SPOT

🇸🇪 Spotify Technology (SPOT NYSE) (Communication Services : Internet Content & Information)

  • Spotify เพิ่มจำนวนผู้ใช้แบบชำระเงินในไตรมาส 2 เหนือคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

✍️ Key Takeaways

  • Spotify Technology บริษัทสตรีมมิ่งเสียงยักษ์ใหญ่จากสวีเดน รายงานการเติบโตของผู้ใช้แบบชำระเงินในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หลังจากการปรับขึ้นราคา
  • รายได้เพิ่มขึ้นเป็น €3.81 Billion สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ €1.33 สูงกว่าที่คาดการณ์ที่ €1.04
  • ผู้ใช้แบบชำระเงินเพิ่มขึ้น 12% เป็น 246 ล้านคน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 245.2 ล้านคน
  • ผู้ใช้งานทั้งหมดเพิ่มขึ้น 14% เป็น 626 ล้านคน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ 631.5 ล้านคน
  • บริษัทมีการลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา ปรับเปลี่ยนแนวทางด้านเนื้อหาและราคา รวมถึงการเพิ่มหนังสือเสียง เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น Countdown Pages และ Daylist

✍️ สรุป

  • Spotify รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 โดยเฉพาะการเติบโตของผู้ใช้แบบชำระเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและเนื้อหา รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ
  • อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์จำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดสำหรับไตรมาสถัดไปต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองในอนาคต

TISPOTIFY

Key metrics

ผมเริ่มศึกษาหุ้น Consumer อย่างจริงจังมาได้ซักพัก วันนี้อยากสรุป ประเด็นสำคัญ และ Metric ที่ใช้วัดการเติบโตและความสำเร็จของหุ้นกลุ่มนี้ไว้หน่อยครับ

Metric คือสิ่งที่ทีมงานที่ทำงานในบริษัทใช้ในการวัด Performance ของ Business Unit นั้นๆ ก่อนจะแปลงมาเป็นงบการเงินให้นักลงทุนอย่างเราๆได้รู้กัน

ถ้าสามารถติดตามและทำความเข้าใจ Metric ต่างๆได้จะทำให้เราเข้าใจวิธีการทำธุรกิจ รวมถึงประเด็นสำคัญที่ทำให้บริษัทเติบโตได้อีกด้วย

วันนี้ขอพรีวิวสั้นๆไว้ตรงนี้นะครับ

  1. Mark Down / Full Price – การขายสินค้าสำหรับกลุ่ม Consumer จะแบ่งการตั้งราคาไว้ 2 แบบด้วยกันคือการขายแบบ Full Price ราคาเต็ม และ Mark Down ลดราคา … ช่วงไหนบริษัทขาย Full Price เป็นสัดส่วนเยอะๆมักจะเป็นเพราะเศรษฐกิจดี และลูกค้าพร้อมใช้จ่าย ทำให้การเติบโตทำได้ง่าย

แต่พอขายแบบ Full Price ไปซักพักนึงจะตามมาด้วยการขาย Mark Down ให้กับสินค้าที่อาจจะล้าสมัย หรือค้างสต๊อก ก็จะเกิดการลดราคาลงมา ช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงในการลงทุน เพราะการเติบโตจะทำได้ยากมากๆ ยิ่งถ้าเทียบกับปีก่อนหน้าที่ขาย Full Price เยอะๆครับ

  1. Comparable Sales – ลักษณะคล้ายๆ Same store sales growth หรือบางบริษัทก็ใช้ Like-for-Like Growth คือเป็นการดูยอดขายของสาขานั้นๆในปีปัจจุบัน เทียบกับปีที่ผ่านมา ตรงนี้ผมแบ่งวิธีการดูออกเป็น 2 แบบ คือ ถ้าสาขาเยอะแล้ว มีการเติบโตน้อย Comparable Sales จะสำคัญมากๆ ถ้า Comparable Sales ตก การเติบโตของหุ้นตัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย อีกประเด็นที่ผมหลีกเลี่ยงบ่อยๆคือการลงทุนในหุ้นที่ Comparable Sales หรือ SSSG โตแรงๆมากๆแบบเวอร์ๆ เช่น 30% ขึ้นไป ส่วนใหญ่มักจะเกิดจาก External Factor ที่ไม่มั่นคง …. พอผ่านไปหุ้นก็โตต่อไม่ได้
  2. Sales per Sq.ft / Sales Density – ถ้าเป็นหุ้นสาย Retail ที่มีการขยายสาขา เขาจะวัด Performance กันด้วย Sales per Sq.ft ครับ (หรืออาจจะ Sq.m สำหรับเมืองไทย) ยิ่ง Sales per Sq.ft สูงยิ่งทำยอดขาย และกำไร ต่อเงินลงทุนได้ดี ทำให้คืนทุนเร็ว … ซึ่ง King of Sales per Sq.ft เป็นบริษัทที่เรารู้จักกันดี Apple นี่เองครับ
  3. Unaid Awareness – เป็นวิธีการวัดความแข็งแกร่งของแบรนด์ด้วยการถามถึงสินค้า Category นั้นๆโดยไม่มีการช่วยใบ้เรื่องอื่นๆ เช่น นึกถึงกางเกงโยคะนึกถึงอะไร? ถ้ามี 30% บอกว่า Lululemon แปลว่า Lululemon มี Unaid Awareness 30% ครับ (ตัวเลขสมมุติ) … คือคนนึกถึง Lululemon โดยไม่ต้องเห็นโฆษณา หรือะไรเลย ซึ่งถ้าเราไปส่องแบรนด์ใหญ่เขามี Unaid Awareness ถึง 70% แปลว่า Lululemon อาจมี Runway ในการสร้างแบรนด์อีกเยอะครับ และสิ่งที่ตามมาเมื่อ Brand แข็งก็คือการเติบโตของยอดขายนั่นเอง
  4. Unit per Transaction (UPT) – ตรงตัวคือจำนวนสินค้าที่ลูกค้าซื้อในแต่ละครั้ง อันนี้ยิ่งสูงยิ่งดี ดูควบคู่ไปกับ Category ที่ลูกค้าซื้อได้ด้วยครับ ยิ่งซื้อหลาย Cat แปลว่ายิ่งมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และสินค้าตอบโจทย์ ความ Stickyness ของลูกค้าจะสูง กลับมาซื้อซำ้หลายครั้ง
  5. Average Unit Retail (AUR) – ราคาเฉลี่ยของสินค้าที่ขายในแบรนด์นั้นๆ ตรงนี้เชื่อกับ Mark Down / Full Price ด้านบน ต้อง Balance ตัวสินค้าให้ดี บางถ้าขายสินค้าราคาสูงอาจจะกำไรดี แต่การเติบโตอาจจะตํ่าลงเป็นต้น … ข้อนี้แล้วแต่อุตสาหกรรมถ้าเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์หรือของชิ้นใหญ่เช่นเครื่องจักรบางอย่างก็ใช้ Average Selling Price หรือ ASP

ตอนนี้แอดกำลังสนุกกับการศึกษาหุ้น Consumer มาก โดยเริ่มต้นจาก King of Consumer อย่างกลุ่ม Luxury และแบรนด์เนมก่อนเลย เพราะเป็นกลุ่มที่ถือว่าเป็นจุดสุดยอดของหุ้น Consumer ละ แบรนด์แข็งแกร่ง Sales Density สุดโหด AUR โคตรสูง

ใครสนใจอยากมาศึกษาไปด้วยกันดูรายละเอียดได้ที่ Link เลยครับ -> https://bit.ly/luxuryor

ปล. อีก 5 วันจะหมดช่วงราคาพิเศษแล้วนะครับ ใครสนใจให้ไวเลย !

TSMC

Earning Previews กันสักนิดครับ ของ TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก

สรุปข้อมูลสำคัญก่อนการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของ TSMC

  1. กำไรและรายได้ที่คาดการณ์ • TSMC คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาสสองเพิ่มขึ้น 30% จากความต้องการชิป AI ที่แข็งแกร่ง
    • คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่สิ้นสุด 30 มิถุนายนอยู่ที่ 236.1 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน (7.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจาก 181.8 พันล้านดอลลาร์ไต้หวันในปีที่แล้ว
  2. แนวโน้มการลงทุนและการขยายตัว • JP Morgan คาดว่ารายได้ในไตรมาสสองจะอยู่ที่ 20.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 53%
    • แม้จะมีการลงทุนทั่วโลก แต่นโยบายการลงทุนส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในไต้หวัน
    • TSMC อาจเพิ่มการใช้จ่ายด้านทุน เน้นที่เทคโนโลยีขั้นสูง โดยในปี 2024 คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 58%
  3. ความเสี่ยงและการเติบโตในอนาคต • ความต้องการชิป AI และสมาร์ทโฟนระดับสูงเป็นปัจจัยบวกสำคัญในการเติบโต
    • การใช้งานกระบวนการ N3 จะสูงขึ้น ขณะที่กระบวนการ N7 อาจยังคงมีการใช้ประโยชน์ต่ำ
  4. การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการตั้งราคา • TSMC อาจปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตจาก N7/N6 ไปยังกระบวนการใหม่ ๆ
    • ราคากระบวนการขั้นสูงอาจเพิ่มขึ้น 3-6% และการบรรจุขั้นสูง CoWoS อาจเพิ่มขึ้น 8-10%
    • สำหรับกระบวนการเก่า TSMC อาจลดราคาเฉพาะบางส่วนเพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์
  5. ความคืบหน้าของการจ้างผลิตจาก Intel • การจ้างผลิตจาก Intel อาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ แต่จะปรับปรุงได้เมื่อมีการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ใหม่
    • การผลิตภายในของ Intel อาจเริ่มในปลายปี 2026 แต่ไม่เป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อ TSMC
  6. การลงทุนระยะยาวและการจัดซื้อเครื่อง EUV • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของ TSMC อาจเพิ่มขึ้นเป็น 35-36 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
    • การจัดซื้อเครื่อง EUV อาจถึง 22-23 เครื่องในปี 2025
  7. สถานะหุ้นและมูลค่าตลาด • หุ้น TSMC เพิ่มขึ้น 75% ในปีนี้ และมูลค่าตลาดของ ADR TSMC เกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    • คำแนะนำการลงทุนสำหรับหุ้น TSMC ในปัจจุบันคือ “ซื้อ” โดยมีการคาดการณ์ราคาเป้าหมายอยู่ที่ NT$1080 สำหรับปี 2025

การประกาศผลประกอบการในวันพฤหัสบดีนี้จะเป็นการทดสอบสำคัญสำหรับ TSMC โดยมีหลายประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตามอง เพื่อประเมินแนวโน้มและความสามารถของบริษัทในการคงตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตชิปต่อไป

ถ้าไตรมาสออกมาไม่ดีแล้วกลัวหุ้นตก สามารถซื้อ SOXS ได้เลยเพื่อ Short หุ้นกลุ่ม Semiconductor LeverageX3 เพราะถ้าไตรมาส TSMC ไม่ดีซวยแน่ตลาดชิป 🤣🤣🙏🏼🙏🏼

“Consensus rating สำนักวิเคราะห์ใหญ่ๆให้ BUY” กับ TSMC ครับ

ASML

🔥หุ้น -10% กลุ่ม Semi ร่วงยกแผง! หลัง ASML รายงานผลประกอบการ Q2 ที่ออกมาดีเกินคาด แต่ Guidance Q3 ยังไม่น่าพอใจ สรุป👇


📊 𝐀𝐒𝐌𝐋 𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐍.𝐕. (𝐀𝐒𝐌𝐋) 𝐐𝟐 𝟐𝟎𝟐𝟒 𝐅𝐢𝐧𝐚𝐧𝐜𝐢𝐚𝐥 𝐇𝐢𝐠𝐡𝐥𝐢𝐠𝐡𝐭𝐬

​​✅รายได้: €6.24 พันล้านยูโร (สูงกว่าคาดการณ์ €6.03 พันล้านยูโร)
✅กำไรต่อหุ้น (GAAP EPS): €4.01 (สูงกว่าคาดการณ์ €3.54)
✅กำไรสุทธิ (Net Profit) : 1.58 พันล้านยูโร (สูงกว่าคาด 1.43 พันล้านยูโร)
✅Backlog: 38.9 พันล้านยูโร (+11% YoY)
✅ยอดสั่งซื้อสุทธิ (Net bookings) : 5.6 พันล้านยูโร (+24% YoY)
✅ยอดสั่งซื้อEUV: 2.5 พันล้านยูโร (+281% YoY)


📊 𝐊𝐞𝐲 𝐌𝐞𝐭𝐫𝐢𝐜𝐬 – ตัวชี้วัดสำคัญ

🟢ยอดขายในจีน: 41% ของรายได้รวมในQ2 (+127% YoY)
🟡 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน: 29% (ลดลง 3 จุด YoY)
🟢อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin): 51.5% (สูงกว่าคาดการณ์ 50.5%)


📊𝐐𝟑 𝐅𝐘𝟐𝟒 𝐆𝐮𝐢𝐝𝐚𝐧𝐜𝐞 – คาดการณ์ไตรมาส𝟑

🔴รายได้ Q3: €6.7-€7.3 พันล้านยูโร(ต่ำกว่าคาดการณ์ €7.5 พันล้านยูโร)
🔴กำไรขั้นต้น Q3: 50%-51% (ประมาณการ 51.4%)
🟡รายได้ทั้งปี 2024: ใกล้เคียงกับปี 2023: (€27.56 พันล้านยูโร)
🟢คาดการณ์รายได้ปี 2025: €40 พันล้านยูโร


🧑‍💼ความเห็นจาก CEO 👇

✨”การพัฒนาใน AI ที่แข็งแกร่งกำลังขับเคลื่อนการฟื้นตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรมล่วงหน้ากว่าตลาดอื่นๆ เราคาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี 2024″

✨”อุตสาหกรรมคาดว่าจะเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวในปี 2025 ดังนั้นเราจำเป็นต้องเตรียมตัวสำหรับการก่อสร้างโรงงานใหม่หลายแห่งที่กำลังถูกสร้างขึ้นทั่วโลก”

✨”แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนในตลาดซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เราคาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้”


🧐ยอดขายในจีน (𝐂𝐡𝐢𝐧𝐚)

CEO กล่าวว่า ✨”จีนยังคงเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ ASML โดยคิดเป็น 41% ของยอดขายในไตรมาสที่ 2 แม้จะมีแรงกดดันและข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ”

✨นอกจากนี้ บริษัทได้กล่าวว่ายอดขายในจีนสูงถึง 15% ในปีนี้จะได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมการส่งออกที่บังคับใช้ในเดือนมกราคม ASML ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายเทคโนโลยี extreme ultraviolet ที่ทันสมัยที่สุดให้กับจีน

.
🎯แอดเพิ่มเติมให้ใต้คอมเม้นนะครับ 👇


ꜱᴏᴜʀᴄᴇ: @ᴛʜᴇᴛʀᴀɴꜱᴄʀɪᴘᴛ_ ,@ᴇᴄᴏɴᴏᴍʏᴀᴘᴘ , ᴛᴇᴄʜꜰᴜɴᴅ1 , ᴄᴏɴꜱᴇɴꜱᴜꜱɢᴜʀᴜꜱ , ᴀʟᴘʜᴀꜱᴇɴꜱᴇɪɴᴄ , ᴀꜱᴍʟ ǫ2 2024 ꜰɪɴᴀɴᴄɪᴀʟ ʀᴇꜱᴜʟᴛꜱ

.
.

ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน #ลงทุน #ลงทุนอะไรดี #หุ้น #หุ้นอเมริกา #ดาวโจนส์ #กองทุนรวม

ORLY

กรณีศึกษาหุ้น 100 เด้ง

Chris Mayer คนเขียนหนังสือ 100-Baggers ได้แชร์ บทความจาก Finchat เกี่ยวกับ บริษัทชื่อ O’Reilly (ORLY) ที่ตอนนี้ทำผลตอบแทนได้ 400 เด้ง ว่าบริษัทมีสูตรสำเร็จอย่างไรถึงทำได้ขนาดนั้น

O’Reilly ทำธุรกิจร้านค้าปลีกที่ขายชิ้นส่วนหลังการขายรถยนต์ครบวงจรตั้งแต่อุปกรณ์ในการบำรุงรักษาไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่ง

ถ้าเราลงทุนใน O’Reilly ด้วยเงิน $10,000 ตั้งแต่ปี 1993 ตอนนี้เงินก้อนนั้นจะกลายเป็น $4.25 ล้าน หรือเพิ่มขึ้น 400 เท่าใน 30 ปี

โมเดลที่ O’Reilly ใช้มี 4 ข้อใหญ่ๆ คือ

1) ใช้โมเดลธุรกิจที่ง่ายและทำซ้ำได้ อย่างเช่นการใช้ป้ายชื่อร้านที่เป็นเอกลักษณ์และลานจอดรถใหญ่ๆ ให้เพียงพอต่อการขนส่งของจาก Supply ได้ถึง 152,000 SKU’s แบบ same-day และ overnight ทำให้ขายได้ทั้งลูกค้าที่เป็น professional และ individual

นอกจากนี้ยังเปิดสาขาใหม่ประมาณปีละ 200 สาขา และมีการใช้ software ต่างๆมาช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วย

2) อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ตัวเลขจำนวนรถยนต์ในอเมริกาโตเฉลี่ย 1% ต่อปี และรถก็ต้องเก่าลงทุกปีทำให้มีจำนวนรถที่ต้องบำรุงรักษารายใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รายเก่าก็ยังต้องทำทุกปีเหมือนเดิม

ถึงแม้อุตสาหกรรมโตแค่ปีละ 1% แต่ส่งผลให้ O’Reilly สามารถทำ same store sales growth ได้เฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

3) ใช้ประโยชน์จาก Economies of scale ยิ่งบริษัทขยายสาขาได้มากก็ยิ่งมีต้นทุนที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นราคาอะไหล่หรือค่า marketing ที่ลดลงเมื่อเทียบกับ revenue

แต่ที่บริษัททำไม่เหมือนเจ้าอื่นคือเอาผลประโยชน์ตรงนี้คืนกลับไปให้ลูกค้า ด้วยการลดราคาของลงตามต้นทุนที่ลดลงจาก supplier

และยังลงทุนกับเรื่องการทำ delivery, สร้างศูนย์กระจายสินค้า, พัฒนา in-store software, ทำแบรนด์ของตัวเองขายในราคาถูก และอีกมากมาย เพื่อเพิ่ม customer experience ที่ดีให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

4) การทำ Capital Allocation ที่ดี บริษัทเลือกที่จะลงทุนในธุรกิจของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขา, ขยาย supply chain, การพัฒนาเทคโนโลยีใช้ภายในร้าน

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้คือการซื้อกิจการของคู่แข่งเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมแล้วมารีแบรนด์ใหม่เป็นของตัวเอง วิธีนี้ทำให้บริษัทได้ขยาย locations ใหม่ๆ และยังได้การประหยัดต้นทุนกว่าการไปสร้างสาขาใหม่ด้วยตัวเอง

และอย่างสุดท้ายคือการซื้อหุ้นคืน โดยเฉลี่ยจำนวนหุ้นจะลดลงประมาณ 6% ต่อปีใน 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ EPS ของบริษัทเติบโตขึ้นต่อเนื่อง

ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างโมเดลที่น่าจะนำไปใช้ดูกับบริษัทอื่นได้เป็นอย่างดี เพื่อนๆลองนำไปใช้กันดูครับ

แอดเติ้ล

Cotti

Cotti Coffee ม้ามืดกาแฟจีน 2 ปี มี 7,000 สาขา และกำลังเจาะตลาดไทย | BrandCase
อีกหนึ่งม้ามืดเชนร้านค้าจากจีน ที่กำลังมาเจาะตลาดไทยตอนนี้ก็คือ Cotti Coffee
หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่รู้ไหมว่าตอนนี้ Cotti Coffee เป็นแบรนด์กาแฟที่มีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 4 ของโลก
เป็นรองเพียง Starbucks, Luckin Coffee และ Dunkin’

ที่น่าสนใจคือแบรนด์นี้เพิ่งเปิดมาได้แค่ 2 ปี แต่ขยายสาขาไปแล้ว 7,000 สาขาทั่วโลก และกำลังเข้ามาตีตลาดไทย

กลยุทธ์ของ Cotti Coffee เป็นอย่างไร
BrandCase สรุปให้ สั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ

Cotti Coffee ตอนนี้มีกว่า 7,000 สาขาทั่วโลก
เทียบกับ Luckin Coffee เชนกาแฟอันดับ 1 จากประเทศจีนที่ตอนนี้มีกว่า 18,590 สาขาทั่วโลก

ที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์ของ 2 แบรนด์นี้ จะคล้าย ๆ กัน
คือเน้นขยายสาขามาก ๆ และเน้นขายในราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับหลาย ๆ เชนร้านกาแฟ

ซึ่งรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Cotti Coffee ก็คือคุณ Lu Zhengyao และคุณ Qian Zhiya อดีตผู้ก่อตั้ง Luckin Coffee

แล้วถามว่า ทำไม Cotti Coffee ถึงโตเร็วแบบนี้ ?

  • อย่างแรกก็คงเป็นเรื่องของการทำ Economies of scale หรือการประหยัดต่อขนาด ที่มีการขยายร้านจำนวนมาก โดยเน้นโมเดลแฟรนไชส์ จนสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบทีละมาก ๆ และทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง
  • โมเดลร้าน ที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับร้านอื่น ๆ
    อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ ทาง Cotti Coffee จะเน้นขยายสาขาในไซซ์ขนาดเล็ก ไม่เกิน 40 ตารางเมตร ทำให้ต้นทุนในการขยายสาขานั้นต่ำกว่าร้านกาแฟประเภทอื่น ๆ

อีกอย่างคือ Cotti Coffee มีช่องทางให้สั่งเองได้จากสมาร์ตโฟน โดยสามารถสแกนสั่งผ่าน Browser หรือสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Cotti Coffee เพื่อสั่งเครื่องดื่ม และจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันได้เลย

ส่วนราคาเครื่องดื่มในไทยเป็นอย่างไร ลองมาดูตัวอย่างเมนูกัน

  • อเมริกาโน 55 บาท
  • คลาสสิกลาเต 65 บาท
  • โคโค่นัตลาเต 75 บาท
  • ช็อกโกแลตสมูทที 75 บาท
  • ชาเกรปฟรุตเย็น 75 บาท
  • ชานมไทยปั่น 75 บาท

โดยมีเมนูครอบคลุม ทั้งชา, กาแฟ, ชาผลไม้, ชานม
และจากที่ดูในเมนูมาคือยังไม่มีเมนูไหนที่เกิน 75 บาท

ปัจจุบัน Cotti Coffee ก็เข้ามาเปิดสาขาในไทยแล้ว มีจำนวนทั้งหมด 8 สาขา ก็คือ

  • สามย่านมิตรทาวน์
  • สีลมคอมเพล็กซ์
  • เซ็นทรัลเวิลด์
  • เทอร์มินอล 21 พระราม 3
  • ทรูดิจิทัล พาร์ค
  • เดอะมอลล์บางกะปิ (อยู่ระหว่างปรับปรุง)
  • เดอะมอลล์บางแค (อยู่ระหว่างปรับปรุง)
  • แฟชั่นไอส์แลนด์

References
-https://mobile.sg.cotticoffee.global/#/pages/tabs
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_coffeehouse_chains
-https://investor.lkcoffee.com/static-files/963bc6be-8a17-4dfa-9495-2758b314c0dc
-https://www.prachachat.net/marketing/news-1579151
-https://finance.yahoo.com/news/cotti-coffee-hits-milestone-7-084500889.html
-https://www.cotti.com/


Sponsored by JCB Thailand

JCBสุขทุกสไตล์ได้ทุกวัน

พบกับส่วนลดและสิทธิพิเศษสำหรับทุกไลฟ์สไตล์
ทั้ง กิน เที่ยว ช็อป ให้คุณมีความสุขได้ทุก ๆ วัน
เพิ่มเติมที่ >> https://bit.ly/JCBJSOPRO

สมัครบัตรเครดิต JCB ได้ที่
https://bit.ly/ApplyJCBCard

JCBThailand #JCBCard

JCBOwnHappinessOwnStory

PHG

CV PHG โรงพยาบาลแพทย์รังสิต
11-7-24

เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2529 ( 38 ปี ) เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรก ในจังหวัดปทุมธานี
ครอบครัวแย้มสอาด ครอบครัวตระกูลช่าง และครอบครัวฮันตระกูลเป็น ผู้ก่อตั้ง
ประกอบไปด้วยโรงพยาบาลแพทย์รังสิต 1(ประกันสังคม) 155 เตียง / 30 ห้อง OPD , โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 59 เตียง / 29 ห้อง OPD , โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต 56 เตียง / 15 ห้อง OPD
รวมมี ห้อง OPD 74 ห้อง / IPD 270 เตียง แพทย์ Full Time 63 คน Part Time 428 คน
สัดส่วนรายได้ (โดยประมาณ) Self-Pay 53% SSO (ประกันสังคมตามมาตรา 33 , 39) 34% อื่นๆเช่นบัตรทอง ข้าราชการ 12%
18 Medical Center /โดยมีโรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็ก / ศูนย์ Neuphroblogy รวมถึงศูนย์ Cathlab ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และเป็นศูนย์หัวใจระดับ 1 ของสปสชเขต 4

IPD Occupancy Rate (FY20 / FY21 / FY22 / FY23 ) 61.96% / 80.08% / 85.92% / 86.41% ( เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง )
(1Q23 – 1Q24) 82.25% – 77.39%
OPD Occupancy Rate (FY20 / FY21 / FY22 / FY23 ) 48.27% / 46.97% / 59.28% / 64.75% ( เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง )
(1Q23 – 1Q24) 60.47% – 68.09%

SSO Insurers ( สัดส่วนจำนวนคนไข้ประกันสังคมของ PHG ต่อ คนไข้ประกันสังคมของจังหวัดปทุมธานี (FY20 / FY21 / FY22 / 1Q24 ) 22.5% / 22.1% / 24.5% / 26.9% / 27.4%
คนไข้ประกันสังคมเฉลี่ยในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2024 155,489 คน
จำนวนคนไข้ผ่าตัดหัวใจแบบเปิด : คน (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) 174 / 128 / 119 / 178
(1Q23 – 1Q24) 35 – 53 (+51%)
จำนวนคนไข้ Cathlab (ฉีดสีสวนหลอดเลือดหัวใจ) : คน (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) 2,805 / 2,722 / 3,018 / 3,406
(1Q23 – 1Q24) 817 – 958 (+17%)
OR Cases FY22 – FY23 4,664 – 5,666
(1Q23 – 1Q24) 1,308 – 1,574

Total Revenue ( Normalize – ตัดรายได้ Covid ออก ) MBaht (FY20 / FY21 / FY22 / 9M22 / FY23) : 1,535 / 1,511 / 1,732 / 2,120
(1Q23 – 1Q24) 479 – 567 (+18.4%)

Revenue – Cash Insurance & Contract
OPD Per visit (Baht) (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) : 1,318 / 1,194 / 1,124 / 1,540
(1Q23 – 1Q24) 1,418 – 1,331
IPD Per Admission (Baht) (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) : 36,392 / 35,429 / 37,143 / 38,490
(1Q23 – 1Q24) 39,606 – 44,073
***ราคา IPD/OPD ที่เพิ่มขึ้นแปลว่า PHG สามารถเพิ่ม value อื่นๆขึ้นได้ เช่น การที่สามารถรักษาโรคยาก โรคซับซ้อนได้มากขั้น

Revenue – ประกันสังคม (SSO) (Million Baht) (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) : 549 / 460 / 563 / 754
(1Q23 – 1Q24) 159 – 197
รายได้อื่นๆ เช่น
รายได้เพิ่มจากกรณีคนไข้ประกันสังคม IPD ที่รักษาโรคยาก โรคซับซ้อน > เบิก 10,000-12,000 บาท / Rw
รายได้ สปสช เคส Cathlab + emergency > บิก ประมาณ 9,500 บาท /Rw
รายได้ ODS หรือ 1 day surgery >9,800 บาท /RW )
รายได้ภาระเสี่ยง 26 โรคเรื้อรัง รวมถึงรายได้นอกเหนือเหมาจ่ายกรณีมีการใช้อุปรณ์การแพทย์พิเศษ
(FY21 / FY22 / FY23):273 / 225 / 242
(1Q23 – 1Q24) 66 / 71

  • รายได้ SSO ที่เพิ่มเกิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มและการปรับราคาขึ้นเป็น 1,808 บาท/หัว(Y2022)
    Normalized Net Profit (Million Baht) (FY20 / FY21 / FY22 / FY23) 103 / 152 / 163 / 256
    (1Q23 – 1Q24) 45 – 67
    NPM (FY21 / FY22 / FY23) 10.1% – 9.4% – 12.1%
    (1Q23 – 1Q24) 8.5% – 11.7%

ศูนย์ HIFU

  • เพิ่งเปิดในช่วงปลายปี 2023เป็นการรักษาด้วยคลื่นความถี่สูง ให้บริการรักษาเนื้องอกในมดลูก ผ่านการใช้คลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูงเฉพาะจุดซึ่งจะทำให้เนื้องอกเกิดความร้อนสูง และเซลล์บริเวณนั้นตาย หลังจากนั้นร่างกายจะจัดการกับเซลล์ที่ตาย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากอวัยวะข้างเคียง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ไม่ต้องการผ่าตัด หรือผู้มีบุตรยากจากการตรวจพบเนื้องอกในมดลูก
  • เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่นำเครื่อง HIFU มารักษาโรคเนื้องอกทางนรีเวชกรรม เราได้ exclusive มาจากจีนซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนี้
  • ปกติการรักษาเนื้องอกในมดลูกชนิดไม่ร้ายแรงจะมี 3 วิธี คือ 1.ผ่าตัดเปิด 2.ผ่าแผลเล็ก 3 จุด หรือ Laparoscopic 3.HIFU
  • ค่าบริการประมาณครั้งละประมาณ 150,000 บาท ราคาเครื่อง 20ล้าน+
  • มีลูกค้าที่ Refer มาจาก SAFE คือคนที่อยากมีลูกแต่มีปัญหาด้านนี้
  • ในต่างประเทศนิยมใช้เทคโนโลยีนี้เช่น จีน ฮ่องกง
  • EBIT Margin 25% ( หักค่าแพทย์แล้ว )
  • กำลังทำเรื่องให้พิจารณา ต่อไปอาจจะเบิกประกันสังคมได้
  • ตอนนี้มีลูกค้า ประมาณเกือบๆ 10 เคสต่อเดือน ทั้งนี้บริษัทมีการตั้ง Target อยู่ที่ 15 เคสต่อเดือน
    ศูนย์ล้างไต เดือนละ 5,000 cycle ( outsource )

เพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ
ทำ AACi > จะสามารถทำให้รับลูกค้าต่างชาติที่มีประกันได้

  • มีการไปออกบูท และทำการตลาด ที่เขมรเพื่อสร้างการรับรู้
  • ไปเปิดคลีนิคเล็กๆที่ซอยนานา เพื่อรับคนไข้โดยเฉพาะคนไข้อาหรับเข้ามาที่ PHG
  • เดิมสัดส่วนไม่ถึง 5%

IPD Q1/24 drop เล็กน้อยที่แม่และเด็ก
สัดส่วนผู้ประกันตน 27.4% > ปีนี้ไม่รับเพิ่ม
ปีหน้าได้คุยแล้ว จะเพิ่มเป็น 1700,000 คน ระหว่างที่อาคารใหม่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ

Future Plan

  • แผนเปิดตึกใหม่ 1 ใน Q2/25 ประกอบไปด้วย แผนกมะเร็ง แผนกฟัน แผนก Storke War / Self-Pay / อาคารจอดรถ ศูนย์ MRI Center,ศูนย์รังสีรักษา และศูนย์ไต
    ส่วนเพิ่มจากปัจจุบัน : จำนวนเตียง 270 -> 300 OPD Rooms 74 -> 86 Dialysis 63 Units – > 130 Units จำนวนลูกค้า SSO 156,000 – > 176,000 จำนวนช่องจอดรถ 180 Slots -> 400 Slots
  • เป้าหมาย Y2025 Revenue 2,600M NPM 10-12%
  • Key Driver Revenue เพิ่มความหลากหลายในการรักษา รวมถึงการเพิ่มความซับซ้อนของโรคในการรักษา / เพิ่มช่องทางการหาคนไข้เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มคนไข้ segment ใหม่ๆ เช่น คนไข้ต่างชาติโดยเฉพาะในกลุ่มของ CLMV/ เพิ่ม Value ให้คนไข้ด้วย Package & Promotion Program / เพิ่ม Facility / นำระบบ Technology – IT มาใช้ / เพิ่มProductivity
  • PHG เก่งในแผนกหัวใจ โดยเป็นศูนย์ส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นๆ และสิทธิต่างๆ
  • เก่งแผนก Ortho ซึ่งเป็น แผนกที่ถือว่ามีแพทย์เกือบครบทุก sub-specialty
  • เก่งเรื่องแผนกเด็ก เด็กจะเต็มตลอดโดยเฉพาะ Q3 จะมีซาๆช่วงสงกรานต์ ถ้าเต็มมากก็สามารถขยายไปนอนที่ PHG2 ได้
  • เงินจาก IPO 1,134ล้านบาท นำไปสร้างตึก Mixed use building และ Patient building งบลงทุน 600-650 ล้านบาท ( ตึก 1 ) ตึก 2 200+ล้านบาท
  • ยังมี หนี้อยู่ 90 ล้านบาท จำทยอยชำระคืนให้หมดภายใน 1H/24
  • CAPEX ในการสร้างตึกใหม่ Y23 / Y24 / Y25 / Y26 : 100 / 280 / 200 / 200 ( ตึกใหม่ 1 เสร็จ Q2/25 ถ้าไม่ติดอะไรก็จะสร้างตึก 2 ต่อ )
  • แผนเริ่มก่อสร้าง Delay จาก Q2/23 เพราะมีการปรับแบบ เพิ่มเตียง
  • ค่าเสื่อมตึกใหม่ 2 อาคารรวมกันโดยประมาณ 8 ล้านต่อไตรมาส หรือ ประมาณ 30 กว่าล้านบาทต่อปี ( ค่าเสื่อมอาคารตัด 30 ปี เครื่องมือแพทย์ 8-10 ปี เครื่องฉายแสง 12-15 ปี )

เป้า Revenue from cash จาก 53% > เปิดตึกใหม่อยากได้ 60%
อื่นๆ = ล้างไต กองทุนเงินทดแทน
1Q24 Revenue Breakdown
Cash&Insurrance 53% – SSO 35% – Others 12%
ในเชิงจำนวน Visit
Cash&Insurrance 23% – SSO 60% – Co-pay หรือ สิทธิร่วม 17%
ประกันสังคม visit เยอะ แต่ rev น้อย
Self pay แผนกที่ทำรายได้เยอะ
แผนกเด็ก 27.9% อายุรกรรม 25% กระดูกและข้อ 16.3% สูตินารีเวช 10.3%
สัดส่วนรายได้จาก SSO : Fixed Revenue 28.6% Cathlab 26.2% Adj Rw (รายได้ DRG) 15.7% รายได้จาก 26 โรคยาก 13%

7 ห้องผ่าตัด 4 phg1 / 3 phg2
มี OR case เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา > พยายามรองรับโรคยากขึ้น
ผ่าตัดกระเพาะเป็น service ที่ high billing high margin

จำนวนแพทย์ 490 คน full time 62 คน Part time 428 คน
OPD per bill ลลงจากเดิมเล็กน้อยเนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดขาย Package promotion ช่วง Q1 จะมี drop ไปบ้าง
จะเหวี่ยงเยอะเป็นปกติ Q2 ดีขึ้น
ปกสค ปีที่แล้ว 153,000 คน

Business update
Q&A
Q : ตึกใหม่ที่จะสร้าง มี IRR กี่%
A : Payback Period ประมาณ 6 ปี ( ทั้ง 2 ตึก )

Q ถ้าเพิ่ม cap แล้ว 2025 จะประหยัดค่าส่งต่อเท่าไหร่
A ตอนนี้เสีย 2x ล้าน
พอเปิดศูนย์ MRI จะหายไป > แต่จะมี depreciation เพิ่มเข้ามา 34 ล้าน ( Q ละ 8.5 )
ค่าเสื่อมเครื่อง คิด 10-15 ปี
ค่าสร้างตึก 500 ล้าน
เครื่องมือแพทย์ 200 ล้าน ( เบื้องต้น )
Expense 25 ล้าน

Q ใน MDA ไม่แสดงกลุ่มลูกค้าทั่วไปอื่นๆ
A กระจายเข้าไปในกลุ่มลูกค้าค่าทั่วไปตามสัญญา เช่นกองทุนเงินทดแทน

Q ปี 66 รายได้ต่อคน ลดลง แต่เห็นจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น
A rev หลักคือ self pay
ต่อให้รายได้ต่อหัวลดลง > รายได้เดิม fix (1,808) แต่ถ้าเคสยากจะได้เงินเพิ่ม

Q Urate ค่อนข้างเต็ม จะเพิ่ม rev ยังไง
A เพิ่มเคสยาก margin สูง self pay ( high billing และ high margin )

Q เอาเคสยากๆมายังไง
A หลักๆจากแพทย์เช่นหาแพทย์ใหม่มาเติม หรือเพิ่ม การ spin case จาก case ปัจจุบัน เพื่อทำหัตถการมากขึ้น
มีระบบ agency ด้วย ( local ) มาจาก web site บ้าง
ส่วนมากเป็น network แพทย์ที่ทำมา
แพทย์จะรู้ว่าส่งที่ไหน

Q ขึ้นตึกใหม่ จะมีพนักงานเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน
A ต้องเพิ่มส่วน front > patient touch point > น่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายพนักงานส่วน front ประมาณ 10%
Capacity ตึกเดิมค่อนข้างแน่น

Q รายได้อื่นๆคืออะไร
A ค่าเช่าที่ด้านหน้า เป็นรายได้อื่นๆ 2-3 ล้าน
มีการไปซื้อตราสารหนี้ mark to market 2-3 ล้าน

เอกชน คู่สัญญา 1-3 ปี ไม่ได้เป็นสัญญายาว
ลด 10% ค่ายา ค่าห้อง ต่อบิล

ค่า RW 64-65 จ่าย 12,000 > ปี 66 ลดบางส่วน 10,000 บาทสำหรับเคสที่เอกสารไม่พร้อม โดนไปประมาณ 1-2 ล้าน
จะกระทบ Q1/24 (ของปลายปี66) เป็นลูกค้าปี 65 มี Key เข้าระบบปี 66
ปี 66 ก็จะมีอีก แต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ > อาจจะโดน Q2 หรือ Q3

Q มุมมอง อนาคตเรื่อง adjust RW
A Predict ยากมากขึ้นกับงบประมาณ

Q International patient จากที่ไหนบ้าง
A CLMV Cambodia Myanmar > ต่ำกว่า 5% ของ self pay / target 7%
คิดแพงกว่า margin ดีกว่า แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย

Q การไปเชิญแพทย์มาทำให้ลูกค้าเพิ่ม
A เริ่มตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
BU ที่อยากเพิ่มคือ HIFU
ผ่ากระเพาะเพิ่มแพทย์เป็น 3 ท่าน
ไม่กังวลเรื่อง demand > ห่วงเรื่องหาหมอ
เพิ่ม รายได้จาก case ยากมากขึ้น
Spin จาก OPD ไป IPD มากขึ้น

Q เปิดตึกใหม่
A ใช้ pricing เดิม
ไปเติม capacity ที่ล้น
OPD +30%
IPD + 4-50%
Break even 2-3 ปี > EBITDA

Doctor fee > 22% ของ total revenue. > stable มาตลอด

สมมติหมอดึงเคสมา จะได้ DF + ค่าคอม

Q แผนการขยายโรงพยาบาลของ รพธนบุรี น่ากลัวมั้ย
A ลูกค้า self pay น่าจะชนกัน > เค้า tier บนกว่าเรา
สินแพทย์ก็จะเปิด > ราคาสูงกว่าเรา
ค่าcharge entry fee เรา 240 สินแพทย์ 300
มี impact แต่ไม่โดยตรง

Contact > self pay + สัญญาที่ทำกับ บริษัทต่างๆ

Q Open heart / cathlab
A QoQ drop / YY โต
แพทย์ ผ่าตัดหัวใจ full time 1 ท่าน
Open heart ผ่าตัดนาน capacity ไม่ได้เต็ม
Cathlab 10 case ต่อวัน ค่อนข้างแน่น

Q Claim rate ประกันสังคม
A มีคนไข้วันละ 1,500-1,600 visit
Average bill 4,800 บาทต่อปี > ( 1,808 + on top )

Q ปีหน้าตึกใหม่จะเสร็จมั้ย
A จะย้ายโรงพยาบาลออกไปบางส่วน เอา OPD ของตึกประกันสังคม บาง BU ออก เพื่อลด traffic
จะเช่าหรือซื้อพื้นที่เพิ่มเติม ( ด้านนอก อยู่ระหว่างหา )
น่าจะ Q1 ปีหน้า / ตึกใหม่ Ward เป็น self pay และ OPD หลักๆรองรับคนไข้ Self-pay เป็นหลัก

Q อะไรเป็นจุดเด่นให้คนใช้ ปกสค เรา
A เราเป็นตติยภูมิ มีหมอครบทุกสาขา / refer น้อย ทำให้ Patient journey ของคนไข้ไม่โดน impact เยอะ
Facility โรง1 ปรับปรุงเรื่อยๆ / เทียบกับที่อื่นเราดีกว่า
รายงาน complain มีแต่น้อย เป็นเรื่องไม่ significant

Q ศูนย์ที่จะเปิดเพิ่มมี progress ยังไง
A HIFU Target 8-10 case > ส่วนใหญ่ทำได้ > ราคาต่อเคสแพง
รักษาเนื้องอกได้
ศูนย์คีโม > ปกสค > เดิมให้ไปทำที่อื่น
ต้องใช้เวลา boost เพิ่ม ยังไม่ hit target สำหรับ visit คนไข้ในส่วน Self-pay

แม่และเด็ก ( คลีนิคผู้มีบุตรยาก ) เริ่มจาก IUI ก่อน มีหมอ 1 คน / ยังไม่ hit target

Q ลูกค้า IVF เค้าไป standalone ดีกว่ามั้ย
A ไม่ได้ target เอกชน > เราเน้น tier กลาง
ของเราเป็น 1 stop service > ขายเป็น package + ฝากครรภ์ ทำคลอด
ราคาเริ่มต้น > ถูกกว่าในเมือง แต่เราต้องจ้าง outsource ทำ lab อาจจะมีเรื่อง margin ที่ต้อง compromise

Q Stroke lab
A อยากได้ 10-15 เคส / เดือน ตอนนี้ยังไม่ hit target
เรามีหมอนิวโรศัล part time
Q โรงพยาบาลราชวิถีเป็นคู่แข่งมั้ย
A เป็นรับ emergency case เป็นหลัก
เค้ายังไม่มีแผนขยายไป treasury care ในช่วง 1-2 ปีนี้

Q หมอ part time เรา ไป full time ที่ไหน
A ธรรมศาสตร์ ภูมิพล มศว / ภัทรธนบุรี หรือโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลแพทย์รังสิต

Q คนไข้แม่และเด็ก เหมือนประกันจ่ายยากขึ้น
A วันนี้คนไข้เรา เป็น cash เยอะกว่าในส่วนของคนไข้แม่และเด็ก ประกันจ่ายยากขึ้น โดยเฉพาะ IPD ต้องให้แพทย์เขียน order รวมถึง ICD ให้ละเอียด

Q รู้สึกว่าจ่ายยากขึ้นเมื่อไหร่
A หลังโควิดซักพักความยาก ยากขึ้นเรื่อยๆ (แล้วแต่บริษัทประกัน ) จ่ายยากขึ้นกรณีที่เป็น simple disease แต่มีการนอนนาน

Gp SSO 8-9%
Gp self pay ตึก1 10-15% > blend รวม SSO หัวใจ ไต / ตึก2 35+% self pay ล้วน + Hifu ผ่าตัดกระเพาะ

Q ความคืบหน้าตึกใหม่
A ตึกใหม่ยังไม่ได้ใบอนุญาตก่อสร้าง กำลังตามอยู่* มีโอกาส delay*

Q แผนการขึ้นราคา
A ปรับล่าสุด ปี 65 / คิดว่า 68 จะปรับ 3-5% > เริ่มมกราสำหรับรายการที่เป็นค่าบริการพยาบาล ค่าบริการโรงพยาบาล
ค่ายาเวชภัณฑ์ปรับตามทุน

Q รายได้จากภาครัฐ ปกสค สปสช อันไหนยากกว่า
A คีย์เบิกไม่ยาก หักไม่เยอะ ที่ยากคือตอนจ่ายเงิน
สปสชไม่ค่อย delay
ปกสช ชอบ delay
การจ่าย เร็วช้า แล้วแต่ revenue type
Fix revenue จ่าย 75% ทุกเดือน ที่เหลือไปจ่ายปลายปี
เราไม่รู้ว่าเค้าจ่ายใคร ก่อนหลัง

การรับรู้รายได้ รับทั้ง 1808 * 150,000 / 12 ทุกเดือน

Opd self pay ปี 66 มี 2,000 visit / day * 30%
แม่และเด็ก 200 โรง2 400
Q1 Q3 Q4 Q2 seasonal > กรณีถ้าเรียงตาม volume การเข้ารับบริการและรายได้ Q3 (Highest), Q4, Q1, Q2 (Lowest)
ปี66 ในช่วง Q4 ได้กำไรภาระเสี่ยง เพิ่มมา 30 ล้าน > จริงๆต้องถอดออก 30 ล้าน
ภาระเสี่ยงจริงๆรับรู้ทุกเดือน แต่ปลายปีเป็นเงินเบิ้ล ซึ่งตาดไม่ได้ ว่าจะได้เท่าไหร่
เนื่องจากประกันสังคมจะเอา data ของโรงพยาบางอื่นๆมาจัดลำดับ ว่าคนไข้ยากมีกี่คน และเอา budget มากระจายให้แต่ละโรงพยาบาล

Q : คู่แข่ง Self Pay เราคือใคร
A : สินแพทย์ เปาโล รวมถึงโรงพยาบาลธรรมศาสตร์คลินิคพิเศษ

Q : คู่แข่งไหนที่น่ากลัวสุด
A : วิภาวดี เนื่องจากศักยภาพทางการแพทย์ค่อนข้างครบกว่าโรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ

TNH

บทความนี้นักลงทุนชาวไทยน่าจะชื่นชอบกันคือการเปรียบเทียบโรงพยาบาล Vietnam ในตลาดหุ้น 2 แห่ง ที่ดีมากๆ บทความหนึ่ง พูดง่ายๆ ผู้บริหารโรงพยาบาลหนึ่งก็อนุรักษ์นิยม อีกรพ.หนึ่งก็ทำตัวแปลกๆ

โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc และโรงพยาบาล Thai Nguyen International เป็นโรงพยาบาลเอกชนหายาก 2 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ที่มีจุดแตกต่างมากมายในกิจกรรมทางธุรกิจ…

ตามรายงานสรุปงานด้านสุขภาพปี 2023 ของกระทรวงสาธารณสุข เวียดนามมีเตียงในโรงพยาบาลเพียง 32 เตียงต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งต่ํากว่าระดับที่แนะนําขององค์การอนามัยโลก (50 เตียงต่อประชากร 10,000 คน) ปัญหาดังกล่าวทําให้เกิดความแออัดยัดเยียดในโรงพยาบาลของรัฐแนวหน้า ซึ่งนําไปสู่ปัญหาที่เจ็บปวดมากมาย

ในบริบทข้างต้นเวียดนามสนับสนุนการส่งเสริมการพัฒนาระบบสุขภาพเอกชนตลอดจนความพยายามในการปรับปรุงอัตราเตียงในโรงพยาบาลความหนาแน่นของแพทย์และคุณภาพของบริการทางการแพทย์

เพื่อแก้ปัญหาข้างต้น ในช่วงต้นปี 2567 นายกรัฐมนตรีได้ออกมติที่ 201/QD-TTg ว่าด้วยการอนุมัติเครือข่ายสถานพยาบาลในช่วงปี 2564-2573 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2593 ที่จะพยายามให้จํานวนเตียงในโรงพยาบาลเอกชนคิดเป็น 15% ของจํานวนเตียงในโรงพยาบาลทั้งหมดภายในปี 2568 และถึง 25% ภายในปี 2593

โรงพยาบาลหายากที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

มันเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงดึงดูดความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน แต่การปรากฏตัวของโรงพยาบาลในตลาดหลักทรัพย์นั้นค่อนข้างหายาก ปัจจุบันมีเพียง 2 องค์กรในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc (UPCoM: TTD) และโรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนล (HoSE: TNH)

ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Tam Duc Heart Hospital Joint Stock Company ได้ซื้อขายอย่างเป็นทางการใน UPCoM ในปี 2560 ด้วยจํานวน 15.5 ล้านหุ้น ตั้งแต่นั้นมาโรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc ก็ยังคงรักษาทุนจดทะเบียนไว้โดยที่ไม่มีการเพิ่มทุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าโรงพยาบาลเอกชนข้างต้นคือ Mr. Nguyen Ngoc Chieu – ประธานคณะกรรมการที่เกิดในปี 1948 เขาดํารงตําแหน่งมาตั้งแต่ปี 2551 และปัจจุบันถือหุ้น TTD 120,000 หุ้น

นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นที่โดดเด่นอีกรายที่โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc คือ An Viet Hung Investment Joint Stock Company ด้วยหุ้น 1.2 ล้านหุ้น

แม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งเดียวกัน แต่นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัท Thai Nguyen International Hospital Joint Stock Company ได้เพิ่มทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง ดังนั้นจาก 69 พันล้านดองในปี 2559 บริษัท ได้เพิ่มทุนเป็น 270 พันล้านดองในปี 2560 และ 350 พันล้านดองในปี 2561

หลังจากเสร็จสิ้นการเพิ่มทุนเป็น 415 พันล้านดองโรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลได้จดทะเบียนหุ้นอย่างเป็นทางการจํานวน 41.5 ล้านหุ้นใน HoSE ในปี 2564

หลังจากนั้นการเดินทางของการเพิ่มทุนของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ไม่ได้หยุดลงภายในเดือนมกราคม 2024 โรงพยาบาล Thai Nguyen International ได้เพิ่มทุนเป็น 1,102 พันล้านดองซึ่งเพิ่มขึ้น 2.6 เท่าของทุนเมื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในแง่ของโครงสร้างผู้ถือหุ้น KWE Beteilgungen AG จากสวิตเซอร์แลนด์ปัจจุบันถือหุ้น TNH 10 ล้านหุ้น

ในขณะที่นักธุรกิจ Hoang Tuyen – ประธานคณะกรรมการโรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลถือหุ้น 9 ล้านหุ้น นอกจากนี้ รองผู้อํานวยการ Nguyen Van Thuy รองผู้อํานวยการใหญ่ของคณะกรรมการบริษัทยังถือหุ้น TNH จํานวน 5.3 ล้านหุ้น

สองขั้วตรงข้าม

ในแง่ของสถานการณ์ทางธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหายากทั้งสองแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีลักษณะที่แตกต่างกันหลายประการซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพธุรกิจทั่วไป ในขณะที่โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc บันทึกโมเมนตัมการฟื้นตัวจากจุดต่ําสุดของธุรกิจในปี 2564 โรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลลดลงเล็กน้อยด้วยความขัดแย้งของรายได้ที่เพิ่มขึ้นและกําไรที่ลดลง

โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การผลิตและสถานการณ์ทางธุรกิจของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2019 โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้มีรายได้ 660 พันล้านดอง กําไร 77 พันล้านดอง เพิ่มขึ้น 21% และ 22% ตามลําดับจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2560

โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ได้บันทึกสัญญาณการลดลงโดยมีกําไรต่ําสุดเพียง 10 พันล้านดองในปี 2564 ซึ่งต่ําที่สุดนับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สถานการณ์ทางธุรกิจของโรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc ฟื้นตัว โดยดึงรายได้ในปี 2022 เป็น 723 พันล้านดอง กําไรก็สูงสุดที่ 92 พันล้านดอง ในปี 2566 แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 741 พันล้านดอง แต่กําไรของบริษัทลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในไตรมาสแรกของปี 2024 รายได้ของโรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc สูงถึง 177 พันล้านดอง ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว Tam Duc Heart Hospital ทํากําไรหลังหักภาษี 13.8 พันล้านดอง ลดลงเกือบ 33% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2023 นี่คือกําไรที่ต่ําที่สุดในรอบ 8 ไตรมาสของธุรกิจนี้

ที่โรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้มีการบันทึกขึ้นและลงแม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ผลกําไรก็ถดถอย

ดังนั้น ในปี 2023 รายได้สุทธิของโรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลจะสูงถึง 532 พันล้านดอง เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปี 2021 อย่างไรก็ตาม กําไรของบริษัทหลังหักภาษีนิติบุคคลในปี 2566 ลดลงเล็กน้อย 3% เป็น 142 พันล้านดอง

ในไตรมาสแรกของปี 2024 โรงพยาบาล Thai Nguyen International มีรายได้รวม 92.5 พันล้านดอง ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กําไรหลังหักภาษีสูงถึง 14.9 พันล้านดอง ลดลงมากกว่า 39% ภายในสิ้นไตรมาสแรกของปี 2024 สินทรัพย์รวมของโรงพยาบาลไทยเหงียนอินเตอร์เนชั่นแนลเกือบจะทรงตัวเมื่อเทียบกับต้นปี โดยมีมูลค่ามากกว่า 2,131 พันล้านดอง

ในทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ทางธุรกิจโรงพยาบาลทั้งสองแห่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในขณะที่โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc “ชอบ” ที่จะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด แต่โรงพยาบาล Thai Nguyen International ชอบที่จะจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น

โดยเฉพาะในช่วงปี 2565-2567 โรงพยาบาลไทยเหงียน อินเตอร์เนชั่นแนล จะจ่ายเงินปันผล 3 หุ้น ในอัตรา 15-30% ที่โรงพยาบาลหัวใจ Tam Duc บริษัทได้จ่ายเงินปันผล 20 ครั้งให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดเป็นเงินสด

credit: Nguyễn Phương Anh

Micron

Micron ผู้ผลิตชิปหนึ่งเดียวของสหรัฐท่ามกลางยักษ์เอเชีย
.
บริษัทมีชื่อเต็มว่า Micron Technology (NASDAQ: MU) เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1978 ในเมือง Idaho ประเทศสหรัฐ
.
Micron สร้างรายได้จากการขายชิป Memory ที่เราสามารถแบ่งได้เป็น DRAM และ NAND อ่านชื่อแล้วงงๆ แต่ความจริงแล้วมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก (ถ้าคุณอ่านบทความนี้ได้ คุณก็กำลังใช้มันอยู่)
.
ขอยกตัวอย่างจาก iPhone 15 Pro, Pro Max โดยถ้าเราไปค้นหาสเปคจะพบคำว่า DRAM ที่ใส่มา 8GB สำหรับ iPhone 15 Pro – Pro Max มันมีหน้าที่ช่วยลำเลียงข้อมูลไปประมวลผล ขณะที่ NAND คือความจุ ไฟล์ต่างๆ ขนาด 256GB 512GB 1TB ที่ Apple ใช้เป็นตัวแบ่งราคาขายนั่นเอง
.
โดยเทคโนโลยีที่ DRAM ใช้ถือว่าผลิตได้ยากกว่าส่งผลให้ Micron สามารถขายได้ราคาแพงกว่า NAND บริษัทจึงมีรายได้ประมาณ 70% มาจาก DRAM นอกนั้นเป็น NAND
.
ลูกค้าหลักของ Micron ก็คือบริษัทขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างมือถือ หรือชิปที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และ Data Center ตัวอย่างลูกค้าก็เช่น Apple, Xiaomi, Nvidia, AMD
.
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Micron ทำการทวนกระแสต่อสู้กับภาคการผลิต semiconductor ที่ย้ายเข้าเอเชีย หาแหล่งแรงงานราคาถูกและได้รับเงินสนับสนุนมหาศาลจากภาครัฐ ดันให้เกิดคู่แข่งรายใหม่อย่าง Samsung และ SK Hynix ที่เป็น 2 ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ แต่ Micron ก็ยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สู้ได้อย่างต่อเนื่อง
.
โดยตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงตาม Demand ของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม AI ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ในไตรมาสล่าสุดนี้ มาจากการปรับราคาขายที่เปลี่ยนไปตามความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น
.
โดยในกลุ่มสินค้า High-Performance เช่น HBM, DDR5 และ SSD สำหรับ Data Center ส่งผลต่อปริมาณความต้องการของ DRAM และ NAND สูงขึ้น เนื่องจากเพื่อนำไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI
.
นอกจากนี้ การประกาศงบที่ผ่านมาของบริษัทมีการพูดถึงแนวโน้มและทิศทางของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ PC และ Smartphone ที่ดูจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ HBM ชิพสำหรับเทรน AI เต็มยาวเกือบถึงสิ้นปี 2025 แล้วเนื่องจาก demand อันแน่นสุดๆ
.
ปล. ความพิเศษของ Memory มันเป็นดั่ง commodity ชนิดหนึ่งมีราคาตลาดโลกกำหนดขึ้นกับ demand-supply และเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังนั้นช่วงที่ของไม่พอขายแบบนี้ ผู้ผลิต Memory ต่างขึ้นราคากันแหลก ช่วยให้ Micron ได้ประโยชน์สุดๆ ราคาหุ้นก็วิ่งสนุกสนาน (กลับกัน TSMC ไม่สามารถขึ้นราคาได้มากเท่านะครับ เพราะลักษณะธุรกิจชิปกลุ่ม Logic คือตกลงสัญญากันล่วงหน้าแล้ว)
.
BottomLiner

Live talk

Live Talk พี่มี่ & พี่แจ็กกี้ By สมาคมนักลงทุนประเทศไทย
10 – 7 – 24

พี่แจ๊กกี้พูด speed x 1.5 จดไม่ทันเลย ฮือออ 😅😅

คุณแจ๊กกี้ “แสวงหาวิกฤต เพื่อหาโอกาสในวิกฤต”
ไม่ใข่หุ้นที่จะทำให้เรารวย แต่ Play book ต่างหากที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้
เราต้องหาหุ้นเจอก่อน แล้วกล้าใส่น้ำหนัก
Country not Change your Life , Your Habit will Change your life.

Q ตลาดหุ้น เวียดนาม ไทย จีน ชอบที่ไหนตามลำดับ
A เปรียบเทียบเร็วๆ จีนน่าสนใจที่สุด valuation ถูกมาก

  1. เวียดนาม
    3.เมกา
    4.ไทย
    อยากเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่โตยั่งยืนไป 5 ปี เหมือนที่หลายคนเคยทำได้ แต่ของไทยตอนนี้โอกาสค่อนข้างน้อย
    วิธีที่คนต้องทำคือ หาโอกาสเล็กๆ ซัก 50 % ไปเรื่อยๆ แต่การถือหุ้นยาวหลายๆปี ของๆไทยมักไม่ได้ผล
    เช่นดัชนี MAI จาก 750 เหลือ 350 คือลงทุนยาวไม่ได้

ตลาดเมกา จากการศึกษา คือยากไปและ valuation แพง
จีน เวียดนาม ยังเป็นไปได้
ไทย ถูกแต่ขาด growth ระยะยาว คนมองว่าจะกลับไป 1,500 -1,800 มั้ย ซึ่ง sector หลักเราคึอ น้ำมัน กับ bank ซึ่ง ไม่ perform > ก็อาจจะยาก
ถ้าเราอยากเปลี่ยนชีวิตก็ควรมองหุ้นที่มีโอกาสโตมากๆ
ไทย GDP 1.5 เวียดนามเกือบ 7%
ของไทยหุ้นที่โตได้ อาจมีไม่ถึง 5% ซึ่งโอกาสยากมากๆที่เราจะหาเจอ หรือเวียดนาม ปาเป้าแล้วมีโอกาสถูกมากกว่า

พี่มี่ถามพี่แจ๊กกี้ คือการเรียงตลาดตาม GDP และ ขนาดตลาด?
jekkyตอบ : เมกาที่โตจริงคือ 7 angle คือ โตไปได้ทั่วโลก
อย่างไทย ส่วนใหญ่กลายเป็นเกมส์เก็งกำไร ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ยังมี CPN CPALL ที่โต หลายสิบเด้งได้
ตอนนี้ จากลูกวัวกลายเป็นแม่วัวแล้วคือให้แต่ปันผล ไม่ค่อย Growth แล้ว
แต่หุ้นไทยก็ถูกมาก บางตัวปันผล 7-8% แต่ไม่โตแล้ว
เช่น Qhouse ซึ่งปลอดภัยมากๆ แต่หลังจากรับปันผลแล้ว หุ้นกลับลงมาเรื่อยๆ 30-40% แล้วใน 3-4 ปีมานี้

Q หลายคนเริ่มลงทุนไม่นาน พอร์ตยังเล็ก ควรจัดพอร์ตยังไง
A ปกติแบ่งเป็น 3 กอง หน้า กลาง หลัง
ถ้าเรายังไม่ถนัดก็ลงกองหลังเยอะๆ (ปันผลเยอะๆ) ระหว่างนี้ถ้าเราทำการบ้านแล้วเจอตัวดีๆ ค่อยๆ switch ไป กองหน้า
อย่าง poker เราต้องค่อยๆเสียเงินไปทุกรอบการเล่น แต่หุ้นดีกว่าคือ ระหว่างรอเรายังมีปันผลได้
ตอนนี้โอกาสในไทย หาหุ้นหลายๆเด้ง ยากมาก
ถึงมี คนรู้ภายในปีแรก อาจจะ ไล่หุ้นขึ้นมาหลายเด้งแล้ว ทำให้คนทำการบ้านช้าตามยาก > เราต้องคมมากๆ

Q ถ้าพอร์ตเราซัก 5 ล้าน แนะนำยังไงดี
A อยู่ว่าเรามี Edge ที่ไหน
ที่ไทยเป็นเกมส์เก็งกำไร ถ้าอยู่ไทย 10 ปีอาจจะได้ 1 เด้ง
ถ้าไปตปทก็ต้องกังวลเรื่องภาษีหุ้นนอก Spred exchange /เราต้องวางแผนว่าทำยังไง
ถ้าพอร์ตใหญ่เค้าก็ตั้งบริษัท สามารถลดภาษีได้
ถ้างานประจำต้องคิดว่าเราจะ spend time สู้นักลงทุนที่ focus ได้มั้ย
เราต้องดูว่าเรามี edge อะไร เช่นเราเป็นหมอ ก็อาจจะขุดหุ้นหมอ การแพทย์
การลงทุนจริงๆ dynamic คือไม่ตายตัวว่าเราต้องอยู่ประเทศไหน

การลงทุนสิ่งสำคัญคือต้อง growth อย่างยั่งยืน
บริษัทในไทยที่มี grwoth คือ ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ จึงยังพอโตได้
หุ้นไทยยังมีเสน่ห์คือ หุ้นน้อย แต่ถ้าเราทำการบ้านหนักเห็นก่อน ก็สามารถให้ผลตอบแทนเร็วๆ มากๆได้
ผิดกับเมืองนอก ที่หุ้นพองบออก กลับไม่ขึ้นมาก เพราะหุ้นงบดีทุกตัว
เช่นเวียดนามบางบริษัทโต 3 ปีหุ้นไม่ไปไหนเลย คือคนไม่สนใจ
ไม่ใช่เราทำการบ้านผิด แต่เกี่ยวกับ fund flow
คือเราต้องเก่งกว่า ฉลาดกว่า แต่ติดที่ regulation

อย่างเรามี edge อยู่ที่ไทยเรารู้ตื้นลึก หมดทุกอย่าง
แต่ไป ตปท มีความเสี่ยงกว่าคือเราไม่รู้รายละเอียดลึกๆ

Q หุ้นเวียดนาม จะหาข้อมูลลึกๆยังไง
A จริงๆมีข้อมูลแค่ 60-65% ก็พอได้เพราะคนเวียดนามส่วนใหญ่ยังไม่เป็น VI
ถ้าเรามี play book VI หุ้นหลายตัวเติบโตยั่งยืน ก็สามารถให้ผลตอบแทนดีมาก
แต่ต้องเลือก หลายตัวก็เริ่มแพง
นักลงทุน local เวียดนามไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือกองทุน

หุ้นจีน มีปัญหากับเมกา > เมกาตัดตอนตั้งแต่ chip คือห้ามทุกประเทศขาย chip ให้จีน
ที่จีนมี web คือ snow ball เป็นเวป VI ของจีน ( เซี่ยฉิว )
คนจีนเองจริงๆส่วนใหญ่เก็บเงินใน Property
คน local จริงๆเป็น VI น้อย เพราะเค้ามีโอกาสมากกว่า เช่นไปทำธุรกิจ

ในไทย C+G+I+X-M
consumption ไม่โต
Export ดีท่องเที่ยว อันเดียว อย่างอื่นแย่
Import สินค้า electronic
ซึ่งเรารอแต่ G Govenment ก็ยังไม่แน่นอน
พอกระตุ้นอสังหา แต่ก็ยังไม่ฟื้น
การที่เราจะกระตุ้นอสังหาก็ยังน้อย เช่นจากต่างชาติ แต่กลับไปเกิดโอกาสที่ภูเก็ต

พอร์ตคุณ Jekky ตอนนี้ จีน 73% เวียดนาม 12% ไทย 8% ไทยยังซื้อเพิ่มเรื่อยๆ
อยู่ไทยต้องเทพจริงๆถึงจะอยู่รอด
เราอยากเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ชอบเกมส์เข้าออกเร็ว
แต่ปัญหาเกมส์เร็วคือ ถึงได้หลายตัว แต่พอโดนหนักๆตัวเดียว อาจจะ Draw down เยอะมาก

Q การลงทุน เพราะเราชอบ เราเชื่อ เราลงทุนธุรกิจโรงเรียนเพราะอะไร
A มี Pricing power / มี Brand / network effect ดีทุกอย่าง ปกติ PE แพงตลอด แต่ดันเกิดวิกฤต triple bottom คือ หุ้นจีนลง / วิกฤตการศึกษา / โอกาสอาจกลายเป็น Non profit
market cap เกือบเท่ากำไรแล้ว แต่ปัญหาคือเก็บเงินได้แล้ว เงินอาจจะต้องให้รัฐหมด
เทียบแล้ว expected return คุ้มค่า สมมติ โอกาสได้อาจจะ 20 เด้ง ก็คุ้ม
ต้อง weight เรื่อง Risk Return
ธุรกิจแรกคือ Tian Li กลายเป็น Profit Organize แล้ว ก็พลิกกลับมา / 2 ปี โตเเพิ่มมา 50 โรงเรียนแถมรัฐบาลโอนโรงเรียนมาเพิ่มให้อีก
คนมาสอบเกาเข่า ( Entrance จีน ) เพิ่มขึ้นทุกปี 3 ปี โต มา 11% 9% 4% แปลว่าคนอยากมาเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อง Tier 2 3 ที่เราเลือกลงทุน คนเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คนเกิดตอนปี 2006 >> ตอนนี้ยัง Peak อยู่อีกเป็น 10 ปี จนถึง 2575 อีก 8 ปี ถึงจะเริ่มลดลง
ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่ทำงาน ยิ่งไปอ่านหนังสือมาสอบเพิ่มขึ้นอีก

เราซื้อหุ้นในวิกฤต อีก 3 ปีก็จะรู้เรื่องว่าจะกลายเป็น Non Profit มั้ย > ขนาดสีจิ้นผิงยังไม่รู้เลย
สิ่งที่ทุนนิยมกลัวสุดคือความไม่แน่นอนของรัฐบาล
ตอนนี้รัฐส่งเอกสารมากำหนดเรื่องครูต่อนักเรียน เพื่มเครื่องมือ ตบแต่งเพิ่ม เพื่อให้เราทำตาม หลาย 100 ข้อ โรงเรียนพยายามทำตาม พอครบที่ขอ รัฐก็ไม่ยอมให้เป็นซักที
มองอีกมุม ยิ่ง regulate เยอะแปลว่าโอกาสยึดน้อยลง

สรุปวิธีเลือกของแจ็กกี้คือ
เลือกหุ้นวิกฤต แล้วมองหาโอกาส
operating cash flow ต้องดี
ถือหุ้นมองกรอบ 3 ปีอย่างช้า
หุ้นวิกฤตถ้ามีเรื่องดีนิดหน่อย มันพลิกเลย

เช่นหุ้นหูยา โต้วอยู (หุ้นเกมส์ ) เงินสด 27 เหรียญ แปปเดียวประกาศปันผล 9 เหรียญ >> แปปเดียวคืนทุนเลย

หุ้นไทย YGG ขนาดหุ้นลงมา 90% ยังไม่เข้าตำรา Net net asset เลย
ใช้วิธี VI clsssic

การมองหุ้นแบบ Price to sales จริงๆ ไม่ work อย่าง shoppee ปั่นขึ้นไปได้คือ ยอดขาย subsidize ยอดได้ เช่นขายของ 5,000 แจกคูปอง 2,000 ทำให้ยอดโตกระฉูดซึ่งเราไม่รู้ว่าจริงมั้ย

หุ้นผงชูรสจีน PE 3 เท่า ปันผล 10 กว่า% > หุ้นแบบนี้มีเยอะเลย > ช่วงนี้เป็น Timimg ที่ดี
อย่างหุ้นจีน ปันผล 30%+ เลย
สมมติหุ้นเดิมปันผล 4% หุ้นลง 80% ปันผลเพิ่มมา 5 เท่า
เราสามารถเลือกหุ้นจาก dividend Method ได้

ความเสี่ยงคือ เราเข้าถึงข้อมูลช้ากว่า โดนภาษี โดนค่าคอม โดน exchange rate
บางโบรกอาจจะบอก ออกบัตร Debit ให้ได้ แต่ก็ไม่ตอบโจทย์
ถ้าพอร์ตใหญ่อาจจะไปเปิดเป็น Private bank ได้

เหมือนเราเล่น Poker หลายๆวงพร้อมกัน ถ้าเจอ คู่ AA ก็อัดเงินได้เลย ทำให้เราเจอโอกาสได้เยอะเลย

Q jekky สร้างพอร์ตจากไม่กี่ล้านเป็น 1,000 ล้านได้ มีคำแนะนำอะไรบ้าง
A โอกาสไม่ได้นอนรอเหมือน 9 – 10 ปีก่อนแล้ว
ทุกทศวรรษในการลงทุนยากขึ้นเรื่อยๆให้ศึกษาไปเรื่อยๆ รอโอกาส
ถ้า 5 ล้าน ได้ปันผลอาจจะ ปีละ 4 แสน แต่ถ้าเจอหุ้น หลายเด้งก็เปลี่ยนชีวิตได้ > ถ้าไม่เจอก็กินปันผลไป

ช่วงพี่มี่อัพเดตหุ้น
หุ้นนอกครึ่งปีแรกดี ครึ่งปีหลังอาจจะยาก
หุ้นไทยปีที่แล้วไม่ดี ครึ่งปีแรกก็ไม่ดีครึ่งปีหลังอาจจะดีขึ้น
แต่ปัญหายังเยอะมาก เช่นขายรถได้ 6 แสนคัน ยึดรถ 3.5แสนคัน
เรื่องหนี้น่าจะไม่แก้ได้ง่ายๆ
โอกาสจะเป็น หุ้นที่ยัง growth ได้ เช่น หุ้นส่งออก หุ้น electronics
ถ้ามองทุกที่ก็ต้อง Selective ต้องเลือก ไม่ใช่ดีทุกตัว
2-3 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่ายากมาก แย่กว่าที่คาดถ้าเราเลือกหุ้นดี ก็ยังบวกได้
เลือกตัวที่เชื่อว่าจะโตได้ หุ้นต้องวิ่งตามกำไร > ต้องหาตัวที่กำลังจะโต
ถ้ามองตลาด Best case คือ 1,450 แต่อาจจะยาก
ส่วนตัวพี่มี่ขายหุ้นจีนไปประมาณนึงเพราะจะมีเรื่องเลือกตั้งเมกามากระทบ ซึ่งก็อาจจะกระทบมาไทยด้วย
ไม่มองเป็นดัชนี มองเป็นอุตสาหกรรม

Q สถานการณ์ตอนนี้ คนมองไม่ออก อยากให้พี่มี่แนะนำว่ากลุ่มไหนจะได้ประโยชน์
A หลักๆต้องมองหาตลาดที่จะมี Demand ใหม่ๆ
เช่นเม็ดเงินภาครัฐ Q4 -22% Q1 -27% /Q2 อาจจะโตนิดๆ Q3 Q4/24 จะดี
เลือกตัวที่ลงมาแรงแล้วจะกลับตัวเป็น V shape ให้เลือกตัวที่ recurring
ดีกว่านั้นต้องไป CV

“ถ้าอยากคิดหุ้นเก่งๆ ต้องอ่านเยอะๆ”
“ถ้าอยากพูดเก่ง ให้ฟังเยอะๆ”

เรื่อง AI semiconductor ถ้ามาก็จะมีการเปลี่ยนเยอะ
เดิมอาจจะซื้อปีละ 200 ล้านเครื่อง ถ้ามาอาจจะเป็น 3-400 ล้านเครื่อง
ถ้าทุกอย่างชัด หุ้นอาจจะไปไกลแล้ว
ความสวยความงาม ศัลยกรรม
ค้าปลีก
หุ้น SET 50 ตัวใหญ่ที่กำไร New high แต่ ราคายังถูกมาก downside ต่ำ

Q&A
Q คิดว่า ความปลอดภัยเรื่อง Security Privacy information ของคนไทย ที่รั่วไหล ให้การเข้ามาของมิจฉาชีพ และมีความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในเรื่องของเงินสำรองประจำบุคคล กระทบในส่วนชีวิตประจำวันในการรับโทรศัพท์ มีส่วนทำให้นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมา ปีนึงขายไปถึง 2 แสนกว่าล้านบาทมั้ยคะ?
A รั่วไหลทุกที่ในโลก จีนก็เยอะ คิดว่าไม่เกี่ยวมาก
ที่เกี่ยวเยอะคือ หุ้นหลายตัวที่คนไม่มั่นใจ หุ้นแต่งบัญชี หุ้นกู้ Default มากกว่า
การทรวง digital สิงคโปร์แนะนำให้มีมือถือ 2 เครื่อง เครื่องนึงลง app ธนาคารอย่างเดียว พอ OTP ให้ไปลงอีกเครื่องนึง

Q ถามพี่มี่พี่แจ๊กกี้ว่าสนใจหุ้นที่ลงทุนประเทศพม่าบ้างหรือเปล่า อย่าง yoma strategic ขึ้นมาหลายเด้งใน 2-3 เดือนนี้เอง
A YOMA มีในพอร์ต ตอนที่ซื้อ มีแม่บ้านเป็นคนพม่า เค้าต้องโอนเงินไปทุกเดือน ที่ขึ้นเยอะๆ เพราะมันลงไป 80-90%
แต่สงครามนานกว่าที่คิด Yoma กิน market share 90%
ตอนนี้ Kbank เข้าไปทำตลาดแล้ว อาจจะเป็นความเสี่ยงของ Yoma
India เคยไปมา ซื้อหุ้นรายตัวไม่ได้ ราคาก็แพงไปแล้ว

Q Insur tech business 6060 / lining 2330 / ร้านขายยาจีน
Pingan ซื้อตอนนี้ถูกกว่าเจ้าสัวครึ่งนึง > แต่ไม่โต
เพราะไปโต Online คือ จงอัน เกิดจาก tencent + xinolink + Baba >> ตอนนี้หุ้นต่ำ BV
ใส้ในคือตัว credit + ประกันอุบัติเหตุ

Q อยากถามพี่แจ๊คกี้ครับถ้าวันนี้พี่แจ๊คกี้ต้องเริ่มลงทุนใหม่และอายุ 20 จะออมเงินด้วยอะไรครับ
A ตอนแรกต้องลงกองหลังเยอะ ใช้ Dividend method เช่นหุ้นเวียดนามบางตัวปันผล 20% ถึงหุ้นตกหนัก ก็ไม่ลงเยอะ
พอไปเจอหุ้นโตเร็วๆ ก็ค่อย switch ไประหว่างนี้ค่อยๆหาโอกาสหุ้นตีแตกไป
อย่างหุ้นเวียดนามผมเจอแค่ FRT ทำให้เปลี่ยนพอร์ตได้ กล้าใส่น้ำหนักเยอะๆ
การกระจายความเสี่ยงก็สำคัญ

Q TPAC มองยังไง
A ตอนนี้ timimg ดี สินค้า margin ต่ำ แต่ไม่มี brand / upside เหลือระดับนึง
ได้ตระกูลโลเฮียมาถือ / หุ้นไทยก็ประมาณนี้ / คู่แข่งถ้าเข้ามาก็แข่งได้

อย่างรองเท้าเมื่อก่อนเราผลิตเยอะมากเป็นหุ้น 10 เด้ง ต่อมามีประเทศที่ผลิตได้ถูกกว่า ก็ย้ายไปเลย
ต้องสร้าง Brand ให้ได้ และต้อง Turn ไป Global ให้ได้ เช่นรองเท้าจีนอย่าง Li ning

CV จีน จัดไป Tencent โรงเรียนจีน คุณแจ๊กกี้พาไป

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น