ARISTA

ARISTA Hardware Vendor ผู้ได้ประโยชน์จากเทรนด์ Data Center
.
Data Center เป็นหนึ่งใน Mega Trend ในการลงทุน เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของธุรกิจในยุคปัจจุบัน และยังเติบโตเพื่อรองรับการขยายตัวของ Big Data, Cloud, IOT และอื่นๆ ทำให้หลายบริษัทเพิ่มการลงทุนใน Data Center อย่างต่อเนื่อง โดย Networking เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญสำหรับ Data Center
.
ธุรกิจของ Arista
.
Arista Networks เป็นหนึ่งในผู้นำด้านระบบ Networking สำหรับ Data Center มีลูกค้าตั้งแต่บริษัท Big Tech ระดับโลกมาจนถึงมหาวิทยาลัย โดย Arista มีสินค้าหลักคือ Switches และ Arista EOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับ Cloud Networking
.
รายได้ของ Arista กว่า 65% มาจากตลาด Data center และที่เหลือมาจากตลาด Campus หรือมหาวิทยาลัย
โดยความแตกต่างระหว่าง Data Center และ Campus คือ ลูกค้ากลุ่ม Campus ต้องการตัว users เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเข้าด้วยกันทำให้ต้องการจำนวนพอร์ตที่เยอะ
ขณะที่ Data center เชื่อมต่อระหว่าง server กับ server ไม่ได้แต่ต้องจำนวนพอร์ตมากเท่า แต่จะต้องการความเร็วและ Bandwidth

รู้จักกับ Switches
.
Switches คือ Hardware ชนิดหนึ่งประกอบด้วยพอร์ตเชื่อมต่อหลายๆพอร์ต ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อื่นๆ อาทิเช่น คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ POS, Printer, IP Phone หรือ Server โดย Switches ของ Arista ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ใน Data Center และ Network Campus โดยเฉพาะ โดยรองรับความเร็วตั้งแต่ 10G, 25G, 40G, 50G, 100G, 200G และ 400G
.
โดยลูกค้าของ Arista มีมากกว่า 9,000 บริษัททั่วโลก แต่มีลูกค้าหลัก 2 รายคือ META และ Microsoft เป็นสัดส่วนรายได้ถึง 40% ในปี 2022
.
โดยตลาดของ Networking เป็นตลาดแข่งขันกันสูงมากและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยผู้นำตลาดในอดีตคือ Cisco และยังมียังมี Equipment Vendors อื่นๆ เช่น DELL, HP, หรือ Juniper แต่ Cisco ได้เสีย Market share ให้กับ Arista โดย 10 ปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งตลาดของ Arista โตจาก 2% เป็น 25% ขณะที่ Cisco ลดลงจาก 78% เหลือ 36% และใน High End Market ที่ความเร็ว 100G/200G/400G Arista เป็นผู้นำในตลาดนี้โดยมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 42% ขณะที่ Cisco ที่เป็นสองมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 21%
.
สาเหตุที่ Cisco เสีย Market share ได้ Arista แม้ราคาขายของ Arista แพงกว่า มาจากการที่ ระบบของ Cisco เป็นระบบปิด ในทางกลับกันระบบของ Aristaนั้นเปิดให้เชื่อมกับ Hardware ของ Vendors เจ้าอื่นได้ง่าย ทำให้การย้ายจาก Cisco ไป Arista ทำได้ง่าย
และในตลาด High end ระบบของ Arista ทำ Switches ออกมาได้ดีกว่า โดยเฉพาะ Switches รุ่น 7800R3 ตัวท็อปของ Arista รองรับ Bandwidth ได้สูงถึง 460 Tbps ขณะที่ Cisco Nexus 9800 series รองรับได้เพียง 115 Tbps จึงเก็บกินในตลาดเทคโนโลยีสูงไปเลย
.
มุมมองในอนาคต
.
แม้ปีที่ผ่านมาบริษัทรายได้เติบโตได้สูงถึง 41% เพราะเป็นปีที่ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Meta เพิ่มเงินลงทุนใน Data Center โดยในปีที่แล้วรายได้ของ Arista มาจาก Meta มากถึง 25% และโดยทั่วไปการลงทุนใน Data Center เป็นวัฏจักรตามการเปลี่ยนของ Technology หากบริษัทเพิ่งลงทุนใหญ่ไปต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อลงทุนใหม่ โดยในปี 2019, 2020, 2021 สัดส่วนรายได้ของ Arista จาก Meta อยู่ที่ 13.9%, 7.1%, 1.6% ตามลำดับ
.
ในส่วนของ Trend generative AI ที่กำลังมาแน่นอนว่า Arista เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ประโยชน์ หากมีการลงทุนใน GPU เพื่อ Train AI ก็ต้องก็ต้องลงทุนเพิ่มใน Networking แต่ทว่า Demand ของอุตสาหกรรม Data Center ทั้งหมดยังชะลอทำให้ภาพในระยะสั้นของ Aristaยังดูไม่ดีนัก
.
มุมมองระยะยาวเทรนด์ Data Center ยังดูดี หาก Arista ยังรักษาส่วนแบ่งตลาด High end ไว้ได้จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น
.
BottomLiner

บทความ

✅ ว่าด้วยหุ้น Turnaround | โดย ลงทุนดิ
.

Ref. EAMR

– – – – – – – – – – – – – – – –

🔰หุ้น Turnaround คืออะไร ?

หุ้น Turnaround คือ หุ้นที่จากเดิมมีผลการดำเนินงานไม่ดี (อาจจะกำไรน้อย หรือไม่มีกำไร) กำลังจะปรับตัวและ กลับมาเป็นหุ้นเติบโตอีกครั้ง

– – – – – – – – – – – – – – – –

🔰Stage ของการ Turnaround ได้แก่

1. การเปลี่ยนแปลงการบริหาร (Management Change Stage)
● การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่
● การปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร

2. การประเมินสถานการณ์ (Evaluation Stage)
● การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินและการดำเนินงาน
● การกำหนดปัญหาและโอกาสในการฟื้นฟู

3. ระยะฉุกเฉิน (Emergency Stage)
● การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วน
● การปรับปรุงสภาพคล่องทางการเงิน

4. ระยะการสร้างเสถียรภาพ (Stabilization Stage)
● การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
● การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร

5. ระยะกลับสู่การเติบโต (Return-to-Growth Stage)
● การพัฒนากลยุทธ์การเติบโต
● การขยายตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

😘 ปล. จากตารางจะเห็นว่ามีเพียง Growth Strategy จะทำให้เกิด Growth Return ได้จริง

– – – – – – – – – – – – – – – –

🔰2 การเปลี่ยนแปลงหลักที่บริษัทจะกลับมา Turnaround ได้แก่

1. Operational Turnaround (การฟื้นฟูเชิงปฎิบัติการ) :

• มุ่งเน้นที่การปรับปรุงการดำเนินงานภายใน การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพในระยะสั้น โดยมักจะเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาภายในองค์กรเอง

2. Strategic Turnaround (การฟื้นฟูเชิงกลยุทธ์) :

• มุ่งเน้นที่การปรับโครงสร้างธุรกิจ การพัฒนาและขยายตลาดใหม่ และการสร้างความแข็งแกร่งในตำแหน่งทางการแข่งขันในระยะยาว โดยมักจะเน้นที่การปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก

– – – – – – – – – – – – – – – –

🔰 รายละเอียดตัวอย่างของทั้ง 2 การเปลี่ยนแปลง

👉 Operational Turnaround (การฟื้นฟูเชิงปฎิบัติการ) :

💙 [1.1] การลดต้นทุน (Cost Reduction) :

1. การลดจำนวนพนักงาน (Downsizing Workforce) :
    – การเลิกจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็นหรือมีประสิทธิภาพต่ำ
    – การลดการจ้างงานใหม่

2. ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (Cutting Non-Urgent Expenditures) :
    – การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
    – การประเมินและควบคุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการประชุม:

3. ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Improving Process Efficiency) :
    – การใช้เทคโนโลยีใหม่
    – การฝึกอบรมพนักงาน
    – การปรับปรุงกระบวนการทำงาน

💙 [1.2] การปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Improvement) :

1. การจัดการเงินสด (Managing Cash)
    – การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินสด
    – การคาดการณ์กระแสเงินสด (Cash Flow Forecasting)

2. ลดสินค้าคงคลัง (Reducing Inventory)
    – การปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง
    – การใช้ระบบ Just-In-Time (JIT)

3. การเร่งรัดกระบวนการเรียกเก็บเงิน (Accelerating Billing and Collection)
    – การปรับปรุงกระบวนการออกใบแจ้งหนี้และเรียกเก็บเงิน
    – การเสนอเงื่อนไขการชำระเงินที่จูงใจ

4. การเจรจาขยายระยะเวลาการชำระเงินกับเจ้าหนี้ (Negotiating Extended Payment Terms with Creditors)
    – การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขยายระยะเวลาการชำระเงิน
    – การใช้เครดิตระยะยาว (Trade Credit)

5. การขายทรัพย์สินที่สามารถเช่าได้ (Selling Fixed Assets and Leasing Them Back)
    – การขายทรัพย์สินคงที่ที่ไม่จำเป็น
    – การเช่าทรัพย์สินกลับมาใช้งาน (Leaseback)

6. การลดการลงทุนในสินค้าคงคลัง (Reducing Investments in Inventory)
    – การปรับลดปริมาณสินค้าคงคลัง
    – การใช้ระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ

💙 [1.3] การลดทรัพย์สิน (Asset Reduction) :

1. ขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต (Selling Unproductive Assets)
    – การขายอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งาน
    – การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

2. ขายบริษัทในเครือที่ไม่มีกำไร (Selling Unprofitable Subsidiaries)
    – การขายบริษัทในเครือที่ไม่ทำกำไร
    – การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกลุ่มบริษัท

3. การเช่าทรัพย์สินที่ขายกลับมาใช้งาน (Leaseback Transactions)
    – การขายทรัพย์สินและเช่ากลับมาใช้งาน
    – การใช้เงินจากการขายทรัพย์สินในการลงทุนหรือชำระหนี้

4. การลดการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว (Reducing Long-Term Asset Investments)
    – การยกเลิกหรือเลื่อนการลงทุนในโครงการใหม่
    – การจัดลำดับความสำคัญในการลงทุน

💙 [1.4] การปรับโครงสร้างทางการเงิน (Financial Restructuring) :

1. การปรับโครงสร้างหนี้ (Restructuring Loans):
    – การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้
    – การแลกหนี้เป็นหุ้น (Debt-to-Equity Swap)
    – การยกเว้นหนี้บางส่วน (Debt Forgiveness)

2. การลดการจ่ายเงินปันผล (Reducing Dividends)
    – การลดหรือยกเลิกการจ่ายเงินปันผล

3. การออกหรือซื้อคืนหุ้น (Issuing or Repurchasing Shares):
    – การออกหุ้นใหม่
    – การซื้อคืนหุ้น
.
.

👉 Strategic Turnaround (การฟื้นฟูเชิงกลยุทธ์)

💚 [2.1] การเข้าซื้อกิจการ (Acquistions) :

1. เข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร (Acquiring New Businesses to Strengthen the Company)
    – การเข้าซื้อกิจการในสายธุรกิจเดียวกัน (Horizontal Acquisition)
    – การเข้าซื้อกิจการในสายธุรกิจที่แตกต่างกัน (Vertical Acquisition)
    – การเข้าซื้อกิจการในสายธุรกิจที่เป็นพันธมิตร (Related Diversification)

2. ขยายการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ (Expanding Market Reach)
    – การเข้าซื้อกิจการในตลาดใหม่ (Geographic Expansion)
    – การเข้าซื้อกิจการในตลาดที่มีการเติบโตสูง (High-Growth Markets)

3. การเสริมสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Enhancing Innovation and Technology)
    – การเข้าซื้อบริษัทที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ก้าวหน้า (Technology Acquisition)
    – การรวมเทคโนโลยีและความรู้ความสามารถ (Knowledge Integration)

4. การเพิ่มทรัพยากรและความสามารถในการดำเนินงาน (Augmenting Resources and Operational Capabilities)
    – การเข้าซื้อบริษัทที่มีทรัพยากรที่สำคัญ (Resource Acquisition)
    – การเพิ่มความสามารถในการดำเนินงาน (Operational Synergies)

5. การลดความเสี่ยงและเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจ (Risk Reduction and Business Sustainability)
    – การกระจายความเสี่ยง (Risk Diversification)
    – การเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจ (Sustainability Initiatives)

💚 [2.2] การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development) :

1. การวิเคราะห์และระบุโอกาสทางการตลาด (Market Opportunity Analysis)
    – การศึกษาตลาดและแนวโน้ม
    – การวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า
    – การระบุช่องว่างในตลาด

2. การวางแผนและกำหนดแนวคิดผลิตภัณฑ์ (Concept Development and Planning)
    – การระดมความคิดและการสร้างแนวคิด
    – การประเมินแนวคิด
    – การเลือกแนวคิดที่เหมาะสม

3. การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Design and Development)
    – การออกแบบต้นแบบ (Prototype Design)
    – การพัฒนาต้นแบบ (Prototype Development)
    – การทดสอบต้นแบบ (Prototype Testing)

4. การทดสอบและประเมินผลผลิตภัณฑ์ (Product Testing and Evaluation)
    – การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
    – การทดสอบในตลาดจริง
    – การรวบรวมและวิเคราะห์ผลการทดสอบ

5. การวางแผนการผลิตและการดำเนินงาน (Production Planning and Operations)
    – การวางแผนกระบวนการผลิต
    – การจัดหาวัสดุและส่วนประกอบ
    – การกำหนดเวลาและปริมาณการผลิต

6. การเปิดตัวและการทำการตลาด (Product Launch and Marketing)
    – การวางแผนกลยุทธ์การเปิดตัว
    – การสร้างแคมเปญการตลาด
    – การกระจายสินค้าและการจัดจำหน่าย

7. การติดตามและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ (Post-Launch Monitoring and Improvement)
    – การติดตามผลการขายและการตอบรับจากลูกค้า
    – การวิเคราะห์ข้อมูลและการปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    – การวางแผนการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง

💚 [2.3] การขายตลาด (Market Expansion) :

1. การเข้าตลาดใหม่ (Entering New Markets)
    – การขยายธุรกิจไปยังตลาดที่ยังไม่ได้พัฒนา (Entering Untapped Markets)
    – การเข้าตลาดต่างประเทศ (International Expansion)

2. เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ (Expanding Distribution Channels)
    – การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์
    – การขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก
    – การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ

3. การปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Improvement and Development)
    – การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
    – การปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม

4. การทำตลาดเชิงรุก (Aggressive Marketing)
    – การทำแคมเปญการตลาดที่เข้มข้น
    – การใช้การตลาดดิจิทัล

5. การทำวิจัยตลาด (Market Research)
    – การศึกษาความต้องการของลูกค้า
    – การวิเคราะห์คู่แข่ง

💚 [2.4] การปรับโครงสร้างธุรกิจ (Business Restructuring) :

1. การวิเคราะห์และวางแผนการปรับโครงสร้าง (Analysis and Restructuring Planning)
    – การประเมินสถานการณ์ทางการเงินและการดำเนินงาน
    – การกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การปรับโครงสร้าง
    – การวางแผนและกำหนดขั้นตอนการปรับโครงสร้าง

2. การลดขนาดและการถอนตัวจากธุรกิจที่ไม่ทำกำไร (Downsizing and Divestiture of Unprofitable Units)
    – การปิดหรือขายหน่วยธุรกิจที่ไม่ทำกำไร
    – การลดขนาดองค์กรและลดจำนวนพนักงาน
    – การขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น

3. การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร (Organizational Restructuring)
    – การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการดำเนินงาน
    – การปรับเปลี่ยนบทบาทและความรับผิดชอบของผู้บริหาร
    – การปรับปรุงกระบวนการทำงานและการสื่อสารภายในองค์กร

4. การรวมกิจการและการเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions)
    – การรวมกิจการกับบริษัทอื่นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
    – การเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพสูง
    – การรวมกิจการและการประสานงานระหว่างองค์กร

5. การปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน (Financial Restructuring)
    – การปรับโครงสร้างหนี้และการเจรจากับเจ้าหนี้
    – การเพิ่มทุนหรือการออกหุ้นใหม่
    – การจัดการสินทรัพย์และการลดภาระหนี้สิน

6. การปรับปรุงการดำเนินงาน (Operational Restructuring)
    – การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    – การลดต้นทุนและการปรับปรุงกระบวนการผลิต
    – การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน

7. การบริหารการเปลี่ยนแปลงและการสื่อสาร (Change Management and Communication)
    – การบริหารการเปลี่ยนแปลงและการสร้างความเข้าใจให้กับพนักงาน
    – การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร
    – การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

💚[2.5] การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Culture Change) :

1. การวิเคราะห์วัฒนธรรมองค์กรปัจจุบัน (Current Culture Analysis)
    – การประเมินวัฒนธรรมองค์กรปัจจุบัน
    – การระบุปัญหาและความท้าทาย
    – การกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนแปลง

2. การกำหนดค่านิยมและวิสัยทัศน์ใหม่ (Setting New Values and Vision)
    – การกำหนดค่านิยมใหม่ขององค์กร
    – การสร้างวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่
    – การสื่อสารค่านิยมและวิสัยทัศน์ใหม่ให้กับพนักงาน

3. การสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง (Creating a Supportive Environment)
    – การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น
    – การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน
    – การจัดการความขัดแย้งและการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง

4. การพัฒนาและฝึกอบรมพนักงาน (Employee Development and Training)
    – การจัดอบรมและพัฒนาทักษะใหม่
    – การส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
    – การสร้างระบบการพัฒนาทางอาชีพ

5. การสร้างแรงจูงใจและการยอมรับการเปลี่ยนแปลง (Motivation and Change Acceptance)
    – การสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน
    – การยอมรับและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
    – การวัดผลและติดตามความก้าวหน้า

💚[2.6] กลยุทธ์การเติบโต (Growth Strategy) :

1. การขยายตลาด (Market Expansion)
    – การเข้าตลาดใหม่
    – การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ
    – การปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)
    – การวิเคราะห์และระบุโอกาสทางการตลาด
    – การวางแผนและกำหนดแนวคิดผลิตภัณฑ์
    – การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์
    – การทดสอบและประเมินผลผลิตภัณฑ์
    – การวางแผนการผลิตและการดำเนินงาน
    – การเปิดตัวและการทำการตลาด
    – การติดตามและปรับปรุงผลิตภัณฑ์

3. การเข้าซื้อกิจการ (Acquisitions)
    – การเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
    – ขยายการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ
    – การเสริมสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี
    – การเพิ่มทรัพยากรและความสามารถในการดำเนินงาน
    – การลดความเสี่ยงและเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจ

4. การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Alliances)
    – การร่วมมือกับบริษัทอื่นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
    – การสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ
    – การพัฒนากลยุทธ์ร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

5. การปรับปรุงกระบวนการและการเพิ่มประสิทธิภาพ (Process Improvement and Efficiency Enhancement)
    – การวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการทำงาน
    – การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน
    – การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและลดต้นทุน

– – – – – – – – – – – – – – – –

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ

ติดต่องาน Inbox Facebook

#ลงทุนดิ
#หุ้นTurnaround

SGN

พื้นฐานกำลังจะเปลี่ยนเมื่อSGNกระโดดเข้ามาทำส่วนCargoแล้ว ทำให้เริ่มคาดว่าที่สนามบินใหม่SGNต้องเอาจริงกับส่วนนี้เพิ่มเติมแน่

” SAIGON GROUND SERVICES JSC IS PROUD TO CONTINUE TO ACCOMPANY
SF AIRLINES IN CARGO FLIGHTS TO HO CHI MINH CITY Tan “

What does the future hold for SGN?

Regarding what the future of SGN is, everyone here probably knows everything, I will summarize this comment, the following comments will go into detail.

(1) The recovery of international passenger flights, which is natural, especially Da Nang and Cam Ranh;

(2) Cargo volume growth of up to 20% – 30% also contributes significantly to SGN’s revenue (increase in cargo flights);

(3) There is no longer a large provision for Bamboo and Vietravel’s receivables. In 2023, the provision will reach 62 billion.

(4) The catalysts will arrive one after another according to the time of T3 Tan Son Nhat, Long Thanh, expanding Da Nang airport (DN is allowed to pilot to become a free trade zone);

(5) Opening a new business segment when cooperating with SAS, or contributing capital with ACV to participate in the freight terminal in Long Thanh?

(6) Air Asia (if it happens) this will be extremely wonderful, like replacing the barren land (VietJet) with more fertile land (Air Asia).

In the immediate future, the Q2 business results are expected to be very positive, along with the timing of dividends in August.

SGC

Analyst and Investor Meeting Singer & SGC  4 July 2024 15.00

คุณอโนทัย CEO SGC มาupdateแผนเพิ่มทุน
SGC มีหนี้ 13,000 ลบ และ ปล่อยสินเชื่อไป 15,000ลบ

แผนการใช้เงินเพิ่มทุน RO 1:1 ยังไม่กำหนดราคา และ แจก W1,W2 ก็ผู้ที่เพิ่มทุน
ปี2567 ออก RO 3,270 ล้านหุ้น ,ชำระคืนหนี้ 4,000ลบ ทำให้บริษัทสามารถลดดอกเบี้ยได้ 60 ลบ ต่อไตรมาส
ทำให้ ลดDE จาก 3.4 เท่า เหลือ 1เท่ากว่าๆ ทำให้สุขภาพการเงินของSGCดีขึ้น สามารถจะออกBondได้และขยายพอร์ตสินเชื่อในอนาคตได้
ปี2568  หลังจากRO และออก SGC-W1 654 ล้านหน่วย มีการแปลงสภาพ ทำให้มีเงินทุนสำหรับปล่อยสินเชื่อ Locked Phone
ปี2570  SGC-W2 อายุ2ปี มีการแปลงสภาพเป็นหุ้น 1,308 ล้านหน่วย ทำให้มีเงินชำระหนี้ 1,000 ลบ และ ที่เหลือเก็บเป็นWorking cap
ปี2571 ชำระเงินกู้ระยะสั้นหมด

4 Crucial Elements for Business Turnaround  SINGER&SGC
1. High EIR 28% ดีกว่า ธุรกิจเดิม C4C 14%
2. Technology platform
3. Scale 5,000 ร้านค้า ตอนนี้ได้ 2,900 ร้านค้าแล้ว ณ สิ้น มิย 67
4. Risk management Low NPL  กว่าธุรกิจเดิม

Key Factors :
1. Increase Interest Income from SGF+ ดอกเบี้ยรับเพิ่มเป็น 28%
2. Cost control มีการควบคุมต้นทุน โดยลดคน ลดprocess แต่ประสิทธิภาพเหมือนเดิม
3. NPL Control
4. Reduce Cost of funds จากการเพิ่มทุนผ่าน RO 1:1
5. Technology

C4C VS Locked Phone
อัตราดอกเบี้ย           14% :  28% + Fee
ระยะเวลาให้สินเชื่อ   48-60 เดือน  :  12-24 เดือน  ทำให้ Locked phone หมุนเงินกลับมาปล่อยได้เร็วขึ้น2-3เท่า ลดการใช้ทุนลง
ค่าคอมที่จ่าย            จ่ายคอมให้พนักงานขาย :  ไม่มีค่าคอม และขายผ่าน Key account > 3,000 ลบ

เรามีแบรนด์เข้ามาเพิ่ม คือ Real me ทำให้ ตอนนี้มี 4 Brands market shareที่ขายในไทย 55% (Mi, OPPO , VIVO) แล้วที่ปล่อยสินเชื่อได้
คุณอโนทัยได้update การปล่อยสินเชื่อ
เมษา 67   ปล่อยสินเชื่อ 3,215 สัญญา มีแบรนด์ Mi,Oppo  ร้านค้า Jaymart
พค 67      ปล่อยสินเชื่อ 8,241 สัญญา มีแบรนด์ Mi,Oppo,Vivo  เพิ่ม AIS
มิย 67      ปล่อยสินเชื่อ 18,012 สัญญา มีแบรนด์ Mi,Oppo,Vivo  เพิ่ม COM7, IT city, TG phone  2,900shops
กค 67      ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 30,000 สัญญา มีแบรนด์ Mi,Oppo,Vivo,Realme
ธค 67      ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 100,000 สัญญา มีแบรนด์ Mi,Oppo,Vivo,Realme  target 5,000 shops

ช่วง 31 มีค 67 มีสินเชื่อรวม 14,500 ลบ เป็น สินเชื่อรถทำเงิน 11,376 ลบ คิดเป็น 78%ของสินเชื่อรวม
ลดขนาดPortสินเชื่อรถทำเงิน เพื่อนำไปใช้ปล่อยสินเชื่อ Locked Phone ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า ประมาณ 1,500 ลบ
ทำให้ port สินเชื่อรถทำเงินเหลือ 8,000-9,000ลบ  (ดูตัวเลขน่าจะมีเงินปล่อย 2,000-3,000ลบ นะ)

Move to New Business Model with High Returen
จากรูป รถทำเงิน 80% สัดส่วนการปล่อยต่อไปจะลดลง และไปเพิ่มในส่วนของLocked Phone
ซึ่งใช้เงินน้อยกว่าแต่สร้างรายได้มากกว่าเดิม

Manage High Risk
1.จากล่างสุด ใช้เทคโนโลยี manageความเสี่ยง  มีการยืนยันผ่าน EKYC มีการเช็คbacklistจาก Singer,JMT ถ้าเจอไม่รับ
มีการจ่ายมัดจำ ขั้นต่ำ20% และสัญญา 12-24เดือน  มือถือราคาเริ่มต้น 8,000บาท ถ้าไม่จ่าย3เดือนขึ้นไปแจ้งตำรวจ
2.Lock system Litigation ควบคุมคุณภาพสินเชื่อด้วยการlock มือถือถ้าไม่ผ่อนต่อตั้งแต่เดือนแรก
3.Seize goods เกิน3เดือน ตามยึดสินค้า

คุณนราธิป CEO Singer มาพูดในส่วนของSinger,SGC
Financial Forecast Highlight เทียบระหว่างเพิ่มทุน กับ ไม่มีการRO
1. Financial cost  RO  ต้นทุนดอกเบี้ยน้อยกว่า Roll over หุ้นกู้
2. Net profit  RO ทำให้กำไรในระยะยาวสูงขึ้น
3. DE Ratio  หลังRO DE ratio ต่ำลง
4. Debt to singer

Financial Income : Singer
เส้นสีแดง Singer Financial cost ทยอยคืนหนี้ปีนี้ Q3 67 และ Q1 68 ได้รับคืนเงินกู้หมด
Q2 68 ไม่มีดอกเบี้ยต้องจ่ายแล้ว
เส้นสีฟ้า คาดการณ์ ดอกเบี้ยรับจาก SGC  หลังเพิ่มทุน singer รับดอกเบี้ยตั้งแต่ Q4เริ่มลดลงจากการคืนหนี้Q3 67
และลดลงอีกในQ1 68
เส้นสีเขียว Financial income รายได้รวมสูงขึ้น เนื่องจาก cost ลดเร็วกว่า รายได้จากดอกเบี้ยลด

Operating Income & Expense
-Expense แท่งสีแดง ขยับขึ้นในQ2 24 และเริ่มลดลงในQ3 และ คงที่
-Admin cost แท่งสีเขียว ขยับขึ้นในQ2 24 และเริ่มลดลงจากQ3 ไปเรื่อยๆ จากการ leanองค์กร ปรับoperation
ปรับwarehouse,logistic ใหม่ ใช้คนน้อยลง ขายของมือสองลดเหลือ50% ปิดคลังสินค้ามือสองไปหลายที่
-Operating income เส้นสีน้ำเงิน ค่อยๆขยับขึ้น จาก Admin cost เริ่มลดลงจากQ3 67

Q2 2024
Q-Q คาดว่าโต 24% โตมาจากสินค้าใหม่
Y-Y คาดว่าโต 30%  โตมาจากสินค้าใหม่ และ สินค้ามือสอง
Target 2H 2024
เทียบกับ 1H 2024 จะโตขึ้น 40% จาก สินค้าใหม่ สินค้ามือสอง และ small app

และ สค 2024 Singer จะเปิดตัวธุรกิจใหม่ ต้องติดตามดู

Q&A
1. เป้า SGC : 11,000 to 12,000 ล้านบาท สำหรับ ปี2024&2025
เพราะ ปรับ port สินเชื่อ รถ (c4c=cash for car) มาเป็น สินเชื่อมือถือ  1,500 ลบ

2. กรณีที่ ราคาหุ้นตก รายย่อยอาจไม่เพิ่มทุน
ตอบ Singer ถือ 75% .. worse จะสามารถ reschedule หนี้

3. กรณีปล่อยสินเชื่อ 1แสนเครื่องต่อเดือนตกปล่อย 1.2ล้านเครื่องต่อปี
ยอดปล่อยจะประมาณ8400ล้านบาทขึ้น มีทุนเพียงพอในการปล่อยไหม
ตอบ เป้า ธันวา 1 แสนเครื่อง -> เงินจะได้จาก เพิ่มทุน และ เงินจาก warrant .. การปล่อยสินเชื่อมือถือ
ปีหน้าตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 20%

4. Q2 โตจากQ1 โต40% ปีหน้าคาดโตเท่าไหร่
ตอบ 20%

5.เพิ่มทุน Singer ไหม?
ตอบ ไม่ความจำเป็น เพราะ ending cash 5000 ล้าน

6. Apple เข้า SG Finance Plus ไหม ?
ตอบ  ถ้า Apple สามารถทำ Lock Phone หรือ Lock iOS ได้ เรายินดี

7.มีแผนสำรองไหม ถ้าหากเพิ่มทุนไม่ได้?
ตอบ อย่างน้อย Singerจะเพิ่มทุน และ สามารถreschuduleได้

8.ส่วนแบ่งกำไรค่าFee300บาท แบ่งให้Jmartกี่บาท คิดเป็นกี่%ครับ ระหว่างSgc กับJmartครับ?
ตอบ เก็บที่ sgc ทั้งก้อน เพราะมีต้นทุนเรื่องระบบ check NCD .. ระบบ sgc แยกจาก kpc ไม่เกี่ยวข้องกัน

9. ธุรกิจ locked phone มีผลตอบแทนที่ดี จะมีคู่แข่งเข้ามาทำธุรกิจนี้ได้หรือไม่ และ SGC จะปรับตัวอย่างไร?
ตอบ 1)ธุรกิจที่จะเข้ามาแข่งต้องมี license การขอ license ยากขึ้น
2) ecosystem ของ Jmart มีความพร้อม e-KYC เพื่อเช็คNCDว่า ลูกค้ามีความสามารถผ่อนสินเชื่อได้หรือไม่

10. Singer พร้อมเพิ่มทุนไหมจะกู้ธนาคาร หรือ ยืมจากJmart ครับ?
ตอบ เรามีเงินสดอยู่ 2,700 ลบ ส่วนที่เหลือก็ขอผ่านแบงค์ ขึ้นกับราคาที่กำหนด

11. Approve rate ของ SGF+ อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ครับ ?
ตอบ 30-40% เราเน้นที่คุณภาพของลูกค้ามากกว่า

12.นวัตกรรม Locked phone แตกต่างจากของคู่แข่งอย่างไรบ้าง ถ้าลูกค้าไม่จ่ายจะตามมือถือกลับได้อย่างไร
ตอบ คงไม่หนีกัน เกิดที่ อินเดีย, มาเลย์ แต่ในไทย เพิ่มเริ่มใช้ โดย ใช้กับ Chinese Brand คือ Mi,Oppo , Vivo ,Realme

13. อยากให้เล่าถึง port ปัจจุบันของ sgc ทั้ง c4c และ hp ว่า การเก็บเงินเป็นยังไง npl ยังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีกไหม และแนวโน้มจอง ecl ด้วยครับ?
ตอบ เรา control npl ของ c4c ตอนนี้เก็บได้ 400ต่อเดือน ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
และ hp (high purchase) เก็บดีขึ้น controlคนขาย โดยวัดด้วยKPIการเก็บ ถ้าเก็บไม่ได้ตามที่กำหนดก็ไม่สามารถขายใหม่ได้

14.ได้คุยกับทาง rabbit อย่างไรบ้างเรื่องการเพิ่มทุน เห็นจากข่าวบอกว่ายังสงวนท่าทีเรื่องนี้อยู่ ?
ตอบ ต้องคุย board ของสองบริษัท แต่ เป็นประโยชน์ ระยะยาวคิดว่าผู้ถือหุ้นจะสนับสนุน

15. ตามเครื่องได้อย่างไร?
ตอบ ใช้วิธีติดตามทวงถามจาก เบาไปหนัก  .. เริ่ม sms ทวงถามตั้งแต่เดือนแรกที่หยุดส่ง พอครบ 3 เดือน : ยกเลิกสัญญา .. เรารู้ที่ทำงานลูกค้า ตามยึด หรือขอคืนสินค้า

16. ถามคุณอโนทัย C4C Q2 NPL ไหลต่อไหม?
ตอบ เราสามารถควบคุม C4Cได้ดี เรามีการreview ตั้งแต่Q4 66 ทุกไตรมาสอยู่แล้ว

17. เราไม่ได้เสียค่าคอมให้ จะจูงใจให้ร้านค้าชวนลูกค้ามาขอสินเชื่อ?
ตอบ เราเป็นเครื่องมือให้คนขาย ขายของได้ง่ายขึ้น

18.ลูกหนี้ที่หยุดผ่อน 400รายเดือนที่แล้ว(12-13%ของยอดปล่อยเดือนพค)เป็นอย่างไร?
ตอบ ตอนนี้ลดเหลือ 95ราย ยังไม่ถึงเป้าที่จะให้เหลือ 50ราย
ล่าสุด Lock ไป 1,600เครื่อง คิดเป็น 13-14%อัตราเท่ากับเดือน พค  ลูกค้าก็กลับมาจ่าย

19.ลูกค้าไม่ยอมผ่อนต่อ และ ขายผ่านตู้ เรามีวิธีแก้ไขอย่างไร?
ตอบ เรามีประชาสัมพันธ์ไปที่โรงรับจำนำที่ตู้ขายโทรศัพท์ให้ทราบ และเครื่องจะบอกว่าเป็นของSGC

20.Locked มือถือเราต่างกับค่าย AIS,Trueอย่างไร?
ตอบ การLockมีสองแบบ คือ ทำที่เครื่อง หรือ Lockสัญญาณโทรศัพท์ ไม่แน่ใจว่า ค่ายมือถือเป็นแบบไหน
ของเราLockที่เครื่องผ่านการดีลกับBrandตั้งแต่แรก

21. แผนการชำระคืนเงินต้นปี2025 เป็นอย่างไร?
ตอบ SGC มีเงินเพียงพอคืนเงินกู้ที่ยืมจากSingerได้

DITTO

Ditto Corporate Day By BLS 28-6-24

Data Document Managemnent
+ Netbay Solution Serivice เอา 2 ทีมมาพัฒนา product ร่วมกัน
งบ67 ออกมาแล้ว เราก็ขยายผล หลังจากนี้จะมีรายได้เรื่องนี้มากขึ้น
ใช้ทีมขายร่วมกัน เกิดรายได้แบบ Recurring + ขยายตลาดมากขึ้น
+ เรื่อง cloud first Policy > ทำให้หน่วยงานภาครัฐใช้ cloud มากขึ้น จากเดิมที่ต้องเป็น On Premise เท่านั้น > Cloud ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ
เราไปร่วมในส่วน Platform on Cloud
ตอนแรก netbay กับ ditto จะต่างกันตรง ditto เป็นเรื่องภายในองค์กร / netbay เป็นการเชื่อมต่อภายนอก > เป็นการ synergy กัน

Project ศาลก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
ปีนี้จะมีงานกรมที่ดินที่เพิ่มขึ้นมา มูลค่า 400+ล้าน จะเข้าประมูลใน 2 เดือน
งานธกสเดิมที่ได้ไปแล้ว 180 ล้านกำลังรอ phase2
งานปรับปรุงหนี้กับ ธกส > บริการลูกหนี้ทั่วประเทศ
กลุ่ม อบต อบจ งบไม่เยอะ 3-5แสน แต่จำนวนเยอะ
ยังมีงาน MA Recurring ต่างๆอีกหลายโครงการ
กรมศิลปากร เอกสารทางโบราณคดี / วัตถุ มูลค่า 68 ล้าน
งบปี 2567 – 68 ขั้นต่ำจะมีมาเพิ่ม 1000+ ล้าน หรือถ้าได้โครงการใหญ่อีกอาจจะถึง 2000 ล้าน

Backlog รวม 4600 ล้าน ในอีก 2 เดือนเพิ่มเป็น 5000 ล้าน
เพราะงบภาครัฐออกมามากขึ้น
ความคืบหน้า Project สวนสัตว์ ฐานรากใกล้เสร็จแล้ว
ครึ่งปีหลังจะเริ่มรับรู้รายได้ของ Ditto แล้ว
โครงการไม้มีค่า เราถือ portion ประมาณ 1000 ล้าน จาก 2000 > กำลังสร้างอาคารอยู่ จะรับรู้รายได้ปีหน้า

โครงการปลูกป่าเพื่อ carbon credit 93 ชุมชนใน 8 จังหวัด เริ่ม เซนต์สัญญา
21 June 2024 ป่าปลูกใหม่ 2000 ไร่ขึ้นทะเบียน Premium TVER แล้ว approve ปลายสิงหา
จะได้ carbon credit 17000 ตันต่อปี
อีกกลุ่มก็จะขึ่้นทะเบียนตาม หลังจากนั้นจะทำ Green Tokenize > เอาเงินไปพัฒนาป่าชายเลน

Financial Highlight
1Q/24 – Y2023 – Y2022
Revenue 717.38 – 1,816.51 – 1,236.71 +47%
Gross Profit 158.76 – 541.74 – 411.25 +32%
GPM 30% – 33%
Net Profit 104.59 – 335.10 – 234.75 +43%
NPM 18% – 19%
Revenue 2023 > BU Technology Engineering 810M / Data&Document Management 709M / Printer and Hardware 298M
1Q24 BU Technology Engineering โตขึ้น 54% แต่จะมี GP ที่ต่ำกว่า BU Technology
Q1 ไม่ได้รับรู้รายได้ สวนสัตว์ ไม้มีค่าเลย / Q1 แทบไม่มีรายได้จากโครงการใหม่เลย
Backlog as of 31 march24 = 4,624M > Engineering 2,709M / Data&Document Management 1,915M

Q&A
Q E service ของ Ditto ได้ไปงานของ กทม / พัทยามั้ย
A ยัง ส่วนใหญ่ไปตจวมากกว่า

Q กล้องติดตัวตำรวจมีความเป็นมายังไง
A กฏหมายเริ่มบังคับให้เจ้าหน้าที่ติดกล้องเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ > เกิด input Data > เหมือนกล้องวงจรปิด > สามารถไปทำด้าน analytic ได้
เริ่มจากเราทำการเชื่อมข้อมูลของศาล และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้
opportunity ที่เราจะก้าวไปคือเรื่องของ data ที่เรามี foot print อยู่แล้ว ซึ่งเปิดโอกาสให้เราเข้าไปรับการของกรมตำรวจ
อะไรที่มองว่าเราสามารถไปขยายจุดแข็งที่มีอยู่ ก็สามารถเข้าไปได้ แม่กำไรจะน้อยแต่สามารถต่อยอดได้

Q การเบิกจ่ายงบรัฐที่ล่าช้ามีผลต่อ CFO
A เรา conservative / Reserve Cash ไว้เพียงพอ > เพื่อรอรับงานใหญ่ระดับเป็นหมื่นล้านโดยไม่ต้องกู้เลย
พอเกิดภาวะแบบนี้จึงไม่มีปัญหาเลย > เราไม่มีหุ้นกู้ ไม่ได้กู้ bank DE เราต่ำมาก เรา conservative มาก

Q สถานการณ์การเบิกจ่ายงบพ้นจุดต่ำสุดหรือยัง
A ดีขึ้นแล้ว ภาครับเอง ก็เร่งให้เบิกจ่ายอยู่

Q กล้องติดตัวตำรวจที่ทำให้รายได้เติบโตมากใน Q1 ต่อไปจะมีแบบนี้อีกมั้ย
A 1 time แบบนี้มีน้อย แต่เรามองเรื่องการต่อยอดงานไปมากกว่า
เรา Focus ที่งาน Data Recurring / พอมี Netbay TeamG เราเอา Project มากางร่วมกัน และใครเก่งตรงไหนก็เอามาเสริมกัน
1 time project จะสนใจก็ต่อเมื่อมีงานต่อเนื่อง

Q งานกล้องตำรวจ คาดหวังงานต่อเนื่องอะไร
A เราทำงานด้านศาล ซึ่งข้อมูลตำรวจก็ต้องมา Link กัน
ทางศาลปรับระบบเป็น E filing แล้ว ซึ่งทางอัยการก็พร้อมมาเชื่อมโยงแล้ว
ภาพใหญ่คือสำนวนคดีจะต้องปรับเป็น Digital และมีการเชื่อมโยงกัน
ศาล – ตำรวจ – อัยการ ต้องเชือมกัน ขาดแต่รองบประมาณภาครัฐ

Q ทำงานกับ Netbay เป็นยังไงบ้าง
A สนุก เค้าเป็นมืออาชีพมาก
Ditto ถนัดหางาน สร้างโอกาส
Netbay ถนัดงานพัฒนา
เราสมประโยชน์กัน ได้ทีมที่แข็งแกร่ง พยายามสร้าง Product / Service ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้
พอได้ Project แล้วจะเป็นงาน Recurring ที่เปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของลูกค้า

Q ลักษณะการ Synergy เป็นงานแบบไหน
A Ditto ทำ Data document Management / เรื่องข้อมูลในองค์กร
ใน 1 องค์กรมีข้อมูลหลายมิติ เช่นฝั่งบุคคล ฝั่งขาย เราเก่งเรื่องการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบ เข้าถึงง่าย
Netbay ที่เข้ามาจะช่วยมาเชื่อมองค์กร A ไป B (Gateway)
องค์กร A อาจจะใช้ภาษาแบบนึง B แบบนึง > Netbay ทำหน้าที่เชื่อมส่วนนี้

Q Netbay ที่เก่งด้านกรมศุล ปปง เราได้ประโยชน์ในส่วนนี้มั้ย
A ส่วนกรมศุลเป็นการเชื่อมโยงกับลูกค้าเพื่อนำเข้าส่งออก
ปปง เป็นการทำเรื่องการตรวจสอบข้อมูลบุคคล
Ditto ไม่ได้ทำในส่วนนี้ ในอนาคตไม่แน่

Q สัดส่วนรายได้เอกชนรัฐเป็นเท่าไหร่
A Engineering Project เป็น รัฐ 100%
ด้าน Data เอกชน 60% รัฐ 40%
งาน Post เป็นเอกชน 70%

Q มีแผนซื้อหุ้น Netbay เพิ่มมั้้ย
A ยังไม่คิดซื้อ เราซื้อเพราะมองในมุม synergy / ตอนนี้เพียงพอมั้ย

Q งานภาครัฐเข้ามามากแค่ไหนแล้ว
A Q2 ได้แล้ว เติมจาก backlog เดิม 4600 ได้มาเพิ่มซัก 500ล้านอยู่ระหว่างรอเซนต์สัญญา

Q รัฐบาลใหม่มาเราก็ยังได้งาน
A เราทำในสิ่งที่ถนัด

Q งาน อบต อบจ ที่ได้ร่วมกับ Netbay ที่เป็นงาน Consotium จะมีงานที่ทับซ้อนกันมั้ย
A ของเราจะเป็นงาน Platform มากกว่า บริหารจัดการให้หน่วยงาน ซึ่ง Budget นี้ไม่ใช่ Budget ใหญ่เมื่อก่อนเป็น On Premise ต่อไปถ้าเป็น Cloud จะดีขึ้นมาก

Q งานที่ทำร่วมกับ Netbay คิดราคายังไง
A หลายแบบทั้ง การซื้อ Product มา ก็เป็นราคาตลาด
การจ้างงานก็จ้างตามราคาตลาด ทุกอย่างยุติธรรม โปร่งใส
มีหลาย Engagement ที่ทำด้วยกัน หรืออาจจะเป็นแบบ Consotium
ทำให้ต้นทุนรวมลดลง

Q Backlog 500 ที่ได้มาเป็นของกรมศิลปากร กรมทรัพยากรน้ำ มีของเจ้าอื่นอีกมั้ย
A มีงาน bank ภาคเอกชน ศาล มูลค่าไม่ได้ใหญ่มาก เลยไม่ได้แยกออกมาให้ดู

Q งานอบต อบจ หลังพรบ. electronic ออกงานเยอะขึ้นมั้ย
A งบยังไม่ได้ออก แต่เค้าเข้าใจเรามากขึ้น มี demand เราไปแก้ pain point เค้า
ปีนี้น่าจะดีขึ้นมาก

Q ภาพรวม 170,000 ไร่ 2,000 ไร่ขึ้นทะเบียน Tver Premium แล้ว
A ใน 20,000 ไร่ บางส่วนขึ้น Premium / บางส่วนขึ้น Tver

Q แผนงานต่อไปเป็นยังไง
A ป่าปลูกได้ครบตามที่ตั้งใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือทำเอกสารขึ้นทะเบียน
17000 ไร่รอขึ้นทะเบียน น่าจะอีก 2 เดือน > รวมได้ 2หมื่นไร่
หลังสิหา เข้ากลต ทำ tokenize > จะสรุปปริมาณ carbon credit ในช่วงเวลาว่าได้เท่าไหร่ แล้วแปลงเป็นเหรียญแล้ว ICO > Q4 น่าจะเห็นภาพ
พอได้ปริมาณเหรียญก็จะทำเรื่องราคา ความเสี่ยง Return ผลตอบแทน
Q4 จะเป็นภาพที่ชัดเจน
จะมีหน่วยงานกลางที่ verify คือ VVB มาทำเรื่องนี้ ( ตรวจวัด )

Q พรบเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ + cabon tax ปีหน้า จะมา impact เรามั้ย
A ก่อนนี้ Question คือใครลงทุน / ซื้อ carbon credit
พอมีกฏหมายออกมาจะเกิดความชัดเรื่อง demand ว่าคนจะซื้อ CC คือใคร เท่าไหร่
ร่างพรบที่ออกมาจะพูดเรื่อง carbon Tax / Carbon Credit / Allowance (สิทธ์ในการปล่อย > ถ้าเกินต้องจ่ายค่าปรับ )
Demand จะเกิดจากกลุ่ม allowance ใช้เกิน > ต้องเสียค่าปรับ > มาซื้อ CC
Singapore เก็บอยู่ 1 ตัน 25 SGD > ขึ้นเป็น 45 > 50-80 SGD ในอนาคต
ในไทยก็น่าจะคล้ายกัน

Q ราคากลางของไทยออกมาแค่ 200 เหมือนเราไม่ไดกำไรมั้ย
A เรามองต่าง 200 น่าเป็นภาษี CC จากน้ำมันซึ่งเป็นแค่จุดเริ่มต้น
เค้าจะเริ่มจากราคาน้อยๆก่อน ถ้าเริ่มจากแพงเลย ภาคธุรกิจปรับตัวไม่ทัน
ทุกคนรอดูท่าทีเรื่อง invest อยู่ > แต่ทุกคนรู้แล้วว่ามุ่งหน้าไปทางนี้
กฏหมายมีแนวโน้มว่าออกมาแน่นอน > บริษัทต่างๆพยายามลด Carbon > รู้ว่าต้องซื้อเท่าไหร่
โอกาสคือเริ่มคุยเลยแต่ราคาไม่แพง หรือรออีก 6 เดือนพอกฏหมายชัด จะมี demand เพิ่มขึ้นอีก ราคาจะเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าราคาอยู่ในเกณท์ที่เราโอเค อาจจะขายส่วนนึงก่อน
– carbon tax 200 บาท เก็บจากเรื่องน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ
– ค่ากลางน่าจะเป็นตอนที่เราทำ tokenize

Q ต้นทุนในการปลูกป่าชายเลน
A เค้า fix เกณท์ราคาการปลูกชัดเจนตั้งแต่หลายพันจนถึงหมื่นบาทต่อไร + ค่า Maintenance
ราคาขายขึ้นกับ demand supply / on the table / กึ่ง CSR ยังไม่ได้เอาราคานี้มา reference
เราจ้างบริษัทมาทำ Research เรื่อง trend พบว่าราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเช้มข้นของ CBAM

Q คจชในการให้หน่วยงานกลางมาวัด carbon  / เราเอา CC ไป apply Vera ได้มั้ย
A คชจต่อครั้งไม่สูงมาก > ประมาณ หมื่นไร่ 4-5แสนบาท
ถ้าราคา Tver Premium ไม่สูงปรับเป็น Vera ( world Standard ได้มั้ย )
ทำได้ แต่ต้องขออนุญาติประเทศเราด้วย
การเอาป่าของเราไปขายข้ามประเทสต้องได้รับการอนุญาติก่อน ( ถ้า B2B ทำได้ )
แต่ cost จะต่างกัน ต้องให้ Vera มา verify
ไทยปล่อย Carbon 370 ล้านตันต่อปี > คนทำธุรกิจเรื่องการปลูกป่าแบบเดียวกับเราเลย (ผลิต) ไม่น่าจะมี
เราได้พื้นที่เยอะกว่คนอื่น > กำลังการผลิตได้ไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี
ในแง่ demand supply คือขาดมากๆ เราอยากช่วยประเทศก่อน
เราอยากให้คนมาทำธุรกิจ CC กันมากๆ เพื่อประเทศของเรา

สรุปมาให้ อ่านอันนี้ลดเวลาอ่านเล่มเต็มไปได้ 90% !

หนังสือ  Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology
เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลยครับ ทำให้เราเข้าใจทั้งอุตสาหกรรม Semiconductor แบบตั้งแต่ต้นจริง ๆ และ ใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการลงทุน Semiconductor ด้วย แต่ปัญหาคือหนังสือเล่มนี้ภาษาอังกฤษ ความยาว 600 กว่าหน้า (และภาษาไทยอาจมากกว่านั้น)

BottomLiner เลยอยากทำโพสต์สรุป (ที่ไม่สั้น) ย้ำว่าไม่สั้น แต่เน้นให้เนื้อหาครบถ้วน ถ้าหากใครขี้เกียจอ่านยาว ๆ
มาอ่านบทความย่อได้เช่นกัน
โดยกว่า 600 เราสรุปมาให้แล้วเหลือเพียงประมาณ 20 หน้าเท่านั้น!
ซึ่งเราต้องทำเป็น 2 ตอนนะครับ เพราะจะถึง Limit ที่ทาง FB กำหนด เลยทำเป็นตอนเดียวไม่ได้
==========
#ขอTieInนิดเดียว
สำหรับใครที่เป็นตัวตึงหุ้น Semiconductor ตอนนี้เรามีคอร์ส AI Semiconductor กำลังจะเปิด เนื้อหาอัดแน่น 20 ชม.+
โปร Early Bird หมด 15 เดือนนี้แล้วนะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> https://forms.gle/YjqZbT3LaaG8a1Q87
==========

#บทที่1
– สงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนแปลงการพัฒนาเทคโนโลยีจากยุคอุตสาหกรรมไปสู่ยุค semiconductor
– Akio Morita, Morris Chang, และ Andy Grove มีประสบการณ์ตรงในช่วงสงครามซึ่งส่งผลให้พวกเขาเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีใหม่
– หลังสงคราม โฟกัสเปลี่ยนจากวัสดุแบบดั้งเดิม เช่น เหล็ก ไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง semiconductor
– Morris Chang หนีจากการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงวัยรุ่น ขณะที่ Andy Grove ประสบกับการยึดครองของนาซีและโซเวียตในฮังการี
– การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในยุคหลังสงครามเป็นผลมาจากความต้องการของรัฐบาลและการพัฒนาทางการทหาร
–  semiconductor กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทางทหารและเศรษฐกิจในยุคหลังสงคราม
– การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่สำคัญของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้นำทางการเมือง

#บทที่2
– William Shockley เชื่อว่า semiconductorคือ  “switch” (ระบบเปิด-ปิด) ที่ดี สามารถใช้เป็นวัสดุในการควบคุมกระแสไฟฟ้า
– ในปี 1945 Shockley ได้ทฤษฎีเกี่ยวกับ “solid state valve” แต่ในขณะนั้นเครื่องมือยังไม่ละเอียดพอที่จะวัดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กได้
– ในปี 1947 เพื่อนร่วมงานของ Shockley ที่ Bell Labs คือ Walter Brattain และ John Bardeen ได้ทำการทดลองและค้นพบว่าทฤษฎีของ Shockley ถูกต้อง
– ผลการทดลองของ Brattain และ Bardeen นำไปสู่การสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า “transistor” ซึ่งสามารถขยายสัญญาณและควบคุมกระแสไฟฟ้าได้
– Bell Labs เห็นว่า transistor จะมีประโยชน์ในการขยายสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้กลายเป็นนวัตกรรมสำคัญในอุตสาหกรรม electronics
– Shockley รู้สึกไม่พอใจที่เพื่อนร่วมงานของเขาประสบความสำเร็จและพยายามสร้าง transistor แบบใหม่ของตัวเอง
– Shockley ได้แนวคิด transistor แบบใหม่ที่เรียกว่า “junction transistor” ซึ่งสามารถทำงานได้ดีกว่าแบบเดิม
– การค้นพบนี้นำไปสู่การพัฒนา transistor ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาชิปในบทต่อๆ มา

#บทที่3
–  transistor สามารถแทนที่หลอดสูญญากาศได้หากสามารถทำให้เรียบง่ายและผลิตในปริมาณมากได้
– William Shockley ก่อตั้ง Shockley Semiconductor ใน Mountain View, California ในปี 1955 เพื่อสร้าง transistor ที่ดีที่สุด
– Jack Kilby วิศวกรที่ Texas Instruments ในปี 1958 ได้ค้นพบวิธีลดความซับซ้อนของการเชื่อมต่อ transistor หลายตัว โดยการรวมส่วนประกอบหลายตัวไว้ในแผ่น semiconductor เดียวกัน เรียกว่า “integrated circuit” (IC) หรือ “chip”
– กลุ่มวิศวกรแปดคนจาก Shockley Semiconductor ได้ลาออกและก่อตั้ง Fairchild Semiconductor ใน Palo Alto, California
– Bob Noyce หนึ่งในแปดวิศวกร ได้พัฒนา “planar method” ของ Jean Hoerni ซึ่งช่วยให้สามารถสร้าง transistor หลายตัวในแผ่น semiconductor เดียวกันได้
– Noyce ใช้ planar method สร้าง transistor หลายตัวบนชิปเดียวและสร้างการเชื่อมต่อด้วยการฝากเส้นโลหะลงบนชิป
– Integrated circuits ที่ Kilby และ Noyce พัฒนาขึ้นกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “semiconductors” หรือ “chips”
– Noyce และทีมที่ Fairchild รู้ว่าชิปของพวกเขาจะมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงกว่าปกติ
– ความสำเร็จในบทนี้เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกลงในบทต่อๆ มา

#บทที่4
– ช่วงต้นทศวรรษ 1950 สหรัฐฯ และโซเวียตแข่งกันพัฒนาศักยภาพทางทหารในสงครามเย็น
– วิศวกรในสหรัฐฯ ได้รับแรงจูงใจจากการวิจัยทางทหารและโครงการอวกาศ
– William Shockley หนึ่งในผู้คิดค้น transistor  มีแนวคิดใหม่ ๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยี
– Shockley ก่อตั้ง Shockley Semiconductor ในปี 1956 ที่ Mountain View, California เพื่อพัฒนา transistor
– นักวิจัยรุ่นใหม่ เช่น Gordon Moore และ Robert Noyce ร่วมงานกับ Shockley แต่มีความขัดแย้งเรื่องการบริหารจัดการ
– กลุ่มนักวิจัยที่ไม่พอใจเรียกว่า “Traitorous Eight” (ผู้ทรยศทั้ง 8) ลาออกจาก Shockley Semiconductor และก่อตั้ง Fairchild Semiconductor ในปี 1957
– Fairchild Semiconductor เป็นบริษัทแรกที่ผลิต integrated circuit (IC) สำเร็จและจำหน่ายได้ในเชิงพาณิชย์
– IC ทำให้สามารถลดขนาดอุปกรณ์ electronics และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก
– ความสำเร็จของ Fairchild เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา Silicon Valley ให้กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก
– การพัฒนา IC ส่งผลให้อุตสาหกรรม electronics เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติเทคโนโลยี

#บทที่5
– Jay Lathrop เริ่มทำงานที่ Texas Instruments (TI) ในปี 1958 พร้อมกับ Jack Kilby ที่กำลังทดลองในห้องปฏิบัติการของ TI
– Lathrop และผู้ช่วยของเขา James Nall คิดค้นวิธีการใช้เลนส์จุลทรรศน์แบบกลับด้านเพื่อย่อขนาดรูปแบบลงบนสารกึ่งตัวนำ
– การใช้สารเคมีของ Kodak ที่ไวต่อแสงช่วยให้ Lathrop สามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กและแม่นยำบนเยอรมันเนียมได้
– Jack Kilby ใช้เวลาทุกวันเสาร์ในการพัฒนา integrated circuit (IC) ที่ TI ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นนวัตกรรมสำคัญ
– Morris Chang เข้าร่วม TI ในปี 1958 และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการผลิต IC
– TI สามารถผลิตและขาย IC ให้กับโครงการ Minuteman II ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้มากกว่า 100,000 หน่วยภายในปี 1964
– การลงทุนของ TI ในการผลิต IC ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor

#บทที่6
– การพัฒนา semiconductor ในสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากโครงการทางทหารและอวกาศในช่วงทศวรรษ 1960
– Bob Noyce จาก Fairchild Semiconductor มองเห็นศักยภาพในตลาดพลเรือนที่ใหญ่กว่าแม้ว่าในขณะนั้นยังไม่มีตลาดที่ชัดเจน
– Fairchild ไม่พึ่งพาการสนับสนุนด้านการวิจัยจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มากนัก โดยมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสำหรับตลาดพลเรือน
– ชิปตัวแรกที่พัฒนาสำหรับตลาดพลเรือนถูกใช้ในเครื่องช่วยฟังของ Zenith ซึ่งเดิมถูกออกแบบมาสำหรับดาวเทียมของ NASA
– Fairchild Semiconductor ตั้งอยู่ใน Palo Alto รายล้อมด้วยบริษัทที่จัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับกระทรวงกลาโหม
– การเปลี่ยนแปลงในวงการ electronics เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วใน Silicon Valley ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากที่เน้นการพัฒนาชิป
– ความท้าทายสำคัญคือการทำให้ชิปมีราคาถูกพอที่จะจำหน่ายในตลาดพลเรือน ขณะที่ยังคงประสิทธิภาพสูง
– ตลาดพลเรือนมีขนาดใหญ่กว่าและมีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่าตลาดทหาร
– Noyce เชื่อว่าการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสำหรับตลาดพลเรือนมีความเสี่ยงมากกว่าแต่ก็มีศักยภาพที่จะทำกำไรได้มากกว่า

#บทที่7
– ในปี 1960 IBM เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีใหม่โดยใช้ semiconductor ในคอมพิวเตอร์ของตน
– IBM ร่วมมือกับ Fairchild Semiconductor ในการพัฒนาชิปใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
– IBM เห็นว่าชิปใหม่เหล่านี้จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความเร็วและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
– ในปี 1964 IBM เปิดตัวคอมพิวเตอร์รุ่น System/360 ที่ใช้ชิปจาก Fairchild ทำให้มีความสำเร็จทางการตลาดอย่างมาก
– การร่วมมือระหว่าง IBM และ Fairchild ช่วยให้ทั้งสองบริษัทเติบโตและกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor
– ความสำเร็จของ System/360 ส่งผลให้ IBM กลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
– Fairchild Semiconductor ได้ประโยชน์จากความสำเร็จนี้เช่นกัน โดยสามารถขยายธุรกิจและพัฒนาชิปใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
– การพัฒนาชิปใหม่ๆ เหล่านี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีระดับโลก
– IBM และ Fairchild กลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือกันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

#บทที่8
– ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Nikita Khrushchev สนับสนุนการสร้างเมือง Zelenograd นักศึกษาโซเวียต Boris Malin กลับมาจากการศึกษาในรัฐเพนซิลเวเนียพร้อมกับ integrated circuit  (IC) รุ่นแรกจาก Texas Instruments
– Alexander Shokin ผู้ดูแลการพัฒนาไมโคร electronics ของโซเวียต มองว่าการได้ครอบครอง IC เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโซเวียต
– Shokin สั่งให้วิศวกรคัดลอก IC โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในสามเดือน
– นักวิทยาศาสตร์โซเวียตไม่พอใจที่ถูกมองว่าเป็นการคัดลอกเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพราะพวกเขามีความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ที่ไม่แพ้สหรัฐฯ
– การแข่งขันด้านการพัฒนา IC ระหว่างสหรัฐฯ และโซเวียตเป็นปัจจัยสำคัญในสงครามเย็น
– โซเวียตมีความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นเดียวกับสหรัฐฯ แต่การคัดลอกเทคโนโลยีไม่ได้ผลในระยะยาว
– สหรัฐฯ เรียนรู้วิธีการผลิตชิปจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพ ในขณะที่โซเวียตมีปัญหาด้านคุณภาพและความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบ
– การผลิตชิปในปริมาณมากจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์การผลิตและวัสดุขั้นสูง ซึ่งโซเวียตยังขาดสิ่งเหล่านี้

#บทที่9
– ในปี 1962 นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Hayato Ikeda มอบวิทยุทรานซิสเตอร์  Sony ให้กับประธานาธิบดีฝรั่งเศส Charles de Gaulle ในการประชุม
– De Gaulle มองว่าญี่ปุ่นเป็นเพียง “เศรษฐกิจขนาดเล็ก” และวิจารณ์ว่า Ikeda เป็น “พนักงานขาย transistor “
– การประดิษฐ์ integrated circuit (integrated circuits) เชื่อมต่อส่วนประกอบ electronics และประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยมีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง
– โซเวียตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้โดยการลอกเลียนผลิตภัณฑ์จาก Silicon Valley
– ญี่ปุ่นตั้งใจจะรวมตัวเองเข้าไปในอุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้นำธุรกิจและรัฐบาลสหรัฐฯ
– ความสำเร็จในการขาย semiconductor ทำให้ญี่ปุ่นร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น
–  integrated circuit เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อเมริกากลายเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก
– การแข่งขันในตลาด semiconductor ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก

#บทที่10
– ระหว่างทศวรรษ 1970 Hughes Aircraft เป็นบริษัทที่โดดเด่นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการใช้สำหรับการโจมตีทางอากาศ
– ระบบเลเซอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นใช้สำหรับการเล็งเป้าหมายทำให้การโจมตีมีความแม่นยำมากขึ้น
– Hughes ใช้เลเซอร์ในการพัฒนาระบบที่เรียกว่า “smart bomb” ซึ่งสามารถระบุเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
– ระบบนี้ทำให้การโจมตีทางอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้อาวุธและความเสียหายที่ไม่จำเป็น
– เทคโนโลยีของ Hughes ได้รับการยอมรับและถูกใช้ในการสงครามต่างๆ เช่น สงครามเวียดนาม
– Hughes เน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ
– การพัฒนาของ Hughes ช่วยให้สหรัฐฯ มีความได้เปรียบทางทหารในการโจมตีทางอากาศ
– Hughes ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
– เทคโนโลยีเลเซอร์ของ Hughes กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอาวุธยุทธภัณฑ์สมัยใหม่

#บทที่11
– ช่วงสงครามเวียดนามในปี 1965 สหรัฐฯ เริ่มใช้เทคโนโลยี “precision-guided munitions” (PGMs) ในการโจมตีเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
– กองทัพสหรัฐฯ ใช้เลเซอร์ในการชี้เป้าหมายเพื่อให้ระเบิดสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำ
– ระบบการโจมตีแบบใหม่นี้ช่วยลดจำนวนระเบิดที่ต้องใช้ในการทำลายเป้าหมาย
– ความสามารถในการโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำทำให้สหรัฐฯ ได้เปรียบในสงคราม
– ในปี 1972 เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในการโจมตีสะพานสำคัญในเวียดนามเหนือที่ถูกโจมตีหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
– การพัฒนา PGMs ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุทธวิธีการโจมตีและการป้องกันของทหาร
– เทคโนโลยีนี้นำไปสู่การพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการทหารและพาณิชย์
– การพัฒนาเทคโนโลยี PGMs ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบการโจมตีอัตโนมัติที่ใช้ในสงครามสมัยใหม่

#บทที่12
– ในช่วงทศวรรษ 1960 Texas Instruments (TI) เริ่มดำเนินกลยุทธ์การย้ายการผลิตบางส่วนไปยังเอเชีย โดยมี Mark Shepherd เป็นผู้นำ
– Mark Shepherd และ Morris Chang ไปเยือนไต้หวันในปี 1968 เพื่อเลือกสถานที่ตั้งโรงงานประกอบชิปใหม่
– Shepherd แสดงความไม่พอใจเมื่อได้รับอาหารที่ไม่ตรงตามความคุ้นเคยของเขา และการประชุมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ K. T. Li จบลงด้วยความขัดแย้ง
– Li มองว่า Shepherd เป็นตัวแทนของอำนาจอเมริกาและวิจารณ์การใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการควบคุมประเทศที่พัฒนาไม่ถึง
– ไต้หวันมองเห็นประโยชน์ในการรวมตัวกับสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามและสร้างงานให้ประชาชน
– รัฐบาลสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเมืองในเอเชียและเห็นว่าการลงทุนในเทคโนโลยี semiconductor เป็นวิธีการหนึ่งในการเสริมสร้างความสัมพันธ์
– ในวอชิงตัน นักยุทธศาสตร์มองเห็นว่าความพ่ายแพ้ในเวียดนามอาจทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสี่ยงต่อการเป็นคอมมิวนิสต์
– ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในกลุ่มชาติพันธุ์จีนในมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นแรงผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค
– การลงทุนของ TI ในไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงและความเจริญในเศรษฐกิจไต้หวัน

#บทที่13
– ปี 1968 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะในแวดวง semiconductor
– Bob Noyce และ Gordon Moore ลาออกจาก Fairchild Semiconductor และก่อตั้งบริษัท Intel ซึ่งย่อมาจาก Integrated Electronics
– ความฝันของ Noyce และ Moore คือการสร้าง transistor ที่มีราคาถูกที่สุด และใช้กันอย่างแพร่หลายจากทั่วโลก
– การก่อตั้ง Intel เกิดขึ้นในขณะที่โลกกำลังถูกเปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยี transistor
– สองปีหลังจากก่อตั้ง Intel ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกคือชิป DRAM (Dynamic Random Access Memory)
– ก่อนหน้าปี 1970 คอมพิวเตอร์ใช้การจดจำข้อมูลด้วย magnetic core ที่ประกอบด้วยวงแหวนโลหะเล็ก ๆ และสายไฟ
– ความต้องการในการจดจำข้อมูลด้วย magnetic core เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ระบบนี้มีข้อจำกัดในด้านขนาดและการผลิต
– Robert Dennard จาก IBM พัฒนาแนวคิดในการใช้วงจร electronics ที่มี transistor และตัวเก็บประจุ (capacitor) ในการจดจำข้อมูล
– Intel มองเห็นศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยเทคโนโลยี DRAM และได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้จนประสบความสำเร็จ
– พื้นที่เล็กๆ ในแคลิฟอร์เนีย เช่น Palo Alto และ Mountain View กำลังกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจระดับโลกในยุค semiconductor

#บทที่14
– กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า “Offset Strategy” เพื่อให้สหรัฐฯ ได้เปรียบทางทหาร
– โครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันและอาวุธที่ทันสมัย รวมถึงการใช้ semiconductor ในระบบต่าง ๆ
– การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การควบคุมขีปนาวุธและระบบเรดาร์ ทำให้กองทัพสหรัฐฯ มีขีดความสามารถในการป้องกันและโจมตีที่แม่นยำยิ่งขึ้น
– การใช้ semiconductor ในระบบอาวุธต่าง ๆ เช่น ขีปนาวุธนำวิถี และระบบควบคุมการบิน ทำให้ประสิทธิภาพของอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมาก
– ความสำเร็จของ Offset Strategy ทำให้สหรัฐฯ มีความได้เปรียบในสงครามเย็นและส่งผลให้การพัฒนา semiconductor กลายเป็นเรื่องสำคัญในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

#บทที่15
– ทศวรรษ 1980 เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากญี่ปุ่น
– Richard Anderson จาก Hewlett-Packard มีบทบาทสำคัญในการตัดสินคุณภาพของชิปที่ HP จะใช้ โดยพบว่าชิปจากญี่ปุ่นมีคุณภาพดีกว่าชิปจากสหรัฐฯ
– บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Toshiba และ NEC ผลิตชิป DRAM ที่มีอัตราการเสียต่ำกว่า 0.02% ในการใช้งาน 1,000 ชั่วโมงแรก ทำให้เหนือกว่าชิปจากสหรัฐฯ
– Anderson พบว่าการแข่งขันจากญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และรายงานว่าชิปจากญี่ปุ่นมีคุณภาพสูงกว่า
– ความสำเร็จของญี่ปุ่นในการผลิตชิปทำให้บริษัทสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าคู่แข่งจากต่างประเทศกำลังเข้ามาแทนที่
– ความสามารถของญี่ปุ่นในการผลิตชิปคุณภาพสูงและราคาถูกทำให้บริษัท semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องปรับตัว
– การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างบริษัท semiconductor สหรัฐฯ และญี่ปุ่นทำให้เกิดการฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาหลายกรณี
– อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องหาทางพัฒนาคุณภาพและลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

#บทที่16
– ในช่วงทศวรรษ 1980 อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่นที่รุนแรง
– Jerry Sanders จาก Advanced Micro Devices (AMD) มองว่าการแข่งขันนี้เป็น “สงครามเศรษฐกิจ”
– Sanders เน้นการต่อสู้แข่งขันกับญี่ปุ่นด้วยแนวคิดที่ว่าต้อง “ล้มพวกเขา ต่อสู้กับพวกเขา และกำจัดพวกเขา”
– ญี่ปุ่นได้เปรียบทางเทคโนโลยีและการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้สินค้าของพวกเขามีคุณภาพดีกว่าและราคาถูกกว่า
– กรณี Hitachi ที่มีพนักงานถูกจับกุมในสหรัฐฯ เนื่องจากข้อหาละเมิดกฎหมายการส่งออกและการจารกรรมทางเศรษฐกิจ
– ญี่ปุ่นถูกกล่าวหาว่าขายเทคโนโลยีที่สำคัญให้กับโซเวียต ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
– สหรัฐฯ พยายามตอบโต้ด้วยการเพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา และดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor ของตน
– มีความพยายามร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและรักษาความได้เปรียบในตลาดโลก

#บทที่17
– ในทศวรรษ 1980 บริษัท GCA Corporation ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีชื่อเสียง
– GCA มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตไมโครชิป ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในเวลานั้น
– การพัฒนาของ GCA ได้รับการสนับสนุนจาก CIA และการทหารของสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในยุคสงครามเย็น
– ปัญหาทางการเงินและการบริหารจัดการภายในบริษัททำให้ GCA ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
– การแข่งขันกับบริษัทอื่นที่มีเทคโนโลยีและทุนสนับสนุนที่ดีกว่า ทำให้ GCA ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– GCA ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ แต่ไม่สามารถหาแหล่งทุนได้เพียงพอ
– ปัญหาทางการเงินทำให้ GCA ต้องลดขนาดการผลิตและปลดพนักงานจำนวนมาก
– ในที่สุด GCA ถูกซื้อกิจการโดยบริษัทอื่น ซึ่งทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนามาถูกย้ายไปยังบริษัทใหม่

#บทที่18
– ในทศวรรษ 1980 semiconductor กลายเป็นสิ่งสำคัญเหมือนน้ำมันดิบ
– สหรัฐฯ ประสบปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่นในอุตสาหกรรม semiconductor
– ญี่ปุ่นกลายเป็น “ซาอุดีอาระเบียของ semiconductor ” ด้วยการครอบครองตลาดอย่างมาก
– สหรัฐฯ เห็นความสำคัญของการรักษาความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้เพื่อความมั่นคงของชาติ
– กองทัพสหรัฐฯ ตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อศึกษาและปรับปรุงความสามารถด้าน semiconductor
– ความพยายามในการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีใหม่ถูกเร่งให้ทันกับญี่ปุ่น
– การปรับปรุงการผลิตและการลดต้นทุนเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทสหรัฐฯ
– ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลสหรัฐฯ ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรม semiconductor

#บทที่19
– อุตสาหกรรม semiconductor ของสหรัฐฯ เผชิญกับ “death spiral” เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่น
– ในปี 1990 กว่า 90% ของตลาด DRAM ถูกควบคุมโดยบริษัทญี่ปุ่น
– สหรัฐฯ พยายามใช้มาตรการทางกฎหมายและนโยบายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor ของตน
– การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีและการผลิต
– กลยุทธ์ของสหรัฐฯ รวมถึงการสร้าง consortium อย่าง Sematech เพื่อรวมพลังงานและทรัพยากรในการพัฒนาเทคโนโลยี
– Sematech จัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อยกระดับความสามารถในการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
– ปัญหาด้านคุณภาพและการบริหารจัดการทำให้หลายบริษัทในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– Robert Noyce เน้นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเป็น “ครึ่งหนึ่งของปัญหา” ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งคือการจัดการและการผลิต
– ความพยายามในการปรับปรุงการผลิตและการลดต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันในตลาด semiconductor ระดับโลก

#บทที่20
– Akio Morita จาก Sony และ Shintaro Ishihara นักการเมืองญี่ปุ่น ร่วมกันเขียนหนังสือ “The Japan That Can Say No” เพื่อชูความสำเร็จของญี่ปุ่นในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
– หนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้ญี่ปุ่นยืนหยัดในความสามารถของตนและไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อีกต่อไป
– Morita และ Ishihara วิจารณ์วัฒนธรรมการบริหารงานและนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
– พวกเขาชี้ให้เห็นว่าญี่ปุ่นสามารถเอาชนะสหรัฐฯ ในด้านการผลิตเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
– “The Japan That Can Say No” ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยสร้างความไม่พอใจให้กับนักการเมืองและผู้บริหารของสหรัฐฯ
– การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในอุตสาหกรรม semiconductor ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
– สหรัฐฯ พยายามตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการทางการค้าและกฎหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของตน
– ญี่ปุ่นกลับยืนหยัดด้วยการพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง

#บทที่21
– Jack Simplot เจ้าของ Micron ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากนัก แต่มีความเข้าใจในธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
– Simplot มีบทบาทสำคัญในการพา Micron ให้กลายเป็นผู้ผลิต DRAM ชั้นนำของโลก
– Micron สามารถแข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่นได้โดยการนำนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมาใช้
– การร่วมมือกับไต้หวันและเกาหลีใต้ในการผลิตชิปช่วยให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นผู้นำในตลาด semiconductor
– การพัฒนาทางเทคโนโลยีและการปรับตัวทางธุรกิจของ Micron เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถเอาชนะวิกฤติและเติบโตได้

#บทที่22
– AMD ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– Intel ต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีของตัวเองเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
– CEO ของ Intel อย่าง Andy Grove มีบทบาทสำคัญในการพยายามผลักดันบริษัทให้ก้าวหน้าไปข้างหน้า แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก
– การพัฒนาเทคโนโลยี multi-core processors ของ AMD ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าแข่งขันในตลาดที่มีความต้องการสูงขึ้น
– ความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรมของ AMD ทำให้บริษัทสามารถท้าทายความเป็นผู้นำของ Intel ในอุตสาหกรรม semiconductor
– Intel ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด โดยการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ

#บทที่23
– เกาหลีใต้กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม semiconductor  โดยเฉพาะการผลิต DRAM และ NAND flash
– Samsung และ SK Hynix เป็นบริษัทชั้นนำของเกาหลีใต้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและผลิต semiconductor
– รัฐบาลเกาหลีใต้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านนโยบายและเงินลงทุน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในประเทศ
– การแข่งขันในตลาด semiconductor ระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
– ความสามารถในการผลิตชิปของเกาหลีใต้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเทคโนโลยีของประเทศ

#บทที่24
– บทนี้พูดถึงการขึ้นสู่

สรุป

📍สรุป ของ พี่ ZEN ในรายการ หุ้นหมีบอก หัวข้อ 10 มายาคติอันตราย ที่ฉุดรั้ง VI สู่ความสำเร็จ  by หุ้นทรง A

✅1.การทำ Valuation โดยการใช้ PE
-เราจะถูกสอนมาว่า หุ้น ที่ PE สูงมันแพง หุ้น PE ต่ำมันถูก ซึ่งมันใช้ไม่ได้ในบางกรณีเช่นหุ้นโรงงาน หุ้นโรงพยาบาล ช่วงที่มันขาดทุนเปิดโรงงานใหม่,โรงพยาบาลใหม่ หรือกำลังจะ Break even ใช้ PE มันจะเพี้ยนพอสมควร และจุดซื้อดีที่สุด คือ Break even หรือ กำลังจะ Break even (ช่วงนี้งบมันจะไม่ดีเลย)

✅2.การใช้ PE ดูหุ้น Commodity
ยกตัวอย่าง เคส PTL ราคาพีคตอนปลายปี 2010 ประมาณ 50 บาท ถ้าใช้ PE คำนวณราคาเป้า ณ ตอนนั้น ปัญหาคือ แม้กำไรจะยัง Maintain โตต่อได้ มันทำให้ดูว่า PE ต่ำ และคนส่วนใหญ่คิดว่ามันถูก และบทวิเคราะห์ออกมากันเยอะมาก แต่ในอนาคตมันก็มีจุดสิ้นสุดของวัฎจักร หรือ ธุรกิจ Project base อารมณ์ว่า ชีวิตนึงมันเกิดแค่ครั้งเดียว ชั่วคราว ในรอบ 10 ปี ตอนแรกๆก่อนขึ้นคุณก็ยังใช้ได้นะแต่อย่าไปใช้ตอนขาลงเด็ดขาด

✅3.เราเข้าใจว่ามันเป็นหุ้น Growth แต่สุดท้ายมันเป็นหุ้น เจดีย์ 🙏🏻
-วิธีป้องกันน้อยมาก การที่เราซื้อหุ้นที่ต้องฟังเจ้าของอย่างเดียว บางทีภาพมันเปลี่ยน เราจะรู้ช้ากว่าที่เราเห็น บางทีเราต้องหาหุ้นที่เราสามารถรู้ก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากการไป Scuttlebutt ดีกว่าฟังเจ้าของอย่างเดียว

✅4.หุ้นที่ Market cap. เยอะๆก็ไม่น่าจะโตไปต่อได้แล้ว
มันอาจจะขึ้นอยู่กับ TAM ที่มันใหญ่มาก อย่างเช่น หุ้น Tech ในอเมริกา ผมมองว่าหุ้น Tech ในเมกา เป็นหุ้น Asset plays เปรียบเทียบและยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ขายมือถือทั่วไป คนใช้ไปแล้วก็ทิ้งเปลี่ยนรุ่น แต่ Apple มันทำให้คนที่ใช้มือถือของเค้าเนี้ย เป็น Asset ของเค้าได้ จ่ายค่า Subscription ต่างๆใน Eco system ของ Apple มันกำไรตรงนี้มันเพิ่มขึ้น หรือ Amazon แต่ก่อนทำ E-commerce จนมาทำ AWS โมเดลประมาณนี้ ทำให้ภาพบริษัทเปลี่ยนไปได้ค่อนข้างเยอะ

✅5.หุ้นมันเต็มมูลค่าแล้วคนคิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว
คนอาจจะมองข้ามว่า รายได้ไม่โตแล้วเหมือนแต่ก่อน แต่ทำไม กำไรมันโตระเบิด สิ่งนี้คือ Operating leverage สูง รายได้เพิ่มแต่ต้นทุนไม่เพิ่มตามหรือเพิ่มน้อย อย่างงบ Q1 ที่ผ่านมา ก็มี VIH,NSL,NEO เราอาจจะไม่เข้าใจโครงสร้างของธุรกิจและคิดว่ามันเต็มมูลค่าแล้วแต่พอ ประกาศผลกำไรก็อาจจะทำให้เซอไพร้ตลาดได้

✅6.เอา Case ของบริษัทที่ Success ในตปท.มาเทียบกับบริษัทในไทย
อย่าง Home Depot เทียบกับ Home pro ในไทย
Landscape ที่แตกต่างกัน มันอาจจะไม่ได้ อย่างเช่น โรงพยาบาลทั่วโลกก็ไม่ได้มีการเติบโตเหมือนในไทย อย่างเวียดนาม ร้านขายยา FRT กินแชร์ครึ่งนึงของประเทศ แต่ร้านขายยาประเทศอื่นๆก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ด้วยโครงสร้างทางธุรกิจแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ด้วย รายได้ต่อหัว ของคนในประเทศนั้นๆ กลยุทธิ์ Business model ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตาม พฤติกรรมผู้บริโภคด้วย

✅7.คนชอบคิดว่าซื้อบริษัทที่มีสินทรัพย์มาก เงินสดมาก มันจะปลอดภัย (Asset plays)
หุ้น Polar market cap น้อยกว่าเงินสดในบริษัท สุดท้ายก็ เจ๊ง , Acap มีasset เยอะก็จิงแต่ขาดสภาพคล่อง มัน unlock  ไม่ได้ (ผมขอยกคำพูดจากพี่นักลงทุนรุ่น เก๋า เปรียบเทียบเหมือนการเลือกคู่แล้วหวังจะเอาสมบัติจาก พ่อตา แม่ยาย เลยแช่งให้ตายไวๆ แต่สุดท้ายเค้าไม่ตายเราก็อาจจะตายก่อน 😂💀)

✅8.เคส Competitive advantage ของบริษัทมาเปรียบเทียบและคนชอบมองว่าเป็นแฟชั่น
บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นแฟชั่นคือ Kamart แต่ทำไมเค้าถึงมี Competitive advantage ทั้งๆอยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันอย่างรุนแรงใครจะเข้าก็ได้ ที่สังเกตุเค้าจะมี 1.กลยุทธิ์การตลาด 2.การออกสินค้าใหม่ๆหลายๆ SKU  และถ้าบริษัทเล็กๆจะเข้า Retalis อย่าง Watson,Beautrium มันยากด้วย ยอดขายที่ยังไม่เยอะพอยืนระยะไม่ได้ ทั้งๆที่ใครก็ทำเครื่องสำอางค์ได้ ของที่เป็นแฟชั่น และ Retailer ก็จะต้องการสินค้าที่มาขายมี Turnover rate สูงๆ ใครขายไม่ดีก็อาจจะโดนเอาออก “ปลาเร็วกินปลาช้า” ใครๆก็ทำได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำแล้วอยู่รอดมาถึงตอนนี้ ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันรุนแรง แล้วก็ยกตัวอย่างเช่น คาราบาว ทำไมไม่ Suscess ในอังกฤษ คิดว่าของแบบนี้ต้องเป็น First mover เข้าไปก่อนได้เปรียบ เพราะคนมันติดรสชาติไปแล้ว แบรนด์ต่อๆไปที่จะเข้ามาก็ยาก

✅9.ความเก่งของผู้บริหาร คนชอบคิดว่าคนนั้นเก่งคนนู่นไม่เก่ง
ยกตัวอย่าง ผู้บริหาร Xo ความเก่งของบริษัทต้องการคือ การที่สามารถสร้าง Connection กับ Dis
ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมด้วยต่อให้เก่งเป็น Super CEO แค่ไหนจะทำให้รายได้โตเยอะๆมันก็ยาก
แล้วเราจะรู้ได้ไง ผู้บริหาร ซื่อสัตย์ มั้ย? เช่นอาจจะดูว่า ถือหุ้นเยอะมั้ย,บางกรณี บริษัททำธุรกิจคล้ายๆกัน แต่ทำไมมาจิ้นมันต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ,มาออก Oppday บ่อยแค่ไหน สื่อสารกับนักลงทุนเป็นยังไง ในตอนที่มาพูด
มองว่าผู้บริหารต้องเก่งในระดับที่บริหารงานได้และยืนอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีแต่ถ้าเป็น Start up ก็ต้องการ ผู้บริหารที่เป็น Super CEO

✅10.หุ้นลงหนักๆวิกฤตหนักๆ คนก็จะบอกว่ามันไม่ลงแล้ว มี PE ,ปันผล ค้ำอยู่
บริษัทที่เรามั่นใจที่จะถือแค่ไหน ถ้ามันลงผิดปกติเพราะวิกฤต ไม่ควรเอา Margin มาซื้อ นอกจากถ้ามันลงชั่วคราวและเรามั่นใจมากว่าคุณรู้จัก บริษัทนี้มากกว่าตลาด แต่ถ้ามันเกิดวิกฤตไม่ควรใช้ over  Leverage เพราะมันอาจจะลงมากกว่าที่คุณคิดไม่ถึง

❇️Q&A บางส่วน ❇️
⁉️ถาม:งบดีให้ขาย งบชิบหายให้ซื้อ ความเชื่อนี้เป็นอย่างไร?
ตอบ : 1.หุ้นลักษณะนี้เป็นแบบไหนเช่น
หุ้น Growth ,หุ้น Commodity
          2.จะโตต่อเนื่องมั้ย
          3.ราคาตรงนี้ มัน Price in ไปหมดแล้วหรือยัง

⁉️ถาม : อยากรวยแบบ VI ต้องใช้ value insider?
ตอบ insight จาก Company visit คือการถามอะไรเพิ่มเติม หุ้นที่ได้เปรียบเสียเปรียบ เยอะมากๆ คือหุ้นที่คุณไม่รู้อะไรเลย นอกจากข้อมูลจากเจ้าของ เราควรตามหุ้นที่เราพอรู้ข้อมูล Insight จากการไป CV ให้มันลดข้อได้เปรียบ เสียเปรียบกันได้

⁉️ถาม : DCA (dollar cost average) เป็นการลงทุนที่ง่ายที่สุด ความเชื่อนี้ผิดมั้ย?
ตอบ : ต้องดูหุ้นที่ซื้อด้วยค่อยๆเติมๆ เช่น หุ้น Amazon ก็ทำให้คุณรวยได้ แต่ถ้าซื้อผิดตัวก็ตรงกันข้าม

⁉️ถาม : อยากรวยต้อง super stock เท่านั้น?
ตอบ : มันง่ายสุดถ้าคุณเลือกถูกตัว และมันไม่ได้เร็วสุด ความยากคือ คุณมองหุ้น ตัวนั้นออกหรือป่าว และถือไปอีก 5-10 ปีทำได้มั้ย

⁉️ถาม : ต้องเล่นหุ้นแค่ใน Circle of competance ?
ตอบ : ซื้อไปก่อนแล้ว เจาะหุ้นตัวนั้นๆละเอียดๆ อาจจะซื่อไม่เยอะมาก เราควรขยาย Circle of competance

🙏🏻💡-หลังปฎิบัติธรรม ทำให้เราฝึกสองอย่างคือ สมาธิ และ การปล่อยวาง ในเวลาที่หุ้นมันผันผวน ทำให้เราไม่เครียดไม่ทุกข์กับมันใช้ชีวิตกับปัจจุบันมากขึ้น ถือศีลด้วยจะดีมากๆ และเรามีในระดับนึงก็บริจาคให้กับ โรงเรียน และ โรงพยาบาล

📌📌ปล.หุ้นที่เขียนในสรุปและยกตัวอย่างในรายการ ไม่ได้มีการให้เชียร์ หรือแนะนำให้ซื้อขายแต่อย่างใดนะครับ

จบ…

ขอขอบคุณรายการหุ้นหมีบอกและขอขอบคุณพี่ Zen ที่มาเล่าประสบการณ์ทรงคุณค่ามากๆครับได้ทั้งข้อคิดการลงทุนและหลักการใช้ชีวิตรวมถึงการปฎิบัติธรรมด้วยครับ 🙏🏻🙇🏻

ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอฝากเพจหุ้นทรงA ไว้ด้วยนะครับ

Semiconductor

Synopsys บริษัทออกแบบชิพ ไพ่ตายของสหรัฐในการคุมจีน
.
การผลิตชิพหรือ Semiconductor ขึ้นมา 1 ชิ้น มีกลุ่มบริษัทเกี่ยวข้องมากมาย แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มผู้ผลิต และกลุ่มออกแบบ โดยผู้ผลิตใหญ่ในปัจจุบันคือ TSMC ที่จะรับคำสั่งผลิตจากบริษัทผู้ออกแบบชิพทั่วโลก ไล่ตั้งแต่ Nvidia Apple หรือ AMD แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ออกแบบชิพเหล่านี้ก็ต้องสั่งซื้อ Software การออกแบบเช่นกัน ซึ่งเรียกว่า “Electronic Design Automation (EDA)”
.
Software สำหรับการออกแบบชิพหรือ EDA ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสิ่งจำเป็นของการสร้างชิพรุ่นใหม่ขึ้นมา (ลองเทียบกับการออกแบบตึกสูง ถ้าไม่มี Software มาช่วยแล้วเราต้องออกแบบด้วยมือทั้งหมดผลลัพธ์มันจะยุ่งยากแค่ไหน)
.
โดยบริษัทที่สร้าง EDA หลักๆ มี 3 เจ้าคือ Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens ซึ่งทั้งสามครองส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากกว่า 80%
==========
#ขอTieInหน่อยครับ
Synopsys เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่เราจะไปเจาะลึกกันใน
BottomLiner Expert Series – AI Semiconductor
สมัครหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> https://forms.gle/e7M9XW2LcTa1obLg8
==========
.
Software ของแต่ละบริษัทมีความโดดเด่นต่างกันแล้วแต่รูปแบบการใช้งาน ทั้งนี้ Synopsys ถือเป็นบริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด โดยปี 2023 สร้างรายได้รวมทั้งปีที่ $5,318 ล้าน
.
โดยในไตรมาสล่าสุดบริษัทตัดสินใจขายธุรกิจ Software Integrity ให้กับ Clear Lake Capital และ Francisco Partners เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้ Synopsys เน้นไปที่ธุรกิจหลักอย่าง EDA และ IP  ซึ่งเรื่องนี้ผมมองเป็นเรื่องบวกเลย เพราะส่วนธุรกิจนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์โตช้าแถมกำไรต่ำ  ส่งผลให้รายได้จากการขาย Software และเครื่องมือสำหรับออกแบบชิพเปลี่ยนเป็นสัดส่วนมากถึง 73%
.
ขณะที่อีก 27% ของรายได้ มาจากการขายลิขสิทธิ์หรือ Intellectual Property (IP) ที่จำเป็นสำหรับการออกแบบและผลิตชิพ ซึ่งธุรกิจนี้กำลังเติบโตเร็วมาก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Amazon, Alphabet, Alibaba หันมาออกแบบชิพใช้งานเองแล้ว ซึ่งเหล่า Big Tech จำเป็นต้องซื้อ IP เพื่อลัดขั้นตอนการออกแบบให้สินค้าใช้งานได้เร็วที่สุด
.
เมื่อไร้คู่แข่ง สหรัฐเลยใช้มันเป็นไพ่เหนือจีน !
.
ถ้าเราพิจารณา 3 ผู้เล่นหลักในตลาด EDA จะพบว่าทั้ง Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens เป็นบริษัทของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือบีบคู่แข่งท้าชิงตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีโลกอย่างประเทศจีนได้ตรงๆ
.
เมื่อลองวิเคราะห์อุตสาหกรรม Semiconductor จะพบว่า เครื่องจักรในการผลิตชิพนั้นนอกเหนือจากของสหรัฐยังมีตัวทดแทนเป็นบริษัทในยุโรป และญี่ปุ่น (ASML, Tokyo Electron) ทางด้านโรงงานผลิตชิพก็มีไต้หวัน และเกาหลีใต้เป็นตัวเลือก (TSMC, Samsung) แต่ Software การออกแบบชิพนั้นถูกผูกขาดโดยประเทศสหรัฐ
.
ยกตัวอย่างเช่น วันที่รัฐบาลสหรัฐสั่งแบน Huawei ไม่ให้ทำธุรกิจร่วมกับบริษัทสัญชาติตัวเอง แต่ Huawei ยังสร้างชิพสำเร็จ สหรัฐจึงรู้ทันทีว่า Huawei ยังคงใช้งาน Software ออกแบบจากบริษัทของสหรัฐอยู่ จึงโดนบีบหนักขึ้นไปอีกขั้น จนล่าสุดไม่ให้บริษัททุกชาติทำธุรกิจกับ Huawei ด้วย
.
แม้เราจะเห็นการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม Semiconductor ในประเทศจีน เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ แต่กลุ่มที่จีนจะพัฒนาทันสหรัฐเป็นอันดับท้ายๆ คือกลุ่ม Software การออกแบบชิพหรือ EDA เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันต่างกันเกิน 10 ปี
.
โดยปกติแล้วเทคโนโลยี EDA จะต้องนำหน้าการผลิตจริงถึง 2 ปีด้วย
จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าคุณจะเห็นข่าวที่สหรัฐจะใช้กลุ่มธุรกิจนี้คอยต่อรองและบีบรัฐบาลจีนต่อเนื่อง
.
โดยปัจจุบันบริษัทได้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI และการผสมผสานระหว่าง EDA และ IP ซึ่งมองว่าความต้องการในส่วนนี้ยังคงมีแนวโน้มที่สูงขึ้น และ Synopsys ก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการตอบสนองความต้องการนี้อีกด้วย
.
BottomLiner

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น