Shack – $3B
• DNUT : Krispy Kream – $2B
• GETY : Gety Image – $1.5B
• SSTK : Shutter Stock – $1.5B
• XRX : Xerox – $1.4B
• CRSR : Corsiar Gaming – $0.9B
• KODK : Kodak – $0.5B
จะเห็นว่าบางตัวก็ใหญ่กว่าที่คิด บางตัวก็เล็กกว่าที่คิด ฉะนั้นจะใช้ความรู้สึกวัดว่า นี่คือหุ้นใหญ่ นี่คือหุ้นเล็ก แค่นั้นไม่ได้ ต้องวัดด้วย fact จากตัวเลข

และสุดท้ายนี้ แค่เรื่องขนาดหุ้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเอาชนะหรือต้องมาคอยจับผิดกัน การรู้ขนาดของหุ้นก็อาจจะไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นหรือแย่ลง ขอแค่ถ้าเจอใครแนะนำผิดก็แค่เข้าไปบอกกัน ไม่ต้องไปกล่าวหาว่าใครมั่ว โพสต์นี้ก็แค่อยากจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูก และอยากให้คนที่ได้อ่านส่งต่อสิ่งที่ถูกให้คนต่อๆไปด้วย

คำเตือน : หุ้นที่ปรากฏชื่อเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำใดๆ ในการลงทุน และภาพประกอบก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา ใช้เพื่อสื่อถึงเนื้อหาเท่านั้น

อุตสาหกรรมยา

เครดิต Dime

สรุป 16 หุ้นยายักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ว่าขายยาอะไรบ้าง ? (Dime!แกะงบมาให้แล้ว)

1. Eli Lilly (LLY)

สัดส่วนรายได้
– ยาเบาหวาน (Trulicity) 21%
– ปากกาลดน้ำหนัก (Mounjaro) 15%
– ยามะเร็งเต้านม (Verzeanio) 11%
– ยาสะเก็ดเงิน (Taltz) 8%
– ยาเบาหวาน (Jardiance) 8%
– ยาฉีดอินซูลิน (Humalog) 5%
– ยามะเร็งกระเพาะอาหาร (Cyramza) 3%
– อื่น ๆ 29%

อัตรากำไรสุทธิ 15.4%

2. Novo Nordisk (NVO)

สัดส่วนรายได้
– ปากกาลดน้ำหนักและเบาหวาน (Ozempic) 43%
– ปากกาลดน้ำหนัก (Wegovy) 14%
– ยากินลดน้ำหนักและเบาหวาน (Rybelsus) 8%
– ปากกาอินซูลินออกฤทธิ์เร็ว (NovoRapid) 6%
– ปากกาอินซูลินออกฤทธิ์นาน (Tresiba) 4%
– อื่น ๆ 25%

อัตรากำไรสุทธิ 36.0%

3. Johnson & Johnson (JNJ)

สัดส่วนรายได้

– ยาสะเก็ดเงิน (Stelara) 13%
– เครื่องมือผ่าตัด 12%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Darzalex) 11%
– อุปกรณ์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ 6%
– ยาโรคจิตเวช (Invega) 5%
– คอนแท็กต์เลนส์ (Acuvue) 4%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Imbruvica) 4%
– อื่น ๆ 45%

อัตรากำไรสุทธิ 41.3%

4. AbbVie (ABBV)

สัดส่วนรายได้
– ยาที่ใช้ลดอาการปวดหรืออักเสบ (Humira) 26.5%
– ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน (Skyrizi) 14.3%
– ยารักษาลำไส้ใหญ่ (Rinvoq) 7.3%
– ยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Imbruvica) 6.6%
– Botox Therapeutic 5.5%
– ยาโรคจิตเภท (Vraylar) 5.1%
– Botox Cosmetic 4.9%
– ยาอื่น ๆ และรายได้จากอื่น ๆ 29.8%

อัตรากำไรสุทธิ 9.0%

5. Merck (MRK)

สัดส่วนรายได้
– ยามะเร็ง (Keytruda) 41.6%
– วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (Gardasil/Gardasil 9) 14.8%
– ยาเบาหวาน (Januvia/Janumet) 5.6%
– วัคซีนโรคหัด (ProQuad/M-M-R II/Varivax) 3.9%
– ยาที่ช่วยฟื้นสภาพของกล้ามเนื้อ (Bridion) 3.1%
– ยาอื่น ๆ 20.1%
– ยาสำหรับปศุสัตว์ 5.6%
– ยาสำหรับสัตว์เลี้ยง 3.8%
– รายได้อื่น ๆ 1.5%

อัตรากำไรสุทธิ 0.6%

6. AstraZeneca (AZN)

สัดส่วนรายได้
– ยามะเร็งปอด (Tagrisso) 13.2%
– ยามะเร็งปอด (Imfinzi) 9.7%
– ยามะเร็งรังไข่ (Lynparza) 6.4%
– ยามะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Calquence) 5.7%
– ยาเบาหวาน (Farxiga) 13.6%
– ยาโรคหลอดเลือดสมอง (Brilinta) 3.0%
– ยาโรคหอบหืด (Symbicort) 5.4%
– ยาโรคหอบหืด (Fasenra) 3.5%
– ยาโรคมัลติเพิลสเคลอโรสิส (Soliris) 7.2%
– ยาโลหิตจาง (Ultomiris) 6.8%
– ยาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Strensiq) 2.6%
– อื่น ๆ 22.9%

อัตรากำไรสุทธิ 13.0%

7. Novartis (NVS)

สัดส่วนรายได้
– ยาโรคหัวใจ (Entresto) 17.3%
– ยาโรคสะเก็ดเงิน (Cosentyx) 14.3%
– ยาโรคโลหิตจาง (Promacta/Revolade) 6.5%
– ยาโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Kesimpta) 6.2%
– ยามะเร็งเต้านม (Kisqali) 6.0%
– ยามะเร็งผิวหนัง (Tafinlar + Mekinist) 5.5%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Tasigna) 5.3%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดในไขกระดูก (Jakavi) 4.9%
– อื่น ๆ 34.0%

อัตรากำไรสุทธิ 31.8%

8. Amgen (AMGN)

สัดส่วนรายได้
– ยาโรคกระดูกพรุน (Prolia) 14.4%
– ยาโรคภูมิคุ้มกัน (ENBREL) 13.1%
– ยาโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Otezla) 7.8%
– ยาโรคกระดูกพรุน (XGEVA) 7.5%
– ยารักษาภาวะไขมันในเลือดสูง (Repatha) 5.8%
– ยาโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (Nplate) 5.2%
– ยาต้านมะเร็ง (KYPROLIS) 5.0%
– ยาโรคโลหิตจาง (Aranesp) 4.8%
– ยาอื่น ๆ 31.9%
– รายได้อื่น ๆ 4.5%

อัตรากำไรสุทธิ 23.8%

9. Pfizer (PFE)

สัดส่วนรายได้
– วัคซีนโควิด-19 (Comirnaty) 19.2%
– ยาป้องกันลิ่มเลือด (Eliquis) 11.5%
– วัคซีนปอดอักเสบ (Prevnar family) 11.0%
– ยาโรคมะเร็งเต้านม (Ibrance) 8.1%
– ยาโรคอะไมลอยด์โดสิส (Vyndaqel family) 5.7%
– ยาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Xeljanz) 2.9%
– ยาอื่น ๆ 28.6%
– รายได้อื่น ๆ 13.0%

อัตรากำไรสุทธิ 3.6%

10. Sanofi (SNY)

สัดส่วนรายได้
– ยาโรคภูมิแพ้ (Dupixent) 24.9%
– ยาโรคปลอกหุ้มปลายประสาทอักเสบ (Aubagio) 2.2%
– อินซูลิน (Toujeo) 2.6%
– อินซูลิน (Lantus) 3.3%
– ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Lovenox) 2.6%
– วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 6.2%
– วัคซีนโรคโปลิโอ, โรคไอกรน และเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิดบี 5.0%
– วัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคประจำถิ่น 2.7%

อัตรากำไรสุทธิ 11.6%

11. Vertex Pharmaceuticals (VRTX)

สัดส่วนรายได้
– ยาโรคซีสติกไฟโบรซีส (Trikafta) 90.6%
– ยาโรคซีสติกไฟโบรซีส (Kalydeco) 4.8%
– ยาโรคซีสติกไฟโบรซีส (Orkambi) 3.3%
– ยาโรคซีสติกไฟโบรซีส (Symdeko) 1.3%

อัตรากำไรสุทธิ 36.7%

12. Regeneron Pharmaceuticals (REGN)

สัดส่วนรายได้
– ยาโรคจอประสาทตาเสื่อม (EYLEA HD) 1.3%
– ยาโรคจอประสาทตาเสื่อม (EYLEA) 43.6%
– ยามะเร็งปอด (Libtayo) 6.6%
– ยาภาวะไขมันในเลือดสูง (Praluent) 1.4%
– รายได้จาก Collaboration กับบริษัทยาอื่น ๆ เช่น Sanofi, Bayer และ Roche 42.0%
– อื่น ๆ 5.1%

อัตรากำไรสุทธิ 30.1%

13. Gilead Sciences (GILD)

สัดส่วนรายได้
– ยา HIV-1 (Biktarvy) 43.7%
– ยา HIV (Genvoya) 7.6%
– ยา HIV (Descovy) 7.3%
– ยามะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Yescarta) 5.5%
– ยาไวรัสตับอักเสบซี (Sofosbuvir/Velpatasvir) 5.7%
– อื่น ๆ 30.2%

อัตรากำไรสุทธิ 20.9%

14. Bristol-Myers Squibb (BMY)

สัดส่วนรายได้
– ยาป้องกันลิ่มเลือด (Eliquis) 27.1%
– ยามะเร็ง (Opdivo) 20.0%
– ยาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Orencia) 8.0%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Pomalyst/Imnovid) 7.6%
– ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Yervoy) 5.0%
– ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Sprycel) 4.3%
– อื่น ๆ 28%

อัตรากำไรสุทธิ 17.8%

15. Zoetis (ZTS)

บริษัทยาสัตว์เลี้ยง

สัดส่วนรายได้
– ยาต้านพยาธิ 23%
– วัคซีน 21%
– ยาผิวหนัง 17%
– ยาอื่น ๆ 15%
– ยาต้านการติดเชื้อ 13%
– วินิจฉัยสุขภาพสัตว์ 4%
– อาหารเสริม 4%
– รายได้อื่น ๆ 3%

อัตรากำไรสุทธิ 27.4%

16. GlaxoSmithKline (GSK)

สัดส่วนรายได้
– วัคซีนโรคงูสวัดดีค่ะ (Shingrix) 11.4%
– โรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจส่วนล่าง (Arexvy) 4.1%
– ยารักษา HIV-1 (Tivicay) 4.6%
– ยา HIV (Triumeq) 5.1%
– ยา HIV (Dovato) 6.0%
– ยาโรคหอบหืด (Nucala) 5.5%
– ยาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Trelegy Ellipta) 7.3%
– อื่น ๆ 56.0%

อัตรากำไรสุทธิ 16.2%

ที่มา เว็บไซต์แต่ละบริษัทและ Yahoo Finance โดยผลประกอบการทั้งหมดเป็นของประจำปีล่าสุด

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแท นและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

KLINIQ

#KLINIQ

ทำไมในบทวิเคราะห์ถึงคาดว่า NPM% ไม่ improve หว่า ??

เพราะ GPM% ควรจะเป็นขาขึ้น จากการที่ไตรมาส 1/2567 เปิด 10 สาขา ต้นทุนการเปิดสาขามา แต่รายได้ยังไม่มา จึง Generate ขาดทุนก่อนในช่วงแรก ดังนั้นถ้ารายได้มา ยังไงก็ต้องขาดทุนลดลง GPM% ควรจะดีขึ้น

และ SG&A to Sales น่าจะเป็นขาลง เพราะ ไตรมาส 1/2567 ขนาดเปิด 10 สาขา รายได้ยังไม่มา SG&a to Sales ยังลด .. ดังนั้นถ้ารายได้มาจากการเปิด 10 สาขา SG&A to Sales น่าจะต้องยิ่งลดลง .. 😅

ถ้า GPM% ขาขึ้น + SG&A to Sales ขาลง ดังนั้น NPM% ควรจะต้องขาขึ้น แต่ในบทวิเคราะห์ preview ว่าเท่าเดิม QoQ เท่าเดิมที่ 10.9% อันนี้ผมว่าแปลกๆดีครับ แต่ DAOL ก็ Preview ไปในทิศทางเดียวกันกับกสิกร เลยน่าจะต้องลองติดตามดูครับ

จ.บ. ❤️

พี่ใช้คำว่าจุดแข็งดีมั้ยครับ คือ ประเทศไทยจะหาบริษัทที่มี MOAT จริงๆ พี่ว่าถ้านอกจาก AOT แล้วพี่ว่านิยามคำว่า MOAT พี่แทบจะไม่เห็นเลยครับ

1. การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งครับ ธุรกิจนี้ไม่ได้แตกต่างจาก รพ. ที่มีความน่าเชื่อถือ ผมเคยได้ยินว่า ไม่มีโอกาสสำหรับแพทย์ที่ทำแล้วผิดพลาดเลยนะครับ ผิดปุ๊บโอกาสโดนเชิญออกมีเยอะ เพราะ การที่ลูกค้าจ่ายแพง เพราะ ต้องการลดข้อผิดพลาด ถ้าคุณผิดพลาดอาจจะได้ แต่ถ้าผิดพลาดซ้ำ มันไม่ได้ เหมือน รีลมาดริดอะครับ ใครๆก็อยากมาอยู่ด้วย เพราะ ได้เงินเดือนแพงค่าจ้างแพง แต่ Value ของนักเตะ ต้องมีสูง .. หมอของ The Klinique ก็เช่นกัน

2. การที่เป็นผู้นำตลาด สามารถทำให้มีอำนาจการต่อรอง เพื่อร้องขอสำหรับแบรนด์อื่นๆ เราจะเห็นได้ว่า LAB X ตอนนี้ก็ไปแซมกับ The KLINIQUE ที่มีสาขาอยู่แล้ว ทั้งๆที่ห้างโซน Beauty เต็มตลอดเวลา แต่เพราะอะไร KLINIQ ถึงได้พื้นที่เหล่านั้นทั้งๆที่เต็มตลอดเวลา ? และ KLINIQ SPA ก็ได้ยินว่าเริ่มได้ invitation จาก Land Lord แล้วเช่นกันครับ

3. หมอเติ้ล + คุณบอย เป็นผู้นำที่มีความสามารถโดดเด่นครับ .. ลองดู COM7 ที่คุณสุระทำให้เติบโตแซงเจ้าตลาดอย่าง IT city เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วดูครับ ของมันก็ขายเหมือนๆกับคนอื่นๆ แต่ทำไม COM7 ชนะ IT City แบบขาดกระจุย, ทำไมคุณพิทักษ์ ถึงทำปั๊มน้ำมันให้เติบโตได้มากๆทั้งๆที่อุตสาหกรรมไม่ได้โตแล้ว, ทำไมคุณโด่ง ถึงทำ ORI ให้เติบโต แซงเจ้าตลาดเดิมๆ .. หมอเติ้ลสร้าง KLINIQ หลัง APEX SLC แต่ตอนนี้ port รวมของ KLINIQ ไปไกลแล้วครับ ทั้งสาขาใน กทม และ ตจว และ จำนวนรวมของสาขาในกรุปครับ

4. การลงทุนในเครื่องมือ ที่ระดับ 20 ล้านต่อสาขา กับ การได้พื้นที่ในห้างใหญ่ที่มี Traffic เยอะ ตัดรายย่อยออกไปได้เลยครับ ยังไง Land Lord ก็อยากได้แบรนด์ที่มี Magnet มากกว่ารายย่อยที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักครับ จะเห็นได้จากการที่ KLINIQ จะได้ invitation จาก Land Lord ให้ไปเลือกพื้นที่ก่อน และ การได้ค่าเช่าในเรทที่ดี แบบที่แบรนด์ใหญ่ๆได้รับครับ

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น